พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 495 ว่ากันว่า
เรื่องที่เฉินเซ่าปฏิเสธการเรียกพบเฉิงเจียวเหนียงของฮ่องเต้นั้น
ถูกแพร่สะพัดอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาทจะขอพบนางอีกแล้วรึ” เกาหลิงปอถาม “ด้วยเหตุใด
กัน”
ลูกน้องของเขาส่ายหัว
“ข้าเองก็มิทราบขอรับ ขันทีก็ไม่ได้บอกอะไร พอเฉินเซ่ารู้เรื่อง
เข้าก็ก่นด่าทันที”
เกาหลิงปอโบกมือปัดให้ลูกน้องเขาออกไป แล้วเรียกคนสนิท
เข้ามา
“เจ้าไปสืบจากคนในวังมาที” เขาเอ่ย
คนสนิทของเขาขานรับแล้วรีบออกไป
ขณะเดียวกัน กุ้ยเฟยที่เพิ่งได้รู้เรื่องราว กลับมีปฏิกิริยารุนแรง
กว่าเกาหลิงปอหลายเท่า“คิดจะทำอะไรกันอีกหรือ” นางเอ่ย “ไม่เห็นเหรอว่าพระสนม
เฟยกำลังท้องอยู่”
“ทูลกุ้ยเฟย” ขันทีที่อยู่ด้านข้างพยายามปรามคำพูดของนาง
“เรื่องนี้แพร่งพรายมิได้ขอรับ”
กุ้ยเฟยเขวี้ยงตะเกียงที่อยู่ในมือทิ้ง แล้วหันหลังกลับด้วยความ
โมโห
ทั้ง
ขันทีและสาวใช้ต่างก็รีบช่วยกันเก็บตะเกียง
“ก็แค่ตั้งท้องเองนี่ จะทำมาเป็นเรื่องต้องห้ามได้อย่างไร ก็
ถือว่าเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ตระกูลนาง แถมยังถูกประคบประหงม
ดูแลอย่างดี มีทั้งเพลงบรรเลงทั้งนางรำคอยให้ความบันเทิง ใช่ว่าจะ
ไม่เคยตั้งท้องกันเลยเสียหน่อย” กุ้ยเฟยตัดพ้อด้วยความรู้สึก
ไม่เป็นธรรม “คิดว่าใหญ่โตมาจากไหนกัน ก็แค่หนูตกถังข้าวสารตัว
หนึ่งเท่านั้นแหละ!”
ขันทียืนหัวเราะอยู่ข้างๆ
“กุ้ยเฟย ฝ่าบาทมิได้คอยเอาใจนางแต่อย่างใด” ขันทีเอ่ยต่อ
“ที่ฝ่าบาทประคบประหงมอยู่คือลูกในท้องต่างหากขอรับ”ถึงแม้ฮ่องเต้จะมิใช่ผู้ชายธรรมดาทั่วไป แต่ก็พอรู้ว่าผู้ชายบน
โลกนี้คงจะเหมือนๆ กันหมด คือต้องการความเชิดหน้าชูตาในยามที่
อายุเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
กุ้ยเฟยถอนหายใจ พลางเอนตัวลง
“ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ฮ่องเต้คงไม่ไปขอนางเทพเซียนมาช่วยเลย
หรือ สภาพในวังเป็นเช่นนี้มันใช้ได้ที่ไหนกันล่ะ!” นางเอ่ย
พอเอ่ยถึงตรงนี้ กุ้ยเฟยก็เริ่มต่อว่าเฝิงหลิน
“ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ แค่หญิงนางเดียวยังรับมือไม่ได้ สมควร
แล้วที่โดนขับไล่”
ขันทีทั้งพยายามกล่อมให้นางใจเย็น แต่ก็ต้องหัวเราะตอบรับ
เรื่องที่นางเล่ามาด้วย
“เรื่องนี้พูดไปก็มิได้มีอะไรดีขึ้นมา” ขันทีเอ่ย “เวลานี้เราควรจะ
สืบว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงได้เรียกตัวนางเข้ามา”
กุ้ยเฟยฮึดฮัด พลางหมุนตัว
“ฝ่าบาทอยู่ไหน” นางเอ่ยถาม
ขันทีนายหนึ่งเดินเข้ามากระซิบบอก“ฝ่าบาทเพิ่งออกมาจากทางตำหนักไทเฮา จากนั้นจึงมุ่งหน้า
ไปทางตำหนักพระสนมเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
กุ้ยเฟยกำผ้าในมือแน่น
“ไปกัน พวกเราเองก็ไปเยี่ยมพระสนมเฟยกันหน่อย” กุ้ยเฟย
เอ่ยพลางสูดปาก แล้วรีบปั้นหน้ายิ้มแย้ม
ขณะเดียวกัน ทางจิ้นอันจวิ้นอ๋องเองกำลังวางถ้วยชาลง
เตรียมตัวขอลา
“ว่าไปแล้ว” เขาหัวเราะออกมา ในหัวพลางนึกอะไรขึ้นได้
“คนในบ้านเจ้ายังถามเจ้าเรื่องแต่งงานอยู่ไหม”
เรื่องแต่งงานงั้นรึ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นได้ล่ะ
ปั้น
ฉินเงยหน้าขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหน้า
จิ้นอันจวิ้นอ๋องทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่ม พลางยกนิ้วชี้ไปที่ตนเอง
“แต่ข้ามีคนถามนะ” เขาหัวเราะ
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะ
“ถ้าเช่นนั้นก็ยินดีกับท่านด้วย” เฉิงเจียวเหนียงอวยพรให้จวิ้นอ๋องหัวเราะร่าพลางโบกมือปัด
“ไม่หรอก” เขาเอ่ยต่อ “พวกเขาแนะนำให้ข้า แต่ข้าปฏิเสธไป
น่ะ”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ จวิ้นอ๋องก็เริ่มเอามือถูจมูก
“พอนึกๆ ดูแล้ว ข้าถูกส่งเข้ามาอยู่ในวังตั้งแต่เล็กๆ จนถึงบัดนี้
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามพวกเขาก็คอยตัดสินใจให้ข้า ข้ายังไม่เคยลอง
มีชีวิตเป็นของตัวเองเลยสักครั้ง” เอ่ยถึงตรงนี้ จวิ้นอ๋องก็หุบยิ้ม
พลางถอนหายใจ “ข้าอยากลองตัดสินใจด้วยตนเองดูสักครั้ง”
เฉิงเจียวเหนียงขานรับแล้วพยักหน้า
“เจ้าเคยคิดไหมว่าอยากแต่งงานกับคนแบบไหน” จวิ้นอ๋อง
ถามนาง
สิ้นประโยคคำถามเมื่อครู่ เขาก็สังเกตได้ว่าเหล่าสาวใช้เริ่มทำ
หน้าแปลกๆ นางเองก็เช่นกันที่ดูเหมือนว่าจะอึ้งไปชั่วขณะ
เอ…หรือว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรถามกันนะ
เพื่อนกันไม่ควรถามเรื่องนี้งั้นหรือ“ข้าไม่เคยคิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ถ้าได้พบเจอ…เดี๋ยวก็คงรู้
เอง”
ก็ไม่เห็นมีอะไรมากมาย ถ้าได้เจอก็คงรู้เอง ไม่ต้องมีคำถาม
มากมายก่ายกอง
นางยกถ้วยชาแล้วหันข้างซดดื่ม
“ข้าเองก็ไม่เคยเช่นกัน ก็คงตามนั้นแหละ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเจื่อนๆ บทสนทนาเรื่องนี้เป็นอันต้องจบลง
อย่างรวดเร็ว
“อย่างไรเสียข้าก็ปฏิเสธพวกเขาไปแล้ว ข้าจะเป็นคนเลือกเอง”
เมื่อเอ่ยจบ จวิ้นอ๋องพลันยืนขึ้นแล้วเอ่ยลา
“แล้วเจ้าตัดสินใจเองได้หรือยัง” เฉิงเจียวเหนียงรีบเอ่ยถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องจู่ๆ ใจเต้นรัว ได้แต่เอ่ยอืมออกไป
นั่นน่ะสิ ตอนนี้เขามีชีวิตเป็นของตัวเองแล้ว จะไม่ยอมให้
พวกเขามายัดเยียดคนให้…
คงไม่หรอก นางคงวางใจได้ว่าแต่ วางใจงั้นหรือ อย่างนางจะมีอะไรไม่วางใจได้ นี่ก็
ไม่ใช่กงการอะไรของนางเสียหน่อย…
จู่ๆ เขาก็เริ่มรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“นี่ ข้านึกออกล่ะ” อยู่ๆ ก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว
“ข้าจะพนันกับเจ้า”
เฉิงเจียวเหนียงเปรยตามองเขา คิดแล้วว่าคงไม่พูดเรื่องเมื่อครู่
ต่อ
“ท่านจะพนันกับข้างั้นรึ” นางเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว ก็พนันเรื่อง…” จวิ้นอ๋องยืนนึกอยู่สักพัก จากนั้นก็ทำ
ตาลุกวาว “พนันว่าวันที่สิบห้านี้จะมีจันทรุปราคาเกิดขึ้นหรือไม่”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา พลางหัวเราะ
“เจ้าจะพนันกับข้าด้วยเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียง
ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“ใช่แล้ว พนันเรื่องนี้แหละ ข้าไม่เชื่อการคำนวณของเจ้า” จิ้น
อันจวิ้นอ๋องตีหน้าจริงจัง“ข้าคำนวณได้ว่า ในเดือนนี้ ตรงกับวันที่สิบห้า ช่วงยามสามสี่
เค่อ เงามืดจะค่อยๆ กลืนกินพระจันทร์จากทางฝั่งตะวันตกประมาณ
ห้าองศา จากนั้นพอถึงช่วงหกเค่อจนแปดเค่อ เงามืดจะทำการกลืน
พระจันทร์จนหายลับไป”
เฉิงเจียวเหนียงอธิบาย “เจ้ายังจะกล้าพนันกับข้าอีกไหม”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะ เขาไม่เคยพบเจอหญิงใดเอ่ยวาจา
เช่นนี้กับเขามาก่อน
สงสัยที่ขันทีผู้นั้นกล่าวไว้จะไม่เกินจริง
“ก็เอาสิ” เขาเอ่ย “ถ้าใครแพ้ล่ะก็ ต้องให้เงินมา…จำ นวนหนึ่ง
พัน”
ปั้น
ฉินที่คอยฟังอยู่ก็ตกใจจนสติหลุดไปแล้ว
พนันด้วยเงินหนึ่งพันงั้นรึ
คนอย่างพวกเขา ร้อนเงินเสียที่ไหนกันล่ะ
ปั้น
ฉินมองไปที่ทั้งคู่ เห็นเฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ารับคำ
“ได้เลย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยตกลง
“แพ้แล้วห้ามบ่ายเบี่ยงล่ะ”จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะพลางยื่นแขนไปหานาง แล้วหันหลังเดิน
จากไป ใบหน้าของเขาที่ดูเริงร่าอยู่แล้ว กลับยิ่งระรื่นเข้าไปอีก
เขารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องแพ้นาง
ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากหัวเราะออกมา
“ฝ่าบาท”
น้ำเสียงโทนสูงดังขึ้น จิ้นอันจวิ้นอ๋องหันไปหาต้นเสียง ถึงได้
เห็นม่านรถถูกเปิดออก
ต้นเสียงมาจากขันทีนายหนึ่ง
“เดินทางไปที่วังต่อเลยไหมขอรับ”
“เหตุใดต้องเข้าวังด้วยล่ะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยถาม
ขันทีเมื่อได้เข้าก็รู้สึกประหลาดใจ
“ฝ่าบาท แม่นางเฉิงได้บอกกับท่านเรื่องจันทรุปราคาหรือไม่
ขอรับ” ขันทีเอ่ยถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องขานรับ พลางรีบรักษามาดตามเดิม ใช้ความคิด
อยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่สิ ข้ายังไม่กลับวัง ข้าต้องไปพบคนก่อน” เขาเอ่ยครั้งนี้กัวหย่วนมาถึงที่ก่อน เป็นห้องแบบเดียวกับคราวก่อน
เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้มีอาหารเลิศหรูวางตั้งไว้
ขณะที่เขากำลังสำ รวจรอบๆ ประตูก็ถูกเปิดขึ้น ผ้ากระโจมลอย
พลิ้ว ปรากฏเป็นชายผู้หนึ่งก้าวเท้าใหญ่เข้ามา กัวหย่วนรีบก้ม
หัวโค้งคำนับ
“ข้าไปถามมาให้แล้วนะ”
เสียงที่ดังขึ้นจากด้านบน ฟังดูอารมณ์ดีนัก ฟังก็รู้แล้วว่าผู้พูด
กำลังยิ้มอยู่
ท่าทางวันนี้บุรุษผู้นี้คงเจอเรื่องดีๆ เข้าให้ เมื่อเทียบกับครั้งก่อน
แล้วช่างต่างกันยิ่งนัก
“ถามเรื่องอันใดรึ” กัวหย่วนเอ่ยถามอย่างงุนงง พลางเงยหน้า
ขึ้นมา
เบื้องหน้าเขาปรากฏเป็นชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่หน้าฉากกั้นที่
มีลวดลายดอกบัวสีทองระยิบระยับ
“ก็เรื่องจันทรุปราคาไงเล่า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะ “เจ้ามิได้
คำนวณผิดแต่อย่างใด ในเดือนนี้ ตรงกับวันที่สิบห้า ช่วงยามสามสี่เค่อ เงามืดจะค่อยๆ กลืนกินพระจันทร์จากทางฝั่งตะวันตกประมาณ
ห้าองศา จากนั้นพอถึงช่วงหกเค่อจนแปดเค่อ เงามืดจะทำการกลืน
พระจันทร์จนหายลับไป”
เมื่อได้ยินคำศัพท์ที่คุ้นเคย กัวหย่วนก็เริ่มโต้ตอบ
“ในเดือนนี้ ตรงกับวันที่สิบห้า ช่วงยามสามสี่เค่อ เงามืด
จะค่อยๆ กลืนกินพระจันทร์จากทางฝั่งตะวันตกประมาณห้าองศา
จากนั้นพอถึงช่วงหกเค่อจนแปดเค่อ เงามืดจะทำการกลืนพระจันทร์
จนหายลับไป” เขาเอ่ยซ้ำ ด้วยสีหน้าตกตะลึง “นี่ นี่คือที่คำนวณ
ออกมาได้อย่างนั้นรึ”
“ใช่แล้ว แค่มองอย่างเดียวคงดูไม่ออกใช่ไหมล่ะ” จิ้นอันจวิ้น
ออกบอก
คำนวณออกมาได้ละเอียดขนาดนี้เชียว…
กัวหย่วนมองไปที่เขา แล้วรีบโค้งคำนับ
“ถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาทโปรดแนะนำข้าน้อยด้วย” กัว
หย่วนเอ่ยเสียงสั่น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะร่า“เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากัน บัดนี้ข้านำข้อมูลมาบอกเจ้าแล้ว เจ้าก็
จงไปจัดการเรื่องของเจ้าเถิด” เขาเอ่ย
กัวหย่วนนิ่งไปชั่วครู่ แล้วเงยหน้าขึ้น
“เรื่องของข้าอย่างนั้นหรือ” กัวหย่วนเอ่ยถาม
“เจ้าเป็นศิษย์ประจำ หอสังเกตการณ์มิใช่หรือ เจ้ามีความรู้
เรื่องปฏิทินดวงดาวและดาราศาสตร์” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มพลางเอ่ย
ต่อ “ในเมื่อเจ้าคำนวณพฤติการณ์ท้องฟ้าได้ ก็ควรจะไปรายงาย
เรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ทราบ จะได้วางแผนกันต่อไป”
กัวหย่วนมองเขาอย่างตกตะลคง
“ข้าน้อย…” กัวหย่วนลังเล
“เป็นเพราะเจ้าไม่อยาก หรือเป็นเพราะเจ้ากลัวกันแน่ล่ะ” จิ้น
อันจวิ้นอ๋องถามเขา
ไม่อยาก ไม่กล้า อย่างนั้นหรือ
“ข้าน้อยยังอ่อนหัดนัก มีความรู้เพียงน้อยนิด…” กัวหย่วน
ก้มหน้า“ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังมีคนที่มีความรู้มากกว่าเจ้า นางยอมรับ
การคำนวณของเจ้านะ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบตัดบท
“แต่ว่า… พวกใต้เท้าคงไม่ยอมรับการคำนวณของข้าหรอก”
กัวหย่วนเงยหน้าขึ้นพลางตอบ
“การรายงานเป็นเรื่องที่เจ้าควรทำและควรคิดที่จะทำ ส่วน
เรื่องที่ว่าใครจะยอมรับหรือไม่ยอมรับนั้น ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของ
พวกเขา”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางยิ้ม ยกชายเสื้อขึ้นแล้วก้าวเท้าเหยียบ
ไปบนโต๊ะ พลางเอนตัวแล้วจ้องเข้าไปที่ดวงตาของกัวหย่วน ที่ทั้ง
เปล่งประกายแต่ขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัว
“เจ้ากล้าพนันกับข้าไหมล่ะ เจ้าอยากเป็นแค่ศิษย์ตัวเล็กๆ ที่
คอยอยู่ภายใต้พวกคนที่วันๆ ไม่ทำอะไรอย่างนั้นรึ ไม่แน่นะ
เจ้าอาจจะถูกขับไล่ออกจากหอสังเกตการณ์ แล้วไปก่อร่างสร้างตัว
เป็นนักทำนายพฤติการณ์ในที่ใดที่หนึ่งก็เป็นได้”
กัวหย่วนมองพื้น สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไป“แต่อย่างไรเสีย ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้ม พลาง
ตบมือแล้วลุกยืนขึ้น “เจ้าควรทำในสิ่งที่เจ้าอยากทำ และคิดในสิ่งที่
เจ้าอยากคิด ก็เท่านั้นเอง เพียงแต่…”
จวิ้นอ๋องยิ้ม
“เจ้าพูดให้ตนเองฟัง เจ้าเขียนให้ตนเองอ่าน รวมถึงคน
ข้างหลังเจ้า”
ทำเรื่องของตัวเองอยู่คนเดียว ก็มีแต่ตนเองเท่านั้นที่รู้
กัวหย่วนค่อยๆ กำมือที่วางอยู่บนหน้าตักแน่น เสียงปลิวของ
ผ้ากระโจมดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินจากไป
ครั้งนี้เขาควรจะลองเสี่ยงดูสักครั้งไหม หากว่าเกิด
จันทรุปราคาตามที่เขารายงานไว้จริงล่ะก็ นั่นเท่ากับว่าเขาจะได้
มีหน้ามีตาขึ้นมาทันที
แต่ถ้าหากไม่เกิดขึ้นล่ะก็…
ฮ่องเต้คงไม่ถึงกับคิดแค้นอาฆาตขุนนางหรอก เพียงแต่
ขุนนางที่ประจำ อยู่หอสังเกตการณ์นั้นจะไม่ได้มีอัตลักษณ์พิเศษใดๆ ถึงขั้นที่ว่าถูกเนื้อถูกตัวไม่ได้ หนำซ้ำ ยังเคย
มีเหตุกาณ์ที่ขุนนางที่เชี่ยวชาญด้านนี้เคยถูกประหารมาแล้ว
กัวหย่วนนั่งในห้องไม่ขยับเขยื้อน จนกระทั่งมีคนมาเปิดประตู
“ท่านลูกค้า” บ่าวต้อนรับเอ่ยถาม
กัวหย่วนหันหน้าไปทางต้นเสียง
“ท่านต้องการสั่งอะไรไหมขอรับ” บ่าวต้อนรับเอ่ยถามอย่าง
สุภาพ
กัวหย่วนทำหน้าตกใจ
“คือว่า จ่ายเงินไปแล้วหรือยัง” เขาถามอย่างลังเล
บ่าวต้อนรับยิ้มพยักหน้า
“งั้นเอาเหมือนครั้งที่แล้ว” กัวหย่วนเอ่ยพลางนั่งตัวตรง
บ่าวต้อนรับขานตอบพลางเดินออกไป
ถ้าจะตายก็ขอตายอย่างอิ่มหนำสำ ราญแล้วกัน!
กัวหย่วนคว้าถ้วยน้ำชามาดื่มอึกใหญ่จนหมดถ้วย
…วันถัดมา หลังจากการประชุมในราชสำ นักได้เสร็จสิ้น ราชเลขา
ได้ตรวจสอบเอกสารต่างๆ ที่ถูกส่งเข้ามา
ขุนนางหนึ่งคว้าหนังสือเล่มนึงขึ้นมา แล้วก็ต้องตกใจ
“เป็นจดหมายจากหอสังเกตุการณ์” เขาเอ่ยขึ้น “ช่างพบเจอได้
น้อยยิ่งนัก จะเป็นเรื่องคำนวณปฏิทินผิดพลาดแล้วให้ไปคำนวณ
ใหม่หรือเปล่านะ”
สิ้นประโยคเมื่อครู่ พอเขาเปิดซองจดหมายออกมา เขาถึงกับ
พูดไม่ออก
“คืนที่สิบห้าจะเกิดจันทรุปราคา ขอเข้าอธิบายเป็นการส่วนตัว
และขอให้ระวังและคอยสังเกตพฤติการณ์ต่างๆ ด้วย”
จันทรุปราคารึ
ขุนนางผู้นั้นรีบลุกขึ้นยืน
จะมีจันทรุปราคาเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ!
จันทรุปราคา เป็นสัญลักษณ์ของความโชคร้าย ช่วงแรกเริ่มที่
เงามืดเริ่มกลืนพระจันทร์สื่อถึงบุรุษที่สูญเสียคุณธรรม ต่อมาช่วงที่เงามืดบดบังพระจันทร์ไปข้างหนึ่งหมายถึงความล้มเหลว พอ
สุดท้ายพระจันทร์ถูกกลืนจนหมดนั่นแปลว่าทุกอย่างเป็นอันสู่จุดจบ
“เป็นจริงใช่ไหม นี่เรื่องใหญ่เชียว!”
เหล่าขุนนางตะโกนไปมา พลางคว้าจดหมายแล้ววิ่งออกไป
Comments