กระบี่จงมา 156.1 ไหล่เด็กหนุ่มแบกทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ <ประกาศผลผู้ได้รับเหรียญทอง>

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 156.1 ไหล่เด็กหนุ่มแบกทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ <ประกาศผลผู้ได้รับเหรียญทอง> at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 156.1 ไหล่เด็กหนุ่มแบกทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ <ประกาศผลผู้ได้รับเหรียญทอง>
โดย

ชุยฉานเดินกลับจากบ่อน้ำเข้ามาหยุดยืนนิ่งอยู่นอกศาลา เนื่องจากโรงเตี๊ยมชิวหลูไม่ต้องการให้มีคนบุกเข้ามาวุ่นวายกับบ่อน้ำโดยพลการ ดังนั้นศาลาจึงมีทางเข้าออกฝั่งตะวันตกทางเดียว ชุยฉานที่ยืนอยู่ทางตะวันออกเหม่อลอยเล็กน้อย สุดท้ายกัดฟัน ยกสองมีปีนป่ายเสาศาลา ออกแรงเต็มกำลังถึงจะปีนขึ้นไปได้ แล้วจึงพลิกตัวเข้าไปนอนหอบหายใจฮักๆ อยู่บนม้านั่งยาวในศาลา

อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยต่างก็ตั้งท่าระแวดระวัง เพียงแค่คิดไปว่าราชครูต้าหลีกำลังหลอกล่อหาเรื่องสนุกทำ จำเป็ฯต้องระวังไม่ให้ตกลงไปในกับดัก

พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ต่อให้ชุยฉานหยิบมีดขึ้นมาส่งให้เด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นี้ แล้วยืนนิ่งๆ ให้พวกเขากรีดมีดลงไปบนร่างตัวเอง คนทั้งสองก็ยังไม่กล้าลงมือ แม้แต่มีดก็ยังไม่กล้ารับมาด้วยซ้ำ

ในสายตาของเซี่ยเซี่ย การที่เฉินผิงอันไม่แยแสชุยฉานได้นั้น เป็นเพราะเฉินผิงอันไม่รู้อะไร เพราะเขาไม่เคยได้เห็นทัศนียภาพบนภูเขา ไม่รู้ว่าความหมายแฝงของคำว่าการเข่นฆ่าในสมรภูมิรบ การแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก การพิสูจน์เส้นทางความเป็นอมตะที่แท้จริงมาก่อน

ลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งในอดีต ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสองขั้นสูงสุด ราชครูต้าหลี ไม่ว่าจะเลือกเอาตัวตนไหนออกมาก็ล้วนเป็นดั่งขุนเขาสูงตระหง่านที่สามารถกดทับให้คนหายใจไม่ออก

ชุยฉานที่ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอสิ้นสภาพนอนหงายอยู่บนม้านั่งตัวยาว เหนื่อยหอบไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่ง เขายื่นมือออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก

“อย่างที่พวกเจ้าเห็น ครั้งนี้ข้าไม่เพียงแต่เจอหายนะใหญ่ที่ทำให้ตบะของข้าสูญสิ้น ไม่เหลือแม้แต่แรงจับไก่ แถมยังเดือดร้อนไปยันวัตถุฟางชุ่นของข้าที่ไม่อาจเอาออกมาใช้ได้ กลายเป็นยาจกที่ไม่มีอาวุธติดมือแม้แต่ชิ้นเดียว ดังนั้นหากพวกเจ้าเคียดแค้นข้า ลงมือตอนนี้คือโอกาสอันดีที่พันปียากจะพานพบสักครั้ง ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ชุยฉานหันไปมองแผ่นดินต้าหลีที่กางกั้นด้วยภูเขาและสายน้ำนับพันนับหมื่นลี้ ด่าพ่อล่อแม่อย่างคนมีโทสะแต่ไร้เรี่ยวแรงให้ตอบโต้ “สุขเจ้าเสพ ทุกข์ข้าแบก เจ้านายท่านใหญ่ราชครูต้าหลี อ้อ ยังคงเป็นข้าต่างหากที่เป็นนายท่านใหญ่…”

ชุยฉานสบถด่างึมงำอยู่กับตัวเอง ไม่ว่าอย่างไร ตลอดทางที่เดินทางมานี้ แม้จะไม่อาจกราบไหว้อาจารย์ได้สำเร็จ แต่เมื่ออยู่กับหลี่ไหวนานวันเข้า เวลาด่าคนจึงคล่องปากขึ้นเยอะ แม้แต่ตัวเองก็ยังด่าได้

เด็กหนุ่มเด็กสาวเคยชินกับท่าทางสติหลุดของราชครูต้าหลีแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่คิดว่าสมองชุยฉานมีปัญหา กลับยิ่งรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบางๆ

ชุยฉานลุกขึ้นนั่ง เอนหลังพิงราวระเบียง แขนสองข้างวางพาดแนวขวางไปบนราว อวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยคนหนึ่งนั่งอยู่ฝั่งซ้าย อีกคนนั่งอยู่ฝั่งขวาของเขาพอดี

ชุยฉานถอนหายใจ “พวกเจ้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันไม่รู้ว่าภูเขาสูงเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าแม่น้ำลึกแค่ไหน ก็เลยไม่รู้สึกกลัวข้า นี่มัน…”

ชุยฉานหยุดชะงักไปเล็กน้อยแล้วก็หัวเราะร่า “ถูกต้องแล้ว”

ชุยฉานเอ่ยต่อ “แต่ว่าพวกเจ้าคิดถูกแค่ครึ่งเดียว คนไม่รู้ก็ไม่กลัว แต่สิ่งที่พวกเจ้าสู้เฉินผิงอันไม่ได้ก็คือความซื่อตรง ปฏิบัติตนอย่างถูกต้องชอบธรรม เมื่อตัวตรงย่อมไม่กลัวเงาเอียง พวกเจ้าสองคน คนหนึ่งแค่อ่านหนังสือก็กลายมาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหก แผ่นดินล่มสลาย แบกรับความอัปยศใหญ่หลวง อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกลมปราณที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำแต่ต้องแบกรับความแค้นยิ่งใหญ่ มักจะรู้สึกว่าอนาคตยังยาวไกล เฉินผิงอันกล้าพูดว่าจะฆ่าข้า ก็ฆ่าทันที แต่พวกเจ้าล่ะ ลังเลไม่แน่ใจ อึกๆ อักๆ กลุ้มกังวล ข้าพูดอย่างนี้อาจเหมือนคนยืนพูดไม่ปวดเอว เพราะอย่างไรซะข้าก็คือชุยฉาน พวกเจ้าสามารถมีชีวิตรอดมาได้ก็ต้องขอบคุณข้า”

ชุยฉานนวดเอว พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “อันที่จริงเอวข้าปวดมากเลยล่ะ”

ชุยฉานมองไปทางอวี๋ลู่ “หลังจากนี้พวกเจ้าก็ติดตามข้าอย่างสุดจิตสุดใจเถอะ ตกลงไหม?”

อวี๋ลู่ยิ้มบางๆ “นับตั้งแต่เดินออกมาจากกลุ่มนักโทษลี้ภัย ข้าก็ติดตามใต้เท้าราชครูแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกไม่เลว การเดินทางไกลไปศึกษาต่อครั้งนี้ก็สนุกสนานอย่างมาก เมื่อเทียบกับต้องแสร้งทำเป็นหนอนหนังสืออยู่ในตำหนักบูรพา ฟังคำพูดหัวมังกุท้ายมังกรจากคนทั้งหลายทุกวันแล้ว ก็น่าสนใจกว่ามาก หากเวลาว่างใต้เท้าราชครูสามารถอธิบายปัญหายากๆ ในคัมภีร์ให้ข้าฟังได้ ข้าก็รู้สึกว่าชีวิตนี้สมบูรณ์แบบแล้ว”

ชุยฉานชี้หน้าเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ “คนอย่างเฉินผิงอันนั้นระมัดระวังการกระทำและคำพูด เป็นกบใต้บ่อที่จู่ๆ ก็ได้กระโดดออกมาจากในบ่อน้ำ เห็นอะไรก็ตกอกตกใจไปหมด แต่เจ้าอวี๋ลู่กลับฉลาดเฉลียวลึกล้ำ มีหน้าตาของคนเจ้าเล่ห์ บางครั้งข้าก็อยากจะต่อยใบหน้ายิ้มของเจ้าให้แบนไปเลยจริงๆ”

อวี๋ลู่กล่าวอย่างจนใจ “ข้าเทียบกับเฉินผิงอัน จะดีกว่าเขาสักเท่าไหร่กันเชียว? ก็ยังเป็นกบใต้บ่อเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

ชุยฉานตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ไฟมั่งคั่งเผาร่าง ความทุกข์ยากมอดดับ คำเตือนที่อริยะมีต่อโลกประโยคนี้มอบให้เจ้าไม่คิดเงิน เอาไปใคร่ครวญดูให้ดี”

อวี๋ลู่ที่อ่านตำราหมื่นเล่มจนคุ้นเคยมานานแล้วบังเกิดความสงสัย “เป็นคำสอนของนักปราชญ์ท่านใดในศาลเจ้าบุ๋น?”

ชุยฉานชี้มาที่ตัวเอง “ข้าไง”

อวี๋ลู่ยิ่งระอาใจมากกว่าเดิม

ชุยฉานหยิบหินเม็ดหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วขว้างไปยังกระดิ่งลมใต้ชายคาเบาๆ หนึ่งครั้งไม่โดน สองครั้งไม่โดน สามครั้งก็ยังไม่โดน

ชุยฉานปรายตามองเด็กสาวเซี่ยเซี่ย กระตุกมุมปาก เอ่ยว่า “อยากจะโยนเจ้าออกไปจริงๆ กระดิ่งต้องดังแน่”

เด็กสาวสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนรูปปั้นดินเผาพระโพธิสัตว์ที่ตั้งวางอยู่ตรงนั้น

ชุยฉานจึงคลี่ยิ้ม “เจ้าน่ะอยากสังหารข้าจริงๆ แต่โอกาสมีแค่ครั้งเดียว จะต้องใช้แผนการที่รัดกุม ไม่อยากจะพาตัวไปตายเปล่าๆ ส่วนอวี๋ลู่นั้นฉลาดกว่าเจ้า รู้สึกว่าจะฆ่าข้าหรือไม่ก็ไม่มีความหมายสักเท่าไหร่”

ชุยฉานถอนหายใจ “เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี สี่คนนี้ ระดับความรู้สึกดีๆ ในใจของเจ้าอวี๋ลู่ จากดีไปยังเลว น่าจะเป็นหลินโส่วอี หลี่เป่าผิง เฉินผิงอัน หลี่ไหว”

“ส่วนแม่นางเซี่ยเซี่ยน่าจะเป็นหลี่เป่าผิง หลี่ไหว เฉินผิงอัน หลินโส่วอี”

สุดท้ายชุยฉานยกนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง “ส่วนข้านั้นกลับเป็นหลี่ไหว หลี่เป่าผิง หลินโส่วอี เฉินผิงอัน ข้าชอบหลี่ไหวที่เป็นคนโง่ก็มีโชคของคนโง่มากที่สุด เพราะไม่เป็นภัยคุกคามต่อข้ามากที่สุด แม่นางน้อยที่สดใสร่าเริงดุจแสงตะวันอย่างหลี่เป่าผิง โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีความชั่วร้ายอยู่เต็มหัวอย่างข้า จะรังเกียจนางลงคอได้อย่างไร? มองเห็นนางก็ให้รู้สึกอุ่นซ่าน สบายใจยิ่งนัก หลินโส่วอีไม่ใช่ไม่ดี เพียงแต่อัจฉริยะประเภทนี้ ข้าเคยพบเจอมามากมายแล้ว จึงไม่ค่อยรู้สึกสนใจเท่าไหร่”

ชุยฉานยิ้มตาหยี “อวี๋ลู่ไม่ชอบหลี่ไหวมากที่สุดเพราะรังเกียจนิสัยเห็นแต่กิน รอความตาย ไม่เป็นโล้เป็นพายของเขา รู้สึกว่าใต้หล้านี้ทำไมถึงมีคนขี้เกียจ ทำอะไรอย่างขอไปทีแบบนี้ได้ แน่นอนว่ายังสกปรก ไม่รักความสะอาดด้วย ชื่นชอบหลินโส่วอีมากที่สุดก็เพราะจิตใต้สำนึกของเจ้ามองตัวเองเป็นรัชทายาทของราชวงศ์สกุลหลู ความเจริญรุ่งเรืองของแคว้นหนึ่งจำเป็นต้องอาศัยเสาคานที่แสวงหาความก้าวหน้า มุ่งมั่นพัฒนาตนอย่างหลินโส่วอี

เซี่ยเซี่ยมองดูเหมือนสนิทสนมกับหลินโส่วอี มักจะเล่นหมากล้อมกับเขาเป็นประจำ แต่แท้จริงแล้วกลับอิจฉาเขาเจียนคลั่ง เป็นอัจฉริยะด้านการฝึกตนเหมือนกัน เหตุใดหลินโส่วอีถึงพอเจอแต่ความราบรื่น แต่ตัวเองกลับต้องมาเจอหายนะ และมีความเป็นไปได้ว่านับแต่นี้ไปมหามรรคาจะถูกกั้นขวาง หมดความหวังจะได้มีชีวิตเป็นอมตะอีก?”

อวี๋ลู่เงียบงัน

สีหน้าเซี่ยเซี่ยก็ไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด

ชุยฉานหัวเราะเสียงดังลั่น “ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกเราถึงไม่มีใครชอบเฉินผิงอันเลยล่ะ? แต่ทำไมพวกเด็กที่เพิ่งได้เผชิญโลกกว้างอย่างพวกหลี่เป่าผิงสามคนถึงได้รู้สึกตรงกันข้ามกับจิ้งจอกใหญ่จิ้งจอกน้อยที่สติปัญญาและจิตใจเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วอย่างพวกเราสามคน กลับกลายเป็นว่าพวกเขาชอบเฉินผิงอันมากที่สุด เข้าใจยากมากเลยใช่ไหม? อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย พวกเจ้าสองคนใครสามารถให้คำตอบที่ถูกต้องตรงกับใจของข้าได้ ข้าก็จะมอบของดีมีประโยชน์ให้กับพวกเจ้าชิ้นหนึ่ง”

เซี่ยเซี่ยเอ่ยเนิบช้า “เพราะว่าพวกเขาสามคนเคยชินกับการที่ต้องหันไปมองเฉินผิงอันในทุกครั้งที่พบเจออุปสรรคหรือต้องเลือก พวกเขารู้สึกว่าเฉินผิงอันมีความยุติธรรมมากที่สุด อีกทั้งยังเต็มใจทุ่มเทมากที่สุด แต่หากโยนความต้องการส่วนตัวของใต้เท้าราชครูอย่างท่านทิ้งไป สำหรับพวกเราสามคนแล้ว คนอย่างเฉินผิงอันที่เป็นมนุษย์ธรรมดาซึ่งมองดูเหมือนเข้ากับคนอื่นได้ง่าย เต็มใจทำความดีเพื่อคนอื่น กลับไม่มีค่าพอให้พูดถึง”

อวี๋ลู่ส่ายหน้า “เฉินผิงอันไม่ได้เข้ากับคนง่ายขนาดนั้น”

ชุยฉานจุ๊ปาก “ความคิดของพวกเจ้าสองคนสมน้ำสมเนื้อกันอย่างนี้ ช่างโง่เขลาได้น่ารักจริงๆ หรือว่าข้าควรจะจับคู่ให้พวกเจ้าสองคนดี ชายเก่งกาจหญิงรูปงาม… อ้อ ไม่ถูกสิ ตอนนี้ต้องเป็นชายรูปงามหญิงเก่งกาจไปก่อน ดีไหม?”

อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยต่างก็ไม่ได้รับคำ เพราะรู้ว่านี่เป็นการหยอกล้อพวกเขา

ชุยฉานใช้สองนิ้วลูบคลำจี้หยกที่แขวนไว้ตรงเอว “พวกเจ้าไม่รู้เลยว่า เฉินผิงอันก็คือกระจกบานหนึ่งที่ทำให้คนข้างกายสามารถมองเห็นข้อเสียของตัวเองได้ดียิ่งกว่าเวลาปกติ ดังนั้นเมื่อรู้จักกับเขา ขอแค่เป็นคนที่สภาพจิตใจมีปัญหา ปัญหานั้นก็จะปรากฏขึ้น

ก่อนหน้านี้เคยมีเด็กโง่คนหนึ่งชื่อจูลู่ที่ถูกบีบให้เดินเข้าสู่ทางตัน ที่บอกว่านางโง่ก็เพราะนางโง่อย่างไม่ประมาณตน ทำเรื่องเลวร้าย แต่ความคิดกลับเลอะเลือน นี่เรียกว่าทั้งโง่ทั้งเลว เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับเหนียงเนียงท่านนั้นของต้าหลีเราแล้วกลับห่างชั้นกันไกลนัก เหนียงเนียงท่านนั้นของพวกเราน่ะ ฉลาดที่สุดก็ตรงที่ ‘เจ้าคิดว่าข้าจะทำเรื่องชั่วร้ายอะไรลงไปโดยที่ข้าไม่มีความมั่นใจงั้นหรือ’ ปีนั้นเป็นเพราะประโยคที่เอ่ยโดยไม่ได้ตั้งใจนี้ที่ทำให้ข้าตัดสินใจร่วมมือกับนาง”

ชุยฉานชี้มาที่ตัวเอง “ตามคำพูดที่หลบๆ ซ่อนๆ ของเจินเหรินบางท่านแห่งลัทธิเต๋า คนเราล้วนมีเส้นหัวใจสองเส้น หนึ่งดีหนึ่งเลว สองเส้นนี้ต่างก็แขวนไว้บนหัวใจของพวกเรา ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันคิดนั่นแหละ เรื่องบางเรื่องถูกต้อง มันก็คือถูกต้อง แต่ถ้าผิดก็คือผิด ไม่ว่าใครเป็นคนลงมือทำ ไม่ว่าใครเป็นคนช่วยแก้ไขก็ล้วนไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”

“ที่น่าสนใจก็คือ ความยากลำบากของเรื่องราวบนโลกใบนี้อยู่ที่ว่า เพื่อทำเรื่องดีที่ยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่เจ้าจะทำเรื่องผิดพลาดเล็กๆ มากมาย

เช่นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ไม่ต้องการละเมิดต่อเจตจำนงของตน อาจจะอยู่ในวงการขุนนางต่อไปไม่ได้ หรืออาจถึงขั้นไม่สามารถป่ายปีนขึ้นสูงในสำนักศึกษา ถึงท้ายที่สุดก็ได้แต่หลบอยู่ในห้องหนังสือเพื่อรวบรวมความรู้ ปิดประตูสร้างเกวียน (เปรียบเปรยว่ายึดเอาความคิดของตัวเองเป็นหลักโดยไม่สนความเป็นจริง) แทบไม่สร้างประโยชน์ให้กับโลกภายนอกที่ขับเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างไม่หยุดยั้งเลย

คนบางคนอยู่ในห้องหนังสือนานเกินไป ทั้งร่างมีแต่กลิ่นอายของความคร่ำครึหัวโบราณ ไม่อาจทนเห็นข้อบกพร่องทางคุณธรรมของใครได้ เอะอะก็ชี้นิ้วประณาม แต่กลับไร้หนทางรับมือกับบุคคลในราชสำนักที่เลวร้ายสุดขีด ถึงท้ายที่สุดก็ได้แต่ปล่อยให้สังคมตกต่ำเสื่อมถอย กฎระเบียบล้มครืน”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด