กระบี่จงมา 102.1

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 102.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 102.1 รัศมีขาวทะยานจากพื้นดิน

หากต้นไผ่อยู่รวมกันเป็นหมู่ ขอแค่ไม่โดนภัยธรรมชาติหรือภัยจากมนุษย์ที่รุนแรงมากเกินไปก็ง่ายที่จะกลายมาเป็นมหาสมุทรต้นไผ่

ทว่าป่าไผ่ขนาดเล็กที่ไม่มีใครรู้จักในภูเขาฉีตุนแห่งนี้ แม้จะผ่านมานานหลายร้อยหลายพันปีแล้ว แต่พวกมันก็เติบโตเชื่องช้าอย่างยิ่ง ต่อให้เทพเจ้าที่แต่ละรุ่นจะให้การปกป้องดูแลอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้มันเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์ได้

เวลานี้เทพเจ้าที่หนุ่มหน้าตาหล่อเหลาของเขาฉีตุนปักไม้เท้าไม้ไผ่สีเขียวอันนั้นไว้บนพื้นดินข้างเท้า นั่งยองอยู่ข้างไม้ไผ่เขียวสองต้นที่ถูกฟันขาด รู้สึกอย่างร้องไห้แต่ก็ไร้น้ำตา พูดเสียงสั่นอย่างเศร้าใจ “ไม่มีใครรังแกคนอื่นถึงขนาดนี้ ต่อให้เป็นแขกสูงศักดิ์สักแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นแค่แขกนะ มีใครเขารังแกเจ้าบ้านแบบนี้บ้าง มีดเดียวฟันค่ายกลจนแตก เผยให้เห็นพื้นที่ฮวงจุ้ยวิเศษแห่งนี้ นี่ต่างกับที่เจ้าเป็นแขกมาเยือน พอเห็นบุตรสาวตัวน้อยของเจ้าบ้านหน้าตางดงามสะโอดสะอง เลยตรงเข้าไปถอดอาภรณ์ของนางออกตรงไหน? ต่างตรงไหน?”

งูดำและงูขาวที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากการคว้าหยิบแก่นดินและรากเมฆในเขาฉีตุนของเซียนนอนขดอยู่รอบนอกของป่าไผ่ ในดวงตาอึมครึมน่าสะพรึงกลัวทั้งคู่เผยให้เห็นแววของการมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

เสียงหนึ่งเอ่ยหยอกเย้าดังขึ้นมาไม่ไกล “ถ้าอย่างนั้นลูกสาวเจ้าก็เยอะไปหน่อย วันหน้าคนคงยกสินสอดมาขอจนทับเจ้าตาย”

เทพเจ้าที่หนุ่มพลันลุกขึ้นยืน ไหนเลยจะยังมีสีหน้าขุ่นเคืองเศร้าสลดอยู่อีก รีบหันไปกุมมือขออภัยชายฉกรรจ์สวมงอบ “ให้ท่านเซียนใหญ่เห็นเรื่องตลกแล้ว ข้าน้อยอยู่ในสถานที่คับแคบแร้นแค้นแห่งนี้จนชินแล้ว ความรู้จึงตื้นเขิน เทียบกับท่านเซียนใหญ่ที่เดินทางไปทั่วใต้หล้า เห็นภูเขาและลำธารมาจนเต็มอิ่ม ด้วยสายตาของท่านเซียนใหญ่ จะต้องมองออกว่าป่าไผ่ผืนนี้คือทรัพย์สมบัติใต้กรุที่น้อยนิดจนน่าเวทนาของข้าน้อยแล้ว ดังนั้นต่อให้หายไปแค่สองต้นก็ยังอดควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ คิดดูแล้วความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนี้ก็เป็นอารมณ์ปกติของคน หวังว่าท่านเซียนใหญ่จะให้อภัยที่ข้าน้อยล่วงเกินโดยไม่ตั้งใจ”

อาเหลียงที่จากไปแล้วย้อนกลับมาปรายตามองไปยังต้นไผ่เขียวขจีต้นหนึ่ง เงยหน้ามองก็เห็นใบไผ่ขึ้นเป็นพุ่มหนาตา พอถอนสายตากลับมาแล้วถึงถามว่า “บรรพบุรุษต้นแรกสุดของป่าไผ่ผืนนี้ย้ายมาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ (ทะเลไผ่) ใช่หรือไม่? แล้วจากนั้นก็ถูกเจ้าเอามาทำเป็นไม้เท้าไผ่เขียวอันนี้? ด้วยเหตุนี้จึงสร้างความเดือดดาลให้กับเซียนบางท่าน ด้วยความโมโหเลยปลดตำแหน่งเทพร่างทองที่เป็นร่างเดิมของเทพเจ้าที่เขาฉีตุนอย่างเจ้า?”

คราวนี้เทพเจ้าที่หนุ่มตะลึงงันแล้วจริงๆ แววประจบเอาใจบนใบหน้าจางหายไป อีกทั้งยังยืดหลังตั้งตรง กุมมือคารวะอย่างจริงจัง “เว่ยป้อเทพเจ้าที่เขาฉีตุน ถูกจักรพรรดิองค์สุดท้ายของอดีตราชวงศ์แห่งแคว้นเสินสุ่ยแต่งตั้งเป็นเทพภูเขา รับผิดชอบพื้นที่ในรัศมีพันลี้รอบเขาฉีตุน ภายหลังมีการเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ สกุลซ่งแห่งต้าหลีลุกผงาดจึงฮุบกลืนแคว้นเสินสุ่ยเข้าไปด้วย ข้าน้อยไปทำให้ฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นสกุลซ่งขุ่นเคืองด้วยเรื่องบางเรื่องจึงถูกลดขั้นจากเทพภูเขามาเป็นเทพเจ้าที่ ขอบเขตของพื้นที่ที่ปกครองลดเหลือในระยะสามร้อยลี้ ตอนนี้ก็ยังถือว่าเป็นคนที่มีโทษติดตัว”

เขายกไม้เท้าไผ่เขียวในมือที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณขึ้นเล็กน้อยพลางยิ้มเฝื่อน “เรื่องดีไม่มาคู่ เรื่องร้ายไม่มาเดี่ยว ท่ามกลางมรสุมครั้งหน้า ข้าถูกบีบให้ตัดไผ่เขียวที่มาจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ (ทะเลไผ่) เพื่อทำไม้เท้าภูเขาอันนี้ คาดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่นานเท่าไหร่กลับไปสร้างความโกรธเคืองให้กับสหายตระกูลเซียนที่ปลูกไผ่นี้ ระหว่างที่กำลังพูดคุยกัน เขาจึงจัดการเทพเจ้าที่ตัวเล็กๆ ที่มาจากดินอย่างข้าผู้นี้ให้กลับเข้าไปอยู่ในดินอีกครั้ง”

อาเหลียงเอนพิงไผ่เขียว เปลี่ยนมาอยู่ในท่าที่คิดว่าสง่างามยิ่งกว่าเดิม จุ๊ปากพูด “ฟังดูแล้วน่าสังเวชไม่น้อย”

เทพเจ้าที่หนุ่มห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ยังไม่สนใจเทพเจ้าที่ผู้มีชาติกำเนิดหน้าเศร้ารันทดผู้นี้ก่อน อาเหลียงหันไปมองทางด้านนอกของป่าไผ่ ในการมองเห็นของเขา เฉินผิงอันที่กลับมาพร้อมกับเขาด้วยกำลังยืนอยู่บนเนินเขา งูสองตัวนั้นเลื้อยห่างออกไปไกลอย่างรู้อะไรควรไม่ควร โดยเฉพาะงูขาวที่ยังคงมีท่าทางหวาดหวั่นตัวนั้น สายตาของมันระแวดระวังอย่างถึงที่สุด อาเหลียงจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “สหายของข้าคนนี้ต้องการคุยเรื่องการค้ากับพวกเจ้า พวกเจ้าปรึกษาราคากันเอาเอง คุยเรียบร้อยแล้ววันหน้าก็เป็นเพื่อนกัน หากคุยไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ค้าขายไม่สำเร็จแต่ความเป็นมิตรภาพยังคงอยู่ที่…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ อาเหลียงก็ยิ้มพลางประคองดาบไม้ไผ่ที่อยู่ตรงเอว

อาเหลียงถอนสายตากลับมาจากเรือนกายใหญ่โตของสัตว์ทั้งสองตัว รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “จะอย่างไรซะสัตว์เดรัจฉานสองตัวนี้ก็ไม่ใช่พวกเจียวหรือมังกรอย่างแท้จริง โดยเฉพาะงูดำ แต่ทำไมถึงมีเค้าโครงว่าจะกลายเป็นโม่เจียว มีกรงเล็บมังกรสี่เล็บงอกขึ้นมาได้? พวกมันไปพบเจอกับเรื่องมหัศจรรย์อะไรมาหรือเปล่า?”

เทพเจ้าที่ที่เรียกตัวเองว่าเว่ยป้อเอ่ยตอบอย่างระมัดระวัง “พวกมันพบเจอเรื่องมหัศจรรย์มาจริง แต่ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ข้าน้อยกลับไม่รู้ เพียงเดาเอาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับถ้ำสวรรค์หลีจู พวกมันต้องไปกินของประหลาดอะไรบางอย่างโดยบังเอิญ และของที่ว่านี้ก็ต้องเป็นสิ่งที่บำรุงสัตว์อย่างงูหรือปลาอย่างมาก เมืองหงจู๋ที่อยู่ใกล้กับขอบเขตของภูเขาฉีตุนคือพื้นที่ทางน้ำอันเป็นจุดรวมตัวของแม่น้ำสามสาย แม่น้ำสายหนึ่งในนั้นมีชื่อเรียกว่าแม่น้ำชงตั้น ตอนนี้มีปลาหลีอยู่ตัวหนึ่งที่มีหนวดมังกรสีทองที่แท้จริงสองหนวดงอกออกมาแล้ว ทำให้คนอื่นริษยาอย่างถึงที่สุด และเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ปลาหลีตัวนี้ยังเคยว่ายทวนกระแสแม่น้ำ ลำธารและน้ำพุบนภูเขาขึ้นมายังภูเขาฉีตุน ข้าเคยเห็นมันกับตาตัวเอง ตามหลักแล้วต่อให้มอบเวลามันให้มันอีกสี่ห้าร้อยปี ก็ไม่มีทางที่หนวดมังกรอันน่าครั่นคร้ามนั่นจะงอกออกมาจากปากมันได้”

อาเหลียงพยักหน้ารับ เข้าใจโดยพลัน “หากพูดอย่างนี้ ข้าก็พอจะรู้ต้นสายปลายเหตุบ้างแล้ว”

เทพเจ้าที่หนุ่มปรายตามองดาบตรงเอวของชายฉกรรจ์สวมงอบ ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านเซียนใหญ่รู้ที่มาของไม้เท้าไผ่เขียวชิ้นนี้ได้อย่างไร?”

อาเหลียงสีหน้าประหลาด หัวเราะฮ่าๆ เลี่ยงพูดอย่างอื่นแทนการตอบคำถาม “ตอนที่ข้ายังหนุ่มได้เดินทางผ่านถ้ำสวรรค์จู๋ไห่รอบหนึ่ง เคยมีคบค้าสมาคมอยู่กับจู๋ฮูหยิน (จู๋คือต้นไผ่) อยู่บ้าง แต่ก็ไม่สนิทสนมนัก เป็นความสัมพันธ์ที่ธรรมดา ธรรมดามาก…”

ได้ยินคำเรียกขานว่าจู๋ฮูหยิน เว่ยป้อก็เผยสีหน้าเลื่อมใส รู้ว่าฮูหยินผู้นี้ก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ น้อยครั้งที่จะเผยตัว โลกภายนอกเล่าลือกันว่านางมีเรือนกายเพรียวบางเหนือบุรุษ บรรพบุรุษของสำนักผู้ประพันธ์หนึ่งในเมธีร้อยสำนักเคยตั้งปณิธานว่าจะเดินทางไปให้ทั่วสี่ทวีปใต้หล้า เพื่อบันทึกชีวิตความเป็นอยู่และขนบธรรมเนียมของคนในแต่ละพื้นที่ทั่วหล้า ซึ่งหนึ่งในนั้นเอ่ยถึงจู๋ฮูหยินผู้นี้ไว้ฉพาะ โดยระบุว่า “โฉมงามพิลาส ชอบเปลือยเท้า จอนผมสีเขียวเข้ม”

แม้จะบอกว่าเป็นองค์เทพสายภูเขาและแผ่นดินเหมือนกัน แต่เมื่อเว่ยป้อไปเทียบกับนาง ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือตบะก็ล้วนห่างชั้นกันไกล ทำให้เว่ยป้อไม่มีแม้แต่ความรู้สึกละอายใจในตัวเองเกิดขึ้น ส่วนลึกในใจมีเพียงความเคารพเลื่อมใส เรื่องราวมากมายของจู๋ฮูหยินถูกนำไปเล่าขานสืบต่อกัน เป็นเหตุให้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในบุรพแจกันสมบัติทวีป

ในบรรดาสิบถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่ มีถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กอยู่สามสิบหกแห่ง ถ้ำสวรรค์หลีจูที่ก่อนหน้านี้ลอยอยู่กลางอากาศเหนือพื้นที่ของราชวงศ์ต้าหลีก็คือหนึ่งในนั้น บนผืนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลมีภูเขาและแม่น้ำนับพันนับหมื่นแห่ง แต่กลับเป็นมันที่เล็กที่สุดในบรรดาถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กทั้งหมด

ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กมักจะถูกผู้ฝึกลมปราณเรียกว่าพื้นที่ลับเพื่อใช้มันแบ่งแยกจากถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่ ด้านในพื้นที่ลับจะมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น แต่เมื่อเทียบกับถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่แล้ว พื้นที่การปกครองด้านในกลับไม่สมบูรณ์ ในอดีตอาจจะเคยเป็นซากปรักหักพัง หรือไม่ก็ก่อสร้างขึ้นจากวังมังกร สมรภูมิรบเก่าแก่ ฯลฯ ประวัติความเป็นมาซับซ้อน ถึงขั้นที่ว่ามีพื้นที่ลับแห่งหนึ่งชื่อว่าถ้ำสวรรค์เต่าอวี่ (เกาะ) ด้านในมีเกาะเซียนบรรพกาลหลายแห่งที่สูญหายไปอย่างลึกลับท่ามกลางประวัติศาสตร์ และมันก็ตั้งอยู่ในท้องของปลาวาฬกลืนเกาะซึ่งเป็นสัตว์บรรพกาลตัวหนึ่ง

ส่วนถ้ำสวรรค์จู๋ไห่นั้นคือถ้ำสวรรค์ที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ในบรรดาถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กทั้งสามสิบหกแห่ง ขึ้นชื่อเรื่องต้นไผ่ที่มีความมหัศจรรย์หลากหลายเกินพรรณนา ใช้สร้างเป็นอาวุธอาคมที่สำคัญให้แก่นักพรตตระกูลเซียนมาทุกยุคทุกสมัย ชื่อเสียงระบือไปทั่วหล้า

ในถ้ำสวรรค์มีเพียงตระกูลเซียนทรงอิทธิพลเหนือผู้ใดตระกูลเดียวเท่านั้น นั่นก็คือภูเขาชิงเสินที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เล่าลือกันว่าบรรพบุรุษผู้เปิดภูเขาเคยขอความรู้จากปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านนั้นของลัทธิขงจื๊อ แล้วจึงนำต้นไผ่กงเต๋อต้นเล็กหนึ่งต้นไปมอบให้เป็นของขวัญ หลังจากนั้นมันก็เติบโตอย่างแข็งแกร่งอยู่ใน “สวนป่าเต้าเต๋อ” ซึ่งเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิขงจื๊อ แต่กลับกลายเป็นว่าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ค่อยๆ สาบสูญหายไป เล่าลือกันว่าไผ่ต้นนี้สามารถบันทึกคุณธรรม บุญกุศาลและความผิดพลาดของวิญญูชนได้ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ในหมู่ชาวบ้านมีคำกล่าวถึง “สมุดคุณความดี”

ระหว่างที่อาเหลียงและเทพเจ้าที่หนุ่มกำลังพูดคุยกัน เฉินผิงอันนั่งอยู่บนหินภูเขาก้อนหนึ่ง ในมือถือมีดผ่าฟืนหักท่อนเล่มนั้น ห่างออกไปไม่ไกลคือศีรษะขนาดมหึมาน่าพรั่นพรึงสองศีรษะ หลังจากที่มองสบตากับเด็กหนุ่มแล้ว เรือนกายของศีรษะทั้งสองก็เหมือนเทือกเขาที่เลื้อยคดเคี้ยวออกไป สุดท้ายหายไปท่ามกลางผืนป่า บางครั้งก็มีเสียงต้นไม้แตกหักจากการถูกหางของพวกมันฟาดดังมา

ตลอดระยะเวลาที่เดินทางมานี้ นอกจากเฉินผิงอันจะเรียนรู้ตัวอักษรจากหลี่เป่าผิงแล้วก็ยังเรียนภาษาทางการต้าหลีกับนาง พัฒนาได้ไม่เลว แน่นอนว่าการออกเสียงยังมีสำเนียงของเมืองเล็กอยู่บ้าง แต่หากเป็นการสื่อสารทั่วไปก็พอจะเดาความหมายได้ถึงห้าหกส่วน เฉินผิงอันบอกเล่าสภาพการณ์ของภูเขาห้าลูกที่ตนได้ครอบครองในอำเภอหลงเฉวียนต้าหลีให้งูสองตัวที่เดิมทีเห็นเขาเหมือนเห็นศัตรูตัวฉกาจฟังหนึ่งรอบ หวังว่าพวกมันจะสามารถย้ายบ้านไปอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว แน่นอนว่ายังไม่ลืมบอกเรื่องที่ตนให้ช่างหร่วนอริยะยืมเช่าภูเขาสามลูกกับพวกมันอย่างชัดเจนด้วย

เห็นได้ชัดว่างูทั้งสองรู้ถึงความหนักเบาของสถานะอริยะผู้พิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจูดียิ่งกว่าเฉินผิงอันเองเสียอีก แม้แต่งูดำที่รับฟังด้วยสายตาเฉยชา นาทีนั้นก็ยังเปลี่ยนสีหน้าและสายตาไปอย่างสิ้นเชิง ตอนแรกพองูขาวได้ยินชื่อของอำเภอหลงเฉวียนต้าหลียังแค่สนใจเพียงเล็กน้อย แต่ภายหลังพอได้ยินว่าราชสำนักต้าหลีได้ส่งท่านชิงอูแห่งฝ่ายโหราศาสตร์และขุนนางกรมพิธีการให้มาร่วมกันตรวจสอบภูเขาหกสิบกว่าลูก และฮ่องเต้ต้าหลีก็เตรียมที่จะแต่งตั้งเทพภูเขาที่แท้จริงไม่ใช่แค่คนเดียว ดวงตาทั้งคู่ของงูขาวก็เผยให้เห็นความตื่นเต้นดีใจที่ไม่อาจปกปิดได้มิด อดไม่ไหวจึงแลบลิ้นส่งเสียงดังฟ่อๆ อยู่หลายที ผลกลับเป็นว่าถูกงูดำใช้ศีรษะกระแทกชนอย่างแรงหนึ่งที มันถึงสงบสติลงได้

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด