แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน 44 ความเห็นไม่ลงรอย

Now you are reading แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน Chapter 44 ความเห็นไม่ลงรอย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

คนที่นั่งตรงเก้าอี้ น่าจะเป็นพวกหัวหน้าหน่วยหลัก

เอกลักษณ์โดดเด่นกันทุกคน …แล้วก็ดูหัวแข็งเหมือนกันทุกคนด้วย

          ทัตสังเกตบุคคล ณ ที่นั่งหลัก ท่าทางการนั่งของพวกเขาเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจ แววตาเองก็คมกริบแน่วแน่

          ซึ่งอันที่จริงนั่นก็รวมถึงฝ้ายที่นั่งลงถัดจากนั้นด้วย ทุกคนที่เป็นระดับหัวหน้าหน่วยมีความมั่นใจในตัวเองสูง ดูไร้ซึ่งความลังเลในสิ่งที่ตัวเองทำ

          หรือในทางกลับกัน… คงเพราะพวกเขาเป็นคนแบบนั้น จึงสามารถเอาตัวรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำของทุกคน

 

“มาช้านะฝ้าย” เด็กหนุ่มผมกระเซอะกระเซิงที่นั่งข้างฝ่ายเอ่ยทัก …ถึงดูแล้วจะไม่ค่อยเป็นมิตรก็เถอะ

          แต่ทางฝ้ายก็ตีหน้านิ่งเย็นชาเช่นกัน ทัตกับพิมที่ตามมายืนอยู่ข้างหลังสังเกตได้ว่าเธอสงบเหมือนปกติแม้จะโดนแขวะ

 

“ฉันก็มาตรงเวลานี่คะทอง ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสักหน่อย”

“…เหรอ”

          เด็กหนุ่ม… ทองตอบสั้น ๆ พูดน้อยสมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอึมครึม บวกกับชุดสีดำหนายิ่งยากแก่การต่อบทสนทา แถมยังกลับไปกดเกมพกพาเล่นเหมือนก่อนหน้านี้อีก

          …ต่างกับเด็กสาวสวมชุดไอดอลติดระบายที่นั่งอยู่ข้างเขา

 

“สวัสดีน้าน้องฝ้าย!” เธอเอี้ยวตัวเข้ามาในโต๊ะ โบกมือยิ้มแย้มตีซี้ยังกับเป็นพี่น้อง

“ยังทำหน้าเป็นปลาตายได้น่ารักเหมือนเดิมเลยน้า”

          ถึงคำหวานนั้นจะซ่อนใบมีดโกนก็เถอะ รอยยิ้มของเธอเองก็อ่านไม่ออกเลยว่าแซวเล่นหรือเอาจริง

 

ว่าแต่… ทำไมฝ้ายถึงโดนหาเรื่องนักวะเนี่ย

          ทัตคิดแล้วก็แอบโมโห เผลอส่งสายตาเป็นศัตรูใส่ไอดอลคนนั้นด้วยหางตา

 

“…”

          แล้วดูเหมือนเจ้าตัวจะประสาทไวพอจนสังเกตทันแม้ทัตจะรีบเปลี่ยนท่าที

          แต่แทนที่จะโกรธ เธอกลับแจกยิ้มให้ทัตทำเอาพิมแก้มป่อง …ถึงจะรู้ว่าเธอหงุดหงิดผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ทัตก็เถอะ เขาก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ดี

 

เป็นคนยังไงกันแน่เนี่ย อ่านความคิดไม่ออกเลย

          ทัตรู้สึกขนลุกกับไอดอลสาวคนนี้ในหลาย ๆ ความหมาย

 

“เอ๋….. นี่ฉันนั่งหัวโด่อยู่ตั้งนานไม่ยักกะทักกันเลยนะน้ำหวาน”

          หญิงสาวอีกคนเอ่ยทักสาวไอดอล… ทักน้ำหวานบ้าง

          เธอนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่งตัวเปิดผิวกายอย่างเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น แต่ที่โดดเด่นยิ่งกว่าคือผมสีทองที่ย้อมเฉดสีเขียวและชมพู ไม่พอยังเจาะหูเจาะปากอีก

          รูปลักษณ์ภายนอกดูยังไงก็คล้ายกับพวกอันธพาล แต่สีหน้ายิ้มแย้มของเธอมันเกินคนปกติเหมือนน็อตในหัวหลุด นั่นทำให้รู้สึกสยองมากกว่าอันตราย

          แม่สาวไอดอลเองก็คงคิดแบบนั้น เธอเลยสะบัดมือยิ้มบอกปัดตามมารยาท

 

“อุ๊ยแหม! ไม่เอาด้วยหรอกจ้า คุยกับเธอขนลุกขนพองจะตายไป”

          ถ้าไม่พ่วงคำด่ามาด้วย ท่าทางของน้ำหวานก็ดูแอ็บแบ้วน่ารักน่าชังดี

          และถึงบนหน้าเธอจะมีรอยยิ้ม แต่ก็ดูขยะแขยงจนทัตที่เป็นคนแปลกหน้ายังมองออกว่าไม่อยากคุย แถมยังหลบสายตาไปทางอื่นด้วย

 

“…ยัยโรคจิตเอ้ย”

“อ้าว? นั่นถือเป็นคำชมนะ ฮิฮิ”

          ผู้หญิงอันธพาลดันหูดีได้ยินน้ำหวานกระซิบด่า แต่เธอดันไม่เสียรอยยิ้มแถมยังหัวเราะคิกคักชอบใจอีก

 

อะไรของยัยนี่เนี่ย

          ท่าทางไม่ปกติของเธอทำทัตปวดหัวอีกคน ขนาดพิมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยังทำหน้ามุ่ย ท่าทางก็คิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะรับมือตรรกะคนประเภทนี้ไหวไหม

 

          คนที่ดูปกติที่สุด เห็นทีจะเป็นชายหนุ่มสวมชุดตำรวจที่นั่งอยู่ข้างผู้หญิงโรคจิตคนนั้น เขาถอนหายใจดูจะเหนื่อยหน่ายกับความวุ่นวายนี้เหมือนกับทัต

          ดูจากภายนอก อายุของเขาไม่น่าเกินสามสิบคล้ายกับเพิ่งเรียนจบใหม่ แต่บรรยากาศรอบตัวดูเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในนี้

          ทัตเห็นแบบนั้นแล้วโล่งใจ เพราะอย่างน้อยก็มีหัวหน้าหน่วยคนนึงที่พอจะคุยด้วยได้หน่อย

 

          ระหว่างนั้นประตูใหญ่ของห้องประชุมก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง คนที่นำเข้ามาคือเมดสาวคริสคนเดิม

          หากแต่หนนี้มีคนเดินตามหลังเธอมาด้วย

 

“เชิญค่ะท่านเซน”

“ขอบคุณที่เป็นธุระให้นะคริส”

          เด็กหนุ่มเดินตัดผ่านเข้ามาในห้อง คริสเลยเดินหลบไปด้านข้าง โค้งให้เขาด้วยรอยยิ้มแบบที่ไม่มีใครเคยเห็น

          การแสดงออกที่แตกต่างจากที่ให้กับคนอื่นชัดเจนนั้น แทบจะทำให้ทุกคนรู้ทันที

          ว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือหัวหน้าใหญ่ของพวกเขาไม่ผิดตัวแน่

 

          เด็กหนุ่มคนนี้ดูมาดสูงส่งในชุดทางการ แม้ความสูงจะเทียมกับเด็ก ม.ต้น แถมใบหน้ายังดูน่ารักจนเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กได้

          ทว่าแผ่นหลังอันตั้งตรงและการเดินอันองอาจ แม้กระทั่งการนั่งลงยังเก้าอี้หัวโต๊ะยังมีมาดขรึม จนอาจคิดว่าเขาเป็นเจ้าคนนายคนใหญ่คนโตได้

          เรียกว่าสมแล้วที่เป็น็นทายาทของนักธุรกิจ

 

“สวัสดีครับทุกท่าน” เด็กหนุ่ม… เซนยกมือสวัสดีทุกคนก่อนผสานมือวางบนโต๊ะ ดูมีอำนาจขัดกับร่างกายอันบอบบางอย่างน่าประหลาด

“คงเป็นครั้งแรกได้เจอกันตัวเป็น ๆ …ฉันชื่อเซน ยินดีที่ได้รู้จัก”

          เซนยิ้มทักทายทุกคนโดยหันไปรอบห้อง

          …ถึงจังหวะที่สบตากับทัตเขาจะชะงักไปแวบนึงก็ตาม

 

ถึงจะเสียมารยาทก็เถอะ แต่นี่มันเด็กไม่ใช่เหรอ?

คงไม่ใช่ตัวปลอมใช่ไหมเนี่ย?

          ทัตคิดถึงความเป็นไปได้อื่น แม้เด็กหนุ่มตรงหน้าจะมีกิริยาสมกับเป็นหัวหน้าคน แต่ของแบบนี้มันฝึกกันได้

 

          เหล่าหัวหน้าหน่วยคนอื่นเองก็เริ่มขมวดคิ้ว ดูท่าทุกคนจะคิดเหมือนกันว่าเซนคนนี้มีโอกาสเป็นตัวปลอม

          กับคนที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน จะให้เชื่อในทันทีเลยคงเป็นเรื่องยาก

 

“นี่… หัวหน้าใหญ่” ชายหนุ่มชุดตำรวจทักเซน

“ว่าไงครับคุณมาร์ค” เซนยิ้มกลับอย่างเป็นมิตร

          แต่เหมือนอีกฝ่าย… มาร์คจะไม่มีเจตนาแบบนั้นจึงกอดอกเหมือนเคลือบแคลง แววตาที่มองไปหาเซนยังดูคบกริบเหมือนจ้องจิกด้วย

 

“นี่นายเป็นตัวจริงงั้นเหรอ? คงไม่ใช่ว่าเป็นตัวปลอมหรอกนะ”

          มาร์คถามตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม สงสัยเหมือนกับทัตและคนอื่น ๆ

          ชัดเจนว่าไม่เคยมีใครเห็นตัวจริงของหัวหน้าใหญ่มาก่อน เพราะฝ้ายเองก็บอกว่าไม่เคยเห็นเช่นกัน

 

“คริส”

“ค่ะ”

          เซนเรียกเมดสาวโดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเหมือนเข้าใจกันสองคน

          ทันใดนั้นเธอก็เข้าไปปรับอุปกรณ์ฉายภาพที่อยู่ด้านหน้าโต๊ะของเซนให้หันไปหาเขา

 

“นี่คือข้อมูลของฉัน ทุกท่านสามารถตรวจสอบได้เลย”

          เซนเปิดหน้าต่างสเตตัสขึ้นแล้วหันไปทางกล้อง พร้อมกันนั้นด้านหลังของเขาก็ขยายภาพหน้าต่างสเตตัสให้ทุกคนได้เห็นผ่านโปรเจคเตอร์

          สำหรับมาร์คที่นั่งอยู่ใกล้กับเซน เขาเห็นตัวจริงและยืนยันข้อมูลบนนั้นได้ก่อนแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ รวมถึงทัตนั้นต้องอ่านจากภาพฉายเอา

 

เป็นผู้มีพลังแรงค์ 2 เลเวล 140 และอัพอาชีพ Fighter กับ Supporter เท่ากันงั้นเหรอ?

งั้นหมอนี่ก็เป็นอาชีพผสาน Guard Fighter สินะ

 

การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวนับว่ากล้ามากเพราะมันเหมือนเปิดไพ่ให้คนอื่นดู เราเองยังไม่อยากเลย

แต่ว่า… แค่นี้ก็ยังบอกไม่ได้หรอกว่าเป็นตัวจริง———

 

“แต่ว่า… แค่นี้ก็ยังยืนยันไม่ได้หรอกว่าฉันเป็นตัวจริง” เซนกล่าวขึ้นราวกับดักทางความคิดของทุกคน

          ถ้าฉลาดพอ เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่า ‘การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล’ กับ ‘การยืนยันตัวตนว่าเป็นหัวหน้า’ มันเป็นคนละเรื่องกัน

          นั่นเพราะเดิมที ไม่มีใครรู้จักชื่อของหัวหน้าใหญ่ด้วยซ้ำ

          ดังนั้น ประโยชน์เดียวของการเปิดเผยหน้าต่างสเตตัสของตัวเองจึงเป็นการซื้อใจและสร้างโอกาสให้ทุกคนรับฟังเขา เซนคิดเรื่องนั้นมาแล้วถึงได้เตรียมเครื่องฉายมาตั้งแต่ต้น 

 

“แต่ไม่ต้องห่วง เพราะฉันจะพิสูจน์ตัวเองในการประชุมครั้งนี้เอง”

          เซนประกาศไปรอบห้องอีกครั้ง ความฉะฉานนั้นคล้ายกับตอนที่คุยกันผ่านจอครั้งล่าสุด แม้ร่างกายจะเล็กกว่าทุกคนในห้องแต่คำพูดคำจากลับดูมั่นใจในตัวเองกว่าใคร

          สำหรับทัต อย่างน้อยนั่นก็เป็นสารตั้งต้นให้เชื่อว่าเขาคือตัวจริง

 

          เซนจัดท่าทางตัวเองใหม่ขณะคริสไปปิดเครื่องโปรเจคเตอร์

 

“งั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา… เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ” เซนประสานมือหน้าโต๊ะ ประกาศเริ่มประชุมอย่างเป็นทางการ

          สายตาทุกคนหันมามองเซนอย่างจริงจัง …ถึงทางสาวผมหลากสีที่ดูโรคจิตจะมองเขาด้วยสายตาหื่นกระหายอีกแบบก็เถอะ

          ส่วนน้ำหวานก็ดูยิ้มแย้มทีเล่นทีจริง ดูเหมือนไม่ได้จะมาหารืออะไรเลย

          แต่ไม่รู้ว่านั่นเป็นปกติอยู่แล้วหรืออย่างไร ทุกคนถึงดูไม่ใส่ใจนัก

 

“งั้นเริ่มจากสถานการณ์ปัจจุบันดีไหมครับ?” เซนสลับมองเหล่าหัวหน้าหน่วยทั้งหลาย คงคิดอยากให้ทุกคนรู้ภาพรวมของสถานการณ์

          ทองยกมือขึ้นต่ำ ๆ ในจังหวะนั้น

 

“พวกเราทุกคนหัวหมุนกับพวกนอกคอกเหมือนกันหมด คิดว่าคงต่างกันแค่รายละเอียดเท่านั้น เพราะงั้นมันไม่จำเป็นหรอก”

          ทองพูดเสียงดูเนือยก็จริง แต่นั่นคงเป็นบุคลิกของเขามากกว่า เพราะน้ำเสียงก็ดูทั้งรำคาญและตึงเครียดในเวลาเดียวกัน แถมเขายังพูดมากกว่าการทักทายตอนแรก แสดงว่าหากเป็นเวลาที่ควรเขาก็พร้อมจะยืนหยัดแนวทางของตน

          แววตาของทองเองก็ดูแข็งกร้าว แน่วแน่เอาเรื่องเหมือนกัน และเมื่อมีลูกน้องสองคนด้านหลังเขากอดอกข่ม ความจริงจังจึงยิ่งส่งผลไปทั่วห้อง

 

“เซฟเวอร์รับมือช้ากับคนพวกนี้ ฉันมานี่เพราะอยากจะให้เปลี่ยนกฎใหม่”

“งั้นเองสินะครับ”

          เซนพยักหน้ารับเรื่อง สีหน้าเรียบเฉยเหมือนรู้อยู่แล้ว แถมสายตาจริงจังของพวกทองก็ทำอะไรเขาไม่ได้ด้วย

          นั่นคืออีกครั้งที่เซนเหลือบมองมาทางทัต ซึ่งจากมุมของเขาคงเห็นทัตอยู่หลังทองพอดีอยู่แล้ว

 

คิดจะจ้องอะไรนักหนาเนี่ย…

ไม่สิ… เรื่องนั้นช่างมันก่อน

 

แต่ว่า… งั้นเหรอ… พวกหัวหน้าหน่วยมาประชุมเพราะมีแผนรับมือพวกกลุ่มศัตรูเหมือนกันสินะ

ถ้าแนวคิดของหมอนี่ไม่ต่างจากเรามากก็คงพอปรับให้เข้ากันได้

 

แต่ถ้าตรงข้ามล่ะก็…

          ทัตขมวดคิ้วเริ่มตึงเครียด แต่กังวลไปก็เท่านั้นเลยเปลี่ยนมาตั้งใจฟังแผนของพวกหัวหน่วยคนอื่นดีกว่า

          เซนเองก็สนใจเรื่องนั้นเลยหันไปมองหัวหน้าหน่วยคนอื่นอีกรอบ

 

“ทุกคนเองก็เหมือนกันรึเปล่าครับ”

“ก็นะ” มาร์คตอบรับสั้น ๆ แต่ก็ยืนยันว่ามีแผน

“นั่นสิน้า …ฉันเองก็รำคาญพวกนั้นเต็มทนแล้วเหมือนกัน”

          น้ำหวานพยักหน้ายิ้มแย้ม …แต่น้ำเสียงดูเย็นยะเยือกผิดกับที่ผ่านมาลิบลับ จนผู้ติดตามที่เป็นผู้ชายในชุดพ่อบ้านยังเหงื่อตกและรีบพัดให้เธอเร็วขึ้น

          ทัตไม่อยากคิดเลยว่าในหัวเธอมีแผนแบบไหนอยู่

 

          และในอีกด้านหนึ่ง… คนที่มีเรื่องที่อยากทำเฉย ๆ มากกว่าแผนก็มีอยู่

 

“ส่วนฉันอ่าน้า ขอฆ่าพวกนอกคอกได้แบบถูกกฎจะดีมากเลยล่ะน้า ขอแค่ได้ทำตามใจอยากแบบไม่เดือดร้อนใครฉันก็ไม่เอาอะไรแล้วล่ะ!”

          เด็กสาวผมหลากสียิ้มแย้มเป็นปิติกับจินตนาการในหัวเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลก แม้แต่ลูกน้องของเธอยังถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ดูเธอจะไม่คิดปิดบังความต้องการส่วนตัวของตัวเองเลย ราวกับเด็กทารกที่แสดงออกอย่างซื่อตรงยังไงอย่างงั้น

          หรือในอีกความหมายนึง นั่นอาจแปลว่าเธอ ‘เลวบริสุทธิ์’ ก็ได้

 

ยัยนี่ไหวไหมเนี่ย

          พิมส่งสีหน้าแบบนั้น ทัตเองยังอ่านใจเธอออกว่าไม่ไหวจะเคลียร์กับคนแบบนี้

 

“แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ! คือเห็นคุณหัวหน้าน่ารักดีอ่ะ ขอปั่มปั๊มสักทีได้ป่ะ?”

“ไม่ได้หรอกครับคุณควินน์ เสียใจด้วยนะครับ”

“เอ๋!!!!~~~~”

          โดนปฏิเสธด้วยรอยยิ้มแบบธุรกิจ เด็กสาววิปริตผมหลากสี… ควินน์ยังมาส่งเสียงเสียดายไม่อายฟ้าอายดินอีก

 

ครืนนนนนน

          แต่เรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือเมดของเซน คริสกำลังแผ่รังสีอำมหิตมากกว่าทุกทีอยู่ข้างหลังเขา

          ไม่รู้ว่าเซนไม่สนใจหรือชินแล้วกับอาการหึงหวง เขาเลยไม่รู้สึกอะไรแล้วหันไปมองทางฝ้ายต่อ

          ฝ้ายเองก็สบสายตานั้นและเข้าใจความหมายของมัน

 

“พวกเราเองก็มีค่ะ”

“เข้าใจแล้วครับ”

          เซนพยักหน้าเรียบเฉยอีกครั้ง เพราะเขาเชิญทัตมาเพื่อเรื่องนี้เอง

 

          ยังไงก็ตาม… สถานการณ์จากหัวหน้าหน่วยทุกคนดูจะตึงเครียดกว่าที่ทัตคิดไว้ เขาสัมผัสความโกรธแค้นได้จากแววตาของหัวหน้าหน่วยทุกคนเมื่อพูดถึงความวุ่นวายในสถานการณ์ปัจจุบัน

          แถมตัวหัวหน้าใหญ่อย่างเซนเองก็ดูจะไม่โกรธด้วยที่ลูกน้องกำลังแข็งข้อขอเปลี่ยนกฎ แววตาเขาเองก็ดูจะยอมรับได้

          ไม่สิ… บางทีตัวเซนเองก็อาจมีแผนที่จะเปลี่ยนเหมือนกันก็ได้

 

          ทุกคนอยู่ในจุดที่อยากให้สังคมของผู้มีพลังเปลี่ยนแปลงกันหมด

          ทัตจึงอนุมานได้… ว่าสถานการณ์ตอนนี้กำลังถึงจุดวิกฤตจริง ๆ

 

แต่ว่า… จากจุดนี้แหละคือช่วงสำคัญ

เรื่องที่ทุกคนอยากแก้ปัญหานั้นเป็นเรื่องดี แต่แก้ด้วยวิธีไหนนี่สิประเด็น

          ทัตคิดแล้วจับสังเกตคนในห้องอีกครั้ง เพราะถ้าคิดแก้ปัญหากันคนละวิธี เซฟเวอร์อาจได้ถึงคราวแตกจริง ๆ แน่

 

          และดูเหมือนจะมีอีกคนที่เห็นปัญหาเดียวกัน เซนถึงได้มองไปรอบห้องแบบเดียวกับทัต ก่อนจะไปจบที่ทองซึ่งเป็นคนเปิดประเด็นเรื่องขอเปลี่ยนกฎคนแรก

 

“งั้นเรามาฟังแผนของแต่ละคนกันก่อนดีกว่าครับ เริ่มจากคุณทอง ก่อนหน้านี้คุณบอกว่า———”

ตู้ม!

“ “ “!!!!?” ” ”

          คำพูดของเซนชะงักไปเพราะได้ยินเสียงระเบิดเกิดขึ้นอยู่ไกลลิบ ขั้นแทรกด้วยสีหน้าตกตะลึงของคนทั้งห้องที่ได้ยินแบบเดียวกัน

          ประสาทสัมผัสของทุกคนในห้องตื่นตัว เลือดลมสูบฉีดแม้จะยังนั่งติดเก้าอี้ แต่พวกเขายังคงรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อยู่เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก

 

          ทุกคนนิ่งเงียบราวกับรอยืนยันสถานการณ์

          กระทั่งเสียงกรีดร้องเกิดขึ้นรอบทิศรวมถึงชั้นล่างของโรงพยาบาล แววตาของทุกคนในห้องก็เปลี่ยนเป็นของนักรบ

 

เฟิร์สไนท์เริ่มแล้วสินะ

          ทัตยืนยันสถานการณ์ได้พร้อมคนอื่นจึงรีบเร่งประสาทสัมผัสให้คมกริบ เพราะเมื่อเฟิร์สไนท์เกิดขึ้น ความตายก็สามารถมาลูบคมคอได้ตลอดเวลา

 

          เหล่าหัวหน้าหน่วยคนอื่นเองก็มีสีหน้าจริงจังขึ้น แม้กระทั่งควินน์ที่ทำตัวดี๊ด๊าเป็นโรคจิตมาตลอดยังเงียบไป และพยายามฟังเสียงรอบตัวเพื่อจับสังเกตสถานการณ์

          เหล่าผู้ติดตามคนอื่น ฝ้ายและพิม… ถึงทุกคนจะไม่ได้ขยับเขยื้อนเปลี่ยนอิริยาบถ แต่บอกได้เลยว่าบรรยากาศของทุกคนเปลี่ยนไป

 

          เช่นเดียวกับเซน เขาเหลือบมองคริสที่กำลังคุยกับใครบางคนผ่านทางหูฟังไร้สาย เป็นที่สังเกตของทุกคนในห้องไปด้วย

          แล้วเหมือนคริสจะยืนยันบางอย่างได้ จึงเดินนำมาอยู่ข้างเซนให้ทุกคนเห็นตัว

 

“สถานการณ์ปกติดีค่ะ ทุกคนรับมือมอนสเตอร์กันอยู่ ไม่มีรายงานว่าพบบอสหรือ Chivalry ด้วยค่ะ” คริสว่าจบก็ก้มหัวแล้วกลับไปยืนด้านหลังเซนเหมือนเดิม

“ขอบคุณนะคริส”

          เซนยิ้มตอบเบาใจได้เปราะนึง ดูท่าแม้แต่หัวหน้าใหญ่เองก็ไม่อยากเจอตัวปัญหาแบบนั้นอีก

 

“แต่ถึงงั้น… ในห้องนี้ก็มีคนที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศอยู่ตั้ง 6 คน คงไม่มีอะไรต้องกลัวหรอกจริงไหมครับ”

          เซนหันมายิ้มให้กับทุกคนด้วยรอยยิ้มมั่นใจ คำกล่าวนั้นย่อมส่งไปหาเหล่าหัวหน้าหน่วยเป็นพิเศษ

          และใช่… มันทำให้ทุกคนสบายใจ

 

“…แหงล่ะ” ทองพิงหลังเก้าอี้ตอบแบบไม่เครียด

“ก็นั่นน่ะสิ” มาร์คยิ้มรับตาม นั่นนับเป็นรอยยิ้มแรกของเขาที่พวกทัตเห็นเลย

“แหม ก็หวังว่าจะไม่มีไอ้ตัวที่เก่งเท่าพวกเราออกมาด้วยล่ะนะ” น้ำหวานเองก็กลับมาใช้น้ำเสียงสดใส ท้าวคางยิ้มเริงร่าเหมือนตอนแรก

“อุ้ยตาย! ถ้าเป็นงั้นก็หนุกหนานเลยอ่ะดิ!” ควินน์ที่ดูจะให้ความสนใจกับสถานการณ์ด้านนอกมากกว่าก็หันหลับมาสนใจการประชุมแล้วเช่นกัน

          ทุกคนเริ่มกลับมายิ้มแย้มผ่อนคลายลง ไม่รู้ว่าเป็นการจงใจของเซนหรือไม่ แต่คำพูดของเขาช่วยรวมความคิดของทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียวว่า ‘ถ้าพวกเรายังอยู่ด้วยกันก็ไม่มีอะไรต้องกลัว’

 

ถ้าเมื่อกี้ตั้งใจ… ก็คงต้องยอมรับในความเป็นผู้นำล่ะนะ เซน

          ทัตคิดชื่นชมในใจ เพราะดูแล้วก็น่าจะเป็นการจงใจจริง ๆ

          ตอนนี้ทุกคนถูกเซนดึงดูดความสนใจไปเรียบร้อยแล้ว

 

“งั้นเรามาหาข้อสรุปกันต่อดีกว่านะครับ… คุณทอง คุณบอกว่าอยากเปลี่ยนกฎสินะครับ”

“อืม”

          ทองพยักหน้าเปลี่ยนมานั่งหลังตรง แต่สายตาไม่ได้เจาะจงไปที่เซนเท่านั้น

          เขามองไปที่ทุกคน…

 

“เซฟเวอร์ตอนนี้มีกฎว่าห้ามฆ่าคน ฉันอยากให้เอากฎนั้นออก”

“ “ “ “!!!!!?” ” ” ”

          คำขอของทองทำคนในห้องเบิกตาโพลงในความกล้า

          เพราะแม้ทุกคนจะแอบมีความคิดแบบนั้นบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะกล้าแสดงความเห็นแบบนั้นกันหมดทุกคน รวมถึงทัตด้วย

 

มีคนอยากให้ยกเลิกกฎแบบเราด้วยสินะ

แต่ว่า… ถ้าแค่ยกเลิกเฉย ๆ เราคงไม่ต่างจากพวกนอกคอกหรอก

 

คนที่ชื่อทองจะคิดถึงเรื่องนี้ไหมนะ

          ทัตหันไปมองทองสลับกับเซนเพื่อดูปฏิกิริยา

 

“เหตุผลล่ะครับ” เซนถามทองกลับอย่างใจเย็น ดูท่าจะเชื่อใจทองพอสมควรเพราะทำงานด้วยกันมานาน

          ทองเองก็รู้ว่าคำขอมันดูรุนแรงผิดกับแนวคิดของเซฟเวอร์ แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ตัดสินใจมาแล้ว เขาก็จะเดินหน้าต่อ

 

“มันก็แน่อยู่แล้ว พวกนอกคอกไม่มีกฎนี้ แต่พวกเรามี… พวกมันก็เลยได้ใจอยู่นี่ไง” ทองพูดไปกำหมัดไป ลูกน้องด้านหลังเองก็กัดฟันตาม

          ความคับแค้นนั้นส่งไปถึงทุกคนในห้อง คิดว่าน่าจะเข้าใจความรู้สึกที่ถูกพวกนอกคอกเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียวดี

          และแน่นอนว่าความอัดอั้นนั้นส่งไปถึงเซนด้วย ทัตเองก็สังเกตว่าเซนดูตึงเครียดขึ้น

 

“ฉันเองก็คิดเหมือนกันว่าควรถึงเวลาทบทวนกฎนี้ แต่เราจะผลีผลามไม่ได้นะครับ เพราะถ้าการฆ่าคนกลายเป็นเรื่องปกติ ความสงบเรียบร้อยได้หายไปของจริงแน่” เซนผายมือชี้แจงอย่างใจเย็น ตรงตามความคิดของทัต

          ถึงจะทำให้ทองหรี่ตาขมวดคิ้วแน่นขึ้นก็เถอะ

 

“ความสงบเรียบร้อยตอนนี้มันก็ไม่มีอยู่แล้วไม่ใช่รึไง!” ทองตบโต๊ะขึ้นยืน เริ่มขึ้นเสียงไม่รู้ตัว แต่ถึงรู้เขาก็หยุดอารมณ์โกรธแค้นที่พรั่งพรูออกมาไม่ได้แล้ว

“ก็จริงที่ทำแล้วมันจะวุ่นวายกว่าเดิม แต่ถ้าไม่ทำนี่ทุกอย่างจะหายไปหมดเลยนะ———”

“ใจเย็น ๆ ก่อนทอง หัวหน้าไม่ได้บอกว่าเปลี่ยนไม่ได้ แค่บอกว่ากฎใหม่ที่จะเปลี่ยนต้องมีหลักการมากกว่าแค่ลบกฎออกไปเฉย ๆ”

          มาร์คเอ่ยขัดจังหวะขึ้นทำให้เซนพยักหน้ารับเห็นด้วยตาม เพราะเซนไม่ได้จะปฏิเสธอยู่แล้ว

          …ถึงมันจะส่งผลตรงข้ามกับทองก็เถอะ

 

“…ใจเย็นเหลือเกินนะมาร์ค” ทองลงไปนั่งที่เดิมแต่เริ่มเขม่นมองมาร์คที่พูดขัดเขา ความร้อนในอกทำให้เขาเปิดปากอีกครั้ง

“นายอาจจะพูดได้เพราะไม่เคยเสียใครไปแบบฉัน คงต้องให้คนใกล้ตัวตายก่อนนายถึงจะกล้ามือเปื้อนเลือด”

“…แล้วคิดว่าคนอื่นเขาไม่เสียใครเลยรึไง? คงคิดว่าตัวเองน่าสงสารที่สุดในโลกล่ะสินะ”

          สิ้นคำพูดของมาร์ค คิ้วของทองก็กระตุกแรง สีหน้านิ่วของเขายิ่งบิดเบี้ยวด้วยความโกรธมากเข้าไปอีก

 

“…พูดอีกทีสิ” ทองเค้นเสียงเหมือนความโกรธกำลังจะปะทุ แรงกดดันมากพอให้ผู้ติดตามคนอื่น ๆ กลืนน้ำลาย

          บางทีนั่นคงเป็นแรงกดดันที่มาจากพลังของ Chivalry ที่เขาปราบ แต่เพราะแบบนั้น เหล่าหัวหน้าหน่วย รวมถึงทัตและพิมเลยไม่สะทกสะท้าน เนื่องจากมันไม่ส่งผลกับคนที่อยู่แรงค์ 2 เหมือนกัน

          นั่นเลยเป็นข่าวร้ายที่มันไม่มากพอให้มาร์คเปลี่ยนความคิด แถมเขายังทำตาขวางสวนใส่ทองอย่างไม่เกรงกลัวด้วย

 

“ต้องให้ย้ำด้วยเหรอ? พ่อนางเอกชีวิตรันทด”

“โอเค”

“ “ “ “!!!!?” ” ” ”

          ทองเรียกปืนลูกแซงแฝดสีดำทมิฬออกมาจากความว่างเปล่าทำทุกคนสะดุ้งโหยง แต่มาร์ครู้ตั้งแต่ได้ยินคำว่าโอเคที่ไม่โอเคแล้ว เขาเลยเรียกสนับมือเหล็กหนามสีดำออกมาสวมเตรียม

          ทองยกปากกระบอกปืนลูกซองขึ้นกลางโต๊ะหันไปทางมาร์ค มาร์คก็ลุกขึ้นพุ่งกระโดดขึ้นโต๊ะเข้าไปกะจะเปิดใส่อีกฝ่ายก่อนที่ตัวเองจะโดนยิง

 

“ทั้งสองคนใจเย็นก่อนครับ!———”

เคร๊ง!

          คำห้ามของเซนช้ากว่าแรงปะทะ ปฏิกิริยาตอบโต้ของหัวหน้าหน่วยทั้งสองเร็วกว่าคำพูด เสียงเหล็กเลยกระทบกันขึ้นก่อนที่เสียงของเซนจะไปถึง

 

          ทว่า… เสียงที่ดังขึ้นครั้งเดียวนั้น ไม่ได้มาจากอาวุธของมาร์คกับทองปะทะกัน

          หากแต่เป็นทัตที่พุ่งเข้าไปกลางจุดปะทะบนโต๊ะประชุม ใช้หมัดเหล็กโซ่ทมิฬ หยุดหมัดกับปืนของชายระดับหัวหน้าหน่วยสองคนไว้ได้ด้วยตัวคนเดียว

 

❖❖❖❖❖

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด