เซียนหมากข้ามมิติ 331 วิชาชำระพู่กัน

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 331 วิชาชำระพู่กัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 331 วิชาชำระพู่กัน

อิงรั่วหลีเข้าใกล้จี้หยวนสองก้าว กล่าวเสียงเบาว่า

“ท่านอาจี้ นี่น่าจะเป็นยานข้ามแดน ข้างบนมีคนอยู่ประมาณหลายร้อย วิชาอาคมเป็นวิชาเซียน ไม่รู้ว่าเป็นของฝ่ายไหน”

“อืม”

จี้หยวนตอบรับเสียงหนึ่ง สังเกตเรือเหาะบนท้องฟ้าไกลๆ แม้บนใบหน้ามองอะไรไม่ออก แต่ความจริงในในเต็มไปด้วยความสงสัย

แม้เรือเหาะลำนี้มีอาคมอยู่ แต่ด้วยการมองเห็นจากตาทิพย์ของจี้หยวน ยังคงมองออกว่าบนนั้นมีมนุษย์อยู่ไม่น้อยเลย

มองเห็นผู้ฝึกเซียน มองเห็นปีศาจ อีกทั้งมองเห็นพวกมาร จี้หยวนล้วนรู้สึกว่าปกติดีทีเดียว มองเห็นมนุษย์จำนวนน้อยไม่อาจพูดได้ว่าผิดปกติ แต่มองเห็นมนุษย์เป็นจำนวนหนึ่งในสามถือว่าหายากอยู่บ้าง

ต้องรู้ว่าคนธรรมดาแค่เดินเล่นในอำเภอบางอำเภอของอาณาจักรใกล้เคียง ก็นับว่าเดินทางออกมาไกลแล้ว สภาพสังคมนี้เดิมทีเป็นเช่นนี้ ตอนนี้กลับมองเห็นคนธรรมดิยู่บนยานข้ามแดน นี่น่าประหลาดใจยิ่งนัก อย่างน้อยจี้หยวนก็ประหลาดใจมาก

“รั่วหลี ข้าไม่เคยนั่งยานข้ามแดนเลย ปกติแล้วบนนั้นมีคนธรรมดาอยู่มากขนาดนี้หรือ”

ธิดามังกรมองไป ส่ายหน้าแล้วตอบ

“ท่านอาจี้ไม่เคยนั่ง รั่วหลีเองก็เช่นกัน ข้าเกิดในเผ่ามังกรเจียว หากอยากข้ามอาณาจักร ว่ายน้ำหรือบินบนท้องฟ้าสะดวกกว่า”

“จริงของเจ้า แต่พวกเขาเหมือนจะกลัวเจ้ามากกระมัง”

อิงรั่วหลียิ้มจาง

“แม้ข้าไม่ได้เห็นเรือเหาะลำนี้อยู่ในสายตาจริงๆ แต่พวกเขาน่าจะเข้าใจผิดว่าพายุฝนฟ้าคะนองนั่นเป็นฝีมือข้า คิดว่าข้าอาจออกมาทำเรื่องสำคัญหรือไม่สบายใจ จึงไม่อยากหาเรื่องข้า”

จี้หยวนพยักหน้า เผ่ามังกรเจียวไม่ใช่เผ่าที่หาเรื่องได้ โดยเฉพาะบนทะเลกว้างใหญ่ไพศาล ใครเล่าจะรู้ว่าเบื้องล่างมีถ้ำโบราณหรือไม่ จะมีเผ่าวารีมากมายหรือไม่

“พวกเขาคารวะพวกเราแน่ะ ตอบกลับตามมารยาทเถอะ”

“อืม!”

ได้ยินจี้หยวนพูดเช่นนี้ อิงรั่วหลีเห็นด้วย พลันหยิบพู่กันที่จี้หยวนส่งมาให้ก่อน แล้วเดินไปนำมันวางลงบนโต๊ะอย่างเบามือ จากนั้นค่อยประสานมือให้กับเรือเหาะทางนั้นพร้อมกับจี้หยวน

เห็นภาพฉากนี้ไกลๆ เซียนสองคนที่มองเห็นจากบนเรือเหาะถอนหายใจโล่งอก มีเรื่องมาถึงตัวน้อยหน่อยย่อมดีที่สุด อีกทั้งคารวะไปทางวาฬยักษ์ด้วยอย่างไม่ประมาท ทว่าครั้งนี้หลักๆ คารวะจี้หยวน

“คนที่เขียนตัวอักษรบนโต๊ะซึ่งอยู่บนหลังวาฬเป็นใครกัน มังกรเจียวเหมือนจะคอยอยู่ข้างกายเขานะ”

“ไม่แน่ใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเผ่ามังกรเจียวหรือไม่ แต่ดูแล้วสนิทกันทีเดียว”

ขณะเซียนสองคนปรึกษากัน มนุษย์ที่พลังฝึกปรือไม่พอหรือไม่มีพลังฝึกปรือเลยมองไม่เห็นสถานการณ์ที่อยู่ไกลออกไป มังกรเมื่อครู่ตัวใหญ่ขนาดนั้น ทุกคนเห็นแล้วต่างตื่นเต้น ตอนนี้มองเห็นปลาตัวใหญ่ว่ายน้ำอยู่ข้างล่าง ทว่าคนบนหลังไม่ต่างอะไรกับเมล็ดงา มองไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดโดยสิ้นเชิง

“ท่านเซียนฉือ พวกเราต้องบินเข้าไปใกล้หน่อยหรือไม่ ทุกคนบนเรืออยากดูทางนั้นกันทั้งนั้น”

ผู้ฝึกเซียนซึ่งรับผิดชอบบังคับเรือเหาะถามเสียงหนึ่ง เซียนสองคนมองตากัน จากนั้นมองคนสงสัยใคร่รู้ที่ค้ำร่างอยู่ข้างกาบเรือ ไปจนถึงคนที่ยันหน้าต่างมองดูที่ใต้ท้องเรือ ครุ่นคิดก่อนกล่าว

“ลดระดับจนอยู่ในระยะที่เหมาะสมได้ จากนั้นค่อยๆ บังคับเรือผ่านพวกเขาไม่ไกล แต่บอกผู้โดยสารบนเรือว่าอย่าส่งเสียงดัง ตอนผ่านก็ควรคารวะให้บนหลังวาฬยักษ์ด้วย”

ขณะนี้เจอสองคนเหยียบวาฬบนทะเลบูรพา หนึ่งในนั้นเป็นมังกรเจียว ส่วนอีกหนึ่งคนตั้งโต๊ะเขียนตัวอักษรบนหลังวาฬ มองจากมุมไหนก็รู้ว่าคนคนนั้นไม่ธรรมดา ควรคารวะสักครั้ง ถือโอกาสเติมเต็มความอยากรู้อยากเห็นของคนจำนวนหนึ่งด้วย

ดังนั้นในสายตาของจี้หยวนและอิงรั่วหลี เรือยักษ์ตรงขอบฟ้ากำลังลดระดับลงไปพลาง ค่อยๆ เข้าใกล้ทางนี้ไปพลาง

“ท่านอาจี้ อยากให้ข้าไล่พวกเขาไปหรือไม่”

อิงรั่วหลีถาม ถึงอย่างไรเสียท่านอาจี้อาจใช้วิชา ทว่าจี้หยวนกลับส่ายหน้า

“ช่างพวกเขาเถอะ ขณะนี้เป็นเวลาดี ไม่ต้องแบ่งสมาธิสนใจอย่างอื่น พวกเขาไม่มีทางรบกวนพวกเรา อีกเดี๋ยวตอนใช้วิชาเจ้าก็ระวังมากกว่าเดิมหน่อย เป็นผลดีกับการกลายร่างเป็นมังกรของเจ้าในอนาคต”

คืนนี้นอกจากกระบี่เครือเขียวเก็บเกี่ยวปราณบริสุทธิ์และจี้หยวนฝึกปราณตามความเคยชินแล้ว ยังต้องขัดเกลาพู่กันขนหมาป่าในมือสักหน่อย มีขนหมาป่าอยู่ในมือเสริมด้วยปราณบริสุทธิ์ จี้หยวนคิดว่าลองทำตามความคิดในใจได้ อาจให้ธิดามังกรมองดูทำความเข้าใจได้ด้วย

กลับเป็นแม่ทัพวาฬยักษ์ใต้เท้าร้องขึ้นอย่างไม่ยินยอม

“เรือลำนี้อยู่บนฟ้าน่ะช่างเถอะ ทว่าอยู่บนผิวน้ำทะเลแล้วคิดจะเอาชนะข้าหรือนี่ เฮอะ!”

เมื่อมันพูดจบแล้ว จี้หยวนรู้สึกได้ว่าร่างกายตนเองถอยไปข้างหลังอย่างชัดเจน วาฬยักษ์เพิ่มความเร็วขึ้นเล็กน้อย ทว่าธิดามังกรย่ำเท้าหนักๆ ครั้งหนึ่ง แม่ทัพวาฬยักษ์เจ็บจนต้องร้องโอ๊ย ว่าง่ายในทันที

“คืนนี้เป็นคืนก่อนปีใหม่ ท่านอาจี้ให้ข้าไล่พายุฝนไปย่อมเป็นเพราะมีอะไรต้องทำ เจ้าอย่าเพิ่มความวุ่นวายเลย”

อิงรั่วหลีกล่าวกับแม่ทัพวาฬยักษ์ด้วยน้ำเสียงเย็นชา ฝ่ายหลังไม่กล้าต่อปากต่อคำไปโดยปริยาย

“ขอรับๆ เทพีรั่วหลีพูดถูกต้องแล้ว”

แม่ทัพวาฬยักษ์ไม่กล้ากวนน้ำวนตามใจชอบ ถึงขนาดลดความเร็วลงจากเมื่อครู่นี้เล็กน้อย อีกทั้งสงบจิตใจด้วย

จี้หยวนไม่สนใจความวุ่นวายนี้ สายตาเลื่อนจากเรือเหาะไกลๆ ไปยังท้องฟ้าและดวงดาวเหนือศีรษะ

ดวงจันทร์และดวงดาวในตอนนี้สุกสกาวไร้เมฆ ห่างจากยามจื่อไม่ไกลแล้ว

เขาไม่อยากคำนวณเวลาอย่างตั้งใจ เพียงต้องการมองการหมุนเวียนปราณฟ้าดินเท่านั้น การเปลี่ยนผ่านปีเก่าสู่ปีใหม่เขาเคยเห็นหลายครั้งแล้ว บรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันก็มีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกัน ตอนนี้อยู่บนทะเลก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร

ไม่นานนักกลางตาทิพย์ที่เบิกกว้างของจี้หยวน บนท้องฟ้าปรากฏแสงสว่างเลือนราง ทุกสิ่งที่แต่เดิมพร่ามัวในดวงตาของจี้หยวนดูเหมือนจะชัดเจนในทันที

ปราณขมุกขมัวเป็นกลุ่มๆ โผล่ขึ้นมากลางฟ้าดิน แต่ในนั้นมีลมปราณสองสายสะสมอยู่ในนั้น การเปลี่ยนแปลงของลมปราณทำให้โลกในดวงตาของจี้หยวนชัดเจนเป็นพิเศษ

เหนือทะเลบูรพาที่กว้างใหญ่ไม่มีการจู่โจมของปราณมนุษย์ การเปลี่ยนผันระหว่างเก่าและใหม่ยังคงสั่นสะท้าน

ปราณสีเทาที่ปรากฏขึ้นกลางฟ้าดินเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว เริ่มแบ่งแยกปราณบริสุทธิ์และปราณสกปรก ปราณบริสุทธิ์รวมตัวกันลอยขึ้น ส่วนปราณสกปรกลดต่ำลงและหายไปจากที่ว่างใหม่ที่ ‘แยกออกมา’

ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านระหว่างปีเก่าและปีใหม่นี้ ธิดามังกรเพียงมีความรู้สึกร่วมด้วยเล็กน้อย รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาได้รางๆ แต่ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่านั้น ไม่ต้องพูดถึงแม่ทัพวาฬยักษ์และคนมากมายบนเรือเหาะเลย

แต่ในตาของจี้หยวนกลับเป็นการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินที่ได้เห็นสักครั้งก็ต้องสะท้านใจสักครั้ง

เสียงกระบี่เสนาะหูดังขึ้นบนท้องฟ้าสูงและไกลออกไป

ฟ้าดินยังคงเป็นสีสันในเวลากลางคืน ทว่าในการรับรู้ของคนที่ความรู้สึกไวเหมือนกับมีแสงสีขาวเงินสว่างวาบขึ้น

กระบี่เครือเขียวฟันปราณบริสุทธิ์สดใหม่กลุ่มเล็กอย่างชำนาญ แล้วโอบรับปราณบริสุทธิ์นี้กลับสู่ผิวน้ำทะเลอีกครั้ง จี้หยวนก็กำด้ามพู่กันไว้ในขณะเดียวกันนั้น กวัดแกว่งทั่วท้องฟ้าอยู่หลายครั้ง ห่อปราณที่กระบี่เครือเขียวนำมาไว้ที่ปลายพู่กัน จากนั้นปล่อยให้มันแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายตนเอง

นี่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงสั้นๆ ไม่กี่ลมหายใจ แต่สำหรับจี้หยวนกลับเหมือนผ่านการฝึกปราณที่ยาวนานและเต็มเปี่ยมครั้งหนึ่ง

ตอนนี้และเวลานี้ ท่าทางสะบัดพู่กันกลางอากาศของจี้หยวนเปลี่ยนแปลง เหมือนกับเขียนตัวอักษรบางอย่างอย่างรวดเร็ว ด้วยวิธีการนี้ทำให้ปราณบริสุทธิ์ที่หลงเหลืออยู่ทั้งหมดล้อมรอบปลายพู่กันโดยไม่สิ้นเปลืองเลยสักนิด

“มุ่งความสนใจที่ปลายพู่กัน สังเกตการแบ่งปราณสกปรกและบริสุทธิ์ของฟ้าดิน”

อิงรั่วหลีตะลึงเล็กน้อย รีบปรับสภาวะจิตใจ รวมความสนใจไปที่ปลายพู่กันขนหมาป่าในมือจี้หยวน แม่ทัพวาฬยักษ์ที่เดิมทีว่ายน้ำอย่างสงบอยู่ข้างล่างก็หัวใจกระตุกวูบครั้งหนึ่ง หางตาข้างหนึ่งเปลี่ยนมุมมอง ใช้มุมมองที่แม้ทรมานและใช้ความพยายามทั้งหมดสังเกตดู

ปลายพู่กันขนหมาป่าเกิดดอกไม้ ปราณบริสุทธิ์หลายสายรวมกันเหมือนหมึกที่ไร้รูปร่าง สร้างตัวอักษรที่หายวับไปในพริบตา นี่เป็นตำราบันทึกสวรรค์ที่ไม่อาจคงอยู่ได้

แม้ใช้มรรควิถีของอิงรั่วหลีก็มองเห็นเพียงพริบตาเดียวและหายไปอย่างรวดเร็ว แต่พริบตานี้คล้ายกับเปลี่ยนแปลงท่ามกลางจิตวิญญาณที่พังทลาย คล้ายกับมองเห็นความบริสุทธิ์และสกปรกระหว่างฟ้าดินแบ่งแยกเมื่อหลายลมหายใจก่อนหน้านี้ เกิดเป็นวินาทีที่ม่านแห่งปีใหม่เปิดฉาก

“นี่คืออะไร…”

อิงรั่วหลีพึมพำกับตนเองอย่างเหม่อลอย อีกทั้งคิดสังเกตโดยละเอียด ทว่าพู่กันขนหมาป่าในมือจี้หยวนหยุดเขียนตัวอักษรแล้ว

ทว่าแม่ทัพวาฬยักษ์กลับไม่ใช่เช่นนั้น มันไม่อาจมองเห็นตำราบันทึกสวรรค์ที่เกิดขึ้นไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ อย่างแท้จริงเช่นธิดามังกร แต่กลับรู้สึกได้ถึงเขตแดนที่เปลี่ยนแปลงเพราะปราณบริสุทธิ์สกปรกแบ่งแยก ตอนนี้ท่าทางของมันมึนงงโดยสมบูรณ์ แม้แต่การการว่ายน้ำก็ยังดูโซเซ

ทว่าในสายตาของคนบนยานข้ามแดน ไม่ว่าเป็นผู้ฝึกปราณหรือมนุษย์ รวมถึงภูตและปีศาจจำนวนน้อยในนั้นต่างไม่อาจมองเห็นสิ่งมหัศจรรย์ในตาจี้หยวน ไม่อาจมองเห็นปลายพู่กันและตำราบันทึกสวรรค์เช่นธิดามังกรเช่นกัน ถึงขนาดใกล้หอคอยน้ำได้ดวงจันทร์ก่อน[1]ไม่เท่ากับแม่ทัพวาฬยักษ์ เป็นดวงจันทร์ในน้ำเท่านั้น

แต่พวกเขามองไม่เห็นฟ้าดินกลับดูถูกคน รู้สึกถึงความรู้สึกเกินจริงที่ยากจะอธิบายได้ยิ่งกว่าเดิม

ก่อนหน้านี้ไม่กี่ลมหายใจ ปีเก่าและปีใหม่เปลี่ยนผ่าน

ไม่ว่าเป็นผู้ฝึกเซียนหรือมนุษย์บนเรือ ร่วมด้วยเผ่าปีศาจพวกนั้นรู้สึกได้ว่าระหว่างหนึ่งในสองคนบนหลังวาฬยักษ์ที่อยู่ไกลโบกพู่กัน ตรงนั้นดูเหมือนจะกลายเป็นที่กว้างใหญ่ พร่ามัวราวกับว่ายืดขยายออกไปอย่างไร้ขอบเขต อีกทั้งยังชัดเจนจนดูเหมือนอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

นี่ทำให้แม้มนุษย์ก็มองเห็นภาพบนหลังวาฬยักษ์ชัดเจน เหมือนกับอยู่ข้างกาย

มีความรู้สึกแปลกชนิดที่ความบริสุทธิ์ชัดเจนและความสกปรกน่ารังเกียจพัวพันอยู่ด้วยกัน นอกจากในนั้น ภาพทั้งหมดโดยรอบเหมือนกับเกิดความขุ่นมัว จากนั้นภายในสองสามลมหายใจ ความรู้สึกเลือนรางทั้งหมดหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงปลายพู่กันที่ชายเสื้อเขียวบนหลังวาฬโบกสะบัดยังคงมีแสงสีขาวสายหนึ่งไม่จางไป

“เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น”

เซียนคนหนึ่งบนเรือเหาะถามศิษย์พี่ตนเองอย่างอึ้งงัน เขารู้ว่าเกิดเรื่องยอดเยี่ยมขึ้นอย่างแน่นอน แต่กลับไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร

เซียนในชุดคลุมสีเหลืองข้างๆ เหม่อลอยอยู่นานเช่นกัน ทว่าในปากพึมพำกับตนเอง

“แรงสั่นสะเทือนฟ้าดินที่พวกเรารู้สึกถึงทั้งหมดก่อนหน้านี้ ล้วนเกิดจากหนึ่งพู่กันในมือของคนคนนั้น ผู้บรรลุเป็นเซียน ขณะที่ปีเก่าเปลี่ยนสู่ปีใหม่ มีปราณสกปรกและบริสุทธิ์อบอวลฟ้าดิน การเปลี่ยนแปลงมากมายซ่อนอยู่ในนั้น รากฐานสรรพสิ่ง หรือว่าคนคนนี้…”

เซียนในชุดสีเหลืองชะงักค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวออกมาว่า

“ล้างพู่กันกำจัดปราณสกปรกของปีเก่า สะบัดพู่กันปราณปีใหม่ก่อเกิด ผู้สูงส่งคนนี้ใช้ปราณฟ้าดินฝึกวิชาชำระพู่กัน!”

[1] ใกล้หอคอยน้ำได้ดวงจันทร์ก่อน หมายถึง ผู้ที่ได้เปรียบได้ประโยชน์ภูมิใจ เนื่องจากอยู่ในหน้าที่ตำแหน่งที่สูงกว่าหรืออยู่ในสถานที่ดีกว่า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด