บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]บทที่ 1584 ได้คืบจะเอาศอก

Now you are reading บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] Chapter บทที่ 1584 ได้คืบจะเอาศอก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1584 ได้คืบจะเอาศอก

…………….

บทที่ 1584 ได้คืบจะเอาศอก

สีหน้าของเฉินซีเย็นเยียบลงทันทีเมื่อได้ยินคำสบถของคนผู้นั้น

“สหายเต๋าค่านเจิ้น เจ้าไม่ได้รับประกันกับข้าไว้หรือว่าข้าจะไม่ถูกรบกวนขณะบ่มเพาะ? แล้วเหตุใดไอ้สารเลวนี่จึงมาเห่าหอนในถิ่นพำนักข้าได้?”

“เอ่อ สหายเต๋าสงบโทสะก่อน ข้าพาคุณชายจูมาก็แค่เพื่อหารือเรื่องนี้กับเจ้า เพราะถึงอย่างไร ระยะเวลาการเช่าของเจ้าก็เหลือเพียงไม่ถึงสามเดือน…”

ก่อนค่านเจิ้นจะทันพูดจบ เฉินซีก็กล่าวขัดจังหวะ “ก็หมายความหรือว่าระยะเวลาเช่าของข้ายังไม่หมด? ยังไม่ได้พูดถึงว่าข้ายังคิดเช่าที่นี่ต่ออีกหน่อย”

“ไอ้หนูงี่เง่า!! เจ้า…” เสียงเสียดหูนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

เฉินซีไม่คิดสนใจคำผรุสวาท จึงใช้ข้อจำกัดปกคลุมบริเวณเคหาไว้

ในชั่วเวลาหนึ่งปีมานี้ ข้าฟื้นการบ่มเพาะได้เพียงเกือบหกส่วน เวลาสั้น ๆ เพียงสามเดือนคงไม่พอให้ข้าหวนคืนสู่ยามสมบูรณ์พร้อม เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ และอดขมวดคิ้วยามสัมผัสพลังชีวิตในกายไม่ได้ ช่างเถิด หากไม่อาจฟื้นตัวสมบูรณ์ได้ในชั่วขณะนั้น ข้าก็จะยืดเวลาอยู่ที่นี่ไปอีกหน่อย

นอกเคหา

รอยยิ้มบนใบหน้าค่านเจิ้นจางลง ขณะเอ่ยขึ้น “คุณชายจู ทาสเทพผู้นี้ของท่านทำเกินไปหน่อยแล้วกระมัง มิใช่ผู้ใดก็ฝืนกฎพิมานหยาดหยกของข้าได้นา!”

ตรงหน้าค่านเจิ้น มีชายหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่ง และอีกหนึ่งชายชราแขนยาวอย่างยิ่ง รูปลักษณ์ดุร้าย เส้นผมแดงฉานยืนอยู่

ได้ยินเช่นนี้ ชายหนุ่มชุดเขียวก็ชักสีหน้าเล็กน้อย แต่ครู่ต่อมา เขาก็คืนความเยือกเย็น พูดยิ้ม ๆ “ข้าเข้าใจแล้ว อาโฉ่ว สงวนกิริยาด้วย”

ชายชราท่าทางดุร้ายเหลือบมองค่านเจิ้นอย่างเย็นชา ก่อนจะก้มหน้าลงพูด “ขอรับ นายน้อย”

ค่านเจิ้นเห็นเช่นนี้ก็เผยยิ้มบาง “คุณชายจู ไยไม่ให้ข้าจัดเตรียมเคหาให้ท่านเล่า?”

คุณชายจูผู้นี้ก็คือจูต่งถิง เป็นเพียงเทวารู้แจ้งโลกาผู้หนึ่งเท่านั้น แต่ที่มาของเขาสูงส่งยิ่ง เป็นทายาทสายตรงของผู้อาวุโสระดับสูงจูกังซานแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต เป็นศิษย์ผู้โด่งดังในนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต มีอุปนิสัยหยิ่งผยองบ้าอำนาจ

ชายชราข้างกายจูต่งถิงเองก็ไม่ธรรมดา เขามาจากเผ่า ‘แร้งปีศาจแดง’ มีนามว่าโม่ลี่โฉว อุปนิสัยดุร้ายกระหายเลือดเกินใคร มีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ นอกจากนั้น ยังเป็นบริวารรับใช้ผู้อาวุโสระดับสูงจูกังซานแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตด้วย

“ไม่ต้องหรอก แค่สามเดือนเองไม่ใช่หรือ? คุณชายผู้นี้รอได้ ถึงยามนั้น ขอข้าดูสักหน่อยแล้วกันว่าเฉินสวินผู้นี้เป็นใครกันแน่” จูต่งถิงกล่าวเสียงเรียบก่อนจะจากไปกับโม่ลี่โฉว

ค่านเจิ้นขมวดคิ้ว ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาย่อมมองออกว่าเจ้าจูต่งถิงนี่คิดจัดการกับเฉินสวินหลังจากอีกฝ่ายออกจากพิมานหยาดหยกเป็นแน่

“เฮ้อ พิมานหยาดหยกของข้าก็แทรกแซงเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้ด้วยสิ” ครู่สั้น ๆ ต่อมา ค่านเจิ้นก็ส่ายหัว รำพึงไม่รู้จบในใจ

ระหว่างเวลานี้ ศิษย์จากนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตมากมายมายังเมืองนภาสูญตา ดูเหมือนไร้สิ่งใดผิดแปลก แต่กลับทำให้ค่านเจิ้นรู้สึกราวพายุกำลังก่อตัว

หรือทั้งหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับเฉินซีผู้นั้น? สงสัยจริงว่าเจ้านั่นเป็นใครกันแน่ ถึงกับทำให้นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตส่งกำลังมามากมายเพียงนี้… ค่านเจิ้นครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะจากไป ทว่าทันใดนั้น ประตูเคหาของเฉินซีก็เปิดออกกะทันหัน หนึ่งเสียงดังออกมาจากภายใน “สหายเต๋าค่านเจิ้น เข้ามาสักเดี๋ยวได้หรือไม่?”

ค่านเจิ้นนิ่งไป ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงตอบยิ้ม ๆ “แน่นอน” พร้อมกันนั้น เขาก็ก้าวเท้าเดินเข้าไป

พิมานหยาดหยกครองพื้นที่กว้างใหญ่อย่างยิ่ง มีแดนซ่อนเร้นมากมายถูกเบิกขึ้น สร้างเคหาภายในอยู่มากมาย ขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ

ในหมู่พื้นที่ทั้งหลาย มีทั้งบริเวณค้าขายวัตถุเทวะและสมบัติล้ำค่า พื้นที่ขายเม็ดโอสถ มีกระทั่งลานประลอง สังเวียนอสูร โรงประมูลและพื้นที่ต่าง ๆ ให้เหล่าแขกในพิมานหยาดหยกเพลิดเพลิน กล่าวได้ว่าพวกเขามีทุกอย่าง

“คุณชาย ท่านตั้งใจจะเสียเวลาไปกับเจ้าเด็กนั่นเช่นนี้หรือขอรับ?” โม่ลี่โฉวถามเสียงเบาจากข้างกาย

“แน่นอน!” จูต่งถิงดื่มสุราหมดจอก ก่อนจะกัดฟันพูด “เดิมที ข้าตั้งใจจะจองเคหาให้แม่นางเยี่ยเหยียนพักผ่อน ใครจะคิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะอยู่ดีไม่ว่าดี โทษข้ามิได้ที่ไร้ปรานี!”

เมื่อได้ยินนามเยี่ยเหยียน ม่านตาของโม่ลี่โฉวก็คลับคล้ายหดตัว จากนั้นก็ใช้วิธีพูดผ่านกระแสปราณ “คุณชาย เยี่ยเหยียนผู้นั้นมาจากนิกายอำนาจเทวะ ตัวนางก็เป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลผู้หนึ่ง กระทั่งเจ้านิกายเผชิญหน้านางยังมิกล้าผ่อนความเกรงใจ ข้าเห็นว่าท่านไม่ควรหมายตานางแม้จะงามเพียงใดนะขอรับ นางอันตรายเกินไป”

เกินคาด จูต่งถิงได้ยินเช่นนี้กลับหัวเราะลั่น “สตรีผู้อ่อนหวานสง่างามคือคู่เคียงกายชายอันดีที่สุด เจ้ามิสังเกตหรือว่าแม่นางเยี่ยเหยียนปฏิบัติกับข้าแตกต่างจากผู้อื่น?”

กล่าวจบ หญิงชุดแดงผู้งดงามไร้ที่ตินางหนึ่งก็ละล่องขึ้นปรากฏในใจอย่างอดมิได้ ส่งให้หัวใจของเขาแผดผลาญ ความปรารถนาร้อนรุ่มปรากฏในดวงตา

โม่ลี่โฉวเห็นเช่นนี้ก็ลังเล แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แนะนำมากไปกว่านี้ เขาตระหนักดีว่าคนอย่างเยี่ยเหยียนไม่มีทางเป็นผู้ที่คนอย่างจูต่งถิงจะกำราบได้

ช่างมันเถอะ ข้าเป็นเพียงบริวาร แค่ทำให้คุณชายผู้นี้เบิกบานก็พอแล้ว

ประตูเคหาหมายเลขสามสิบหกเปิดขึ้นอีกครั้ง

“ฮ่า ๆ! สหายเต๋า ไม่ต้องลำบากมาส่งข้าหรอก” ค่านเจิ้นเดินยิ้มแก้มปริออกมา เมื่อเห็นประตูเคหาปิดลงอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นความฉงน กระทั่งตื่นกลัวเล็กน้อยทันที

เจ้าเด็กนี่มีตัวตนเช่นไรกันแน่… จึงนำสมบัติศักดิ์สิทธิ์และวัตถุเทวะออกมาได้ตั้งมากมายในคราวเดียว!? ค่านเจิ้นสูดหายใจลึก ๆ ซ้ำไปมา พยายามรักษาความเยือกเย็นอย่างสุดชีวิต

เมื่อครู่ก่อน หลังเดินเข้าไปในเคหาของเฉินซี อีกฝ่ายก็แสดงจำนงจะขายสมบัติศักดิ์สิทธิ์และวัตถุเทวะบางส่วน และถามว่าพิมานหยาดหยกจะซื้อมันหรือไม่ เขาย่อมตอบตกลงไปอย่างไม่ลังเล เพราะหากการซื้อขายลุล่วง เขาก็จะได้ส่วนแบ่งกำไรอย่างงาม

ทว่าค่านเจิ้นไม่เคยคาดคิดว่าเฉินซีจะนำสารพัดสมบัติศักดิ์สิทธิ์และวัตถุเทวะออกมากองสุมเป็นภูเขา และทันทีที่เห็นเช่นนี้ กรามของเขาก็แทบร่วงพื้นด้วยความตกใจ

ยิ่งกว่านั้น ยามคำนวณมูลค่าสมบัติทั้งหมด หัวใจของเขาก็ตื่นตะลึงสุดขีด แทบไม่อาจคุมตนมิให้คำรามลั่น

หมื่นเก้าพันผลึกศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ!

นี่มันราคาบ้าบออะไรกัน? อย่างน้อยที่สุด ต่อให้เขาเก็บหอมรอมริบในพิมานหยาดหยกสิบปีเต็ม ก็ไม่มีทางรวบรวมผลึกศักดิ์สิทธิ์มาได้มากเพียงนี้!

ว่าแล้วเชียว ยอดฝีมือไม่อวดศักดา ใครบ้างจะคาดคิดว่าชายหนุ่มหน้าตาท่าทางธรรมดา ๆ จะมีทรัพย์สมบัติมหาศาลเช่นนี้? หากข้าค้าขายครั้งนี้ลุล่วง อย่างน้อย ๆ ก็จะได้ส่วนแบ่งเป็นผลึกศักดิ์สิทธิ์สามพันชิ้นเป็นรางวัล! เมื่อคิดถึงตรงนี้ หัวใจของค่านเจิ้นก็แผดเผาด้วยความลุ้นรอ ทั่วร่างฮึกเหิม ทำให้ฝีเท้าเริงร่าแผ่วเบา จากไปอย่างรวดเร็ว

วันถัดมา เฉินซีได้รับผลึกศักดิ์สิทธิ์หมื่นเก้าพันชิ้น เติมกระเป๋าอันแห้งฟีบสุดขีดของตนได้ทันที

ไม่เลว ไม่เลวจริง ๆ ที่สมบัติศักดิ์สิทธิ์และวัตถุเทวะไร้ประโยชน์เหล่านั้นจะขายได้ราคาเพียงนี้… รอยยิ้มพอใจปรากฏที่มุมปากเฉินซี

ขอเพียงไม่มีประโยชน์ เฉินซีก็ขายสมบัติศักดิ์สิทธิ์และวัตถุเทวะทั้งหมดที่ได้มาจากแดนโลกาวินาศให้พิมานหยาดหยกไปเมื่อวานนี้

แม้จะตระหนักชัดเจนว่าเขาจะได้ผลึกศักดิ์สิทธิ์มากกว่านี้แน่นอนหากไปตระเวนขายตามร้านในเมือง แต่เขายังต้องพึ่งพาเคหาในพิมานหยาดหยกเพื่อบ่มเพาะ จึงไม่สนใจส่วนต่างเล็กจ้อยเช่นนี้

ยิ่งกว่านั้น การกระทำของเฉินซีก็นำมาซึ่งผลได้เกินคาดคิดเช่นกัน เขาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองนภาสูญตาช่วงนี้จากค่านเจิ้นอย่างราบรื่น

รวมถึงภูมิหลังของจูต่งถิงและโม่ลี่โฉว กระทั่งความแข็งแกร่งของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต เฉินซีในขณะนี้ได้รับข้อมูลทั้งหมดนี้อย่างละเอียด

แต่เฉินซีก็ต้องประหลาดใจ ขณะที่เดิมที เขาคิดเดินทางไปยังนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตเพื่อหาเถี่ยอวิ๋นผิง หลานสาวของเถี่ยคุน ไม่คาดคิดเลยว่าศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตจะออกตามล่าสังหารเขาก่อนจะทันได้เจอนางด้วยซ้ำ…

เรื่องราวในโลกหล้า บางครั้งก็ประหลาดเสียจนไม่อาจเข้าใจ

แน่นอน เฉินซีตระหนักชัดเจน ว่าเหตุที่นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตออกตามหาอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ เป็นเพราะสตรีชุดแดงจากนิกายอำนาจเทวะ เยี่ยเหยียน!

ขณะเดียวกัน การที่เยี่ยเหยียนสามารถระดมกำลังจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตเพื่อจัดการกับตน ทำให้เฉินซีตระหนักว่าอิทธิพลของนิกายอำนาจเทวะในเอกภพมสิหิมน่าสะพรึงกลัวเพียงไร

คราวก่อน ข้าแปลงโฉมเป็นอินไฮว่คง ถูกหญิงร้ายผู้นี้มองออก หนนี้ ข้าแปลงโฉมเป็นใครก็ไม่รู้ไป ขอดูหน่อยว่านางจะยังมองทะลุการจำแลงกายของข้าได้อีกหรือไม่! เฉินซีทราบว่าเหตุที่นางจับพิรุธร่างจำแลงของเขาได้ในคราวก่อน เป็นเพราะว่าเยี่ยเหยียนรู้จักกับอินไฮว่คงเป็นอย่างดี และไม่ได้เห็นพิรุธหากว่ากันด้วยรูปลักษณ์ภายนอก

เพราะถึงอย่างไร เขาก็ใช้ผิวไร้ลักษณ์ที่มีเพียงราชาเผ่าหน้ากากหนังพฤกษาที่ครอบครองได้ และกระทั่งบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลยังไม่มีทางมองทะลุ เขาจึงไม่เชื่อว่าเยี่ยเหยียนจะทำได้

ฟื้นตัวสมบูรณ์พร้อมเมื่อใด ข้าจะไปทันที จากนั้นก็มุ่งหน้าไปหาเถี่ยอวิ๋นผิงที่นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต เติมเต็มภาระที่เถี่ยคุนฝากฝังไว้โดยเร็วที่สุด จากนั้น ข้าก็จะไปจากดาราจักรผาขจีทันที จากความแข็งแกร่งปัจจุบันของข้า หากไม่บรรลุสู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ ผลที่ตามมายามเผชิญเยี่ยเหยียนผู้นั้นไม่มีทางเป็นเรื่องดี… เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ หลับตาลงจมสู่ภวังค์บ่มเพาะอีกครั้ง

สามเดือนต่อมา

คลื่นพลังสายหนึ่งพลันแผ่มาจากทางเจ้าเคหาของเฉินซี ปลุกเขาขึ้นจากการบ่มเพาะ ลุกขึ้นด้วยใจระแวดระวังยิ่งทันที

“สหายเต๋า ช่วงเวลาที่เจ้าเช่าเคหานี้จบลงแล้ว โปรดไปเถิด” ชายวัยกลางคนแปลกหน้าผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“สหายเต๋าค่านเจิ้นอยู่ที่ใด? ข้าบอกเขาไปแล้วว่าข้าจะเช่าต่อ หรือเขามิได้บอกเจ้า?” เฉินซีขมวดคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยเย็นชา

“ขออภัยด้วย แต่ค่านเจิ้นไม่ได้ดูแลที่นี่อีกต่อไป ดังนั้น โปรดไปเสียยามนี้เถิด เคหานี้มีผู้จองแล้ว” ชายวัยกลางคนพูดหน้านิ่ง

สายตาของเฉินซีกวาดมองไป และพบจูต่งถิงกับโม่ลี่โฉวยืนอยู่นอกเคหาจริงแท้ ทั้งสองยืนกอดอก มองเขาด้วยรอยยิ้มเย็น

พริบตานั้น เฉินซีประจักษ์แจ้ง และแม้ดวงจิตแห่งเต๋าของเขาจะมั่นคงสุดขั้ว โทสะก็ยังเผยเค้าอย่างช่วยไม่ได้

…………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด