กระบี่จงมา 134.2

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 134.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ปีนี้
โดย

พอได้ยินคำว่าอิสระเสรี เด็กสาวก็เบ้ปาก ดวงตาคู่ที่มีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยความขมขื่น หลังจากซุกซ่อนอารมณ์เศร้าหมองนี้ลงไปได้แล้ว นางก็อธิบายอย่างใจเย็น “เลี้ยงลมปราณหลอมลมปราณถึงจะสำคัญที่สุด เรือนกายเป็นเพียงแค่ผลพลอยได้เท่านั้น อืม พูดอย่างนี้ก็ไม่เหมาะเท่าไหร่ จะว่าอย่างไรดีล่ะ ถ้วยกระเบื้องถ้วยหนึ่งบรรจุเหล้าสิบจินไม่ได้ แต่ถ้าเป็นวัตถุตารางนิ้วที่มีค่าควรเมือง ไม่ว่าถ้วยกระเบื้องจะเล็กใหญ่แค่ไหนกลับสามารถบรรจุเหล้าได้เป็นร้อยเป็นพันจิน ผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเราก็ต้องชักดึงปราณต้นกำเนิดแห่งฟ้าดินมาราดรด หล่อหลอมและขัดเกลาเนื้อหนัง กระดูกและเลือดของเรือนกายตัวเอง ทำให้ถ้วยกระเบื้องถ้วยนั้นแข็งแรงทนทานเพิ่มขึ้นอีกนิด หากเนื้อหนังของผู้ฝึกลมปราณนุ่มนวลเปราะบางเกินไปย่อมต้องส่งผลต่อการเป็นอมตะ”

กล่าวประโยคเหล่านี้จบ เด็กสาวที่ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยก็เริ่มเงียบเสียงลง หันหน้ามองไปยังทัศนียภาพของภูเขาเหิงซานโดยอาศัยแสงจันทร์

เฉินผิงอันไม่รบกวนความคิดของเด็กสาว

ประโยคที่ว่าพูดความในใจกับคนไม่สนิทถือเป็นความโง่เขลา เฉินผิงอันที่ไม่เคยเล่าเรียนมาก่อนย่อมไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพังเพยสวยหรู แต่เขากลับเข้าใจในหลักการนี้

ดังนั้นเรื่องช่องโพรงและทิศทางการไหลเวียนของลมปราณในร่างกายเขาทุกวันนี้ เฉินผิงอันจะไม่มีทางเปิดเผยแก่คนนอกแม้แต่ครึ่งคำ

และวิธีโคจรลมปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ก็ยิ่งต้องปิดปากให้แน่นสนิท

ในความเป็นจริงแล้ว ลมปราณในร่างของเขาที่เหมือนมังกรไฟว่ายวนขุมนั้น ในที่สุดก็เปลี่ยนจากท่าทีลังเลตัดสินใจไม่ได้ก่อนหน้านี้มาเป็นเลือกช่องโพรงลมปราณสองแห่งเป็นที่พักพิง หนึ่งล่างหนึ่งบน “จวน” หนึ่งในนั้นก็คือช่องโพรงที่ว่างเปล่าหลังจากปราณกระบี่ขุมหนึ่งถูกนำไปใช้สังหารงูขาวบนเขาฉีตุน เมื่อปราณกระบี่จากไป ลมปราณขุมนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปพักอาศัยอย่างรวดเร็วราวกับคนได้รับสมบัติล้ำค่า ช่วงเวลาที่หยุดนิ่งยังนานกว่าช่องโพรงด้านล่างที่อยู่ใกล้กับตำแหน่งจุดตันเถียนด้วย

จากนั้นเมื่อเฉินผิงอันใช้วิธีการหายใจเข้าออกที่ได้รับสืบทอดจากหยางเหล่าโถวเมื่อนานมาแล้ว พยายามให้ลมหายใจที่ใช้ในการเดินนิ่งยืนนิ่งทุกครั้งไหลเวียนผ่าน หรือไม่ก็ขยับเข้าใกล้ช่องโพรงใหญ่แต่ละแห่งที่คาถาสิบแปดหยุดต้องผ่านให้ได้มากที่สุด

ทุกครั้งที่เฉินผิงอันฝึกหมัด คนนอกจะมองออกได้ในปราดเดียว

แต่กลับไม่แน่เสมอไปที่คนนอกจะสามารถมองออกว่า วิธีการหายใจที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่ายึดติดตายตัวของเฉินผิงอันนั้นต้องผ่านความมานะพยายามมากมายเท่าไหร่

คำพูดประโยคหนึ่งของผู้เฒ่าเหยาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ทำให้เด็กหนุ่มของตรอกหนีผิงจดจำได้ขึ้นใจไปตลอดชีวิต

อะไรที่เป็นของเจ้า จงรักษาไว้ให้ดีอย่าทำหาย อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้า ก็อย่าแม้แต่จะคิดถึง

เมื่อก่อนเฉินผิงอันยากจนข้นแค้น จึงคิดถึงประโยคหลังมากกว่า ตอนนี้เริ่มมีสมบัติเป็นของตัวเองจึงเริ่มมีการแสวงหา ดังนั้นประโยคแรกจึงเริ่มถูกนำมาใช้

เฉินผิงอันต้องการทำทุกเรื่องให้ออกมาดี ดีที่สุด!

เขามักจะบอกตัวเองเช่นนี้

ตลอดทางที่มุ่งหน้าลงใต้ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะเปลี่ยนรองเท้าไปคู่แล้วคู่เล่า ต่อให้ได้เห็นทัศนียภาพแปลกใหม่สวยงามมากมาย ทว่าหลักการและเหตุผลที่เคยได้รับรู้มาในอดีต ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ไปๆ มาๆ แล้วก็มีอยู่แค่ไม่กี่ข้อเท่านั้น และเขาก็ไม่เคยโยนทิ้งไปสักข้อ

ราวกับว่าความยากจนที่ต้องเผชิญมาตั้งแต่เด็กทำให้เกิดความหวาดกลัว หลักการที่อาจจะว่างเปล่าไร้ประโยชน์ในสายตาคนอื่น กลับมีคุณค่าสำหรับเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่สองมือว่างเปล่า เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มมูลค่า เวลาที่อยู่ท่ามกลางผู้คนจะต้องคิดถึงพวกมัน เวลาที่รอบกายไม่มีผู้ใดก็ชอบที่จะเอาออกมาขบคิด

ใน ‘มารยาทพิธีการ’ หนึ่งในตำราของเด็กประถมลัทธิขงจื๊อกล่าวไว้ว่า ‘ชีพญาณจากฟ้ามาอยู่ในตัวเราเรียกว่าธรรมญาณคล้อยตามความเป็นธรรมญาณเรียกว่าธรรมะ  เรื่องราวเพื่อการบำเพ็ญธรรมะเรียกว่าศาสนา อันธรรมะนั้น มิอาจออกห่างได้แม้ชั่วขณะ ออกห่างได้มิใช่ธรรมะแล’

เมื่อวันก่อนหลี่เป่าผิงอธิบายคำสอนของอริยะท่อนนี้ให้เฉินผิงอันฟัง บางครั้งเด็กหนุ่มชุดขาวที่ไม่ค่อยปรากฎตัวก็จะเดินออกจากรถม้า เดินมาหยุดอยู่ข้างกายคนทั้งสองเงียบๆ พอฟังเสร็จก็จากไปเงียบๆ

แต่ว่าตอนนั้นแม่นางน้อยสอนตามตำรา อธิบายเป็นแบบแผนตายตัว เฉินผิงอันฟังแล้วก็เมหือนยืนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกหนาชั้น และไม่นานคนทั้งสองก็กระโดดข้ามขั้นตอนนี้ไป

เวลานี้อยู่ดีๆ เด็กสาวก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องสนใจข้า เฉินผิงอันเจ้าไปก่อนเลยก็ได้”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ชุยตงซานบอกว่าภูเขาเหิงซานลูกนี้น่าจะมีภูตผี ดึกมากแล้ว แม่นางเซี่ยระวังตัวด้วย”

เด็กสาวคลี่ยิ้มตอบ “แม้ว่าตอนนี้ข้าจะเป็นแค่นักพรตน้อยห้าขอบเขตล่าง แต่ก็ยังพอมีวิธีรักษาตัวรอดเมื่อต้องเผชิญวิกฤตความเป็นความตาย ไม่ต้องเป็นห่วง”

เฉินผิงอันไถลตัวตามลำต้นของต้นไม้ลงมาบนพื้นดิน จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปด้านหน้าด้วยท่าเดินนิ่งของตำราเขย่าขุนเขา เดี๋ยวตึงเดี๋ยวผ่อนเป็นจังหวะจะโคน

มวยภายนอกที่เดิมทีเรียบง่ายอย่างมากกลับถูกเด็กหนุ่มฝึกฝนจนกลายมามีลักษณะไหลรื่นต่อเนื่องดุจมวยภายใน

เด็กสาวถือกิ่งไม้ตบลงบนเข่าตัวเองเบาๆ

เด็กหนุ่มชุดขาวมาโผล่บนกิ่งไม้สูงบริเวณใกล้เคียงอย่างลึกลับ ซึ่งก็คือตำแหน่งเดียวกับที่เฉินผิงอันใช้ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูก่อนหน้านี้ กิ่งไม้ใต้ฝ่าเท้าเขาส่ายไหวเบาๆ ร่างของเด็กหนุ่มจึงขยับขึ้นสูงขยับลงต่ำตามไปด้วย

ชุยฉานหันหน้าไปทางด้านนอกภูเขา โบกมือหนึ่งครั้ง ขลุ่ยไม้ไผ่เลาหนึ่งก็บินเข้าหาเด็กสาวเซี่ยเซี่ย ฝ่ายหลังยื่นมือออกไปรับเอาไว้ ก้มหน้าลงมองด้วยสายตาซับซ้อน

เซี่ยเซี่ยเอ่ยถาม “ตลอดเวลาที่เดินทางมาเกือบยี่สิบวัน ขนาดใต้เท้าราชครูก็ยังมองจิตใจของเฉินผิงอันไม่ออกงั้นหรือ? เจ้าสั่งให้ข้าพูดคุยกับเฉินผิงอันไปเรื่อยเปื่อย คิดถึงเรื่องอะไรก็พูดถึงเรื่องนั้น แต่นี่จะได้ผลอย่างไร?”

เด็กหนุ่มชุดขาวทอดสายตามองไปไกลพลางเอ่ยเสียงเบา “เวลาเฉินผิงอันเห็นข้า จิงชี่เสินตลอดทั้งร่างจะหดตัวลงตามสัญชาติญาณ คล้ายหน้าด่านแห่งหนึ่งที่พอเห็นควันสัญญานเตือนภัยก็จะปิดด่านอย่างแน่นหนา เวลาปกติที่เขาพูดคุยกับพวกหลี่เป่าผิงจะแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาบ้าง แต่ก็นั่นก็ยังไม่พอ จำเป็นต้องมีคนพูดคุยเรื่องทั่วไปที่มีน้ำหนักกับเขาบ้าง”

เซี่ยเซี่ยถามหยั่งเชิง “ใต้เท้าราชครูอยากจะยืนยันให้แน่ใจว่าเส้นขีดจำกัดที่แท้จริงของเฉินผิงอันอยู่ตรงไหนกันแน่?”

สีหน้าเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ตอบไม่ตรงคำถาม “ตาแก่นาบประทับอักษรบางอย่างลงบนวิญญาณของข้า ตอนนี้ข้ารู้แค่ว่าพวกมันจะปลดปล่อยอารมณ์บางอย่างของข้าออกมาอย่างเต็มที่ อารมณ์รักใคร่เหล่านั้นมองดูเหมือนเป็นธรรมชาติ แต่พอย้อนกลับไปดูกลับทำให้คนขนลุกขนชัน หากหยางเหล่าโถวไม่ได้เตือนข้าไว้ก่อน จนถึงทุกวันนี้ข้าก็อาจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องสมควรแล้ว”

เด็กสาวคลี่ยิ้ม “เพราะต้องการให้ท่านราชครูเรียนรู้การปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจงั้นหรือ?”

ชุยฉานสีหน้าเย็นชา แต่ไม่ได้หันกลับไปมองนาง “นังหนู ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าได้พูดจากระทบกระเทียบคนอื่นไปเรื่อย ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ข้าทำอะไรเขาเฉินผิงอันไม่ได้ หาไม่เขาคงตายไปเป็นร้อยครั้งนานแล้ว ส่วนเด็กตัวน้อยที่ทำตัวล่องไปตามกระแสคลื่นอย่างเจ้า ตายไปก็เป็นได้แค่แมลงน่าสงสารที่ไม่มีคนตั้งป้ายหน้าหลุมศพให้ หากตอนนี้ข้าคิดจะบดขยี้เจ้าให้ตายจริงๆ ก็เป็นเรื่องง่ายดายเพียงแค่ยกฝ่าเท้าเท่านั้น”

เด็กสาวเงียบงัน

ชุยฉานยืนเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งบิดข้อมือ “อวี๋ลู่ฉลาดและน่าเอ็นดูกว่าเจ้ามากนัก”

เด็กสาวไม่กล้าพูดเหลวไหลอีก

อาจเป็นเพราะตลอดระยะเวลาที่เดินทางกันมาเป็นไปด้วยความราบรื่น อีกทั้งพฤติกรรมของราชครูต้าหลีที่ห่มหนังของเด็กหนุ่มยังไร้แก่นสารเกินไป ถึงได้ทำให้ใจของนางเกิดความดูแคลนอย่างไม่ประมาณตน

สายตาของเด็กหนุ่มเลื่อนลอย พึมพำเสียงแผ่วเบา “กถามรรคสูงส่ง ธรรมะไกลห่าง กฎเกณฑ์ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างตั้งรากฐานเป็นของตัวเองแล้ว เมธีร้อยสำนักที่เหลือจะแก่งแย่งกับสามลัทธินี้ได้อย่างไร? จะก่อตั้งลัทธิได้อย่างไร? หรือว่าจะไม่มีโอกาสแม้แต่นิดเลยจริงๆ? ต้องการให้ข้าเรียนรู้จากฉีจิ้งชุน เรียนรู้จากความรู้ความเข้าใจของตาเฒ่า แล้วอาศัยความรู้และประสบการณ์ของตัวเองตั้งตนเป็นอิสระให้ได้? แต่ปัญหาก็อยู่ที่ว่า ตอนนั้นข้าก็ทำแบบนี้ ถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว ทว่าตาเฒ่าฝ่ามือเดียวของเจ้าก็ตบข้าให้ตายได้ เจ้าต้องการให้ข้าทำยังไงกันแน่? เจ้าก็บอกมาตรงๆ เลยสิ!”

เป็นอีกครั้งที่เขาน้ำตาไหลอาบเต็มหน้าอย่างที่เด็กหนุ่มไม่อาจยั้งตัวเองได้

เมื่อภาพเหตุการณ์นี้ปรากฏตรงหน้าเด็กสาวเซี่ยเซี่ย นางกลับไม่มีความคิดว่าอีกฝ่ายน่าหัวเราะเยาะอีกแล้ว กลับกันนางยังอยากให้ตัวเองเป็นคนหูหนวกจะได้ไม่ต้องได้ยินอะไรด้วยซ้ำ

เด็กหนุ่มหันหน้ามาทั้งที่น้ำตายังหลั่งริน เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “นังหนูน้อย เจ้าติดค้างชีวิตข้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว จำไว้ว่าวันหน้าต้องชดใช้คืน”

……

เฉินผิงอันกลับไปที่กระโจมหนังแล้วก็พลันปวดหัว

ในกลุ่มของเขามีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง

นางสวมกระโปรงสีขาว ผิวพรรณนวลเนียนยิ่งกว่าหิมะ ริมฝีปากดำคล้ำ แผ่กลิ่นอายมืดทะมึนไม่เหมือนคนมีชีวิต

สตรีผู้นี้นั่งอยู่ข้างกองไฟ กำลังเล่นหมากล้อมกับหลินโส่วอี ส่วนเทพหยินที่ใบหน้าเลือนรางผู้นั้นก็นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง ดวงตาจับจ้องไปยังสถานการณ์บนกระดานหมาก

หลี่เป่าผิงก็นั่งยองอยู่ด้านข้าง แม่นางน้อยไม่เข้าใจหลักเกณฑ์ที่ว่าเวลาดูคนเล่นหมากล้อมไม่ควรพูด ไม่ว่าจะเป็นหลินโส่วอีหรือสตรีแปลกหน้า ใครก็ตามที่วางตัวหมากนางจะต้องวิจารณ์สักคำสองคำ

มีเพียงอวี๋ลู่ที่เฝ้ารถม้าคันนั้น ไม่ได้เข้ามาใกล้กองไฟแถบนี้

เฉินผิงอันอึ้งงันเล็กน้อย นี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่?

หลี่ไหววิ่งเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้วพูดเสียงเบาว่า “พี่สาวท่านนี้เปิดเผยอย่างมาก แค่เจอหน้ากันก็บอกตามตรงว่าตัวเองคือภูตผีที่มาจากวัดเจ้าแม่ชิงบนยอดเขา เพราะตอนมีชีวิตอยู่ชอบเล่นหมากล้อมมากที่สุด บวกกับที่ตอนนี้ที่วัดเล็กมีพวกปัญญาชนที่มาค้นหาความแปลกใหม่ ร่ำสุราแต่งกลอน นางถูกรบกวนจนหงุดหงิดใจจึงลงจากเขามาเดินเล่น พอดีเห็นว่าหลินโส่วอีกำลังย้อนเล่นหมากล้อมทบทวนก็อดไม่ไหวอยากจะแข่งด้วยสักตา นางยินดีนำตำราหมากล้อมที่มีเพียงเล่มเดียวมามอบให้หลินโส่วอีเพื่อแทนคำขอบคุณ พอผู้อาวุโสเทพหยินลองสอบถามดูแล้ว เขารู้สึกว่าไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากจึงรับปากนาง”

เฉินผิงอันไม่มีพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อม บวกกับที่กลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดจึงชอบที่จะวางหมากอย่างเชื่องช้า ดังนั้นหลังจากที่หลินโส่วอีมีเซี่ยเซี่ยและอวี๋ลู่เป็นเพื่อนเล่นหมากล้อมด้วยแล้วจึงไม่ค่อยมาขอให้เฉินผิงอันเล่นด้วย เฉินผิงอันรู้ดีว่าตนไม่ถนัดด้านการเล่นหมากล้อมจึงไม่คิดจะศึกษาอย่างลึกซึ้ง กลับเป็นหลินโส่วอีที่ชอบจะศึกษาอยู่กับตัวเองเพียงลำพังเวลาพักผ่อน ท่าทางอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเหมือนหลวงจีนเฒ่า แค่มองก็รู้แล้วว่าได้รับการกล่อมกลืนมาจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่กับบ้าน

เฉินผิงอันเดินไปถึงข้างกองไฟ ไม่ได้เข้าใกล้กลุ่มคนที่กำลังเล่นหมากล้อม แต่หยิบฟืนกำหนึ่งเติมเข้าไปในกองไฟ ทว่าต่อให้เป็นหลินโส่วอีที่กำลังตั้งใจเล่นก็ยังเงยหน้าขึ้นมามองเฉินผิงอัน สีหน้าของเด็กหนุ่มผู้เย็นชามีแววขออภัยเล็กน้อย เพราะอย่างไรซะเทพหยินที่ติดตามพวกเขาออกเดินทางไกลในครั้งนี้ก็เคยอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดหลังเหตุการณ์มรสุมของผีสาวสวมชุดแต่งงานว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ได้รับควันธูปจากเส้นทางต่างๆ ซึ่งไม่ได้ถูกรับเข้าทำเนียบภูเขาแม่น้ำ ต่อให้ตบะสูงแค่ไหน ชื่อเสียงดีเท่าไหร่ก็ได้แต่ถูกจัดให้เป็นพวกภูตผีปีศาจวัตถุธาตุหยินเท่านั้น ไม่ได้ดีไปกว่าผีเร่ร่อนไร้ที่พึ่งพิงกว่าเขาสักเท่าไหร่

เฉินผิงอันโบกมือยิ้มๆ “ไม่เป็นไรๆ พวกเจ้าเล่นกันต่อเถอะ”

ผีสาวเล่นหมากล้อมอย่างมุ่งมั่นจนลืมตน สองนิ้วคีบหมากสีดำตัวหนึ่ง เอามือเท้าคาง ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น

เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการเล่นหมากล้อมของผีสาวก็ไม่ได้สูงสักเท่าไหร่ หาไม่แล้วก็คงไม่ถึงขั้นถูกหลินโส่วอีนำไปแบบขาดลอยเช่นนี้

เฉินผิงอันนั่งอยู่ห่างจากกองไฟค่อนข้างไกลอยู่เพียงลำพัง สายตาแอบหลอบมองไปยังเทพหยิน ฝ่ายหลังยิ้มบางๆ แสดงให้รู้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง สตรีผู้นี้ไม่อาจสร้างเรื่องก่อราวอะไรได้

เฉินผิงอันถึงได้วางใจอย่างแท้จริง

เดิมทีเมื่อไปถึงนอกด่านเหย่ฟูต้าหลี เทพหยินก็ต้องแยกทางกับพวกเขา จากนั้นก็ย้อนกลับทางเดิมไปที่อำเภอหลงเฉวียน แต่เขาเปลี่ยนใจกะทันหัน บอกว่าจะไปส่งต่ออีกสักหน่อย ไม่ได้ทำตามคำสั่งของหยางเหล่าโถว แต่เกิดจากความต้องการส่วนตัว

เฉินผิงอันไม่เข้าใจ แต่เห็นท่าทางยืนกรานหนักแน่นของเทพหยินจึงยอมรับแต่โดยดี

จากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มฝึกท่าเจี้ยนหลูอีกครั้ง

รอจนเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาก็ค้นพบว่าเทพหยินมานั่งอยู่ข้างกาย หันหลังให้กับคนและผีที่เล่นหมากล้อมกันอยู่ ส่งยิ้มมาให้เฉินผิงอัน

เฉินผิงอันถาม “มีธุระอะไรหรือ?”

วัตถุหยินอืมรับหนึ่งทีแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าใกล้จะต้องกลับไปแล้ว จึงมาบอกลาเจ้าก่อน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

วัตถุหยินพลันเอ่ยเรียกเฉินผิงอัน

ในขณะที่เด็กหนุ่มยังงุนงงไม่เข้าใจอยู่นั้น เขาก็พลันเบิกตากว้าง เพราะมองเห็นใบหน้าที่ค่อนข้างคุ้นเคย เทพหยินที่เผยโฉมหน้าที่แท้จริงรีบยกนิ้วทำมือเป็นท่าเงียบเสียง และไม่นานก็กลับคืนรูปลักษณ์ประหลาดหน้าตาพร่าเลือนอย่างก่อนหน้านี้อีกครั้ง เทพหยินใช้เวทลับสื่อสารกับเด็กหนุ่มทางจิต เสียงของเขาที่ดังในหัวใจเฉินผิงอันอ่อนโยนยิ่ง “เสี่ยวผิงอัน ขอบคุณที่ตลอดหลายปีมานี้เจ้าช่วยข้าดูแลเสี่ยวช่าน ข้าซาบซึ้งใจมาก อีกทั้งเจ้ายังยกปลาหนีชิวตัวนั้นให้กับเสี่ยวช่าน ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตอบแทนเจ้าอย่างไร จริงๆ นะ หากเป็นไปได้ ข้ายินดีมอบชีวิตนี้ให้กับเจ้า แต่ข้าทำไม่ได้…”

ดวงตาของเฉินผิงอันแดงเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มกว้าง

เด็กหนุ่มผู้มีจิตใจงดงามรู้สึกดีใจแทนกู้ช่านจากใจจริง

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ข่มกลั้นความเสียใจของตัวเองเอาไว้ไม่ได้

เทพหยินชูหมัดทำท่าทุบลงบนหัวใจของตัวเอง เอ่ยกลั้วรอยยิ้ม “เฉินผิงอัน ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะต้องเดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดและไกลที่สุด!”

เฉินผิงอันยังไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ร่างของเทพหยินก็สลายหายไปแล้ว

ปีนี้เฉินผิงอันอายุสิบสี่ปี

เด็กหนุ่มชุยฉานอายุสิบห้า หลินโส่วอีอายุสิบสอง หลี่เป่าผิงเก้าขวบ หลี่ไหวเจ็ดขวบ อวี๋ลู่สิบสี่ เซี่ยเซี่ยสิบสาม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด