กระบี่จงมา 183 เขามีใบไม้ฤดูใบไม้ผลิ สายฟ้าฤดูร้อน สายลมฤดูใบไม้ร่วง หิมะฤดูหนาว

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 183 เขามีใบไม้ฤดูใบไม้ผลิ สายฟ้าฤดูร้อน สายลมฤดูใบไม้ร่วง หิมะฤดูหนาว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 183 เขามีใบไม้ฤดูใบไม้ผลิ สายฟ้าฤดูร้อน สายลมฤดูใบไม้ร่วง หิมะฤดูหนาว
โดย

ใกล้ช่วงสิ้นปี ฟ้าหนาวดินแข็ง เส้นทางเล็กแคบในตรอกหนีผิงก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นแข็งทื่อมากเป็นพิเศษ

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง มองแผ่นหลังสูงใหญ่แล้วเอ่ยเรียกเบาๆ “พี่ใหญ่หลี่”

หลี่ซีเซิ่งไม่ได้หันกลับมา เพียงยิ้มบางๆ “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าสามารถรับมือได้ ต่อให้ข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เมืองเล็กก็มีกฎของเมืองเล็ก เขาทำตัวเหลวไหลตามใจชอบไม่ได้หรอก”

มือกระบี่หนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเฉาจวิ้นหัวเราะหึหึ “เจ้าพูดถึงราชสำนักต้าหลีหรือว่าหร่วนฉงแห่งสำนักการทหาร? หากเป็นฝ่ายแรก ข้าแนะนำเจ้าว่าทำใจเสียแต่เนิ่นๆ เถอะ หากตระกูลซ่งของต้าหลีมีความกล้าจริงก็คงไม่ทำตัวเป็นเต่าหดหัว แต่หากเป็นหร่วนฉง ฮ่าๆ ขอข้าอุบไว้ก่อนแล้วกัน พวกเจ้ารอดูกันได้เลย”

เฉาจวิ้นมองบัณฑิตชุดเขียวที่ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกเนื้อดี เมื่อเทียบกับตนแล้วเหมือนจะอ่อนเยาว์กว่า อีกฝ่ายคือคนหนุ่มที่หนุ่มอย่างแท้จริง นี่ทำให้เฉาจวิ้นไม่สบอารมณ์นัก เขาใช้นิ้วโป้งดันด้ามกระบี่สั้นที่พกตรงเอว “จะตีกันจริงๆ รึ? เจ้าค่อนข้างเสียเปรียบนะ ยอมๆ ไปเถอะ ไม่แน่ว่าหลังจบเรื่องอาจจะมีโชคดีตามหลังโชคร้ายก็ได้”

หลี่ซีเซิ่งยิ้มอ่อน “ในเมื่อเจ้าบอกว่าเหตุผลของเจ้าอยู่ในฝักกระบี่ ข้าก็อยากจะลองฟังดู”

“ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ถ้ำสวรรค์หลีจูห้ามใช้เวทคาถาทุกชนิด ตอนนี้ถ้ำสวรรค์ปริแตกร่วงลงสู่พื้นดิน เพิ่งจะผ่านไปปีเดียว เจ้าก็เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางได้แล้ว ไม่เลวเลย”

ดวงตาของเฉาจวิ้นเผยแววชื่นชม แต่ไม่นานก็ส่ายหน้า จุ๊ปากพูด “น่าเสียดายนัก”

หลี่ซีเซิ่งยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “เชิญ”

เฉาจวิ้นหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “กบใต้บ่อ ไม่รู้ว่าฟ้าสูงเท่าไหร่ ในเมื่อพวกเราไม่ได้คิดจะต่อสู้ตัดสินเป็นตาย ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะกดขอบเขตลงหนึ่งระดับ เจ้าจะได้ไม่แพ้ในศึกแรกของชีวิตอย่างอยุติธรรมเกินไปนัก”

หลี่ซีเซิ่งเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด

“รอวันหน้าเจ้าออกไปจากบ่อแห่งนี้แล้วจะค้นพบเองว่าบุคคลเช่นข้า คู่ควรกับ…” เฉาจวิ้นแตะปลายเท้า โน้มตัวลงพุ่งกระโจนไปด้านหน้า แผดเสียงหัวเราะดังก้อง เมื่อเลือกจะลงมือ พลังอำนาจของมือกระบี่หนุ่มที่ใบหน้าแต้มยิ้มอยู่เป็นนิจพลันแปรเปลี่ยน ในตรอกที่เล็กแคบจนน่าอึดอัดกึกก้องไปด้วยประโยคที่เขาเอ่ยต่อท้าย “สองคำว่าคุณธรรมแล้ว!”

แสงสีขาวสว่างจ้าเส้นหนึ่งระเบิดกระจาย ปราณกระบี่ซัดพุ่งไปสี่ทิศอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั่วทั้งตรอก บวกกับที่ร่างของเฉาจวิ้นจู่โจมเข้ามาเร็วเกินไป เป็นเหตุให้ร่างที่พร่าเลือนของเขาผสานรวมเป็นหนึ่งกับพลังรอบด้านจนไม่อาจมองเห็นได้ ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่ามีน้ำป่าทะลักหลังจากพายุฝนผ่านพ้น โดยใช้ตรอกแห่งนี้เป็นท้องน้ำท่วมทะยานเข้าหาพวกหลี่ซีเซิ่งที่อยู่ในระดับต่ำกว่า

มองไปมีแต่สีขาวโพลน ท่ามกลางกระแสปราณกระบี่อันน่าครั่นคร้ามพอจะมองเห็นได้รำไรว่ามีแสงสีขาวหิมะที่รวมตัวกันได้หนาแน่นมากกว่า คล้ายปลาสีขาวตัวหนึ่งที่แหวกว่ายอยู่ในธารน้ำอย่างเงียบเชียบ

กระแสน้ำพลันหยุดชะงัก

หลี่ซีเซิ่งเบี่ยงตัวหลบอย่างไม่รีบไม่ร้อน เขายกแขนยื่นเข้าหากระบี่สั้นสีหิมะสว่างตาดุจปลาสีขาวตัวนั้น

จากนั้นก็กำข้อมือที่ถือกระบี่ของเฉาจวิ้นไว้เบาๆ อย่างแม่นยำ

เฉาจวิ้นยิ้มบางๆ ปล่อยนิ้วออก กระบี่สั้นที่อยู่ห่างจากหน้าอกของหลี่ซีเซิ่งสองสามฉื่อพุ่งสวบเข้าแทงหัวใจของเขาด้วยตัวเอง

สีหน้าของหลี่ซีเซิ่งยังคงนิ่งเฉย ประกบสองนิ้วของมือซ้ายวางไว้ด้านหน้าตัวเอง

คีบปลาสีขาวตัวนั้นไว้ได้พอดีในชั่วเสี้ยวยาแดงผ่าแปด

ปลาขาวพลิกตัวสะบัด

คมกระบี่บิดหมุนตามไปด้วย

หลี่ซีเซิ่งได้แต่ก้าวถอยหลัง เฉาจวิ้นบุกประชิด มือที่เคยถือกระบี่กำเป็นหมัดแล้วต่อยเข้าที่ลำคอของหลี่ซีเซิ่ง

หลี่ซีเซิ่งใช้ข้อศอกต้านหมัดของเฉาจวิ้น ขณะเดียวกันปลาขาวตัวนั้นก็แทงเข้ามาถึงตัว หลี่ซีเซิ่งสะบัดข้อมือของมืออีกข้างจนชายแขนเสื้อส่ายไหว

ปลาขาวตัวนั้นพาตัวเข้ามาติดกับแต่โดยดี

เฉาจวิ้นหลุดหัวเราะพรืด ยกเท้าถีบเข้าที่หน้าท้องของหลี่ซีเซิ่งจนบัณฑิตชุดเขียวถอยหลังไปสี่ห้าก้าว

เขาไม่ได้ฉวยโอกาสไล่ตามมาโจมตีต่อ แต่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างใจกว้าง มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งสะบัดอย่างสง่างาม

หลี่ซีเซิ่งหยุดอาการถอยกรูดไว้ได้ สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย แม้ว่าเฉาจวิ้นจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ ทว่ากำลังเท้านี้ของเขาหนักหน่วงมาก ไม่เป็นรองกำลังของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตห้าขั้นสูงสุดเลย เดิมทีการหลอมลมปราณควบคู่กับการขัดเกลาร่างกายก็เป็นจุดที่น่ากลัวของผู้ฝึกกระบี่และนักพรตสำนักการทหารอยู่แล้ว ดังนั้นหลี่ซีเซิ่งที่รับเท้านี้ไปเต็มๆ จึงค่อนข้างแย่ การโคจรลมปราณในร่างกายได้รับผลกระทบไปด้วยในระดับหนึ่ง

ในชายแขนเสื้อของหลี่ซีเซิ่งที่กักกระบี่บินของเฉาจวิ้นเอาไว้ส่งเสียงปึงปังดังต่อเนื่อง จากนั้นเสียงแควกเหมือนผ้าถูกฉีกขาดเบาๆ ก็ดังออกมา ตามด้วยแสงกระบี่สีขาวหิมะเป็นเส้นๆ ที่ไหลลอดตามรอยปริแยก

มือข้างนั้นในชายแขนเสื้อของหลี่ซีเซิ่งที่มีโลกอีกใบหนึ่ง นิ้วทั้งห้าบ้างก็งอเป็นตะขอ บ้างก็ตรงดุจง้าว กำลังทำมุทราเป็นคาถาหนึ่งของลัทธิเต๋าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับท่องในใจว่า “สยบ!”

ชายแขนเสื้อที่เดิมทีเดี๋ยวก็พองขยาย เดี๋ยวก็หดรัดแน่น โกลาหลผิดปกติพลันสงบลง

เสียงกระบี่บินที่พุ่งชนชายแขนเสื้อเปลี่ยนมาเป็นเสียงครวญครางสั่นสะท้านเบาๆ

เฉาจวิ้นไม่รู้สึกแปลกใจกับภาพเหตุการณ์นี้ เขาพูดยิ้มๆ “เจ็ด”

ชายแขนเสื้อทั้งแถบของหลี่ซีเซิ่ง ไล่จากข้อศอกลงมาพากันขาดวิ่นในเสี้ยววินาที แสงกระบี่สาดส่องสั่นสะเทือนตรงบริเวณใกล้เคียงกับข้อมือ

ราวกับแสงจันทร์งามล้ำที่ส่องสว่างเต็มอุ้งมือ แต่กลับแฝงเร้นไว้ด้วยปราณสังหารอันตรายอย่างใหญ่หลวง

นิ้วมือทั้งห้าที่ทำมุทราของหลี่ซีเซิ่งแปรเปลี่ยนไป กลายมาเป็นการกำมือ ในฝ่ามือของเขาที่ทุกคนมองไม่เห็น เส้นลายมือเหมือนกระแสน้ำที่ไหลรินเอื่อยๆ เปลี่ยนแปลงทิศทางการโคจร

ทันใดนั้นแขนข้างนั้นของหลี่ซีเซิ่งก็ส่องประกายแสงสีเขียวอมม่วง ไอหมอกแผ่อบอวล

ปราณกระบี่ของปลาสีขาวที่พาคมกระบี่ล้อมพันไปทั่วแขนของหลี่ซีเซิ่งปะทะเข้ากับปราณสีเขียวม่วงที่หลี่ซีเซิ่งแผ่ออกมาจนเกิดเสียงใสกังวานเหมือนหินทองกระทบกัน ดังถี่กระชั้น สะเทือนแก้วหู

เป็นเหตุให้มีเศษฝุ่นเศษดินร่วงเผลาะๆ ลงมาจากกำแพงสูงฝั่งหนึ่งของตรอกหนีผิงกับกำแพงเตี้ยของประตูบ้านเก่าที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ดวงตาหงส์ของเฉาจวิ้นที่เดิมทีหรี่ลงเป็นเส้นโค้งเล็กแคบเบิกกว้างขึ้นมาอีกนิด เอ่ยยั่วเย้า “น่าสนใจ ว่ากันว่าวิชาคาถาของลัทธิเต๋ามีเป็นล้านชนิด ที่ข้าเคยเห็นมาก็แค่สองร้อยกว่าชนิดเท่านั้น แถมยังไม่เคยเจอคาถาไหนที่ง่ายดายและใช้ได้ดีเหมือนของเจ้ามาก่อน เจ้าคนแซ่หลี่ ตบะขอบเขตหกของเจ้าจะแน่นหนาเกินไปแล้ว แต่ไหนแต่ไรมามีแต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหกรังแกผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเจ็ดเท่านั้น ไหนเลยจะมีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกที่ต้านทานผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเจ็ดได้อย่างเจ้า หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ข้าเฉาจวิ้นจะไม่กลายเป็นตัวตลกของผู้ฝึกกระบี่ทั่วหล้าหรอกหรือ”

หลังผ่านการปรับตัวในช่วงแรกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าตอนนี้หลี่ซีเซิ่งยังเหลือพลังอยู่มาก ถึงขั้นยังยิ้มได้ “อาจเป็นเพราะเหตุผลของเจ้ายังไม่…สูงมากพอ?”

เฉาจวิ้นพยักหน้ารับ เห็นด้วยอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงเอ่ยคำหนึ่งออกมาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “แปด!”

กระบี่บินปลาขาวที่เหมือนถูกกระตุ้นพลังชีวิตถอยกรูดกลับไปหาเจ้านายอย่างเฉาจวิ้น จากนั้นก็ลอยนิ่ง เพียงเสี้ยววินาทีกระบี่บินก็หม่นแสง กระบี่สั้นเป็นแค่กระบี่สั้น ไม่เหลือปราณกระบี่ไหลวน ไม่มีพลังอำนาจเฉิดฉายอย่างก่อนหน้านี้อีก

ปณิธานกระบี่เย็นชามืดทะมึนที่ให้ก่อนหน้านี้ความรู้สึกประหลาดแก่ผู้คนพลันแปรเปลี่ยน กลายมาเป็นสว่างไสวตรงไปตรงมา

กระบี่บินหายวับไปกลางอากาศทันใด

บนกำแพงแห่งหนึ่งของตรอกเล็กที่อยู่ระหว่างคนทั้งสองปรากฏร่องรอยที่เล็กอย่างถึงที่สุด เล็กแค่สะเก็ดฝุ่นที่ร่วงลงมาเท่านั้น

หลี่ซีเซิ่งยื่นสองนิ้วของมือขวาออกมา พยายามจะคว้าจับกระบี่บินที่อ้อมเป็นวงกลมเล่มนั้นให้ได้อีกครั้ง

แล้วหลี่ซีเซิ่งก็พลันเบี่ยงหน้าหลบ

นาทีถัดมา กระบี่บินก็เจาะผนังสูงทางฝั่งซ้ายของหลี่ซีเซิ่งจนเป็นรู

แล้วมันก็หายวับไปอีกครั้ง

ทว่าซีกหน้าฝั่งซ้ายของหลี่ซีเซิ่งกลับมีหยดเลือดหยดหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ขยายกลายเป็นรอยเลือดเส้นหนึ่งที่ยาวชุ่นกว่า

เป็นอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ ว่า เข่นฆ่ากับผู้ฝึกกระบี่ ความเป็นความตายถูกขีดคั่นด้วยเส้นบางๆ เส้นเดียว

หลี่ซีเซิ่งพูดในใจ “ที่แท้นี่ก็คือแปด ร้ายกาจอย่างแท้จริง”

การที่พลังต่อสู้ของผู้ฝึกกระบี่ได้รับการยอมรับจากผู้คนโดยทั่วไปว่าล้ำเลิศกว่าผู้ฝึกลมปราณร้อยสำนักนั้นอยู่ที่ กระบี่บินซึ่งได้รับการบ่มเลี้ยงอย่างเหมาะสม ความคมกริบของมันอยู่ที่ ‘จุดเล็กๆ’ หรืออย่างมากที่สุดก็คืออยู่ที่เส้นๆ หนึ่ง

ไม่ว่าเทือกเขาแห่งหนึ่งจะยิ่งใหญ่สูงตระหง่านขนาดไหน หากคิดจะตอกตะปูตัวหนึ่งลงไปบนหน้าผา หรือเจาะร่องลึกสักเส้นหนึ่ง อันที่จริงไม่ใช่เรื่องยากเลย

เป็นพวกตัวประหลาดในบรรดาผู้ฝึกลมปราณเหมือนกัน ต่อให้เป็นนักพรตสำนักการทหารที่ทั้งฝึกฝนร่างกายและฝึกฝนจิตวิญญาณ ก็ยังสังหารคนได้ไม่คล่องแคล่วว่องไวเฉกเช่นผู้ฝึกกระบี่

ต่อให้เจ้าจะมีสมบัติอาคมนับพันนับหมื่น ต่อให้วิชาอภินิหารของเจ้าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ผู้ฝึกกระบี่อย่างข้าก็ยึดมั่นในการปลิดชีพด้วยการโจมตีเดียว หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคม

เฉาจวิ้นยืนค้างในท่ามือข้างหนึ่งไพล่หลังอยู่ตลอดเวลา ส่วนอีกมือหนึ่งตบที่ด้ามกระบี่ยาว “เจ้ามีพรสวรรค์ในการฝึกตนขนาดนี้ ต้องเป็นคนที่ตระกูลฝากความหวังไว้มากแน่นอน จะไม่มีสมบัติป้องกันตัวสักชิ้นเลยหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอก ตกลงกันไว้ก่อนนะ ไม่ว่าเจ้ามีเป้าหมายอะไร แต่หากยังปิดบังอำพราง ไม่ยอมเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา จะต้องมีคนตายจริงๆ เพราะข้ากลัวว่าตัวเองไม่ทันระวังลงมือฮึกเหิมเกินไป ยั้งมือไม่อยู่ ถึงเวลานั้นเจ้าคงตายตาไม่หลับแน่ๆ”

เผชิญหน้ากับคำดูถูกของศัตรู หลี่ซีเซิ่งกลับไม่โกรธ เขายังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดังเดิม “เฉินผิงอัน อาจจะต้องรบกวนให้พวกเจ้าถอยไปอีกหน่อยแล้วล่ะ ถอยไปสักสี่ห้าจั้งจะดีที่สุด”

เฉาจวิ้นตบหน้าผากตัวเองอย่างแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยแววน้อยเนื้อต่ำใจ “ศัตรูตัวฉกาจมารออยู่ตรงหน้า ยังมีเวลาพูดจาเหลวไหล ข้าโกรธมากเลยนะเนี่ย”

คำพูดกลั้วหัวเราะของมือกระบี่หนุ่มแฝงปราณสังหารไว้เต็มเปี่ยม

ขณะเดียวกันกับที่เฉาจวิ้นตบหน้าผากจนเกิดเสียงดัง กระบี่บินก็ได้อาศัยเสียงน้อยนิดนั้นกลบเสียงของตัวเอง แล้วพุ่งเข้าแทงไปยังหัวใจด้านหลังของหลี่ซีเซิ่งอย่างเงียบเชียบ

เคร้ง!

เสียงเสนาะหูดังก้องขึ้นกลางอากาศ สะท้อนดังไปทั่วทั้งตรอกหนีผิง

เฉาจวิ้นอึ้งงันไปเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น “แบบนี้ก็ได้รึ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจจริงๆ ล่ะนะ”

ด้านหลังหลี่ซีเซิ่งมีใบไม้เขียวขจีใบหนึ่งลอยขึ้นมาต้านทานการทิ่มแทงของกระบี่บินเอาไว้

เคร้งๆๆๆ …

ในตรอกเล็ก รอบกายหลี่ซีเซิ่งเกิดเสียงดังติดต่อกันเป็นทอดๆ คล้ายเกิดความเคลื่อนไหวบางอย่าง

นอกจากใบไผ่หลายใบแล้ว ยังมีใบต้นท้อ ใบต้นหลิ่ว ใบต้นไหว…

ใบไม้ทุกใบล้วนเป็นสีเขียวมรกต

เฉาจวิ้นจ้องมองไปยังสมรภูมิรบแห่งนั้น

หลี่ซีเซิ่งยืนตระหง่านไม่ไหวติง รอบกายมีแต่ใบไม้ที่บ้างลอยสูง บ้างลอยต่ำ ล่องลอยเป็นลูกคลื่นไม่หยุดนิ่ง ส่วนกระบี่บินที่มีชื่อว่าปลาขาวก็ลอดทะลวงอยู่ท่ามกลางวงล้อม พยายามจะทำลายค่ายกลให้ได้ แต่ต้องถอยกลับมามือเปล่าเสียทุกครั้ง

แม้ว่าจะมีใบไม้สีเขียวร่วงหล่นลงพื้นและกลายเป็นสีเหลืองแห้งกรอบอยู่เป็นระยะ แต่เฉาจวิ้นก็ยังอดจนใจไม่ได้ เพราะเขาลองนับใบไม้ของบัณฑิตผู้นั้นคร่าวๆ แล้ว อย่างน้อยก็น่าจะมีถึงร้อยกว่าใบ

ดังนั้นอารมณ์ของเฉาจวิ้นจึงไม่ใคร่จะดีนัก

ที่บ้านของเจ้าขายใบไม้หรือไง? ต่อให้ขายแล้วจะมีคนซื้องั้นหรือ?

เฉาจวิ้นไม่อยากยอมแพ้เพราะสาเหตุนี้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกเล็กๆ คนหนึ่งจะสามารถยืนหยัดได้ถึงท้ายที่สุด เพราะเดิมทีการควบคุมใบไม้มากมายขนาดนั้นในเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว ผู้ฝึกลมปราณต้องสิ้นเปลืองสมาธิแรงใจมาก ดังนั้นเฉาจวิ้นจึงบอกตัวเองในใจว่าแม้จะชนะอย่างไม่สมเกียรตินัก แต่ก็พอจะถือได้ว่าเป็นการออกแรงโง่ๆ เพื่อขัดเกลาความคมของกระบี่ครั้งหนึ่ง เขาเองก็อยากจะรู้นักว่าบัณฑิตผู้นั้นจะต้านทานไว้ได้นานสักเท่าไหร่

กระบี่บินเล่มเล็กสั้นแต่กลับแหลมคมเริ่มพุ่งชนไปทั่วอย่างกำเริบเสิบสาน

ในตรอกเล็ก ใบไม้ร่วงระนาว พอสัมผัสพื้นก็เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง

หลี่ซีเซิ่งพลันเอ่ยเตือน “หากพวกเรายังสู้กันแบบนี้ต่อไปก็คงยาวไปถึงปีหน้าโน่นแหละ เอาอย่างนี้ดีไหม เจ้าพูดเหตุผลของกระบี่เล่มนี้ไปแล้ว ลองมาพูดถึงกระบี่อีกเล่มเป็นไง? หากเป็นไปได้ก็เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาพร้อมกันเลย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรให้รู้แพ้รู้ชนะกันเสียก่อน เพราะเพื่อนของข้ายังต้องไปที่อื่นต่อ”

 เฉาจวิ้นพลันเบิกตากว้าง ในที่สุดก็ยิ้มไม่ออก “เจ้าไม่โม้แล้วจะตายหรือไง?”

หลี่ซีเซิ่งถอนหายใจ ไม่พูดอะไรอีก

เขาเพียงสะบัดชายแขนเสื้อข้างนั้นอีกครั้ง ก่อนที่จะมีของเล่นกองโตน่าเหลือเชื่อร่วงกราวออกมาจากด้านใน

มีใบไม้ฤดูใบไม้ผลิที่เหลืออยู่อีกไม่มาก แต่นอกจากนี้ยังมีสายฟ้าฤดูร้อนที่ใหญ่เท่าเล็บมือหลายชิ้น มีสายลมฤดูใบไม้ร่วงที่ยาวไม่เกินนิ้วมือหลายกลุ่ม และยังมีหิมะฤดูหนาวที่ใหญ่เท่าขนห่านอีกมากมาย

ในเมื่ออีกฝ่ายมีหนึ่งกระบี่ที่สามารถทำลายหมื่นอาคม

จะทำอย่างไร?

ข้าควรจะสะสมอาคมให้ได้หนึ่งหมื่นหนึ่งวิชาหรือไม่?

ดังนั้นต่อให้ตอนนี้บัณฑิตหนุ่มที่ชื่อว่าหลี่ซีเซิ่งจะเพิ่งเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง แต่เขากลับมีใบไม้ฤดูใบไม้ผลิ สายฟ้าฤดูร้อน สายลมฤดูใบไม้ร่วงและหิมะฤดูหนาวแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังมีอย่างอื่นอีก แถมยังมีมากเสียด้วย

 —————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด