เซียนหมากข้ามมิติ 108 มรรคหมากหยินหยาง
ตอนที่ 108 มรรคหมากหยินหยาง
หัวเราะมาครู่ใหญ่ จี้หยวนเบาเสียงลงทีละน้อย ผ่อนลมหายใจพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“เฮือก… ฮู่…”
ร่างกายไม่ขยับ แหงนหน้ามองท้องฟ้า ต้นไม้กิ่งก้านกลางแสงยังเลือนราง แต่อย่างน้อยก็ไม่บอดสนิท ยามดวงตาหลั่งเลือด จี้หยวนกลัวมากว่าจากนี้จะมืดบอดโดยสมบูรณ์
โชคดีว่าตอนนี้อย่างน้อยยังมองเห็น ส่วนชัดเจนมากเท่าไหร่กลับเป็นเรื่องรอง ถึงอย่างไรก็เคยชินแล้ว
ตอนนี้แม้ว่าจี้หยวนดูผมเผ้ายุ่งเหยิงเสื้อผ้ามอมแมม แต่ความจริงผิวกายไม่มีคราบสกปรกเท่าไหร่นัก เส้นผมแค่ลีบแบนเพราะเปียกน้ำ แต่ความจริงเห็นชัดว่าไม่เกาะตัวเป็นก้อนสักนิด
ร่างกายจี้หยวนจึงไม่มีกลิ่นแปลกใดๆ ส่วนพวกเศษฝุ่นบนเสื้อผ้าคงยากหลีกเลี่ยง
สายตามองท้องฟ้า ในหัวกลับคิดถึงกระบวนการแปรหมากเกินจริงนั่น ในภวังค์แปรหมากตนคาดเดาการเปลี่ยนแปลงครรลองฟ้าลักษณ์ปฐพี แม้ว่าไม่อาจเข้าใจสิ่งสำคัญของมหาเคราะห์ฟ้าดินอย่างแจ่มแจ้ง แต่กลับได้เรื่องมาไม่น้อย
“เฮ้อ…”
จี้หยวนถอนใจเฮือกหนึ่ง ประเด็นแรกคือเกรงว่าเขาคนแซ่จี้คงไม่มีวาสนาเข้าสู่จวนเซียนเด่นดัง ไม่อย่างนั้นตนจี้หยวนคงหลอมรวมเข้ากับพลังขับเคลื่อนวิญญาณเซียนหนึ่งในนั้นแล้ว
ภายใต้สถานการณ์ซึ่งไม่อาจยืนยันฟ้าดิน การทำเช่นนี้ก็คือการตัดทางหมาก มีโอกาสสูงว่าจะขวางการแปรวิถีหมากล้อมในเขตแดนภูผาธารา
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าแม้อยู่บนกระดาน แต่ต้องวางตัวอยู่นอกกระดาน ไม่ถลำลึกเข้าร่วมกระดานโดยง่าย
แต่จี้หยวนไม่อาจวางตัวอยู่เหนือปัญหาจริงๆ ถึงอย่างไรเขาก็อยู่กลางฟ้าดินนี้ ทั้งมีความรู้สึกของตน คิดจะวางหมากก็ต้องมีตัวหมากใหม่
วางหมากแปรหมากในถ้ำสองสามปี ในใจจี้หยวนรู้แจ้งเรื่องกระบวนหมากทางหมากเบื้องต้นเสี้ยวหนึ่ง
ยามมองเห็นมหาเคราะห์ฟ้าดิน ความจริงสื่อถึงประโยคหนึ่งมาก ‘ก่อเกิดและดับสูญตามธรรมชาติคือหลักการแห่งมรรค สรรพสิ่งพึ่งฟ้าดิน มนุษย์พึ่งสรรพสิ่ง สรรพสิ่งพึ่งมนุษย์ สามปัจจัยพึ่งพากันตามสมควร ไตรภาคย่อมสงบสุข’
ดังคำกล่าวว่ามรรคก่อเกิดหนึ่ง หนึ่งก่อเกิดสอง สองก่อเกิดสาม สามก่อเกิดสรรพสิ่ง สรรพสิ่งรับหยินโอบหยาง ขัดข่มจนเกิดดุลยภาพ
ทุกนัยสรุปรวมเป็นคำเดียวเรียบง่าย… กลมกลืน
จี้หยวนไม่มีความคิดใช้พลังของตัวเองต้านมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตอะไร เขาไม่มีใจและพลังยิ่งใหญ่เช่นนั้น แต่กลับรู้ดีว่าตนวางหมากชักนำได้ จัดวางใต้หล้าให้พัฒนาไปในทางที่ดี ลองรวมพลังของสรรพชีวิตมารองรับต้านทาน
อย่างน้อยต่อให้การทำเช่นนี้จะล้มเหลว จี้หยวนก็ไม่ละอายต่อตัวเอง!
ในฐานะผู้ตั้งปณิธานเป็นเซียนคนหนึ่ง การล่วงรู้พิบัติเคราะห์น่าหวาดกลัวต่อสรรพสิ่งบนฟ้าดินเช่นนี้ ทั้งรู้ว่าตนมีความสามารถในการส่งผลถึงขั้นเปลี่ยนผลลัพธ์ ใครจะไม่มีความคิดว่า ‘มหาเคราะห์หลังจากนี้นับพันปีเกี่ยวอะไรกับเรา’ ถ้าบรรลุเซียนจริงคงต้องเผชิญหน้า
ทำไม่ได้ก็ต้องทำ ถ้าทำได้ยิ่งต้องทำ!
การยกระดับพลังปราณเป็นสิ่งจำเป็น มิฉะนั้นยังวางหมากไม่จบ ตัวจี้หยวนคงหมดอายุขัย
การตามหาผู้มีวาสนาทั่วหล้าก็คือสิ่งจำเป็น ‘คน’ สื่อถึงคนเทพผีปีศาจวิญญาณเซียนพุทธกลางฟ้าดิน กระทั่งพวกมารด้วย… ทั้งต้องพยายามผลักดันผู้มีวาสนาเป็นหมากและทำให้พวกเขาเติบโตเต็มกำลัง ไม่อย่างนั้นเมื่อวางหมากถึงครึ่งหนึ่งแล้วคงไม่มีตัวหมากใช้งาน!
ดาราอุดรสังหารดาราทักษิณก่อเกิด ตัวหมากขาวดำต่างมีความอัศจรรย์!
วาสนาไม่มีใหญ่เล็ก ต่อให้เป็นแค่เด็กธรรมดา อนาคตใช่ว่าไม่ส่งผลต่อพลังขับเคลื่อนของมรรคมนุษย์ แต่วาสนาก็คือวาสนา ฝืนกันไม่ได้ ผู้วางหมากและตัวหมากล้วนไม่อาจสูญเสียความตั้งใจแรกเริ่ม
‘ชีวิตคนเหมือนกระดานหมาก วางหมากแล้วไม่อาจนึกเสียใจ!’
จี้หยวนซึ่งยังผอมซูบลุกขึ้นโคลงเคลง กำสองหมัดแน่นแนบกาย เงยหน้ามองท้องฟ้าเมฆลมผันเปลี่ยนด้วยสายตาพร่ามัว
‘หยินหยางประสานสองลักษณ์ปรากฏ ฟ้าดินเป็นเอกภาพย่อมไร้ขอบเขต… ฟ้าดินนี้มีแค่โอกาสเดียว แต่เวลายังถือว่ามากพอ สิ่งที่เราจี้หยวนยังมีคือโอกาส ขอแค่พากเพียร มรรคหมากหยินหยางคอยดูเถอะ!’
ยืนอยู่กลางลมภูเขาครู่ใหญ่ ในที่สุดจิตใจจี้หยวนก็กลับเป็นปกติช้าๆ ผิวเนื้อบนหน้าฟื้นฟูกลับมาบ้าง ไม่ชวนประหวั่นเหมือนก่อนหน้านี้อีก
เขายื่นมือลูบเรือนผมยาวเปียกชุ่ม ไม่รู้ว่าปิ่นไม้นั่นหายไปไหนแล้ว เมื่อลองมองเสื้อผ้าบนตัวอีกครั้ง เห็นว่าเก่าขาดเกินทน ยังดีไม่ถือว่าหลุดลุ่ย แต่น่าจะทนแรงกระชากไม่ไหว
“เฮ้อ… สภาพอย่างกับผี!”
จี้หยวนถอนใจพลางสะบัดมือ หมากห้าตัวปรากฏ ปราณวิญญาณกลางเขาโหมกระหน่ำ…
ผ่านมาสามปี ตั้งแต่สภาวะจิตถึงพลังปราณจี้หยวนล้วนต่างจากแต่ก่อนแล้ว การเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่สุดคือสภาวะจิต แม้ว่าเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่เมื่อมองดูอีกครั้งกลับมีการเปลี่ยนแปลง คล้ายตั้งจิตมั่นจนกลายเป็น ‘จริง’
พลังปราณถือว่าตรงไปตรงมา ปราณห้าธาตุรับรู้ถึงพลังขับเคลื่อนของฟ้าดิน แม้ว่ายังห่างจากความสมบูรณ์แบบอีกมาก ยังไม่รวมศูนย์แต่กลับมีสัญญาณว่าจะรวมศูนย์ แค่เพราะพลังยังถ่วงรั้ง
ฝึกปราณผ่านไปสองวันสองคืน จี้หยวนกลับสู่สภาพสมาธิและพลังเต็มเปี่ยม ห้องโอสถเกินสิบหมู่แล้ว ไม่ถือว่าเป็นพวกมรรควิถีตื้นเขินอีก ส่วนภายในเขตแดนเตาโอสถเปลวไฟลุกโชนโหมกระหน่ำยิ่งกว่าเดิม ถึงขั้นทำให้สะพานทองซึ่งเชื่อมต่อพลังจุดตันเถียนกับเตาโอสถอบอวลด้วยแสงเพลิงชั้นหนึ่ง
แต่สิ่งอัศจรรย์คือจี้หยวนพบว่าตอนนี้ตนไม่แปดเปื้อนจริงๆ เขาไม่มีวิชาเลี่ยงโลกีย์ทั้งไม่สำแดงวิชาอื่น แต่กลับไม่แปดเปื้อนมลทิน
เศษฝุ่นทับถมกลับร่วงจากกาย ต่อให้ลำธารถูกกวนจนเกิดโคลนติดเรือนผมยาว แต่เห็นแค่โคลนตมหลุดออกรวดเร็ว เหลือร่องรอยวารีพิสุทธิ์ตรงปลายผม
นี่คือเรื่องที่ทำให้ตนคนแซ่จี้มึนงง ด้วยแม้แต่คัมภีร์นอกรีตกับกลยุทธ์เจิดจรัสยังไม่มีบันทึกเรื่องนี้
แน่นอนว่าจี้หยวนไม่มีทางรังเกียจเรื่องเช่นนี้
เขาก้าวกระโดดกลางป่าเขาพลางสะบัดมือ กระบี่เครือเขียวลอยตกสู่มือจี้หยวนเอง
“หึๆ… ลำบากเจ้ามานานเลย!”
วู้ม…
กระบี่ยาวส่งเสียงแผ่วเบาบนมือจี้หยวน ทั้งไม่มีความขุ่นเคืองใดๆ
ไม่เกินครึ่งเค่อจี้หยวนกลับสู่ถ้ำหินซึ่งเมื่อก่อนนั่งมาสามปี พบว่าคุณภาพกระดานหมากไม้นั่นไม่เลว นอกจากตรงมุมผุกร่อนแล้วโดยรวมยังสมบูรณ์ บนกระดานหมากมีหมากกระเบื้องแตกละเอียดอยู่ไม่น้อย กล่องตัวหมากทั้งสองว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย
ตามหาทั่วถ้ำหินรอบหนึ่ง ไม่พบห่อสัมภาระกับร่มกันฝนของตน ตอนนั้นน่าจะหล่นตรงโรงเตี๊ยม
ภายในห่อผ้าไม่มีของมีค่าอะไร มีเพียงเสื้อผ้าซึ่งรักแร้ขาดเป็นรูชุดหนึ่งกับคัมภีร์หมากไม้ไผ่เล่มหนึ่ง กลยุทธ์เจิดจรัส คัมภีร์นอกรีต ถุงเงินเขาล้วนพกติดตัว รวมถึงแท่งหยกสองอันของเขาล้อมหยกกับหยกประดับของเว่ยอู๋เว่ยด้วย
“ส่วนกระดานหมากนี้… ตอนนั้นน่าจะชิงมากระมัง…”
จี้หยวนลูบหัวเล็กน้อย นอกจากชิงลูกอมตอนเด็กเมื่อชาติก่อนแล้ว สองชาติมานี้คงเป็นครั้งแรกที่ชิงของวิ่งหนีโดยไม่จ่ายเงิน
เขาโบกมือคราหนึ่ง กิ่งไม้แห้งบนพื้นลอยตกสู่มือจี้หยวน เมื่อลอกเปลือกไม้ตัดกิ่งเกินความจำเป็นออก กิ่งเกลี้ยงเกลาโค้งงอยาวหกชุ่นปรากฏในมือจี้หยวน
ลูบผมเกล้าขึ้นเล็กน้อย ถือโอกาสใช้ท่อนไม้เสียบ กลายเป็นมวยผมเรียบง่าย ดูผ่อนคลายเหมือนสามปีก่อน แต่กลับเป็นธรรมชาติกว่า
“ไป ไปจังหวัดจวินเทียนกันอีกรอบ!”
จี้หยวนเหมือนกล่าวกับกระบี่เครือเขียว ทั้งเหมือนกล่าวกับตัวเอง ก้าวออกไปด้วยท่าร่างมังกรเหิน คล้ายย่นย่อระยะทาง…
Comments