เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้ายบทที่ 556 ข้อพิพาทของตระกูลใหญ่
บทที่ 556 ข้อพิพาทของตระกูลใหญ่
สงครามชายแดนเวลานี้ยังทรงตัวอยู่ ทว่าการต่อสู้ในราชสำนักกลับทำท่าว่าจะระอุขึ้นมา
เรื่องนี้พูดไปแล้วก็น่าขัน เดิมทีเป็นเพียงแค่เรื่องเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะเป็นแค่เรื่องที่คนรับใช้โต้เถียงกัน
นับตั้งแต่ไท่ซ่างหวงจัดการราชสำนักใหม่ โดยปลดเจ้าหน้าที่จำนวนมากออก ราชสำนักก็ขาดแคลนกำลังคนมาตลอด ดังนั้นจึงสั่งเลื่อนตำแหน่งให้กับคนทั่วไปจำนวนมากที่ตอนนั้นสอบผ่านจอหงวนแล้ว แต่ไม่ได้รับความสำคัญขึ้นมา
สิ่งนี้ทำให้เหล่าลูกหลานของตระกูลใหญ่แต่ละคน ที่มีฐานะสูงส่งและมีลำดับขั้นชัดเจนตอนที่เซี่ยเจินเป็นฮ่องเต้ไม่พอใจอย่างมาก
ขอถามสักหน่อยว่า เดิมคนที่ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะกินข้าวโต๊ะเดียวกับตัวเอง จู่ ๆ ก็กลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานของตัวเอง ความรู้สึกเช่นนี้ใช่สิ่งที่คนเหล่านี้จะรับได้ที่ใดกัน
ประกอบกับตอนนี้ไท่ซ่างหวงอายุมากแล้วจึงไม่เข้าประชุมทุกวัน นอกจากมีเรื่องสำคัญที่ต้องเรียกรวมขุนนางแล้ว คนส่วนใหญ่จึงใช้วิธีเขียนฎีกาทั้งสิ้น
ดังนั้นจึงมีเจ้าหน้าที่จากตระกูลใหญ่บางคนเป็นผู้นำในการสร้างความขัดแย้ง หากไม่แสร้งป่วย ก็จะไปฟ้องต่อพระพักตร์ของไท่ซ่างหวงอยู่บ่อย ๆ ว่าลูกหลานชาวบ้านร้านตลาดเหล่านั้นไร้มารยาท
หากเป็นตอนที่เซี่ยเจินอยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอย่างแน่นอน
และพวกเขาเชื่อว่า โลกก็เป็นเช่นนี้
บางคนเกิดมาก็สูงส่งแล้ว ส่วนชาวบ้านชั้นต่ำก็คือชาวบ้านชั้นต่ำ ชาวนาในชนบทต่างอะไรจากหมูหมากัน คิดว่าอ่านหนังสือมากหน่อยก็จะเทียบเคียงกับพวกเขาได้แล้วอย่างนั้นหรือ?
อีกทั้งไท่ซ่างหวงยังเป็นคนมอบอำนาจและตำแหน่งขุนนางให้พวกนั้น นี่ไม่เท่ากับกำลังแสดงท่าทีไม่พอใจตระกูลของพวกเขาอยู่อย่างนั้นหรือ?
ดังนั้นทันทีที่เผยยวนไม่อยู่ แผนการร้ายในใจของพวกเขาก็ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด เขี้ยวเล็บที่เก็บเอาไว้ก็เริ่มโผล่ออกมาเพื่อหยั่งเชิงขีดจำกัดของไท่ซ่างหวงดู
แต่ครั้งนี้พวกเขากลับฉลาดขึ้นกว่าเดิม เพราะเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องการแบ่งแยกชนชั้นออกมาตรง ๆ แต่กลับใช้คำพูดตักเตือนไท่ซ่างหวงแทน
หากการกระจายอำนาจไม่สมดุล มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นการสนับสนุนหานเหล่ยคนต่อไปได้
ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน การสร้างอำนาจของคนกลุ่มเล็ก ๆ ล้วนเกิดจากการหล่อหลอมเมื่ออยู่ด้วยกันนาน ๆ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ในราชสำนักก็เป็นเช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างก็บอกว่าตัวเองนั้นมีเหตุผล ฝ่ายใดให้ข้าวพวกเขากิน ให้น้ำพวกเขาดื่ม ขุนนางใหญ่เหล่านี้ก็สามารถด่าจนสุสานบรรพบุรุษของอีกฝ่ายแตกได้
และความวุ่นวายรอบนี้ก็บังเอิญเกิดขึ้นมาจากการที่คนขับรถม้าของตระกูลใหญ่อายุนับร้อยปีกับตระกูลของเสนาบดีกรมกลาโหมที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ทะเลาะกัน
ตอนนี้เมืองหลวงต่างก็คึกคักเป็นอย่างมาก บนถนนเดิมก็เบียดเสียดอยู่แล้ว ประกอบกับมีการตั้งตลาดอีก จึงทำให้รถม้าทั้งสองคันถูกเบียดอยู่ในฝูงชน ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะออกมาได้ ดังนั้นคันไหนจะไปก่อน แค่เจรจากันก็ได้แล้ว
แต่ใครจะคิดว่าคนขับรถม้าของตระกูลใหญ่จะบังคับรถม้าไปเบียดกับรถม้าของตระกูลเสนาบดีกรมกลาโหมจนเสียหายก่อน สมกับเป็นชาวบ้านที่อยู่ในชนบทไม่เคยเห็นโลกกว้างจริง ๆ แม้แต่มารยาทก็ไม่รู้จัก
เจ้าอึรดหัวคนอื่นได้ แต่กลับไม่อนุญาตให้คนเขาโยนอึกลับมาใส่หัวเจ้าอย่างนั้นหรือ?
หลังจากด่าทอกันไม่กี่คำ คนขับรถม้าทั้งสองฝ่ายก็พับแขนเสื้อขึ้นและพุ่งเข้าหากันเพื่อแสดงความแข็งแกร่งของตัวเอง เป็นการต่อสู้ที่วุ่นวายอย่างมาก เริ่มจากการต่อสู้ตัวต่อตัว จนกระทั่งลุกลามเป็นการต่อสู้ระหว่างตระกูลขึ้นมา
คนรับใช้ของทั้งสองตระกูลหยิบอาวุธขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และจะเอาอุจจาระไปสาดที่จวนของอีกฝ่ายด้วย อย่างไรเสียก็เป็นตระกูลใหญ่ที่อยู่มานับร้อยปี อุจจาระและปัสสาวะต้องมากกว่าจวนเสนาบดีกรมกลาโหมที่มาจากคนธรรมดาและมีคนไม่มากอยู่แล้ว สาดไปกลิ่นต้องหอมฟุ้งไกลนับสิบลี้เป็นแน่ เป็นการสาดที่งดงามยอดเยี่ยมยิ่งนัก เมื่อคนรับใช้ของตระกูลใหญ่นำคนไปพร้อมท่าทีที่ดุดัน เสนาบดีกรมกลาโหมก็ได้หยิบพู่กันขึ้นมาบรรยายความผิดเจ็ดประการของตระกูลใหญ่อย่างไหลลื่น!
หนึ่งในนั้นคือ ขนาดที่ดินของตระกูลเกินกว่าระดับอย่างชินอ๋องจะถือครองได้ นี่ถือเป็นการทำเกินฐานะ!
คราวนี้ไท่ซ่างหวงก็ไม่สามารถนิ่งเฉย ไม่สนใจคดีใหญ่ที่เกิดจากคนขับรถม้าของทั้งสองตระกูลได้แล้ว
ที่ดินอย่างไรเสียก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ไม่เหมือนทองคำหรือตั๋วเงินที่ยังสามารถแอบขนย้ายได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ของกรมคลังไปทำการรังวัด ก็พบว่าที่ดินผืนนั้นใหญ่มากจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด!
สามารถสร้างพระราชวังบนที่ผืนนั้นได้ด้วยซ้ำ นี่ใช่ตระกูลขุนนางที่ใดกัน นี่มันหนูตัวใหญ่ชัด ๆ หากมีเยอะเพียงนี้เหตุใดเจ้าถึงไม่เอาเมืองหลวงรวมเข้าไปด้วยเลยเล่า
ความจริงแล้วเรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ เพราะตอนที่เซี่ยเจินอยู่ ตระกูลใหญ่เหล่านี้ให้ผลประโยชน์กับเขาไม่น้อย ขอเพียงเซี่ยเจินต้องการทำอะไร ตระกูลเหล่านั้นก็จะรีบเอาเงินมาให้
เจ้าได้ประโยชน์ ข้าได้ประโยชน์ พวกเราล้วนได้ประโยชน์
แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ขุนนางก็ต้องเปลี่ยนแปลงตาม บรรดาตระกูลใหญ่ก็ต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยม แต่นี่กลับถูกคนเปิดกางเกงในให้ทุกคนเห็นแล้ว ดังนั้นจึงทำได้เพียงปิดเป้าของตัวเองให้ดี เพื่อไม่ให้คนเห็นไปมากกว่านี้
และเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งกล่าวหาเรื่องการถือครองที่ดินของเหล่าตระกูลใหญ่ ดังนั้นเหล่าตระกูลใหญ่จึงรวมพลังกัน บอกว่าตัวเองปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และไม่ได้มีแค่พวกเขาตระกูลเดียว อีกทั้งบางส่วนฮ่องเต้ก็พระราชทานให้ด้วยพระองค์เอง เป็นรางวัลที่พวกเขาได้รับตามความดีความชอบ จะถือเป็นการทำเกินฐานะได้อย่างไร
ทว่านี่เท่ากับเป็นการบ่ายเบี่ยงชัด ๆ ตระกูลใหญ่ยักยอกที่ดินทำกินแต่กลับไม่จ่ายภาษี นี่จึงถือเป็นการขัดต่อกฎหมายบ้านเมืองอย่างชัดเจน
ดังนั้นสิ่งที่ไท่ซ่างหวงอยากจะจัดการก็คือ หากต้องการจะเก็บที่ดินเอาไว้ก็ย่อมได้ แต่ต้องเสียภาษีให้ถูกต้อง ส่วนที่ถือครองเกินจากที่กำหนดจะถูกปรับเป็นสามเท่า
นี่เท่ากับเป็นการพังรังหนูยักษ์ชัด ๆ เพราะในตระกูลใหญ่มีคนหลายร้อยคน ทำอะไรก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น และถึงแม้จะเป็นตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นก็จริง ทว่าบรรดาลูกหลานที่มีอนาคตยาวไกลกลับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ทั้งหมดต่างอาศัยเงินเพียงเล็กน้อยนี้ในการดำรงชีวิต ค่าปรับสามเท่าอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นพวกเขาไม่สู้เอาที่นาคืนให้ราชสำนักยังจะดีเสียกว่า
แต่พวกเขาจะยอมจริง ๆ หรือ!?
แน่นอนว่าไม่ยอม
ดังนั้นจึงตีโพยตีพายก่อปัญหาขึ้นมา
ขณะที่นายอำเภอเจียงขี่ลาน้อยไปถวายฎีกาให้ไท่ซ่างหวงนั้น ก็พบว่าบรรดาขุนนางตระกูลใหญ่ล้วนมาถึงกันหมดแล้ว
“โอ๊ะ มากันครบจริง ๆ” นายอำเภอเจียงตอนนี้เป็นนายอำเภอที่เคยเห็นโลกกว้างมาแล้ว
ต่อให้จะพวกเชื้อพระวงศ์เอย ตระกูลใหญ่เอย ทว่าใครที่ต่ำกว่าไท่ซ่างหวงล้วนไม่อยู่ในสายตาเขาทั้งสิ้น
เมื่อเห็นสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวและต้องการคำอธิบายของพวกเขา นายอำเภอเจียงก็ตบประตูที่ว่าการแล้วพูดขึ้น “ข้ามีชุดเข้าเฝ้า พวกเจ้าจะซื้อหรือไม่?”
“อะไรคือชุดเข้าเฝ้า?” มีคนถามขึ้นเพราะไม่เข้าใจ
เขาปรบมือหนึ่งที เจ้าหน้าที่ของที่ว่าการสองคนก็กระโดดออกมาจากทางด้านหลัง โดยยกโต๊ะที่มีของวางอยู่ตัวหนึ่งเข้ามา
“ก่อนอื่น สิ่งแรกก็คือให้ดึงผ้าขึ้นมา ทำเป็นหรือไม่? ผ้าสีแดงคงไม่ได้เอามาด้วยกระมัง เห็นแก่ที่พวกเราเป็นขุนนางเหมือนกัน ข้าจะคิดห้าตำลึง ถือเป็นราคาสำหรับสหายที่ร่วมงานกัน นี่ขายให้พวกเจ้าในราคาถูกแล้วนะ”
คนของเหล่าตระกูลใหญ่ต่างก็มองดูผ้าเหล่านั้น นี่มันผ้าหยาบธรรมดาสำหรับผูกดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่ที่บ้านไม่ใช่หรือ!
ห้าตำลึง! เหตุใดไม่ไปขโมยเงินเสียเลยเล่า!
ราคาจริงคงไม่ถึงห้าเหวินกระมัง เพิ่มไม้เข้าไปแค่สองแท่งก็เอามาขายในราคาสูงลิ่วแล้วอย่างนั้นหรือ?
นี่ต่างหากคือเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าพวกเขาหน้าไม่อายกัน ก็แค่ครองที่ดินมากกว่าคนอื่นนิดหน่อยเท่านั้น
“ยังมีหอยสังข์ที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ และเบาะรองเข่าด้วย ทุกท่านคงจำเรื่องตอนที่ต้องคุกเข่าที่หน้าประตูหมู่บ้านตระกูลเฉินได้กระมัง”
ใครจะจำไม่ได้กัน
“หอยสังข์นี้เป็นผลงานชิ้นเอกที่มาจากท้องทะเลลึกและมีอายุนับพันปี ใหญ่กว่าหน้าของข้าเสียอีก เสียงที่ก้องกังวานนี้ ต่อให้เจ้าจะเรียกอยู่ตรงนี้ไท่ซ่างหวงก็ได้ยิน โดยเฉพาะเวลาที่คุกเข่าไปแล้วสามชั่วยาม พวกเจ้าจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แต่หากใช้สิ่งนี้จะสามารถประหยัดพลังงานไปได้มาก
อย่างอื่นพวกเจ้าไม่ซื้อไม่เป็นไร แต่เบาะรองเข่าและเสื่อฟางนี่พวกเจ้าไม่ได้เอามาด้วยใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงอวยพรให้เข่าของพวกเจ้าปลอดภัยก็แล้วกัน”
นายอำเภอเจียงพูดจนทุกคนเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา
ยิ่งฟังก็ยิ่งมีเหตุผล
“เช่นนั้นเอามาชุดหนึ่งก็ได้”
“เอาไปสักสองชุดเถอะ ผ้าฝ้ายนี้ไม่ได้หนามาก เอาไปหลายอันก็จะได้สบายหน่อย”
“ซื้อ! ซื้อ! ซื้อ!” นายอำเภอเจียงตีฆ้องร้องป่าวด้วยรอยยิ้ม เฮ้อ ทำอะไรก็ดูมีอนาคตกว่าการเป็นนายอำเภอจริง ๆ
.
.
Comments