แม่ปากร้ายยุค 80 962 คำพูดของนังตัวแสบ
ตอนที่ 962 คำพูดของนังตัวแสบ
ตอนที่ 962 คำพูดของนังตัวแสบ
หลังจากกลับถึงเมืองหลวงและพักผ่อนที่บ้านหนึ่งวัน หลินม่ายก็เดินทางไปยังโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 ในเมืองหลวง
เมื่อผ่านโรงแรมแห่งหนึ่ง หลินม่ายบังเอิญเห็นโยมิ อาซากุสะในชุดสีแดงจากหน้าต่างรถ
หล่อนกลัดช่อดอกไม้เจ้าสาวที่หน้าอก ยืนเคียงข้างหลูเจียซิ่งที่ทางเข้าโรงแรมขนาดเล็กเพื่อต้อนรับแขก
หลูเจียซิ่งกลัดช่อดอกไม้เจ้าบ่าวที่หน้าอกของเขาเช่นกัน
หลินม่ายประหลาดใจ ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากันเหรอ?
ปัจจุบันรองผู้อำนวยการเป็นผู้รักษาการโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 อย่างไรก็ตามเมื่อหลินม่ายเข้าไปหา เธอพบว่ารองผู้อำนวยการไม่เต็มใจที่จะตัดสินใจใด ๆ และขอให้เธอขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงแทน
หลินม่ายเตรียมของขวัญมากมายทันที และตรงไปที่บ้านของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมบอกว่า เพราะผู้อำนวยการฉีหนีไปพร้อมเงินที่ยักยอก ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายที่ถูกหลอกจึงส่งคำร้องให้โรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 ขึ้นศาล
ในเวลานั้นที่ผู้อำนวยการฉีทำเรื่องฉ้อฉล เขาใช้ชื่อของโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 ด้วยเหตุนี้เขาจึงหนีหายไป ความรับผิดชอบสำหรับสถานการณ์ดังกล่าวจึงตกเป็นของโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3
ศาลมีคำสั่งให้โรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหาย
ทว่าโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 ไม่มีเงิน ผู้เสียหายจึงร่วมกันร้องขอให้ศาลบังคับคดี
อีกสองวันจะเป็นวันที่อุปกรณ์ของโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 จะถูกประมูล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมขอให้หลินม่ายไปยังสถานที่ประมูลเพื่อประมูลด้วยตัวเอง
สองวันต่อมา หลินม่ายประมูลอุปกรณ์สิ่งทอขั้นสูงของโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 ในราคา 1.75 ล้าน
รัฐบาลใช้เงินมากกว่าสองล้านหยวนในการซื้ออุปกรณ์เหล่านี้
แม้ว่าอุปกรณ์จะเสื่อมสภาพไปบ้าง แต่การซื้อด้วยราคา 1.75 ล้านหยวนยังคุ้มทุนมาก
หลินม่ายวางแผนที่จะใช้มันเป็นเวลาสองถึงสามปี ก่อนจะแทนที่ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยกว่า
หลังจากซื้ออุปกรณ์แล้ว หลินม่ายก็ขนส่งพวกมันผ่านรถไฟไปยังเมืองเจียงเฉิง และใช้เวลาถึงที่นั่นภายในหนึ่งสัปดาห์
ในช่วงสัปดาห์นี้ เหรินเป่าจูได้คัดเลือกคนงานที่มีทักษะและขยันขันแข็งจำนวนมากจากโรงงานสิ่งทอหลายแห่งในเมืองเจียงเฉิง
เถาจืออวิ๋นยังแนะนำนักศึกษาการออกแบบผ้าที่หล่อนอรู้จักในอิตาลีในฐานะช่างเทคนิคในโรงงานสิ่งทอ
ทันทีที่อุปกรณ์มาถึง โรงงานเสื้อผ้าจิ่นซิ่วก็เข้าสู่ขั้นตอนการผลิต
จากนั้นหลินม่ายจึงมีเวลาสืบข่าวเกี่ยวกับโยมิ อาซากุสะและหลูเจียซิ่งที่กลายเป็นสามีภรรยากัน
แม้ว่าครอบครัวตระกูลอวี่จะล่มสลายและธุรกิจของโยมิ อาซากุสะก็พังทลายไปด้วย แต่หล่อนสามารถพูดภาษาประเทศเกาะได้อย่างคล่องแคล่ว
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่ใกล้ชิดกับประเทศเกาะ จึงมีความต้องการเร่งด่วนในการค้นหาบุคลากรจำนวนมากที่สามารถพูดภาษาประเทศเกาะได้
ด้วยเหตุนี้โยมิ อาซากุสะจึงหางานแปลที่ได้ค่าตอบแทนสูงในบริษัทที่ได้รับทุนจากต่างชาติอย่างง่ายดายและยังคงมีชีวิตที่ดี
เมื่อเห็นแบบนี้ หลูเจียซิ่งก็รู้สึกไม่ยุติธรรม
เขาคิดมาเสมอว่าเป็นโยมิ อาซากุสะ ที่ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์นี้
ทำไมหล่อนถึงยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีงานทำ ส่วนเขาตกงาน ชื่อเสียงเสื่อมเสียและหาคู่ครองไม่ได้ด้วยซ้ำ
เมื่อสาว ๆ เหล่านั้นได้ยินว่าเขาเป็นคนนิสัยเสีย พวกหล่อนก็วิ่งหนีอย่างรวดเร็วเหมือนกระต่าย
หลูเจียซิ่งคิดว่าในเมื่อโยมิ อาซากุสะเป็นต้นเหตุให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงทำให้หล่อนกลายเป็นภรรยาของเขา
นอกเหนือจากริมฝีปากหนาเหมือนไส้กรอกและโครงที่ใหญ่นิดหน่อย โยมิ อาซากุสะยังถือว่าเป็นคนสวย และเหมาะสมที่จะเป็นภรรยาของเขา
卢家兴开始造谣,说余美浅草和他有一腿,而且还是她主动的。
หลูเจียซิ่งกระจายข่าวลือโดยบอกว่า โยมิ อาซากุสะมีความสัมพันธ์กับเขาและหล่อนเป็นคนเริ่ม
การแพร่กระจายข่าวลือใช้เวลาเพียงไม่กี่คำ ในขณะที่การหักล้างอาจทำให้หมดแรงได้
โดยเฉพาะข่าวลือซุบซิบแบบนี้ที่หักล้างได้ยากที่สุด
แฟนหนุ่มสองคนของโยมิ อาซากุสะที่พบกันผ่านการนัดบอดต่างขอเลิกกับหล่อนเพราะข่าวลือนี้
โยมิ อาซากุสะมาหาหลูเจียซิ่งและถามเขาว่าทำแบบนี้กับหล่อนทำไม
หลูเจียซิ่งจึงตอบไปตามตรงว่าต้องการแต่งงานกับหล่อน
แน่นอนว่าโยมิ อาซากุสะกล่าวปฏิเสธ
หลูเจียซิ่งบันดาลโทสะทุบตีหล่อนทันที ก่อนถ่ายภาพเปลือยของหล่อนเก็บไว้ โดยบอกว่าหากหล่อนไม่ตกลงแต่งงานกับเขา ภาพเปลือยของหล่อนจะปลิวว่อนไปทั่ว
โยมิ อาซากุสะถูกบังคับให้แต่งงานกับหลูเจียซิ่ง เงินที่หล่อนได้รับมาจากการทำงานต้องนำมาช่วยเหลือหลูเจียซิ่ง ทำให้ชีวิตของหล่อนน่าสังเวชมาก
แต่หลินม่ายไม่เห็นใจหล่อน ทั้งยังสาปแช่งว่าหล่อนสมควรได้รับมัน
สองวันก่อนที่โรงงานเสื้อผ้าจิ่นซิ่วจะเริ่มการผลิต เหรินเป่าจูโทรหาหลินม่าย บอกหลินม่ายว่า คนงานที่ถูกเลิกจ้างซึ่งคัดเลือกมาจากโรงงานทอผ้าในเมืองเจียงเฉิงใช้อุปกรณ์ใหม่เหล่านั้นได้ไม่ดีนัก ทำให้ผ้าทอทั้งหมดมีข้อบกพร่อง
หลินม่ายบอกหล่อนว่าไม่ต้องกังวล เธอจะไปที่โรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 เพื่อรับสมัครช่างเทคนิคสองถึงสามคนสำหรับการบำรุงรักษาเครื่องจักร และมาสอนคนงานที่ถูกเลิกจ้างบางส่วน
เนื่องจากอุปกรณ์ของโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 ถูกประมูล โรงงานจึงพังทลายและคนงานถูกเลิกจ้างเช่นกัน ทำให้หลินม่ายสามารถฉวยโอกาสว่าจ้างคนเหล่านี้ได้
แต่หลังจากไปที่นั่น เธอพบว่ามันไม่ง่ายเลย
คนงานที่ถูกเลิกจ้างเหล่านั้นไม่เต็มใจที่จะไปทำงานในเมืองเจียงเฉิง
ในสายตาของพวกเขา เมืองเจียงเฉิงเป็นมณฑลใหญ่ก็จริง แต่เงินเดือนและสวัสดิการไม่อาจเทียบได้กับเมืองหลวง
หลินม่ายนึกก่นด่าพนักงานที่ถูกเลิกจ้างเหล่านี้ ตอนนี้ตกงาน แล้วยังจะเลือกงานอีก
เธอส่งนามบัตรของตัวเองให้กับคนงานที่ถูกเลิกจ้างทุกคน โดยบอกว่าใครก็ตามที่ต้องการทำงานในเมืองเจียงเฉิงให้ติดต่อเธอได้เสมอ
ชีวิตเหมือนคลื่นทะเล ไม่มีวันสงบ คลื่นลูกหนึ่งยังไม่ทันกระทบถึงฝั่ง คลื่นลูกใหม่ก็ถาโถมเข้ามาอีก
ก่อนที่หลินม่ายจะรับสมัครช่างเทคนิคและคนงานที่ถูกเลิกจ้างจากโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นกับร้านขายถุงน่องเจียเหม่ย
คนงานมีฝีมือที่คัดเลือกจากมณฑลกวางตุ้งไปยังโรงงานของผู้อำนวยการก่อนหน้านี้ พวกเขาเพิ่งทำงานไม่นาน จู่ ๆ ก็เก็บกระเป๋าและมุ่งตรงไปยังกว่างโจวโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ค่าจ้างในกว่างโจวนั้นสูงกว่า คนเหล่านี้จึงต้องการทำงานที่ได้เงินมากขึ้น
โชคดีที่หลินม่ายใช้ความระมัดระวัง และคัดเลือกคนหนุ่มสาวที่ตกงานจำนวนมากในเมืองเจียงเฉิงล่วงหน้า ซึ่งกลายเป็นการเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาด
เด็กฝึกงานกลุ่มนี้จบการศึกษาไปนานแล้วและตอนนี้สามารถจัดการงานด้วยตัวเอง
มิฉะนั้นหลังจากแรงงานมีทักษะทั้งหมดหนีหายไป โรงงานคงไม่สามารถดำเนินการต่อได้
อย่างไรก็ตามแรงงานมีฝีมือส่วนใหญ่คงจะกลับมาอีกไม่นาน
มีคนจำนวนมากเกินไปที่ไปกว่างโจวเพื่อหางานในปีนี้ และเป็นการยากที่จะหางานทำ
ยิ่งกว่านั้นพวกเขาพบว่า แม้ค่าจ้างในเมืองเจียงเฉิงจะต่ำกว่าค่าจ้างในกว่างโจวมาก แต่ค่าจ้างในกว่างโจวส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาตรฐานของเมือง
รายได้ของร้านขายถุงน่องเจียเหม่ยคือเงินเดือนพื้นฐานบวกกับโบนัสตามผลงาน และค่าคอมมิชชั่นตามชิ้น ซึ่งไม่น้อยไปกว่าเงินเดือนในกว่างโจว หรืออาจจะสูงกว่าเล็กน้อย
คนเหล่านี้คิดจะไปก็ไป คิดจะกลับมาก็กลับมาตามที่ต้องการ พวกเขาคิดว่าร้านขายถุงน่องเจียเหม่ยเป็นสวนผักหรืออย่างไร?
หวังคุนผิงมุ่งมั่นที่จะไม่จ้างงานคนเหล่านี้อีก
แต่เขายังคงโทรหาหลินม่ายเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
เขากลัวว่าหลินม่ายอาจจะคิดต่างจากเขา
หลินม่ายไม่เพียงคิดเหมือนเขา แต่ยังสนับสนุนให้เขารับสมัครคนหนุ่มสาวที่ตกงานในเมืองเจียงเฉิงมากขึ้นด้วย เพื่อช่วยรัฐบาลแก้ปัญหาการจ้างงาน
คนงานเหล่านั้นที่ออกงานตามใจตัวเองล้วนเก็บของจากไปด้วยความโกรธ
หลินม่ายรอคอยมานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดช่างเทคนิคจากโรงงานฝ้ายแห่งชาติหมายเลข 3 แซ่หลานติดต่อเธอมา โดยบอกว่าแสดงความเต็มใจที่จะทำงานในเมืองเจียงเฉิง
หลินม่ายเขียนบันทึก เธอขอให้ช่างเทคนิคหลานนำบันทึกนี้ไปยังเมืองเจียงเฉิงและยื่นให้ผู้อำนวยการเหรินเป่าจู เพื่อให้หล่อนจัดการให้เขาทำงาน
ไม่กี่วันต่อมา หลินม่ายโทรหาเหรินเป่าจูและถามเกี่ยวกับสถานะการทำงานของช่างเทคนิคหลาน
เหรินเป่าจูตอบกลับอย่างไม่พอใจ “โอ๊ย! อย่าไปพูดถึงเลยค่ะ คนโง่เขลาที่ไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่รู้ต้องทำอะไร ยุ่งวุ่นวายทั้งวัน แล้วยังทำอุปกรณ์พังไปชิ้นหนึ่ง ถ้าฉันไม่จ้างน้องชายสามีของคุณเพื่อมาซ่อมอุปกรณ์นานหลายวัน เราคงขาดทุนอย่างน้อยหลายแสนหยวน”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หลินม่ายสำนึกผิดอยู่ในใจ
หากมองข้ามสถานการณ์โรงงานของรัฐที่มีบุคลากรไม่มีคุณภาพ เธอควรทำการประเมินก่อนที่ว่าจ้างพวกเขา
อย่างไรก็ตามหลินม่ายทำสัญญาว่าจ้างกับช่างไว้แล้ว ซึ่งถือเป็นมาตรการป้องกัน
สัญญามีความว่า หากพนักงานทำให้โรงงานเสียหายเนื่องจากความสะเพร่าของตัวเอง พนักงานจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
หลิน่มายขอให้เหรินเป่าจูดำเนินการเอาผิดตามสัญญา
ไม่กี่วันต่อมา เหรินเป่าจูโทรหาหลินม่ายและแจ้งเธอว่า นอกเหนือจะมีบ้านพักอาศัยจากรัฐแล้ว ครอบครัวของช่างเทคนิคหลานยากจนข้นแค้นมาก
หลินม่ายตอบไปว่า “ไปฟ้องเขาขึ้นศาล ถ้าไม่มีเงินก็แค่ติดคุก”
ไม่ใช่ว่าเธอโหดร้าย
หากปราศจากความเชี่ยวชาญที่จำเป็นแล้วมาทำงานละเอียดอ่อนจะถือเป็นการกระทำที่เสี่ยง ซึ่งทำให้เธอสูญเสียครั้งใหญ่
เขาเป็นคนที่มีเจตนาไม่ดีตั้งแต่แรกแล้ว ทำไมเธอถึงต้องยอมหลังจากเขาสร้างปัญหาด้วย?
หลังจากอธิบายให้เหรินเป่าจูฟังเกี่ยวกับวิธีจัดการกับช่างเทคนิคหลานแล้ว หลินม่ายก็เลิกคิดถึงมัน
ในช่วงเที่ยงวันนี้ หลังจากเลิกเรียน หลินม่ายเดินออกจากห้องเรียนพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้น
หญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้าซีดเซียวเข้ามาถามหาว่าใครคือหลินม่าย
เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งชี้ไปทางหลินม่าย “คนนี้แหละ”
หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาหาหลินม่ายทันที ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าพร้อมโค้งคำนับ
เธอพร่ำอ้อนวอน “ประธานหลิน ได้โปรดเถอะค่ะ ปล่อยสามีของฉันไปเถอะ”
เพื่อนร่วมชั้นที่กำลังตรงไปโรงอาหารต่างก็หยุดชะงักและดูภาพฉากนี้ด้วยความตื่นเต้น
หลินม่ายถามด้วยความงุนงง “สามีของคุณเป็นใครคะ?”
“เขาคือหลานฟู่กั๋ว ช่างเทคนิคหลานค่ะ”
หลินม่ายเย้ยหยันด้วยความเหยียดหยาม “คุณกล้ามากเลยนะคะ ที่เรียกเขาว่าช่างเทคนิค ช่างเทคนิคที่ไร้ฝีมือ ไม่รู้เรื่องราว แล้วยังกล้าเสนอหน้ามาโรงงานของฉันเพื่อโกงค่าจ้าง ถ้าแค่โกงค่าจ้างคงไม่เป็นไร แต่ยังทำลายอุปกรณ์มูลค่าเกือบสองล้านหยวนในโรงงานของฉันอีก”
นางหลานพูดตะกุกตะกัก “ฉะ… ฉันขอโทษ สามีของฉันจบจากสถาบันการศึกษาในพื้นที่ชนบท เขา… เขาไม่รู้วิธีซ่อมเครื่องจักร”
หลินม่ายพูดอย่างเย็นชา “แล้วกล้าดียังไงถึงมาสมัครงานตำแหน่งช่างเทคนิคถ้าไม่รู้วิธีการซ่อมเครื่องจักรคะ?”
ภรรยานายหลานน้ำตาคลอเบ้า “ขะ… เขาทำไปเพราะถูกต้อนให้จนมุม ที่บ้านของเรามีผู้สูงอายุและเด็กที่ต้องดูแล”
“เพราะแค่ยากจนก็สามารถหลอกลวงผู้คนโดยไม่ผิดได้แล้วเหรอ?”
ภรรยานายหลานตอบ “สามีของฉันทำผิดไปแล้ว ฉันจะก้มลงแทบเท้ายอมรับความผิดพลาดนี้”
หลังจากนั้นหล่อนก็กำลังก้มตัวลง แต่หลินม่ายห้ามไว้ก่อน
“ต่อให้คุณคำนับเป็นร้อยหน มันก็ไม่สามารถชดเชยความสูญเสียที่สามีของคุณทำไว้ได้”
ผู้หญิงคนนั้นพึมพำ “ฉันรู้ค่ะ แต่เครื่องจักรได้รับการซ่อมแซมแล้ว คุณไม่ได้สูญเสียอะไรเลย ปล่อยสามีของฉันไป อย่าส่งเขาเข้าคุก ไม่งั้นครอบครัวเราคงพังทลายลง ได้โปรดเถอะค่ะ”
ในตอนแรกผู้ชมที่เฝ้าดูเหตุการณ์ต่างก็เข้าข้างหลินม่าย
ช่างเทคนิคหลานขาดทักษะด้านเทคนิค แต่กลับสมัครงานในตำแหน่งนั้น นี่ถือเป็นพฤติกรรมที่อุกอาจอยู่แล้ว
เขายังทำลายอุปกรณ์ของคนอื่นที่มีมูลค่านับล้านหยวน มันจึงสมเหตุสมผลแล้วที่หลินม่ายจะส่งเขาเข้าคุก
แต่หลังจากได้ยินถ้อยคำจากภรรยานายหลานว่า เครื่องจักรได้รับการซ่อมแซมแล้ว มันจึงไม่มีการสูญเสียมากนัก
นักเรียนบางคนรู้สึกว่าหลินม่ายทำเกินไป
ครอบครัวของช่าวเทคนิคหลานลำบากมากแล้ว ส่วนเธอนั้นไม่ได้สูญเสียอะไร ทำไมเธอถึงไม่ให้อภัยคนอื่นและปล่อยพวกเขาไป?
เด็กสาวที่ประกาศตัวเองว่าเป็นคนรักความยุติธรรมก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อตักเตือนหลินม่าย “คุณไม่ได้สูญเสียอะไรเลย แล้วทำไมต้องบีบบังคับครอบครัวคนอื่นให้อับจนหนทางด้วย”
เพื่อนร่วมชั้นหลายคนเห็นด้วย
หลินม่ายถามอย่างเย็นชา “ใครบอกคุณว่าฉันไม่สูญเสียอะไรเลย?”
หญิงสาวเบิกตากว้างและพูดว่า “เครื่องจักรของคุณได้รับการซ่อมแซมแล้วไม่ใช่หรือไง? แล้วคุณสูญเสียอะไรอีก?”
หลินม่ายตอบ “เครื่องจักรพัง และต้องใช้เวลาหลายวันในการซ่อม ช่วงเวลานั้นโรงงานต้องปิดตัวลง รู้ไหมว่า 1 วันที่เราปิดโรงงานเกิดความเสียหายไปเท่าไหร่?”
ผู้หญิงคนนั้นเป็นใบ้ทันที
หลินม่ายชูสามนิ้ว “เราขาดทุนอย่างน้อย 300,000 หยวนในหนึ่งวัน ซึ่งเป็นจำนวน 900,000 หยวนสำหรับสามวัน ยังไม่นับค่าซ่อมเครื่องจักรอีก”
หญิงสาวพูดอย่างแข็งกร้าว “คุณรวยมากอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าคุณไร้ความสามารถในการหาเงินที่ขาดทุนกลับมาสักหน่อยนี่ คุณปล่อยคนอื่นไปเถอะ”
เพื่อนร่วมชั้นอย่างน้อยสิบคนสนับสนุนคำแนะนำของหญิงสาวคนนั้น
ใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นมีรอยยิ้มเย้ยหยันขณะที่เธอเหลือบมองหลินม่าย
……………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มันอาจดูโหดร้าย แต่มองในมุมเจ้าของกิจการแล้วมันก็เสียหายหนักมากเหมือนกันนะ
ไหหม่า(海馬)
Comments