กระบี่จงมา 145.2 รอยงูในพงหญ้า

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 145.2 รอยงูในพงหญ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 145.2 รอยงูในพงหญ้า
โดย

ตอนบนของแม่น้ำซิ่วฮวาที่ห่างจากเมืองหงจู๋มาทางทิศตะวันตกสองร้อยกว่าลี้ กลางแม่น้ำมีภูเขาลูกเล็กตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว พวกชาวบ้านเรียกว่าภูเขาหมั่นโถว ควันธูปในศาลเจ้าที่ของที่นี่พอจะกล้อมแกล้มได้อยู่

ชายร่างเตี้ยม่อต่อคนหนึ่ง “เดินออกมา” จากเทวรูปดินเผาที่สีสันหลุดลอก หลังพลิ้วกายลงมาบนพื้นก็ยื่นมือไปหิ้วเด็กคนหนึ่งที่สวมชุดสีชาดออกมาจากในกระถางธูป เรือนกายของเด็กผู้นี้สูงแค่ฝ่ามือ ซึ่งก็คือกุมารควันธูปที่เป็นเพียงผลิตผลเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของศาลเจ้าที่แห่งนี้ ชายฉกรร์วางมันไว้บนไหล่ของตัวเองแล้วเริ่มเดินออกไป กระแสน้ำในแม่น้ำไหลเชียว แต่ชายฉกรรจ์กลับเดินเหยียบลงบนแม่น้ำโดยตรง

กุมารชุดแดงที่ยังสะลึมสะลือนอนหมอบอยู่บนไหล่ สบถด่าอย่างขุ่นเคือง “นายท่านใหญ่ ทำไมต้องรบกวนการนอนของนายท่านใหญ่อย่างขาด้วย?! หลังกลับมามือเปล่าจากการล้อมไล่ล่าก่อนหน้านี้ เจ้าก็ทำตัวแปลกๆ หรือเป็นเพราะเห็นสาวงามตระกูลชาวเรือในเมืองหงจู๋คนใดแล้วถูกใจ แต่ไม่มีเงินซื้อพวกนางมานอนด้วย เจ้าก็เลยหงุดหงิดงุ่นง่าน?”

หายากที่ชายฉกรรจ์ไม่ได้จัดการกับคนควันธูปตัวจิ๋วที่ปากพล่อยผู้นี้ เขาเพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักว่า “พวกเราไปหาภูตปลาหลีตัวนั้นที่เมืองหงจู๋ นำหินดีงูก้อนหนึ่งของถ้ำสวรรค์หลีจูไปมอบให้แก่เขา อีกไม่นานเขาจะได้กลายเป็นเทพวารีของแม่น้ำชงตั้น หากเจ้าเต็มใจ วันหน้าก็ติดตามอยู่ข้างกายเขาเถอะ ควันธูปในศาลของเทพวารี จะอย่างไรก็ต้องเจริญรุ่งเรืองกว่าศาลเจ้าที่ที่ใหญ่แค่ก้นของข้านี่…”

เด็กชายชุดแดงอึ้งงันไปก่อน จากนั้นก็โมโหเดือด กระโดดผาง เงื้อฝ่ามือตบลงไปบนซีกหน้าของชายฉกรรจ์แรงๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแต่ว่าเขาก็ตัวเล็กเพียงเท่านี้ จะดีจะชั่วอีกฝ่ายก็เป็นเทพเจ้าที่ตัวจริงเสียงจริง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาแค่รู้สึกเจ็บๆ คันๆ เท่านั้น คนจิ๋วควันธูปเต้นผางพลางสบถด่าฉุนเฉียว “นายท่านใหญ่อย่างเจ้าห้ามหมิ่นเกียรตินายท่านใหญ่อย่างข้า!”

สุดท้ายเด็กชายนั่งกลับลงไปบนไหล่ของชายฉกรรจ์อย่างห่อเหี่ยว สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ

ชายฉกรรจ์ยิ้มกว้าง “ไม่ยอมไปเสวยสุขก็ตามใจ ชอบจะลำบากอยู่ที่บ้านตัวเองก็รอความตายอยู่ในภูเขากูซาน (ภูเขาโดดเดี่ยว) ไปแล้วกัน ข้าคร้านจะสนใจเจ้า”

พอได้ยินประโยคนี้ เด็กชายชุดสีชาดก็รีบเช็ดน้ำตา ยิ้มร่าทันที “รังเงินรังทองก็สู้รังหญ้าบ้านตัวเองไม่ได้ ใช่แล้ว เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดล่ะ ข้าไม่ได้อาลัยอาวรณ์ศาลเก่าโทรมของเจ้าสักนิด นายท่านก็แค่ตัดใจทิ้งกระถางธูปใบนั้นไม่ลง!”

ชายฉกรรจ์ไม่เอ่ยตอบโต้

เด็กชายชุดแดงเงียบไปครู่หนึ่งก็ถามเบาๆ ว่า “เจ้าเป็นเทพเจ้าที่ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในเขตการปกครองของเรานานที่สุด เพื่อนร่วมงานในอดีตที่เป็นคนวัยเดียวกับเจ้าหลายคน ตอนนี้อย่างแย่ที่สุดก็กลายเป็นเทพอภิบาลเมืองแล้ว ทั้งๆ ที่เจ้าก็สนิทกับพวกเขาไม่น้อย หลายคนอยากจะมาเยี่ยมเยือนเจ้าที่ภูเขากูซาน แต่ทำไมให้ตายเจ้าก็ไม่ยอมพบพวกเขา?”

ชายฉกรรจ์ไม่ตอบคำถาม เห็นได้ชัดว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้

คนจิ๋วควันธูปที่ใช้ชีวิตประคับประคองกันมากับเขากลับไม่ยอมปล่อยเจ้านายตัวเองไปง่ายๆ จึงพูดจ้อต่อว่า “เพื่อนบ้านของเรา สตรีของแม่น้ำซิ่วฮวาผู้นั้น ทุกครั้งที่แอบมองเจ้า ดวงตาจะเป็นประกายวาววับ ขนาดนายท่านอย่างข้ายังแทบจะทนไม่ไหว แต่ทำไมเจ้าถึงได้ใจแข็งนัก? หากพวกขุนพลกุ้งหอยปูปลาใต้บังคับบัญชาของนางรู้ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์แบบนี้กับนางอยู่ ไหนเลยจะกล้ารังแกพวกเรา ขอแค่เป็นเผ่าน้ำที่มีสติปัญญา จะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องก็ชอบจะมาพ่นน้ำลายใส่ชายฝั่งของภูเขากูซานของพวกเรา น่าโมโหยิ่งนัก! ทำเอาทุกครั้งที่ข้าออกไปเที่ยวเล่นแถวในเมือง คนเผ่าเดียวกันไม่ชอบพาข้าไปเล่นด้วย เพราะรังเกียจที่ชาติกำเนิดของข้าย่ำแย่ เป็นเด็กบ้านนอกยากจน ต้องโทษเจ้าคนเดียวเลย!”

ชายฉกรรจ์อารมณ์ไม่เลว จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “บุตรไม่รังเกียจมารดาอัปลักษณ์ มีแต่เจ้านี่แหละที่พูดมาก”

เด็กชายชุดแดงค้อนปะหลับปะเหลือก แค่นเสียงขุ่นเคือง “หลายปีมานี้ข้าเองก็ได้ยินข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ มามากมาย บ้างก็บอกว่าตอนนั้นเจ้าไปล่วงเกินบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายกรมพิธีการของเมืองหลวงต้าหลีเข้า ตอนที่เขาพาคนมาจุดธูปกราบไหว้ที่ภูเขากูซาน เจ้าไม่ปรนนิบัติเอาใจเขาดีๆ ก็ยังพอทำเนา แต่นี่ยังทำตัวไร้มารยาทต่อเขาอย่างมาก แถมยังมีคนบอกว่าเจ้าไปทำลายบุตรสาวของตระกูลเซียนบางคน ทำให้ยากที่จะผ่านด่านความรักไปได้ มหามรรคาจึงถูกถ่วงรั้ง เจ้าประมุขของตระกูลจึงสร้างแรงกดดันให้กับราชสำนักต้าหลี เรียกร้องให้บังคับเจ้าที่เป็นเทพเจ้าที่คอยเฝ้าอยู่ในศาลเก่าโทรมแห่งนี้ไปชั่วชีวิต แล้วก็มี…”

ชายฉกรรจ์หัวเราะ “พอแล้วๆ บัญชีเละเทะตั้งแต่ปีมะโว้ ขนาดข้ายังลืมไปหมดแล้ว เจ้าจะเดาส่งเดชอีกทำไม ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจ แต่ขันทีกลับรีบร้อนงั้นหรือ”

เด็กชายชุดแดงกระโดดผลุงขึ้นมาตบหน้าชายฉกรรจ์อีกครั้ง “เจ้าว่าใครเป็นขันที?”

ชายฉกรรจ์ไม่ถือสาพฤติกรรมลามปามของเจ้าตัวน้อย จู่ๆ เขาก็หยิบก้อนหินสีเขียวอ่อนโปร่งใสก้อนหนึ่งออกมาจากหน้าอก แล้ววางไว้บนไหล่ “นี่ก็คือหินดีงูในตำนาน ให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตา เผ่าน้ำ โดยเฉพาะเผ่าน้ำประเภทเจียวและมังกร หากกลืนมันลงท้อง ขอแค่รอดมาได้ ตบะและขอบเขตก็จะทะยานพรวดพราด อีกทั้งยังไม่มีภัยร้ายทิ้งไว้เบื้องหลัง เท่ากับเป็นยาวิเศษชั้นหนึ่งของตระกูลเซียน”

เด็กชายชุดสีขาวรีบใช้สองมือประคอง “หินยักษ์สูงเท่าครึ่งตัวคน” ก้อนนั้นเอาไว้ทันที ถามอย่างใคร่รู้ “ใครให้เจ้ามา? ทำไมเขาถึงไม่เอาไปให้ปลาหลีที่ชื่อหลี่จิ่นอะไรนั่นโดยตรง?”

ชายฉกรรจ์ส่ายหน้า “ตอนนั้นคร้านจะถาม ตอนนี้คร้านจะเดา”

เด็กชายชุดแดงยกสองมือกุมหน้า อยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา “สวรรค์ ทำไมข้าถึงได้มาผูกติดอยู่กับเจ้านายที่ไม่รู้จักความก้าวหน้าแบบนี้นะ ฟ้ามีตาโปรดสงสาร ประทานแม่นางน้อยที่ร่าเริงน่ารัก งดงามล่มบ้านล่มเมือง มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เกิดในชาติตระกูลสูงส่งมาให้เป็นภรรยา ถือเป็นการชดเชยให้ข้าได้หรือไม่?

ชายฉกรรจ์หยิบหินดีงูกลับไป เอ่ยหยอกล้อ “คนอย่างเจ้าเนี่ยนะ? รอชาติหน้าเถอะ”

เด็กชายชุดแดงปีนขึ้นไปบนศีรษะของบุรุษด้วยความโมโห นั่งเงียบๆ อยู่ท่ามกลางเส้นผมยุ่งเหยิงอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มบิดตัวไปมา

ชายฉกรรจ์ถาม “เจ้าจะทำอะไร?”

เด็กชายชุดแดงตอบเสียงสะบัด “คำพูดเมื่อครู่นี้ของเจ้าทำร้ายจิตใจกันเกินไป ข้าจะอึลงบนหัวเจ้า”

“สามวันไม่ตีปีนขึ้นไปรื้อหลังคา!” (เปรียบเปรยถึงเด็กดื้อที่หากไม่ถูกสั่งสอนก็จะยิ่งซุกซนหนักข้อ)

ด้วยความโมโห ชายฉกรรจ์จึงคว้าร่างเจ้าตัวน้อยแล้วเหวี่ยงไปยังชายฝั่งตรงข้าม

ร่างของเด็กชายชุดแดงหมุคว้างอยู่กลางอากาศ เขาหัวเราะร่าเสียงดังอย่างสนุกสนาน “วู้ รู้สึกเหมือนเซียนที่กำลังขี่กระบี่บินอยู่เลย!”

ชายฉกรรจ์ที่เดินอยู่บนแม่น้ำโกรธจัดจนกลายเป็นขำ “เจ้าตะพาบน้อยตัวดื้อ”

……

ควันดำขุมหนึ่งผุดทะลักจากใต้ดิน มาปรากฏอยู่ตรงหน้าจวนโอ่อ่าที่แขวนป้ายคำว่า “น้ำใสลมเย็น” แล้วก่อตัวขึ้นเป็นร่างคน

จวนใหญ่ที่เดิมทีอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายพลันสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากโคมไฟนับร้อยนับพัน แสงสีแดงเจิดจ้าส่องสะท้อนท้องนภา

สตรีที่มีใบหน้าซีดขาวราวหิมะผู้หนึ่งบินทะยานจากในจวนมาหยุดลอยอยู่หน้ากรอบป้าย แผดเสียงด้วยสีหน้าดุดัน “เจ้ายังมาทำอะไรอีก? ทำไม ก่อนหน้านี้เจ้าเสียสติเกือบจะทำลายรากฐานของข้า ยังไม่สาแก่ใจพอ ยังอยากจะทำอะไรอีก?”

ไม่รู้ว่าทำไม ผีสาวถึงไม่ได้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดอีกแล้ว

เทพหยินกล่าวว่า “เจ้าอยากไปจากที่นี่หรือไม่? หากต้องการ เจ้าจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นเปลี่ยนให้ข้ากลายมาเป็นเจ้านายคนใหม่ของจวนแห่งนี้แทนเจ้า”

ผีสาวเอามือหนึ่งกุมท้องหัวเราะขำ “เสียสติไปแล้ว คราวนี้เจ้าเสียสติจริงๆ”

เทพหยินกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้ล้อเล่น เจ้าไม่อยากไปสำนักศึกษากวานหูเพื่องมศพของคนผู้นั้นขึ้นมาหรอกหรือ? ไม่อยากหาเบาะแสเพื่อแก้แค้นแทนเขาหรอกหรือ? ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว หากยังถ่วงเวลาออกไปอีก เกรงว่าศัตรูในอดีตคงได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างเป็นสุข จากนั้นก็ทยอยกันแก่ตายไปหมดแล้วกระมัง”

ผีสาวพลันเงียบงัน

นางถามคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญ “ต่อให้ข้ายอมยกสถานที่นี้ให้เจ้า แต่เจ้าจะอาศัยอะไรมาทำให้ราชสำนักต้าหลียอมรับตัวตนของเจ้า?”

เทพหยินตอบลวกๆ “ข้าย่อมมีวิธี ฮูหยินไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล”

ผีสาวที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศหมุนตัวกลับไปมองกรอบป้ายนั้น จากนั้นก็หันไปมองทางภูเขาที่ทอดยาวไปไกล

ในอดีตตรงจุดนั้นเคยมีบัณฑิตร่างผอมบางสะพายหีบหนังสือเก่าโทรมเดินโซซัดโซเซอยู่ท่ามกลางสายฝนยามราตรี บางทีอาจเพราะต้องการปลุกความกล้าให้กับตัวเองจึงเอ่ยท่องเนื้อหาในตำราลัทธิขงจื๊อเสียงดังกังวาน

สายตาของบัณฑิตยากจนที่เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อร่วมการสอบเป็นประกายเจิดจ้า

นางพลิ้วกายลงพื้น เอ่ยถาม “ไม่เปลี่ยนกรอบป้ายนี้ได้หรือไม่?”

เทพหยินพยักหน้ารับ “ทำไมจะไม่ได้? อย่างมากสุดหนึ่งร้อยปี ข้าจะมอบจวนแห่งนี้คืนให้แก่ฮูหยินในสภาพเดิม”

ผีสาวเดินไปข้างหน้าช้าๆ สวนไหล่กับเทพหยินแล้วเดินจากไปไกลทั้งอย่างนี้

นางพูดพึมพำกับตัวเอง “ภูเขาแม่น้ำบรรจบ ไม่อาจพานพบกันใหม่”

นางหันกลับมาคลี่ยิ้ม “ศูนย์กลางของจวนอยู่ที่กรอบป้าย ข้าสละอำนาจในการควบคุมมันแล้ว หลังจากนี้จะดึงเอาโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำมาได้กี่ส่วนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเองแล้ว”

เทพหยินถามอย่างคลางแคลงใจ “เจ้าไม่แค้นราชวงศ์ต้าหลีหรือ? พวกเขาจงใจปิดบังความจริงกับเจ้าเพราะต้องการให้เจ้าพิทักษ์โชคชะตาของที่แห่งนี้ต่อไป”

ผีสาวล่องลอยจากไปไกล นางไม่ได้ตอบคำถาม

……

มีคฤหาสน์หลังหนึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าเขาทางทิศเหนือของแคว้นหวงถิง หนทางในภูเขาอันตราย แต่เนื่องจากบริเวณใกล้เคียงมีสถานที่ที่มีชื่อเสียงอยู่แห่งหนึ่ง เหนือหน้าผาริมแม่น้ำมีหินแกะสลักยากจะทำความเข้าใจอยู่หนึ่งแถบ ตัวอักษรทุกตัวใหญ่เท่างอบ เป็นเหตุให้มีนักท่องเที่ยวมาเยือนอย่างต่อเนื่อง บวกกับที่จวนแห่งนี้สร้างอยู่บนทางภูเขากว้างขวางซึ่งรถม้าสามารถผ่านได้ ดังนั้นจึงไม่ถือว่ากันดารร้างผู้คน คนที่ผ่านทางมาจึงมักจะมาขอนอนค้างหรือหยุดพักผ่อนอยู่เป็นระยะ

เจ้าของคฤหาสน์คือผู้เฒ่าชราที่ร่างกายยังแข็งแรงไม่ธรรมดา ในอดีตเขาเคยเป็นซือหลางฝ่ายกรมคลังของแคว้นหวงถิง ผู้เฒ่าชอบต้อนรับแขกมาโดยตลอด ไม่ว่าผู้ที่มาเยือนจะเป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์ หรือพรานป่าชาวบ้านธรรมดาก็มักจะให้การต้อนรับขับสู้อย่างกระตือรือร้น

คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง เหนือผืนป่าและแม่น้ำปูแผ่ไปด้วยแสงจันทร์

ท่าข้ามฟากขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่แทบจะไม่มีคนมาเยือนตลอดทั้งปี มีผู้เฒ่าคนหนึ่งในมือถือโคมไฟสีเหลืองสลัวราง ตรงรักแร้หนีบตำราสีเหลืองไว้เล่มหนึ่ง เขาเดินออกมาจากหอเรือนเพียงลำพัง ลงจากเขามายังท่าข้ามฟากขนาดเล็กที่ไม่มีเรือจอดอยู่แม้แต่ลำเดียว เขาควักเรือไม้ขนาดเล็กยาวเท่าเล็บมือออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วจึงโยนลงไปในอ่าวเล็กเบาๆ ขณะที่เรือไม้ยังอยู่ห่างจากผิวน้ำอีกประมาณหนึ่งจั้ง เรือไม้ลำเล็กก็พลันขยายใหญ่ สุดท้ายก็กลายมาเป็นเหมือนเรือปกติทั่วไป มันพลันตกกระแทกลงบนผิวน้ำ สะเก็ดน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็น เมื่อมาอยู่ท่ามกลางราตรีมืดมิดจึงเกิดเป็นเคลื่อนไหวที่น่าตกตะลึงไม่น้อย

ผู้เฒ่าเดินขึ้นเรือลำเล็ก แต่กลับไม่มีไม้พายที่สามารถแจวเรือได้

ผู้เฒ่ายกโคมที่อยู่ในมือของตัวเองขึ้นมา พอปล่อยนิ้วมือออกก็ดึงตำราออกจากใต้รักแร้ โคมที่เดิมทีควรจะร่วงลงพื้นกลับหยุดค้างอยู่กลางอากาศอย่างน่าประหลาดใจ และยังคงเปล่งแสงสีขาวสะอาดนวลตา

ผู้เฒ่านั่งขัดสมาธิ มือหนึ่งถือหนังสือ มือหนึ่งพลิกเปิดหน้าตำรา เรือน้อยลำนั่นลอยออกจากอ่าวเล็ก มุ่งหน้าสู่แม่น้ำใหญ่ไปด้วยตัวเอง

ความเร็วในการพลิกเปิดหน้าหนังสือของเชื่องช้าอย่างยิ่ง น้ำในแม่น้ำคืนนี้นิ่งสงบอย่างหาได้ยาก เรือลำน้อยแทบจะไม่กระเพื่อมไหวเลย

เมื่อนั่งเรือมาถึงใต้หน้าผาหินแห่งนั้น ผู้เฒ่าถึงเงยหน้าขึ้นมองตัวอักษรโบราณที่ไม่มีใครไขปริศนาของพวกมันออก

หรือจะพูดให้ถูกก็คือ อันที่จริงก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะมีคนให้คำตอบที่ถูกต้อง คือเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งจากราชวงศ์ต้าหลี มองดูแล้วอายุน่าจะประมาณสิบห้าสิบหกปี แต่กลับสามารถเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ได้เพียงคำพูดประโยคเดียว เขาบอกว่านั่นคือ “ฝีมือแกะสลักจากมหาเทพแห่งสายฟ้า คือถ้อยคำกล่าวเตือนเจียวและหลงจากราชาแห่งสวรรค์”

ต่อให้ผู้เฒ่าจะเคยเห็นฤดูเวียนเปลี่ยนผ่านมานับครั้งไม่ถ้วน แต่นาทีนั้นในใจก็ยังคงมีคลื่นอารมณ์สะท้านสะเทือนโถมกระหน่ำอยู่ดี เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าก็เท่านั้น

ผู้เฒ่าถอนสายตากลับมา อารมณ์ซับซ้อน ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง

ต้นไม้อยากหยุดนิ่งแต่ลมไม่หยุดพัด

เบื้องใต้ผิวน้ำที่ถูกเรือแจวลำน้อยกดทับ สิ่งมีชีวิตเผ่าน้ำทั้งหมดอย่างกุ้งหอยปูปลา ฯลฯ แทบจะหมอบกรานตัวสั่นอยู่ใต้ก้นแม่น้ำ

ผู้เฒ่าเก็บโคมไฟและตำราลงไป นั่งอาบแสงจันทร์อยู่บนเรือเพียงลำพัง

จากนั้นผู้เฒ่าก็เสกเหล้าขึ้นมาหนึ่งกา ไม่ได้รีบร้อนดื่มทันที แต่กวาดตามองไปรอบด้าน เอ่ยปลงอนิจจัง “ดับตะเกียงที่ใช้อ่านหนังสือ ทั้งตัวเหลือเพียงแสงจันทร์”

“มหาปราชญ์ในอดีตล้วนมีชีวิตเงียบเหงา มีเพียงนักร่ำสุราที่ได้ทิ้งชื่อเอาไว้ ดื่มเหล้าๆ!” ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง แล้วจึงเริ่มกรอกสุราเข้าปาก คำแล้วคำเล่า กาเหล้าใบเล็ก มองดูแล้วน่าจะบรรจุเหล้าได้แค่ครึ่งจิน แต่ผู้เฒ่ากลับดื่มไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคำแล้ว

สุดท้ายผู้เฒ่าดื่มจนเมามาย ศีรษะส่ายโอนเอน จึงโยนกาเหล้าทิ้งลงไปในแม่น้ำแล้วหลายตัวไปด้านหลัง เสียงตุ้บดังหนึ่งครั้ง เขาที่นอนหงายผลึ่งอยู่ในเรือลำเล็กก็หลับสนิทไปทันที

เรือลำน้อยลอยทวนน้ำต่อไป แล้วทันใดนั้นหัวเรือก็พลันตวัดขึ้นสูง ลอยพ้นจากผิวน้ำ จากนั้นเรือทั้งลำก็ไปจากแม่น้ำสายใหญ่ ล่องลอยไปลางอากาศสูงทั้งอย่างนี้

ยิ่งนานก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

เรือลำน้อยลอดผ่านทะเลเมฆชั้นแล้วชั้นเล่า แม่น้ำสายใหญ่กลายมาเป็นสายยาวสายหนึ่งนานแล้ว ตลอดทั้งแคว้นหวงถิงมีขนาดเท่าแค่เมล็ดถั่วเหลือง บุรพแจกันสมบัติทวีปเปลี่ยนมาเป็นแจกันหนึ่งชุ่น

เมื่อผู้เฒ่าตื่นขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าเรือลำน้อยลอยพ้นจากพื้นมาไกลเท่าไหร่แล้ว และอยู่ใกล้กับท้องนภามากแค่ไหน

เรือลำน้อยส่ายไหวเบาๆ

แล้วก็เจอกับแม่น้ำสายใหญ่อีกหนึ่งสาย เพียงแต่ไม่เหมือนกับในโลกมนุษย์ ดูเหมือนว่าแม่น้ำสายนี้จะไม่มีจุดสิ้นสุด ดวงดาวจับกลุ่มทอประกายพร่างพราว

ผู้เฒ่าสีหน้ารันทดระคนลนลาน ริมฝีปากสั่นระริก พึมพำเบาๆ “เหล้าล่ะ?”

ผู้เฒ่าอายุเจ็ดสิบปีนอนหงายลงไปอีกครั้ง เขาหลับตาลงคล้ายระลึกถึงความทรงจำที่ย่ำแย่ที่สุด สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด พึมพำซ้ำไปซ้ำมาว่า “เหล้าของข้าล่ะ เหล้าของข้าล่ะ เหล้าอยู่ไหน…”

เมาแล้วไม่รู้ว่านภาสะท้อนลงในน้ำ รอบเรือห้อมล้อมด้วยมหาสมุทรดวงดาว

……

ชาวลัทธิขงจื๊อท่าทางสง่างามผู้หนึ่งยืนอยู่บนหน้าผาหินริมแม่น้ำสายใหญ่ รอให้เรือลำนั้นหวนกลับคืนมา

เขาก็คือชุยหมิงหวงแห่งสำนักศึกษากวานหู ในฐานะหนึ่งในสองวิญญูชนแห่งลัทธิขงจื๊อที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของแจกันสมบัติทวีป เขาเคยเข้าไปมีส่วนร่วมในช่วงเวลาสุดท้ายของถ้ำสวรรค์หลีจู

หลังจากที่เขาได้รับจดหมายลับสองฉบับก็เร่งร้อนเดินทางมาที่นี่ เพื่อเป็นตัวแทนราชครูชุยฉานและกับหยางเหล่าโถวของเมืองเล็กมาทำการแลกเปลี่ยนกับเจียวเฒ่าตัวนี้

เพราะตอนนี้ต้าหลีได้ครอบครองมังกรที่แท้จริงครึ่งตัวสุดท้ายของโลก

นี่คือเบี้ยเดิมพันที่ใหญ่ที่สุด และในความเป็นจริงแล้วก็เป็นเบี้ยเดิมพันเพียงหนึ่งเดียวด้วย

……

ที่ตั้งเดิมของศาลเทพอภิบาลเมือง โรงเตี๊ยมชิวหลู

ปากบ่อและก้นบ่อ

มีเด็กหนุ่มสองคนที่อายุใกล้เคียงกัน แต่สถานะกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เฉินผิงอันเหยียบขึ้นไปบนริมขอบเหนือบ่อน้ำ โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย มองไปยังก้นบ่อน้ำที่ดำมืด ตะโกนเรียก “ชุยตงซาน”

เด็กหนุ่มชุดขาวยืนสองมือไพล่หลัง เงยหน้าขึ้น หรี่ตาพูด “ทำไม ในที่สุดก็คิดตกแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันพูดต่อ “ครั้งแรกที่พวกเราเจอกัน เจ้าบอกว่าตัวเองชื่ออะไรนะ?”

ทันใดนั้นเด็กหนุ่มชุยฉานพลันเกิดความระแวง ชาไปทั้งหนังศีรษะ ทะเลสาบหัวใจเดือดพล่าน

แล้วทันใดนั้นแสงสีขาวหิมะเส้นหนึ่งก็พุ่งจากปากบ่อลงมายังก้นบ่อ!

ปราณกระบี่ดุจม่านน้ำตกที่ไหลกรากลงมา กระแสน้ำอัดเต็มแน่นทั่วทั้งบ่อ

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด