เซียนหมากข้ามมิติ 285 ออกไปเดินเล่น
ตอนที่ 285 ออกไปเดินเล่น
จี้หยวนขอเช่นนี้ เว่ยอู๋เว่ยไม่คาดคิดอยู่บ้าง แต่ขณะเดียวกันก็ถอนใจโล่งอก หัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้แม้เป็นการฝากฝังจากเหล่าอาจารย์จากเขาล้อมหยก ทว่าเขากลัวทำให้จี้หยวนไม่พอใจทีเดียว
ตอนนี้ล้อเล่นขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเห็นแก่ความรู้สึกของพวกเขา อย่างน้อยอธิบายว่าจี้หยวนไม่ได้มีความรู้สึกขัดข้องใจกับพวกเขา ไม่เช่นนั้นคงดูไม่ดีแล้ว
“ท่านจี้วางใจ วันนี้เป็นวันปีใหม่ เมื่อวานพวกข้ากลับมากะทันหัน ที่บ้านทำอาหารบางอย่างไม่ได้เพราะหาวัตถุดิบไม่ทัน ทำให้ข้าคนแซ่เว่ยไม่พอใจอยู่บ้าง วันนี้ต้องกินให้เต็มคราบ!”
ซ่างอีอีและกวนเหอสบตากัน ทัพอาหารเมื่อวานนี้ ท่านอาเว่ยไม่พอใจหรือนี่ พวกเขารู้สึกว่าอาหารที่ตนเองได้กินและได้เห็นเมื่อวานก็มากพอแล้ว
เว่ยอู๋เว่ยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เมื่อพูดถึงเรื่องกิน เขามั่นใจว่ากำลังสำคัญของตระกูลเว่ยไม่มีทางด้อยกว่าห้องเครื่องของวังหลวง
พ่อครัวแม่ครัวสิบกว่าคนเตรียมอาหารให้จวนตระกูลเว่ย พวกเขาเหล่านี้มีคนที่เป็นผู้ช่วยของตนเองด้วย กลุ่มเตรียมวัตถุดิบจึงมีอย่างน้อยสามหรือสี่สิบคน ครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในห้องครัวจวนตระกูลเว่ยไปแล้ว
นึ่ง ต้ม ทอด ผัด ขั้นตอนการทำอาหารทั้งหมดเกิดขึ้นที่นี่ อาหารบางอย่างยิ่งเริ่มตุ๋นอย่างช้าๆ ตั้งแต่เมื่อวาน
กอปรกับการมาถึงของจี้หยวน ระหว่างนั้นเว่ยอู๋เว่ยถึงขนาดไปดูแลที่ห้องครัวด้วยตนเองอยู่พักหนึ่ง
ตอนกลางวันได้กินของว่างระหว่างสนทนาการ แต่จนใกล้ช่วงเย็นแล้ว ด้วยการดมกลิ่นของจี้หยวน ตอนนี้ได้กลิ่นหอมของอาหารที่เข้มข้นสุดขีดจากส่วนในของจวนตระกูลเว่ยแล้ว
ทุกอย่างมากมายเสียจนกลายเป็นงานเลี้ยงของจวนตระกูลเว่ย แม้แต่ข้ารับใช้ล้วนกินอิ่มปากเลอะกันถ้วนหน้า ทำให้ผู้ฝึกปราณที่อยู่กับเรื่องทางธรรมประหลาดใจมาก อาหารหนึ่งร้อยสิบอย่างรสชาติดีและประณีต การทำอาหารก็เป็นศิลปะเช่นเดียวกัน
คืนนั้นเอง ตอนที่งานเลี้ยงเลิกราแล้ว สำหรับคนในจวนตระกูลเว่ยนับว่าตอนนี้ดึกมาก บวกกับเมื่อวานหลายคนโต้รุ่งรอยามจื่อ เมื่อความง่วงเข้ามากล้ำกรายจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน
จี้หยวนก็ถูกจัดให้พักที่เรือนแยกข้างหลังจวน ที่นี่มีทั้งหมดสี่ห้อง ซ้ายขวาล้วนมีสองห้อง กวนเหอและซ่างอีอีครองห้องทางฝั่งซ้าย จี้หยวนพักอยู่ฝั่งตรงข้าม ตรงกลางกั้นไว้ด้วยลานที่ปลูกดอกไม้และต้นหญ้าไว้มากมาย
ยามจื่อเป็นช่วงเวลาดวงตะวันถือกำเนิด ซ่างอีอีและกวนเหอต่างก็ฝึกปราณอยู่ภายในห้อง
ฝ่ายจี้หยวนในตอนนี้ไม่คิดฝึกปราณ อีกทั้งนอนไม่หลับอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้ได้ฟังหลายคนที่ลงจากเขาล้อมหยกส่งต่อคำพูดเป็นนัยจากอาจารย์ในสำนัก นับว่าแสดงออกถึงเจตนาของเขาล้อมหยกอย่างชัดเจน คนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด จวนเซียนก็คิดต่อสู้กับชะตาที่เพ้อฝันนั่นสักครั้ง ด้วยวิธีการขอร้องจี้หยวนโดยตรง การคำนวณดวงชะตาของหอความลับสวรรค์ที่ว่าอาจจะไม่ได้อะไรเลยจริงๆ
หรืออาจพูดว่าหอความลับสวรรค์ไม่รู้เรื่อง หลังจากเผยเจิ้งกลับเขาล้อมหยกแล้ว เขาล้อมหยกเป็นไปตามคำทำนาย รวมถึงเรื่องบางเรื่องของต้าเจินในหลายปีมานี้ มีการคาดเดาเอาเองอย่างหนึ่งแล้ว
การสอดแนมเคราะห์ของฟ้าดินนั้นไม่น่าเป็นไปได้ กระนั้นไม่แน่ว่าอาจเข้าใจการเปลี่ยนแปลงพิเศษของจี้หยวนได้รางๆ เพียงแต่พวกเขามองเห็นอย่างตื้นเขิน มองแค่เห็นโอกาส แต่กลับมองไม่เห็นความน่ากลัวในระดับที่มากกว่านั้น
จากข้อมูลระหว่างการสนทนาเมื่อกลางวัน จี้หยวนเข้าใจว่าเซียนมากมายบนเขาล้อมหยกเริ่มไม่สันโดษเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ในเมื่อประมุขมังกรปรับความเข้าใจกับเขาล้อมหยกแล้ว นั่นทำให้ความกังวลใจลดน้อยลงไปไม่น้อย
รวมกับคำทำนายของหอความลับสวรรค์ เขาล้อมหยกคิดว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ตนเองต้องคว้าโชคชะตาเอาไว้ ผู้ฝึกเซียนมากมายเริ่มออกจากเขา หรือไม่ก็ออกจากเขาภายใต้คำสั่งของสำนัก ไม่จำกัดพื้นที่แค่อาณาจักรต้าเจิน ทว่าเดินทางไปถึงเกาะเมฆาได้ ขณะที่สั่งสมประสบการณ์ก็เลือกรับศิษย์ใหม่ที่มีคุณสมบัติวิญญาณจำนวนหนึ่ง
ตามตรรกะความคิดของจี้หยวนก่อนหน้านี้อาจรู้สึกว่าสถานการณ์เกาะเมฆานี้ นอกจากอาณาจักกรต้าเจินที่ตนเองรู้จักแล้ว อาจรวมถึงทุกพื้นที่ทั่วใต้หล้านอกเหนืออาณาจักรต้าเจินล้วนถูกครอบคลุมด้วยหมอกหยินชั้นหนึ่ง
แต่ท่านเซียนเผยแห่งเขาล้อมหยกไปหอความลับสวรรค์ รวมถึงหอความลับสวรรค์เองก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจมหาศาลเพื่อทำนายชะตา ความพยายามนี้ทำให้จี้หยวนพลันเข้าใจบางอย่างอย่างถ่องแท้
ถึงอย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่โลกของการตีความในละครโทรทัศน์ ไม่ว่าวิถีทางต่างๆ ในโลกจะเฉื่อยชาเพียงใด ทว่าต่างก็มีความปรารถนา ต่อให้ดุดันชั่วร้ายสุดขีดก็มีความหวาดกลัวทั้งนั้น รักโลภโกรธหลงมนุษย์ล้วนมี แต่เซียนไม่มีอย่างนั้นหรือ เดิมทีเป็นเรื่องปกตินักที่จะเห็นความสับสนภายในพื้นที่กว้างใหญ่ ไม่แน่ว่าแต่ละรัฐ แต่ละเขตแดนอื่นยิ่งสับสนกว่านี้
จี้หยวนรู้สึกว่าตนเองที่เป็นนักเล่นหมากล้อมคนหนึ่ง ตอนนี้กลับมองกระดานนี้ไม่ออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการควบคุมกระดานเลย
เมื่อคิดได้แบบนี้ ในใจไม่ได้รู้สึกแย่มากนัก แต่ผิดหวังอยู่บ้างอย่างยากจะหลีกเลี่ยง
เอี๊ยด…
เสียงแกนไม้หมุนเบาๆ จี้หยวนเปิดประตูห้องออก
แสงจันทร์ข้างนอกส่องผ่านช่องประตูที่ค่อยๆ เปิดกว้าง ตกกระทบใบหน้าจี้หยวนแล้วค่อยขยายไปทั่วบริเวณหน้าประตู
ในสายตามัวซัวของจี้หยวน หญ้าในลานเหี่ยวเฉา ดอกไม้กำลังจะตาย เนื่องจากมีหิมะเกาะอยู่บางๆ ชั้นหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าถึงชัดเจนขึ้นมาทันที
ราวกับรู้สึกว่าเจ้าของไม่สบายใจ กระบี่เครือเขียวที่เดิมทีพิงอยู่ข้างเตียงลอยมาหาแล้ว
ครั้งนี้กระบี่เซียนไม่ได้ลอยอยู่ข้างหลังจี้หยวนอย่างเงียบๆ เหมือนเคย ทว่าลอยมาถึงตรงหน้าจี้หยวนทันที
เห็นกระบี่เซียนบินมาหา จี้หยวนยื่นมือขวาออกไปจับไว้ตามสัญชาตญาณ
วู้ม…
กระบี่เครือเขียวส่งเสียงเล็กน้อย บนฝักกระบี่เครือเขียวและบนด้ามกระบี่มีสีเขียวเพิ่มมากขึ้น กระบี่เซียนคมปลาบหาใดเปรียบ อีกทั้งซับปราณชีวิตวันปีใหม่เอาไว้เช่นกัน ปราณชีวิตนั้นบนกระบี่ซึมออกมาเล็กน้อย ด้วยต้องการปลอบโยนจิตใจเจ้านาย
“ยอดเขียวสามฉื่อ ซ่อนไอสังหารบ่มเพาะชีวิต ดำเนินต่อไปเช่นหยินหยาง รวมถึงหมากขาวดำบนกระดาน…”
จี้หยวนจับกระบี่เดินไปในลาน ฝ่ามือขวาพลิกหมุน ปลายฝักกระบี่ค่อยๆ ตกลงเบื้องล่าง
วินาทีที่ฝักกระบี่สัมผัสดอกไม้ไร้ใบ มันเหมือนกับว่าปลายฝักกระบี่สัมผัสกับผิวน้ำอย่างแผ่วเบา มีระลอกคลื่นบางเบาไร้รูปร่างเคลื่อนออก เมื่อได้รับการกระตุ้นปราณชีวิตจากกระบี่เครือเขียว ดอกไม้ดอกนี้แตกหน่อใหม่อย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ ก็เกิดดอกตูมสามดอก ปรากฏสภาวะรอวันเบ่งบาน
“ทุกสรรพสิ่งล้วนมีความต้องการที่จะก้าวหน้า ต่อให้เป็นกิ่งไม้ เมื่อรับรู้ถึงฤดูใบไม้ผลิย่อมแตกกิ่งใหม่ต้อนรับตามสัญชาตญาณ แต่อย่างไรก็ตามดอกไม้เหี่ยวเฉาในวันที่เหน็บหนาว รอคอยฤดูใบไม้ผลิมาถึง พอถึงตอนนั้นต่างฝ่ายต่างแข่งขันกันอวดความงาม เพียงแต่ช่วงเวลานี้ไม่ได้ยาวนานนัก”
จี้หยวนพึมพำพูดกับตนเอง บนใบหน้าเกิดรอยยิ้มเยาะเย้ย
“ข้าเข้าใจโลกใบนี้น้อยเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะลงหมากอย่างไร ลงหมากไปแล้วจะชนะได้อย่างไร…”
จี้หยวนพูดคนเดียว นับว่าเป็นการให้กำลังใจตนเองอย่างหนึ่ง เขาเป็นผู้สูงส่งที่ท่องเที่ยวอย่างอิสระในสายตาของใครหลายคน แต่ใครเล่าจะรู้ว่าความจริงแล้วเขาเองก็มีความกลัว และหวาดผวาเรื่องบางอย่างเช่นเดียวกัน บางอย่างพูดได้ บางอย่างแม้แต่พูดกับตนเองก็ยังไม่กล้า
ที่จริงจี้หยวนอยากออกไปโลกภายนอกต้าเจินสักครั้ง แต่นอกจากเรื่องราวของคนต้าเจินแล้วก็ยังไม่เคยเห็นเบาะแสอะไร จึงมีความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้คอยขัดขวางอยู่
‘ช่างคล้ายกับเราเมื่อตอนเด็กเมื่อชาติก่อนที่มีความทะเยอทะยานสูงสุด ยิ่งโตขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งได้รับประสบการณ์ความยากลำบากทางสังคม เรี่ยวแรงหดหายลงเรื่อยๆ ช่างคล้ายกันยิ่งนัก!’
ตอนนี้ชะตากรรมอาณาจักรต้าเจินชัดเจนยิ่งขึ้น แม้มรรควิถีของจี้หยวนไม่นับว่าเป็นเซียนแท้อัศจรรย์ไร้ใครเทียบเทียมเช่นในสายตาคนอื่น พูดตามตรงว่าการฝึกปราณสิบกว่าปีมานี้อาจจะไม่ได้ทำให้พลังของเขาลึกล้ำเท่าไหร่ แต่วิชาอัศจรรย์มีเอกลักษณ์จำนวนหนึ่งเริ่มไม่ธรรมดาอย่างชัดเจน ยิ่งมีกระบี่เครือเขียวอยู่เคียงข้าง ความสามารถไม่นับว่าน้อยมาก
‘เปลี่ยนวิธีการคิด อย่ากดดันมากเกินไป และไม่ต้องขอให้คนอื่นเข้าใจ จะออกไปก็ไป ชมความสวยงามของยุทธภพทั้งสิบทิศสักรอบน่าจะดีเหมือนกัน!’
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว จี้หยวนยิ้มออกอีกครั้ง หูได้ยินความเคลื่อนไหวพอดิบพอดีจึงเงยหน้ามองไป เห็นกวนเหอและซ่างอีอีเปิดประตูออกมา ภายในห้องของซ่างอีอีก็มีเสียงเช่นกัน
เดิมทีอยากถามว่า ‘เหตุใดไม่พักผ่อน’ แต่ยังไม่ทันได้พูดออกไป พลันพบว่าท้องฟ้าสว่างรางๆ แล้ว ยิ่งมีเสียงนกร้องดังมาแต่ไกล ผ่านไปหนึ่งคืนโดยที่ไม่รู้ตัว
เห็นจี้หยวนถือกระบี่ยาวยืนอยู่ในลาน กวนเหอรีบประสานมือคารวะ
“อรุณสวัสดิ์ท่านจี้!”
“อรุณสวัสดิ์!”
จี้หยวนมองเขา พยักหน้าแล้วกลับไปที่ห้อง เด็กคนนี้เติบใหญ่แล้ว รู้มารยาทยิ่งกว่าตอนเด็กมาก
พอจี้หยวนไปแล้ว ประตูเรือนปิดแล้วเช่นกัน คราวนี้กวนเหอถึงเดินไปที่กลางลานด้วยความใคร่รู้
“ศิษย์พี่ ท่านทำอะไรน่ะ”
เสียงซ่างอีอีดังขึ้นข้างหลัง กวนเหอไม่หันกลับไปมอง
“รีบมาดูเร็ว มีดอกไม้กำลังจะบาน”
ซ่างอีอีได้ยินดังนั้นก็รีบเดินเข้าไปใกล้ มองเห็นดอกไม้ดอกหนึ่งเกิดใบไม้ตรงหน้ากวนเหอ อีกทั้งออกดอกตูมด้วย
สถานการณ์นี้ไม่นับว่าแปลกสำหรับแดนอริยะเขาล้อมหยก อย่างไรเสียสภาพแวดล้อมก็แตกต่างกัน แต่อยู่ที่นี่ รวมถึงไม่ใช่ดอกไม้ฤดูหนาว เกิดเหตุการณ์นี้ทำได้เพียงคิดว่ามีคนใช้วิชาแล้ว
“ฝีมือท่านจี้”
กวนเหออธิบายเสียงหนึ่ง
“อ๋อ”
ทั้งสองคนยังคงมีมรรควิถีและเขตแดนไม่เพียงพอ มองดูแล้วกลับไม่ได้ใส่ใจอะไร หากผู้สูงส่งเขาล้อมหยกอยู่ที่นี่อาจพบว่าดอกไม้ดอกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยปราณวิญญาณ ทว่าเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เกิดขึ้นด้วยพลังฤดูใบไม้ผลิ
และพลังฤดูใบไม้ผลิไม่ใช่ปราณเมฆาฤดูใบไม้ผลิใหม่ธรรมดา เป็นเจตจำนงของวัยเยาว์ที่ขัดเกลาโดยกระบี่เครือเขียว ยิ่งเมื่อจี้หยวนตระหนักได้ในชั่วข้ามคืน เขาแสดงเขตแดนออกมาให้เห็น เทียบกับนิมิตมงคลในจวนของจิ้นอ๋องเมื่อตอนนั้นแล้วแตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง
จี้หยวนกินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็บอกลาพวกเว่ยอู๋เว่ยก่อนบอกลาจากไป ชัดเจนเลยว่าระหว่างที่เขาอยู่ที่นี่ ทั่วทั้งจวนตระกูลเว่ยไม่ว่ามนุษย์หรือผู้ฝึกเซียนล้วนสำรวมตัวมาก ความจริงแล้วเขาไม่สนใจว่าผ่านหนึ่งปีอย่างสมบูรณ์แบบหรือไม่ มีประสบการณ์ก็พอแล้ว จึงบอกลาไป
วันนี้เป็นหนึ่งวันฟ้าใสในฤดูหนาว พระอาทิตย์ขึ้นสูงมุมหนึ่งที่แน่นอนแล้ว แสงสว่างส่องทั่วทุกมุมจวนตระกูลเว่ย
จี้หยวนไปแล้ว ไม่นานนักมีข้ารับใช้ตระกูลเว่ยสองคนมาทำความสะอาดห้องพักแขก
“นี่ๆๆ มาดูเร็ว ดอกกุหลาบดอกนี้จะบานแล้ว!”
“เอ๊ะ! จริงด้วย!”
สองคนที่ถือถังน้ำและผ้าขี้ริ้วเดินออกมาตรงทางเดิน เข้าใกล้ดอกไม้ดอกหนึ่งในสวนเพื่อมองอย่างละเอียด ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ดอกตูมหลายดอกบานออกไม่น้อย กำลังจะบานเต็มที่อย่างเห็นได้ชัด
Comments