ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 768 ปรมาจารย์เต๋ากลับชาติมาเกิดหรือ
บทที่ 768 ปรมาจารย์เต๋ากลับชาติมาเกิดหรือ
Ink Stone_Fantasy
โค่วหยางโจวเหยียบเข้าสู่อาณาเขตชิงโจวอีกครั้ง เอ่ยเย้ยหยัน
“ข้ากลับมาแล้ว เข้ามาเลย…”
สิ้นเสียง ร่างของสวี่ผิงเฟิงก็ทะยานไปยังตรงหน้าเขา ก่อนฝ่ามือโผล่พ้นมาจากภายใต้ชุดขาว พุ่งประทับบนหน้าอกโค่วหยางโจว
‘กล้าดียังไงเข้ามาใกล้ข้า’…โค่วหยางโจวดันฝ่ามือดังมีดกรีด สวนกลับไปโดยไม่หวั่นเกรง
คนหนึ่งยืนทางเขตยงโจว อีกคนยืนอยู่ในเขตชิงโจว ฝ่ามือและคมมีดปะทะกันอย่างดุเดือด
‘ตู้ม!’
เฉกเช่นเดียวกับเสียงปืนแตก มวลอากาศกระพือเพื่อมเสมือนคลื่นน้ำ ผืนดินโดยรอบยกตัวขึ้นราวกับรอยด่างพร้อยบนใบหน้า
โค่วหยางโจวไม่ได้ฉวยโอกาสนี้เข้าประชิดโหรขั้นสองผู้มีร่างกายอ่อนระโหยโรยแรงรอวันตาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยาก เพียงแต่ทำไม่ได้
‘ตึง ตึง ตึง’…โค่วหยางโจวก้าวถอยหลังต่อเนื่อง ทุกฝีก้าวล้วนทำให้เกิดแผ่นดินไหวเล็กน้อย
“เขาได้พลังจากทุกชีวิตในเขตแดนชิงโจวเสริมกำลัง แผนการทำให้ชิงโจวราบเป็นหน้ากลองคงไม่ได้ผลจริงๆ สินะ”
โค่วหยางโจวหรี่ตาลง ล้มเลิกความคิดที่จะโจมตีชิงโจวทุกวิถีทาง
ตอนวางแผนก่อนหน้านี้ เฒ่าชราตบหน้าอกเข้าพร้อมบอกว่า ‘ไม่ว่าสวี่ผิงเฟิงจะทรงพลังเพียงใด ข้าก็สามารถพลิกชิงโจวจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เพียงลำพัง’
แสดงพอให้เห็นถึงความมั่นอกมั่นใจของจอมยุทธ์ขั้นสอง
แต่ตอนนี้เขาต้องยอมรับว่า สวี่ชีอันไม่ได้หลอกเขา เขาไม่สามารถเอาชนะโหรขั้นสองขั้นสูงจากดินแดนแห่งการขัดเกลาที่สามารถระดมพลังจากสรรพสิ่งมีชีวิตได้อย่างแน่นอน
ถึงแม้พลังจากทุกชีวิตนี้จะเลวร้ายยิ่งกว่าสวี่ชีอันอยู่มากโข
…
จัวเฮ่าหรานรึ?
ข้าเห็นจัวเฮ่าหรานจริงๆ!
สวี่ซินเหนียนถือกระจกเทพฮุ่นเทียน จ้องใบหน้ากำลังมีความสุขของจัวเฮ่าหราน หัวใจเขาเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ตามด้วยความสุขสมและตื่นเต้นเอ่อล้น
ไม่ต้องเปลืองแรงเลย!
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ระงับอาการตื่นเต้น พลางเอ่ยถามอย่างใจเย็น
“คนผู้นี้อยู่ที่ใด?”
กระจกเทพฮุ่นเทียนตอบกลับ
“หกสิบลี้ทางตะวันตกเฉียงใต้ นอกจากเขา ข้ายังเห็นพวกมนุษย์เพศชายกำลังสมสู่ อาบน้ำอีกมากมาย ถ้าเจ้าชอบละก็ ข้าสามารถให้ดูทีละคนได้”
น้ำเสียงของเขาแปลกประหลาด ดั่งคำล้อเลียนว่า ‘เจ้ากับพี่ใหญ่ไม่ได้ต่างกันสักนิด จะเสแสร้งอยู่ไย’
“เจ้าขังเขาได้หรือไม่?”
สวี่เอ้อร์หลางนึกถึงคำที่พี่ใหญ่แนะนำเกี่ยวกับวิธีใช้กระจกเทพฮุ่นเทียน
ผู้ใดก็ตามที่ถูกกระจกเทพฮุ่นเทียนส่องเห็น กระจกเทพสามารถตีตราเขาไว้ได้ จากนั้นก็จะขังไว้เท่าที่ต้องการตามขอบเขตความสามารถ
“ได้แน่นอน”
หลังจากได้รับคำตอบ สวี่ซินเหนียนรู้สึกโล่งใจ จึงรีบเอ่ยทันที
“ยกมุมมองขึ้นหน่อย ข้าอยากดูสถานการณ์รอบๆ จากมุมสูง”
เขาเปลี่ยนท่าทีสงบนิ่ง ราวกับเป็นผู้บัญชาการเต็มตัว
มุมมองในกระจกถูกยกขึ้นโดยพลัน ปรากฏภาพเหนือค่ายทหาร ตามด้วยเต็นท์ทหารที่เป็นระเบียบ รวมถึงทหารยามที่ไม่ยืนเฝ้าก็ออกลาดตระเวน
สวี่เอ้อร์หลางกวาดตามองตามใจนึก ด้วยประสบการณ์ เขาประเมินได้ว่าจำนวนของกองทัพกองนี้อยู่ระหว่างสามพันถึงห้าพันนาย
“ไปต่อ!”
เขาเอ่ยบางอย่าง
ทัศนวิสัยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อค่ายทหารของกองทัพกลายเป็น ‘สี่เหลี่ยมเล็กๆ’ ที่เลือนราง กองทัพศัตรูกองใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนกระจก กองทัพศัตรูจำนวนมากพอจะข่มขวัญผู้คน ขนาดของกองทัพมีขนาดใหญ่กว่ากองกำลังของจัวเฮ่าหราน
ระหว่างค่ายทหารทั้งสอง มีระยะห่างราวๆ ห้าลี้
‘นี่เป็นกองกำลังหลักของกองทัพอวิ๋นโจว จัวเฮ่าหรานเป็นผู้นำกองหน้า’
สวี่ซินเหนียนประเมินในใจ
โดยทั่วไปแล้ว แนวหน้ากองกำลังหลัก จะมีกองทหารแนวหน้าหนึ่งหรือสองกองที่รับผิดชอบในการสำรวจเส้นทาง ในกรณีที่มีการจู่โจมจากกลุ่มศัตรูขนาดใหญ่ พวกเขาจะซื้อเวลาแทนกองกำลังหลักในการเผชิญหน้าข้าศึก
การที่กองทัพกระจัดกระจายตัวต้องเปลี่ยนมาตั้งรับศัตรูต้องใช้เวลา
แต่เมื่อจำนวนกองทัพมีถึงหมื่น ก็ต้องใช้เวลารวบรวมมากขึ้น
ในระยะแรกสวี่เอ้อร์หลางต่อสู้อยู่ในเขตชายแดนตอนเหนือ พวกคนเถื่อนและกองกำลังพันธมิตรต้าฟ่งเคยถูกกองทัพม้าจิ้งกั๋วตีแตก สาเหตุหลักๆ คือไม่มีเวลารวบรวมกองกำลัง
หลายสิบหลายร้อยคนรวมตัวได้ง่าย หลายพันคนจะเริ่มยาก หลายหมื่นคนจะกลายเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ จุดอ่อนอาจจะเป็นคนที่คุยโวว่า ‘ยิ่งเยอะยิ่งดี’ ไม่เป็นไอ้โง่ที่ไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ก็เป็นเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์
ขณะที่สวี่เอ้อร์หลางถือกระจกเทพฮุ่นเทียน ก็มองไปทางเหิงหย่วนที่เดินอยู่ข้างกันแล้วเอ่ยว่า
“ไต้ซือเหิงหย่วน ช่วยติดต่อสมาชิกพรรคฟ้าดินแทนข้าที บอกไปว่า ข้าต้องการล่าหัวจัวเฮ่าหราน”
เหิงหย่วนตกตะลึงชั่วขณะ แววตาแสนอบอุ่นทอประกายวาววับ ยกมือขึ้นประกบกันพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ประสกสวี่รอสักครู่!”
เอ่ยจบ เขาก็รีบหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีขึ้นมา ก่อนปล่อยมือจากบังเหียนม้า ส่งกระแสจิตผ่านหนังสืออย่างรวดเร็ว
หมายเลขหก “ประสกสวี่ขอให้อาตมามาแจ้งทุกคน เขาจะล่าจับจัวเฮ่าหราน”
หงส์ดรุณวัยกระเตาะตอบกลับคนแรก
หมายเลขสอง “ข้าก็อยากล่าจัวเฮ่าหราน แต่ต้องหาเขาให้พบก่อน”
หมายเลขสี่ “ไม่ต้องรีบร้อน จะช้าหรือเร็วต้องเจอเขาแน่”
หมายเลขสอง “แต่วิธีเช่นนี้ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะเกิดการสังหารหมู่กลางเมืองเป็นครั้งที่สองหรือไม่ กองทัพอวิ๋นโจวมุ่งหมายจะทำให้ยงโจวลุกไหม้เป็นตอตะโก”
หมายเลขหก “ทุกคนโปรดวางใจ ประสกสวี่แกะร่องรอยจัวเฮ่าหรานได้แล้ว”
กลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีเงียบสงัดครู่หนึ่ง ตามด้วยเสียงกระแสจิตจากฉู่หยวนเจิ่น
“เจ้าเคยเผชิญหน้ากับจัวเฮ่าหรานแล้วรึ? ต่อสู้กันอย่างไร อันตรายมากหรือไม่? เขาอยู่ที่ใด ข้าจะร่อนกระบี่ไปหาเดี๋ยวนี้”
หลี่เมี่ยวเจินและหลี่หลิงซู่เองก็ส่งกระแสจิตมาคนละรอบ ไม่เพียงแต่มีเจตนาสังหารจัวเฮ่าหรานอย่างแรงกล้า แต่ยังมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยของสวี่เอ้อร์หลาง
หมายเลขหก “ไม่ต้องห่วง พวกเรายังไม่เผชิญหน้ากับจัวเฮ่าหราน ประสกสวี่แค่เล็งตำแหน่งจัวเฮ่าหราน โดยใช้ของวิเศษที่มองเห็นได้หลายพันลี้เท่านั้น”
หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจินชะงักงัน ไม่ได้ตอบสนองกลับมาชั่วขณะหนึ่ง หลี่หลิงซู่พลันนึกถึงกระจกเทพฮุ่นเทียนขึ้นมาในทันใด อย่างไรเสียมันก็เป็นของวิเศษที่เขาเคยครอบครอง
หมายเลขเจ็ด “เฮ้อ สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าหมาชั่วเอ๊ย น่าเห็นใจลูกพี่ลูกน้องเจ้าจริงๆ”
‘หมาชั่วสวี่หนิงเยี่ยน’ คือนามแฝงที่สมาชิกพรรคฟ้าดินตั้งให้สวี่ชีอันไปโดยปริยาย แรกเริ่มมาจากหยางเชียนฮ่วน จากนั้นก็หลี่หลิงซู่ ‘ถ่ายทอด’ ในพรรคฟ้าดิน
ต่อจากนั้น สวี่ซินเหนียนก็บอกตำแหน่งจัวเฮ่าหราน รวมถึงตำแหน่งของกองหน้าและกองหลักที่เขาเป็นผู้นำทัพ ให้แก่ฉู่หยวนเจิ่นและคนอื่นๆ ผ่านทางเหิงหย่วน
หมายเลขหก “ต้องดำเนินในช่วงโพล้เพล้ การสังหารต้องรวดเร็ว ในกองหน้าอาจมีขั้นสี่ แต่กองหลังอาจมียอดฝีมือขั้นสี่เยอะยิ่งกว่า ในระยะห้าลี้ สำหรับผู้แข็งแกร่งขั้นสี่แล้วเป็นเพียงสิบอึดใจ ดังนั้นเราจึงต้องว่างแผนอย่างรอบคอบ”
…
ช่วงเวลาโพล้เพล้ จัวเฮ่าหรานยกขากางเกงขึ้นเพื่อลุกจากเตียง มองเด็กหนุ่มรูปงามที่กำลังจะตายเพราะรูทวารแตก เห็นได้ชัดว่าคงอยู่ไม่รอด หากใช้สมุนไพรหรือยาอายุวัฒนะที่ราคาแพงก็คงรักษาชีวิตไว้ได้
แต่เขาเป็นเพียงเชลยนอกรีต ใช้สมุนไพรและยาอายุวัฒนะคงไม่คุ้มค่านัก
เด็กหนุ่มรูปร่างหน้าตาเช่นนี้มีมากมายในค่าย
และแม้ว่าจัวเฮ่าหรานจะไม่แสลงปาก แต่เวลาปกติเขามักจะนอนกับหญิงสาวเสียมากกว่า บางครั้งคราวที่เบื่อ ถึงจะเปลี่ยนรสชาติดูบ้าง
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี เทียบกับผู้หญิงไม่ได้สักนิด”
จัวเฮ่าหรานเหน็บมีดไว้ที่เอา พลางถ่มน้ำลาย
อย่างน้อยหญิงสาวก็ไม่ได้เล่นได้แค่ครั้งเดียวแล้วหมดสนุก
พอมองรูปร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มบนเตียง จัวเฮ่าหรานก็นึกถึงลูกพี่ลูกน้องของสวี่ชีอันขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เด็กหนุ่มรูปงามคนนั้นที่ทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก และเกือบถูกลงโทษตามกฎหมายทหาร
ริมฝีปากแดงเรื่อ ฟันซี่ขาว แววตาสุกใสเปล่งประกาย ผิวพรรณนั้นสดใสมากกว่าเมื่อเทียบกับสตรีส่วนใหญ่ที่เขาเคยพานพบ
“เฮ้อ ถ้ามีโอกาสละก็ ข้าอยากชิมรสชาติเขาสักครั้ง จุ๊ๆ เหยียดหยามลูกพี่ลูกน้องสวี่ชีอันนี่ สะใจกว่านอนกับผู้หญิงของสวี่ชีอันเสียอีก”
หลังจากยึดอำเภอซงซานแล้ว การแก้แค้นของจัวเฮ่าหรานก็ได้รับการล้างแค้น และไม่ได้เกลียดสวี่ซินเหนียนถึงขนาดนั้นอีกต่อไป
เจตนาฆ่าหายไป ความคิดไม่ซื่อเข้ามาแทน
เขาเชื่อว่าประโยชน์จากการจับสวี่ซินเหนียนเป็นเชลยมีมากกว่าการฆ่าเขาตั้งเยอะ และแม่ทัพที่เป็นพวกลักเพศในกองทัพก็มีอยู่ไม่น้อย คิดไปคิดมาแล้วเขายินดีที่จะได้พบลูกพี่ลูกน้องของสวี่ชีอันทีเดียวเชียว
จัวเฮ่าหรานเดินมาข้างโต๊ะ รินเหล้าร้อนในเหยือกดื่มจนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
หลังจากสิบสามวันที่คนสกุลสวี่จากไปโดยไม่ถูกฝังกลบ กองทัพอวิ๋นโจวบุกยึดยงโจวอีกครั้ง ดังนั้นสถานการณ์โดยรวมที่อวิ๋นโจวจะเคลื่อนทัพเข้าสู่ภาคกลางก็ได้ตอกตะปูบนกระดานไว้เรียบร้อยแล้ว
อ้อ ไหนจะจักรพรรดินีพระองค์นั้น วันหนึ่งเมื่อกองทัพเคลื่อนเข้าเมืองหลวง นางจะกลายเป็นเป้าหมายของกองทัพอวิ๋นโจวบุกล้อมแย่งชิงแน่นอน
“เมืองใดจะถูกสังหารเป็นรายต่อไปกันนะ?”
จัวเฮ่าหรานมองแผนที่บนแท่นและจมอยู่ในห้วงความคิด
ขณะเดียวกันนี้ ในค่ายทหารเกิดแสงสว่างวาบ ร่างทั้งหกร่างปรากฏขึ้นราวกับผี
ตรงกลางคือร่างในชุดสีขาว ค่ายกลส่งตัวก็ค่อยๆ ย่อส่วนหดกลับเข้าไปที่เท้า ด้านซ้ายคือหญิงสาววัยแรกแย้มในชุดเกราะแบบบางพร้อมด้วยผ้าคลุมสีแดงชาด รวมถึงชายหนุ่มพราวเสน่ห์ในชุดคลุมเต๋า
ด้านขวาคือนักกระบี่ชุดดำผมเผ้าสีขาวปรกหน้าผาก ชายหนุ่มรูปงามถือกระจกสีทองแดงในมือ ภิกษุวัยกลางคนร่างกำยำดูเหมือนมีความแค้นฝังลึก
หยางเชียนฮ่วน ฉู่หยวนเจิ่น หลี่เมี่ยวเจิน หลี่หลิงซู่…ม่านตาของจัวเฮ่าหรานหดตัวลง ภาพและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาปรากฏขึ้นในหัว
ยกเว้นสวี่ซินเหนียนกับภิกษุหัวโล้นที่ไม่รู้จักมักจี่ คนเหล่านี้คือขั้นสี่
‘พวกเขาส่งตัวข้ามมาแม่นยำเช่นนี้ได้อย่างไร…’ ไม่แม้แต่จะลังเล ขาทั้งสองข้างของจัวเฮ่าหรานไม่จำเป็นต้องใช้พลังแสร้งเป็นภาพมายากระโจนออกไปนอกเต็นท์ ขณะเดียวกันก็ร้องตะโกนเสียงดัง
“ศั…”
น้ำเสียงหยุดลงกะทันหัน คอเสื้อรั้งคอเขาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย มีดที่เหน็บอยู่ข้างเอวดีดออกจากฝักด้วยตัวเอง ก่อนฟันเจ้านายมันด้วยโทสะ
สิ่งของในเต็นท์เหวี่ยงกระแทกจัวเฮ่าหรานเสียง ‘ปุงปัง’
วินาทีต่อมา ของกระจุกกระจิกเหล่านี้ก็ถูกพลังปราณของจอมยุทธขั้นสี่พัดลอยว่อน เมื่อเห็นว่าจัวเฮ่าหรานกำลังจะพังเต็นท์ สวี่เอ้อร์หลางจึงพลิกมือ ส่องกระจกเทพฮุ่นเทียนไปทางจัวเฮ่าหราน
กระจกสีทองแดงสะท้อนภาพของจัวเฮ่าหราน
ร่างกายของเขาแข็งทื่อ ไม่แม้แต่จะสามารถก้าวไปไหนได้
เทพเจ้าหยินของหลี่เมี่ยวเจินและหลี่หลิงซู่แยกออกจากร่าง ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมกันพุ่งไปทางจอมยุทธผู้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความกระหายเลือด ขณะเดียวกันก็ยื่นฝ่ามือออกไป ทาบบนหน้าอกของจัวเฮ่าหราน
ปล่อยพลังพิโรธ!
จิตเดิมของจัวเฮ่าหรานถูกสลัดออกจากกายหยาบทันที
ทันทีหลังจากนั้น กระบี่บินด้านหลังฉู่หยวนเจิ่นออกจากฝักเสียง ‘ฟิ้ว’ แทงจิตเดิมของจัวเฮ่าหราน
กระบี่ใจ!
จิตเดิมซึ่งแต่เดิมเป็นมายาเพียงครึ่งเดียว กลับยิ่งมืดมนขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากจิตเดิมจัวเฮ่าหรานถูกแทงด้วยกระบี่เล่มนี้ก็ดับวูบทันที ก่อนพยายามหาทางกลับเข้ากายหยาบ
แต่ในเวลานี้ ประกายแสงสีทองได้อาบไล้ด้านหน้ากายหยาบ ไต้ซือเหิงหย่วนที่ย้อมด้วยสีทองเข้ม เอี้ยวตัวพร้อมง้างมือไปทางด้านหลัง ก่อนปล่อยหมัดออกไป
‘ปุ้ง!’
หัวของจัวเฮ่าหรานระเบิดเป็นลูกแตงโม กระดูกและเลือดเนื้อต่างกระเด็นกระจัดกระจาย
จิตเดิมไม่สามารถกลับเข้ากายหยาบได้อีกต่อไป ทำได้เพียงลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว พยายามหนีออกจากเต็นท์
อย่างไรก็ตาม เทพเจ้าหยินของหลี่เมี่ยวเจินและหลี่หลิงซู่ ขณะนี้กลับจับขาทั้งสองข้างของจิตเดิมจัวเฮ่าหราน ป้องกันไม่ให้เขาหนี
สำหรับลัทธิเต๋าขั้นสี่ผู้เชี่ยวชาญการฝึกจิตเดิมแล้ว จอมยุทธที่ไม่มีกายหยาบ ก็เป็นได้แค่มดงานที่ถูกบงการ
‘ฟิ้ว!’
กระบี่บินของฉู่หยวนเจิ่นดีดกลับมา แทงทะลุจิตเดิมจัวเฮ่าหราน
จอมยุทธขั้นสี่ผู้นี้กรีดร้องโหยหวนไร้เสียง ก่อนจะสลายสิ้นไป
สมาชิกพรรคฟ้าดินร่วมมือกันอย่างพร้อมเพรียง รวมถึงความช่วยเหลือจากของวิเศษ กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาไม่เกินชั่วห้าอึดใจ
หยางเชียนฮ่วนกล่าวเสียงเรียบ
“ไป!”
“รอก่อน!”
หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองเด็กหนุ่มที่หายใจโรยรินอยู่บนเตียง พร้อมเอ่ยว่า
“พาเขาไปด้วย!”
หยางเชียนฮ่วนไม่คัดค้าน เขายกเท้าขึ้น ค่ายกลส่งตัวโอบล้อมทุกคน พาพวกเขาหายไปจากเต็นท์
คล้อยหลังพวกเขาสองสามนาที แม่ทัพนายกองในชุดเกราะสองนายจึงเข้ามาในเต็นท์ คนหนึ่งถือค้อนทองแดง อีกคนหนึ่งถือกระบี่เหล็กนิลดำ พวกเขาเหลือบมองศพไร้หัวของจัวเฮ่าหรานและข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่ทั่ว
“ตายแล้ว…”
แม่ทัพที่ถือค้อนทองแดงเอ่ยเสียงขรึม
“ตั้งแต่พวกเรารับรู้การเคลื่อนไหวจนรีบตามมา นี่แค่ชั่วสามอึดใจ จัวเฮ่าหรานไม่ได้ใช้พลังตอบโต้สักนิด”
ทั้งสองสบตากันและกัน ในใจหล่นวูบ เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
รำพึงรำพันกับตนในใจว่า ถ้าการโจมตีตอนนี้มุ่งเป้าไปที่คนใดคนหนึ่ง ผลลัพธ์คงไม่ดีไปกว่าจัวเฮ่าหราน
จอมยุทธที่ถือกระบี่หนักในมือครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า
“ไม่ต้องตกใจ แจ้งแม่ทัพใหญ่ให้ทราบก่อน
“คืนนี้พวกเราจะอยู่ด้วยกัน อย่าไปไหนมาไหนตามลำพัง
“ดูเหมือนว่ามือสังหารจะพุ่งเป้าไปที่จัวเฮ่าหรานคนเดียว อาจเพราะเขาจะนำทัพไปถล่มเมือง จึงโกรธแค้นมาก”
แม่ทัพผู้ถือค้อนทองแดงได้ยินดังนั้น รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
“เขาโหดเหี้ยมมาก ข้ารู้ว่าไม่ช้าก็เร็วเข้าต้องรนหาที่ตาย”
…
ในช่วงพลบค่ำ หยางเชียนฮ่วนพาทั้งห้าคนกลับค่ายทหารม้าที่นำโดยสวี่เอ้อร์หลาง ไต้ซือเหิงหย่วนรับยารักษาและขี้ผึ้งสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บที่หลี่เมี่ยวเจินโยนมาให้ เดินไปหาเด็กหนุ่มที่จวนเจียนเกือบตาย อดทนช่วยเช็ด ‘บาดแผล’ และป้อนยาให้เขา
หลี่หลิงซู่ผู้สังหารคนร้ายด้วยมือตัวเอง รู้สึกตื่นเต้น จึงเสนอแนะว่า
“พวกเราทำอย่างเดียวกัน ล่าผู้นำทัพชีก่วงป๋อได้หรือไม่?”
ใบหน้าหลี่เมี่ยวเจินเปื้อนรอยยิ้มแบบเดียวกันด้วยจิตใจเบิกบาน แต่นั่นไม่ได้ขัดขวางนางจากการคัดค้านข้อเสนอศิษย์พี่ ซ้ำยังเอ่ยค่อนแคะ
“ถ้าเจ้าอยากตายนัก ก็อย่าลากข้าไปเกี่ยว”
สวี่เอ้อร์หลางเอ่ย
“ชีก่วงป๋อบำเพ็ญตนอย่างไรนั้นไม่สำคัญ ในฐานะผู้บัญชาการกองทัพอวิ๋นโจว ข้างกายต้องมียอดฝีมือคุ้มกันจำนวนไม่น้อย เป็นการยากที่พวกเราจะบุกสังหารเขา ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือตายด้วยกันทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะเป็นการเอาตัวเองเข้าไปในกับดัก รนหาที่ตายเองเสียมากกว่า
“ไอหยา เกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายผู้นี้ล่ะเนี่ย”
เหมียวโหย่วฟางกระเถิบไปหาเด็กหนุ่ม พลางถอนหายใจ
“นี่ก็ยัดไข่เข้าไปได้ น่าสงสาร น่าสงสารจริงๆ เลย”
หลังจากนั้นโม่ซางก็วิ่งเข้ามา ร่วมวิพากษ์วิจารณ์กับเขาทุกถ้อยคำ
“ป่าเถื่อนมาก จัวเฮ่าหรานนั่นตายไปก็ดีแล้ว”
“ใช่ ใช่ คนจิตใจบิดเบี้ยวเช่นนี้ ไม่มีอยู่ในซินเจียงตอนใต้ของพวกเรา”
“ก็นั่นน่ะซี เผ่ากู่ในซินเจียงตอนใต้ของพวกเรา แม้แต่สัตว์ร้ายหรือซากศพก็ไม่ปล่อยออกมาเพ่นพ่านด้วยซ้ำ”
“แต่เรื่องนี้กับลี่กู่ของพวกเราเกี่ยวอะไร ชายหนุ่มจากเผ่าลี่กู่ชอบสตรี ส่วนพวกเจ้าที่มาจากที่ราบลุ่มภาคกลางกลับวิปริตวิปลาส เด็กหนุ่มหน้าตาดีกลับกลายเป็นแบบนี้หมด”
“ว่าแต่ ฆ้องเงินสวี่ก็บำเพ็ญเคล็ดลับกู่ เจ้าคิดว่าเขาจะวิปริตเหมือนเผ่ากู่ของพวกเจ้าหรือไม่?”
สวี่เอ้อร์หลางซึ่งอยู่ด้านบนได้ฟัง ทันใดนั้นหัวใจก็ดิ่งวูบ พลันรู้สึกขึ้นมาว่าคำพูดของกระจกเทพฮุ่นเทียนนั้นค่อนข้างน่าเชื่อถือ
หลี่หลิงซู่คิดในใจ ‘โอ้ เหมียวโหย่วฟางผู้นี้ กำลังใส่ความเจ้าหมาชั่วสวี่หนิงเยี่ยน ข้าต้องกลับไปบอกเจ้าหมาชั่ว จากนั้นให้เขาสั่งสอนศิษย์ที่เนรคุณผู้นี้เสียแล้ว’
…
ในขณะที่ชีก่วงป๋อกำลังดื่มด่ำมื้อเย็น ได้รับข่าวว่าจัวเฮ่าหรานถูกลอบสังหาร
เขากินข้าวต่อโดยสีหน้าเรียบเฉย “จัวเฮ่าหรานเหี้ยมหาญ เปรียบดั่งคมมีดที่หายาก น่าเสียดาย”
รองแม่ทัพที่รออยู่ด้านข้าง เอ่ยเสริมประโยคหนึ่งอย่างกังวล
“มือสังหารกลุ่มนี้ไปมาอย่างไร้ร่องรอย ลงมือสังหารในทันที เมื่อในค่ายเกิดเหตุการณ์นี้ แม่ทัพในค่ายจึงตกอยู่ในความเสี่ยง”
ชีก่วงป๋อเอ่ยเสียงเรียบ
“สั่งการไป ยอดฝีมือขั้นห้าขึ้นไปต้องจับรวมกลุ่มกันสามคนต่อหนึ่งกลุ่ม ห้ามแยกจากกันชั่วคราว พวกเขาต้องแบกรับการลอบสังหารในทันทีของอีกฝ่าย”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และง่ายมากที่จะจัดการกับมัน
ชีก่วงป๋อเอ่ยต่อ
“สงครามครั้งนี้คงใช้เวลาต่อสู้กันไม่ยาวนาน ภายในสิบสามวันคงรู้ผล ก่อนพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่และไป๋ตี้จะสังหารสวี่ชีอัน ข้าเองก็อยากได้หัวหยางกงด้วย”
…
เมืองฉู่โจว
เนินที่ราบร้างไร้ผู้คน เซียนในชุดคลุมขนนกถือกระบี่เล่มยาว ยืนอยู่บนพื้นที่เวิ้งว้าง แหงนมองท้องฟ้าอันมืดมิด
ก้อนเมฆเคลือบสีหมึกเคลื่อนเป็นริ้วซ้อนกันหลายชั้น บางครั้งก็สะท้อนแสงสีฟ้ารำไร พร้อมกับเสียงฟ้าคำรามอันน่ากลัว
ชั้นเมฆลอยคล้อยอย่างฉุนเฉียว เสมือนสายน้ำที่เชี่ยวกราก
ภายในอาณาเขตร้อยลี้ เหล่าสิ่งมีชีวิตทุกตัวต่างได้รับรู้ถึงกลิ่นอายวันโลกาวินาศ ไม่ตัวสั่นจนหมอบลงก็สิ้นใจตายตรงนั้น
โชคดีที่ฉู่โจวมีพื้นที่กว้างขวางและมีประชากรไม่มาก ผู้คนโดยรอบพากันอพยพออกไปแล้วรอบหนึ่ง จึงมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดหลงเหลือในระยะร้อยลี้
ริมขอบคาบเกี่ยวระหว่างเมฆสีหมึก หัวมังกรดูดุดันและน่าเกรงขามโผล่พ้นออกมา ด้านบนระหว่างเขามังกรทั้งสอง ปรากฏ ‘ลูกระเบิดอัสนีวารี’ ซึ่งมีแกนด้านในสีดำขลับ ส่วนชั้นประกายสายฟ้าด้านนอกค่อยๆ เกิดการควบแน่น
ระหว่างหัวมังกรเคลื่อนลงมา ลูกระเบิดอัสนีวารีก็หลอมรวมกันเรียบร้อยแล้ว
‘ตู้ม!’
ท่ามกลางเสียงกัมปนาท ลูกระเบิดอัสนีวารีกลายเป็นลำแสงลอยแหวกกลางอากาศ ทิ้งมวลประกายสายฟ้าหนาแน่นไว้ตลอดทาง
ดวงหน้างามหยาดเยิ้มราวกับแกะสลักของลั่วอวี้เหิงแหงนขึ้นจ้องมองเมฆแห่งทัณฑ์สวรรค์ท่ามกลางท้องฟ้า โดยไม่ได้แยแสลูกระเบิดอัสนีวารีที่น่าพรั่นพรึงสักนิด
อยู่ดีๆ ร่างเงาในชุดดำก็ปรากฏขึ้นระหว่างลูกระเบิดอัสนีวารีกับลั่วอวี้เหิง แขนทั้งสองค่อยๆ กางออกทำท่าโอบกอด
ในท่วงท่านี้ มวลพลังของสรรพสิ่งหลอมรวมเข้ากับร่างกายเขา
‘หวึ่ง!’
ลูกระเบิดอัสนีวารีถูกสองมือของสวี่ชีอันโอบล้อมเอาไว้ สั่นไหวไม่หยุดหย่อน ทั้งยังผลักให้เขาไถลไปด้านหลัง
นัยน์ตาสวี่ชีอันสะท้อนประกายเจิดจ้า กล้ามเนื้อแขนทั้งสองข้างปะทุขึ้นจนแขนเสื้อฉีกขาด เขาสะกดพลังระเบิดจากลูกระเบิดอัสนีวารีเสียงดัง ‘ปัง’ พลอยทำให้แขนทั้งสองข้างแตกเป็นเสี่ยง จากนั้นสองไหล่ก็ว่างเปล่า
กระดูกแขนกลับมางอกใหม่อย่างรวดเร็ว พร้อมกับเลือดเนื้อค่อยๆ เกิดขึ้นมาผสานกัน
สวี่ชีอันสะบัดสองแขนที่ขาวเนียน พลางฉีกยิ้มกว้าง
“ค่อยสบายขึ้นมาหน่อย เยี่ยมจริงๆ”
น้ำเสียงไป๋ตี้ทรงพลังน่าเกรงขาม เอ่ยอย่างช้าๆ
“เทียบกับท่านโหราจารย์แล้ว เจ้าแย่กว่ามาก”
สวี่ชีอันเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“เทียบกับต้าฮวง เจ้าก็แย่กว่าตั้งเยอะ แล้วเหตุใดร่างเดิมจึงไม่ยอมมาเล่า?”
ภายในรูม่านตาขีดตั้งสีครามเข้มของไป๋ตี้ ทอแววผันผวนทางอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด เขาเอ่ยเสียงขรึม
“เจ้ารู้ตัวตนของข้ารึ?”
สวี่ชีอันยืดกายบิดขี้เกียจ หัวเราะเสียงเยียบเย็น ท่าทางเต็มไปด้วยความมั่นใจ ราวกับไข่มุกแห่งปัญญาอยู่ในกำมือ
“โอ้ ลืมบอกเจ้าเสียสนิท ข้าคือปรมาจารย์ลัทธิเต๋าที่กลับชาติมาเกิด”
ปรมาจารย์ลัทธิเต๋ากลับชาติมาเกิดหรือ!
ดวงตาไป๋ตี้ฉายแววตกใจสุดขีดอย่างไม่ปิดบัง
………………………………………………
Comments