กระบี่จงมา 199 นกขมิ้นจากไปแล้วย้อนกลับมา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 199 นกขมิ้นจากไปแล้วย้อนกลับมา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 199 นกขมิ้นจากไปแล้วย้อนกลับมา
โดย

หลังผ่านพ้นช่วงปีใหม่ ในแจกันสมบัติทวีปก็เกิดเรื่องใหญ่อยู่หลายเรื่อง

หนึ่งคือนักพรตของสำนักโองการเทพที่อายุยังน้อยแต่มีศักดิ์อาวุโสสูงล้ำผู้นั้น เมื่อได้รับการสนับสนุนอย่างสุดกำลังจากฉีเจินศิษย์พี่เจ้าสำนักผู้เป็น ‘เทียนจวิน’ ก็ได้รับเชื้อเชิญจากสำนักเบื้องบนของสำนักโองการเทพซึ่งเป็นสำนักลัทธิเต๋าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ให้เขามารับผิดชอบหน้าที่เจินเหรินอาลักษณ์ ดูแลตำรา ‘ต้งเสวียนจิง’ งานประพันธ์อันยิ่งใหญ่ของลัทธิเต๋าซึ่งทรงคุณค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ตำราเล่มนี้ถูกขนานนามให้เป็น ‘รากเหง้าแห่งกถามรรค’

ข่าวนี้ไม่เป็นรองข่าวที่สำนักโองการเทพจัดงานพิธีเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่ฉีเจินได้รับการแต่งตั้งเป็นเทียนจวินเลย

เรื่องที่สองคือภูเขาเจินอู่หนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหาร เมื่อปีก่อนรับลูกศิษย์ใหม่มาคนหนึ่ง ภายในหนึ่งปีเขาฝ่าทะลุขอบเขตได้ติดต่อกันถึงสามขอบเขต เป็นเหตุให้ภูเขาเจินอู่ที่เดิมทียังตกเป็นรองศาลลมหิมะอยู่เล็กน้อยพลันมีชื่อเสียงและพลังอำนาจเพิ่มพูน และมีแววว่าจะข่มศาลลมหิมะลงไปได้ ต้องรู้ว่านี่ยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะเลื่อนขั้นเป็นเซียนกระบี่พสุธาแล้วด้วย เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีพรสวรรค์สูงล้ำเพียงใด

เรื่องที่สามเป็นข่าวเล็กๆ บอกว่าราชวงศ์ต้าหลีชาวเหนือผู้ป่าเถื่อนยืนกรานจะเลื่อนขั้นภูเขาบางลูกทางทิศใต้ของเขตแดนพวกเขาขึ้นเป็นขุนเขาเหนือแห่งแคว้นราวกับเสียสติ ในถ้อยคำดูแคลนเย้ยหยันจำนวนมากนั้นกล่าวว่า สกุลซ่งบ้านนอกคอกนาไม่เพียงแต่ความรู้ตื้นเขิน ที่แท้แม้แต่ทิศเหนือใต้ออกตกก็ยังแยกไม่ออก มีเพียงสำนักศึกษากวานหูเท่านั้นที่ห้ามนักเรียนในสำนักศึกษาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ นับว่ามีเลศนัยอย่างยิ่ง

ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นไม่ได้น่าตกใจเท่าสามเรื่องแรก อีกทั้งยังเป็นข่าวเล็กข่าวน้อยที่เล่าลือกันปากต่อปาก ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าจริงหรือเท็จในช่วงเวลาสั้นๆ ยกตัวอย่างเช่นฝูหนันหัวนายน้อยแห่งนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้สุดของทวีปจะแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับหลานสาวสายตรงตระกูลร่ำรวยตระกูลหนึ่งของแคว้นหนันเจี้ยน ตระกูลของฝ่ายหญิงคือตระกูลใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในแจกันสมบัติทวีป แต่ข่าวลือบอกว่าผู้หญิงคนนั้นหน้าตาอัปลักษณ์อย่างถึงที่สุด เป็นหญิงแก่ที่อายุถึงสามสิบปีแล้ว

หรือยกตัวอย่างเช่นดินแดนต้าสุยทางทิศเหนือที่กำลังระส่ำระสายไม่เป็นสุข มีนักพรตใหญ่จำนวนมากแอบเดินทางออกจากแคว้นอย่างเงียบเชียบ พวกเขาเลือกที่จะ ‘เดินทางท่องเที่ยว’ ไปทางใต้ ว่ากันว่าเพื่อหลบภัย หลบหอกระบี่บินป๋ายอวี้จิงของต้าหลีที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่

ส่วนเรื่องที่สำนักศึกษาซานหยาซึ่งถูกถอดตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา และไปตั้งรกรากอยู่ที่เมืองหลวงต้าสุยกลับไม่ใช่ข่าวใหญ่อะไรนัก

และยังมีอีกก็คือต้าสุยป่าวประกาศกับคนนอกว่าพวกเขามีผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบที่ฝีมือน่าครั่นคร้ามเพิ่มมาหนึ่งคน ทว่าคนทางใต้ของแจกันสมบัติทวีปต่างคิดว่านี่เป็นแผนลวงตาชั้นเลวที่สกุลเกาต้าสุยเลือกใช้

เทศกาลโคมไฟเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วันก็มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นมากมายถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าบุรพแจกันสมบัติทวีปจะไม่เคยครึกครื้นขนาดนี้มาก่อน

เมื่อเว่ยป้อไปเดินเล่นที่ภูเขาลั่วพั่วทุกวัน ภูเขาลูกนี้ก็คึกคักตามไปด้วย เดิมทีตระกูลเซียนในภูเขาสามลูกที่อยู่ใกล้เคียงเห็นภูเขาลั่วพั่วที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้างหรูหราเป็นเรื่องตลก แต่ตอนนี้กลับเริ่มไปที่ภูเขาลั่วพั่วบ่อยๆ หากไม่ไปพบปะกับมหาเทพแห่งขุนเขาเหนือก็จะต้องไปจุดธูปสักดอกในศาลเทพภูเขาที่ตั้งอยู่บนยอดเขา

การกระทำนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากตระกูลเซียนจะเข้าไปจุดธูปในศาลจะต้องทำตามกฎระเบียบ ส่วนใหญ่แล้วจะมีการห้ามไม่ให้เซียนเข้าไปในศาลเทพ และยิ่งไม่สามารถจุดธูปได้ง่ายๆ เว้นเสียแต่ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเพิ่งมีการผูกสมัครเป็นพันธมิตร ‘ยอดธูป’ กัน ยกตัวอย่างเช่นตนเองมีการสร้างจวนไว้บนภูเขาลูกหนึ่ง และบนภูเขาลูกนี้มีศาลที่ทางราชสำนักเป็นผู้แต่งตั้ง ถ้าเช่นนั้นก็จะต้องไปจุดธูปหนึ่งดอกที่ศาลแห่งนั้น ไม่ใช่สามดอก ถือเป็นการทักทาย หากธูปจุดติดแล้วเผาไหม้จนหมดดอก ก็หมายความว่าเทพภูเขาหรือเทพแม่น้ำที่อยู่ในศาลพยักหน้ายอมรับ แต่หากธูปที่ปักลงไปในกระถางไม่ยอมไหม้ลงไป ก็เท่ากับว่า ‘ไฟแรงไม่พอ’ ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากนั้นตระกูลเซียนจะแตกหักหรือพยายามเอาอกเอาใจกันต่อไป ก็ต้องดูที่ความมั่นใจของใครของมัน หรือจะพูดอีกอย่างก็คือต้องดูว่าแขนของราชวงศ์เบื้องใต้ภูเขาหนาเท่าใด และหมัดใหญ่เท่าใด

เพียงแต่ว่าแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ อย่างไรก็สู้ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ร้อยบุปผาเบ่งบานไม่ได้ เล่าลือกันว่าที่นั่นเคยมีราชวงศ์แข็งแกร่งราชวงศ์หนึ่งที่ยืนหยัดมานาน ทุกครั้งที่แคว้นเสื่อมโทรมใกล้จะล่มสลาย ก็จะต้องมีจักรพรรดิผู้ทรงพระปรีชาออกมาร่วมมือกับขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊หยุดยั้งสถานการณ์นั้นไว้ ราชวงศ์นั้นให้ความเคารพเลื่อมใสผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวอย่างถึงที่สุด ในอดีตพวกเขาเคยมีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมาปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์และจะไม่มีเกิดขึ้นในอนาคต นั่นคือจักรพรรดิท่านหนึ่งของพวกเขาโง่เขลาเบาปัญญาจนเกือบจะทำให้ชะตาแคว้นขาด เพื่อสาวงามแล้ว เขาโมโหจนขาดสติถึงขั้นยกกำกำลังของแคว้นไปล้อมโจมตีขุนเขาใหญ่แห่งหนึ่ง นอกจากจะต้องใช้อาวุธอาคมของผู้ฝึกลมปราณและกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ในแคว้นแล้ว ยังมีมือธนูทรงพลังที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวจำนวนนับไม่ถ้วน เครื่องโยนหินที่สลักอักขระยันต์ของลัทธิเต๋าอีกหกพันเครื่อง นอกจากนี้ยังวางหน้าไม้ยักษ์ที่เชิญให้ปรมาจารย์ด้านกลไกของสำนักโม่มาสร้างให้อีกหมื่นกว่าคัน เรียกได้ว่าขนทุกอย่างที่อยู่ในคลังสรรพาวุธของราชวงศ์ตัวเองออกมา ลูกธนูและลูกหน้าไม้ทุกดอกล้วนใหญ่เท่าคานของตำหนักใหญ่…สุดท้ายระดมยิงจนขุนเขาใหญ่ลูกนั้นกลายมาเป็นเม่นตัวหนึ่ง

เมืองเล็กหลงเฉวียนยังคงครึกครื้นดังเดิม แต่สองวันมานี้ในภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกกลับเงียบสงบผิดปกติ อย่าว่าแต่ตระกูลเซียนต่างถิ่นที่มาปักหลักอาศัย ณ ที่แห่งนี้เลย แม้แต่พวกภูตผีปีศาจจอมพยศยากจะกำราบทั้งหลายต่างก็ไม่กล้าหายใจดัง เพราะราชครูชุยฉานเริ่มลาดตระเวนไปยังภูเขาลูกต่างๆ แล้ว

ได้ยินว่าครั้งแรกที่เท้าของผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อคนนี้เหยียบเข้ามาในเขตการปกครองหลงเฉวียน ผู้เฒ่าสำรวมกิริยา พาผู้ติดตามไปด้วยแค่สองคน เดินจากเหนือลงใต้ เดินจากที่ว่าการเขตการปกครองที่อยู่ทางเหนือเข้าไปในภูเขา

เพราะผู้เฒ่าไม่ได้คิดจะปลอมตัวไปเยี่ยมเยียนใครเป็นการส่วนตัว จึงบอกกล่าวกับเจ้าเมืองอู๋ยวนผู้เป็นศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้ภูเขาใหญ่แต่ละลูกจึงได้รับจดหมายแจ้งจากทางที่ว่าการมาตั้งนานแล้วว่า ช่วงเวลาอันใกล้นี้ให้จัดเตรียมการต้อนรับรอไว้ให้ดี เพราะท่านราชครูอาจจะไปชมทัศนียภาพบนภูเขาได้ทุกเมื่อ

ไม่ได้ถึงขั้นสร้างความลำบากใจให้ใคร เพราะไม่ได้เรียกร้องให้สรรหาเอาตับมังกรไขกระดูกหงส์อะไรมารับรอง หรือต้องถึงขั้นปัดกวาดบ้านช่องถนนหนทางจนสะอาดไร้ฝุ่น เพียงแค่มีการเตรียมการให้พอเป็นพิธี อย่างน้อยในฐานะเจ้าบ้านก็ควรต้องมีสักคนที่รออยู่ในภูเขา ไม่ออกไปไหนส่งเดช ไม่ใช่ว่าพอราชครูขึ้นไปบนภูเขาแล้ว ถามอะไรก็ไม่รู้สักอย่าง แบบนั้นคงไม่เหมาะ

และในบรรดาภูเขาทั้งหลาย แน่นอนว่าภูเขาเสินซิ่วในนามของหร่วนฉง และภูเขาหนิวเจี่ยวที่ตั้งของร้านผ้าห่อบุญย่อมต้องเป็นสถานที่สำคัญในสำคัญอีกที อู๋ยวนจึงจำต้องส่งขุนนางใหญ่ตระกูลหยวนและเฉาที่คนหนึ่งรับตำแหน่งนายอำเภอ อีกคนรับตำแหน่งผู้ตรวจการงานเตาเผาให้แยกกันไปประจำอยู่ในสองสถานที่นี้ หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเนื่องจากดูแลได้ไม่ทั่วถึง

ส่วนภูเขาพีอวิ๋นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อีกไม่นานฮ่องเต้ก็จะเสด็จมาเยือนด้วยพระองค์เอง แล้วก็จริงดังคาด ราชครูชุยฉานมาพักอาศัยอยู่ในภูเขาพีอวิ๋นเป็นระยะเวลาสั้นๆ แค่สองวัน ระหว่างตรวจดูสถานที่ตั้งของศาลเทพขุนเขาเหนือรวมไปถึงสำนักศึกษาแห่งใหม่ จะต้องมีคนผู้หนึ่งคอยติดตามอยู่ข้างกายราชครูตลอดเวลา ชักนำให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหลไม่น้อย เพราะเขาก็คือ ‘เฉิงสุ่ยตง’ ซื่อหลางเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิง เป็นเหตุให้ผู้คนคาดเดากันไปสะระตะ หรือว่าสกุลหงแคว้นหวงถิงที่เป็นแคว้นใต้อาณัติของต้าสุยจะสละพันธมิตรทิ้งแล้ว?

สุดท้ายชุยฉานเดินมาถึงภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ทางทิศใต้สุด เข้าไปในศาลเทพภูเขา ซ่งอวี้จางปรากฏตัวด้วยร่างทองคำ ตอนที่ซ่งอวี้จางมาขอศึกษาเล่าเรียนตอนยังเป็นหนุ่มก็เลื่อมใสราชครูท่านนี้มาก ตอนนี้ไม่เพียงแต่ได้เห็นตัวจริงในระยะประชิด ยังได้พูดคุยด้วยอีกหลายคำ นี่ทำให้ซ่งอวี้จางที่ตอนนี้กลายมาเป็นเทพภูเขาแล้วซาบซึ้งใจปลื้มปริ่มอย่างสุดซึ้ง

ออกจากศาลเทพภูเขา ชุยฉานให้ซ่งอวี้จางไปที่ภูเขาพีอวิ๋นเพื่อปรึกษาเรื่องที่ภูตผีปีศาจเข้ามาในภูเขากับเว่ยป้อ ให้สวี่รั่วและหลิวอวี้ผู้ติดตามสองคนกลับไปที่เมืองเล็ก จับตามองเซี่ยสือกับเฉาซีต่อไป ท่ามกลางแสงสนธยา ราชครูต้าหลีเดินลงภูเขาไปช้าๆ เพียงลำพัง เดินไปบนเส้นทางสายเล็กที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง สุดท้ายเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู คนหนึ่งฝึกตนอยู่ริมหน้าผา อีกคนกำลังนั่งแทะเมล็ดแตงกินขนมอยู่ใต้ชายคา พอเห็นผู้เฒ่า เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็กะพริบตาปริบๆ นายท่านของนางหมดสติอยู่ในถังยา นางเองก็ไม่กล้าปิดประตูไล่แขก แล้วก็ไม่กล้าปล่อยให้ผู้เฒ่าแปลกหน้าบุกเข้าไปในหอไม้ไผ่โดยพลการด้วย

ช่วงที่ผ่านมานี้เด็กชายชุดเขียวมุมานะในการฝึกตนอย่างยิ่ง เขาจะต้องนั่งเข้าฌานอย่างตั้งใจไม่มีหยุดพักทั้งวันและคืน นอกจากตอนที่แบกเฉินผิงอันลงมาจากชั้นสองแล้วก็แทบไม่เคยอยู่ห่างจากริมหน้าผา สองหูไม่ฟังสองตาไม่มองเรื่องใด ผลกลับกลายเป็นว่าพอลืมตาขึ้นมาก็เห็นผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อตบะลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง อีกทั้งดูแล้วยังไม่ใช่พวกที่นิสัยดีสักเท่าไหร่ด้วย เด็กชายชุดเขียวถึงขั้นคิดอยากจะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย เดินบนถนนในเมืองเล็กหรือเดินบนทางในตรอกหนีผิงแล้วเจอคนที่ต่อยตนให้ตายได้ด้วยหมัดเดียวก็ช่างเถอะ เดินบนเส้นทางบนภูเขาลั่วพั่วเจออีก เขาก็ทน แต่นี่ข้าผู้อาวุโสฝึกตนอย่างสงบอยู่หน้าบ้านตัวเอง นี่หน้าบ้านของตัวเอง ก็ยังมีคนที่สามารถต่อยให้ตนตายได้ด้วยหมัดเดียวโผล่มาอีกหรือ?

สีหน้าของเด็กชายชุดเขียวทึ่มทื่อ เมื่อไม่กลัวตายความกล้าหาญย่อมบังเกิด เขาจึงเอ่ยกับผู้เฒ่าคนนั้นว่า “ช่วงนี้นายท่านของข้าไม่รับแขก หากเจ้าอารมณ์ไม่ดีจะต่อยข้าให้ตายด้วยหมัดเดียวก็ได้ จะอย่างไรซะเจ้าก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อนอยู่แล้ว”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับสีหน้าเฉยเมย “เจ้าอยากตายใช่ไหม?”

เด็กชายชุดเขียวกำลังจะพูด เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกลับชิงเอ่ยถามขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงของเด็กน้อย “ท่านผู้เฒ่า ท่านมาข้าใครหรือ?”

ชุยฉานหันหน้ามาตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าชื่อชุยฉาน เป็นราชครูต้าหลี ไม่ได้จะมาหานายท่านของเจ้า แต่จะมาหาคนที่อยู่บนชั้นสอง”

เด็กชายชุดเขียวเหมือนถูกฟ้าผ่า เขารีบกลอกตามองสูง มือหนึ่งวางบนหัว อีกมือหนึ่งโบกเป็นพัลวันเหมือนคนร้อนตัว “เมื่อครู่นี้ข้าพูดอะไรนะ ทำไมถึงจำไม่ได้แล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้นะ…”

ผู้เฒ่าที่อยู่บนชั้นสองมายืนตรงราวระเบียง พูดกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูว่า “ให้เขาขึ้นมา เจ้าพางูน้ำน้อยตัวนั้นไปเล่นที่อื่นก่อน ไม่ต้องห่วง ไม่เกี่ยวอะไรกับเฉินผิงอันนายท่านของพวกเจ้า”

ราชครูชุยฉานหยิบเก้าอี้ไม้ไผ่สองตัวเดินขึ้นไปบนชั้นสอง วางลงบนระเบียงเบาๆ คนทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้คนละตัว

ผู้เฒ่าถาม “เกิดอะไรขึ้น?”

ชุยฉานตอบเรียบๆ “เพื่อมหามรรคาของตัวเอง ข้าจึงหาร่างที่มหาเซียนบรรพกาลลอกคราบไว้มาร่างหนึ่ง แล้วแบ่งดวงวิญญาณครึ่งหนึ่งเข้าไปข้างใน หนึ่งร่างแบ่งเป็นสอง ใช้ร่างของเด็กหนุ่มเดินทางมายังถ้ำสวรรค์หลีจี ผลคือเล่นงานฉีจิ้งชุนไม่สำเร็จ กลับกันยังถูกเขาทำร้ายจนตบะถอยฮวบ จิตวิญญาณไม่มั่นคง หลังจากนั้นจึงทำการแลกเปลี่ยนกับนักโทษประหารคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนาน เรียนวิชาลับมาหนึ่งวิชา นั่นถึงทำให้จิตวิญญาณมั่นคงได้ ภายหลังซิ่วไฉเฒ่ามาที่นี่ เขาเลือกข้าที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่ม ทอดทิ้งข้าที่อยู่ในเมืองหลวงต้าหลี ตัดขาดความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณ ทำให้หนึ่งร่างแบ่งเป็นสองอย่างแท้จริง นับแต่นั้นมาบนโลกก็มีชุยฉานสองคน…”

ผู้เฒ่ายังคงสีหน้าเย็นชาดุจเดิม หมัดสองข้างวางไว้บนหัวเข่า ทอดสายตามองไปไกล “ผิดแล้ว ต้องเป็นชุยฉานฉาน”

ชุยฉานทั้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธในเรื่องนี้ “ข้าคือชุยฉาน นับตั้งแต่นาทีที่จากบ้านเกิดมาก็เป็นเช่นนี้แล้ว ส่วนเด็กหนุ่มที่แบ่งจิตวิญญาณของข้าไปครึ่งหนึ่งผู้นั้น ตอนนี้ก็ได้เลือกชื่อใหม่ที่เกี่ยวข้องกับภูเขา ชุยตงซาน แต่ข้าว่าชื่อชุยฉานน่าจะเหมาะกว่า (ชื่อเดิมที่ปู่ตั้งให้คือชุยฉานฉาน ฉานสองคำนี้อ่านเหมือนกันแต่เขียนต่างกัน ชุยฉานที่เป็นราชครูใช้ คือตัวอักษรฉาน 瀺 เกี่ยวข้องกับสายน้ำ หรือแปลว่าเสียงน้ำไหล ส่วนชุยฉานที่บอกว่าเด็กหนุ่มควรใช้คือ 巉 ฉานที่เกี่ยวกับภูเขา แปลว่าภูเขาที่สูงและอันตราย) ชุยฉาน (崔瀺) ชุยฉาน (崔巉) น้ำและภูเขาไม่แยกจากกัน น้ำและภูเขาได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งถึงพอจะเป็นลางดีได้บ้าง”

ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมา “ทำไมเจ้าถึงแก่ขนาดนี้แล้ว?”

ชุยฉานเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ออกจากบ้านตอนอายุยี่สิบ อายุยี่สิบสี่ไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ร้อยปีกว่าให้หลัง ชีวิตมีขึ้นมีลง หลังทรยศออกจากสำนักก็ไปพเนจรทั่วหล้าอีกสามสิบกว่าปี พอกลับมาถึงแจกันสมบัติทวีก็อยู่กับราชวงศ์ต้าหลีมานานถึงขนาดนี้ คนอายุสองร้อยปีแล้ว หนุ่มไม่ได้แล้วล่ะ”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่ฉานฉานในความทรงจำของข้า”

ชุยฉานคลี่ยิ้ม ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ท่านปู่ รู้หรือไม่ว่าท่านเป็นแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าอะไรก็ล้วนใช้คำว่า ‘ข้ารู้สึกว่า’ เสมอ ราวกับว่าทุกคนและทุกเหตุผลในใต้หล้าแห่งนี้ล้วนหมุนรอบตัวท่าน เกรงว่าคงมีแค่ตอนที่ท่านเป็นบ้าเท่านั้นถึงจะไม่เป็นเช่นนี้ แม้ข้าจะไม่รู้สาเหตุและการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ไม่รู้ว่าเหตุใดสกุลชุยถึงไม่ขังท่านเอาไว้ แต่ข้าไม่คิดว่าการที่ท่านมาหาข้าครั้งนี้จะมีประโยชน์ต่อทั้งตัวข้าและตัวท่านเอง”

ผู้เฒ่ายังคงส่ายหน้า “ข้ามาหาอาจารย์ของพวกเจ้า”

ชุยฉานหัวเราะหยัน “ซิ่วไฉเฒ่า? เขาไปจากแจกันสมบัติทวีปตั้งนานแล้ว เห็นว่าไปที่นาตยทวีป ก่อเรื่องครึกโครมใหญ่โต ขนาดพระอาทิตย์ดวงหนึ่งที่อยู่เหนือหัวไหล่ของบุรพาจารย์สกุลเฉินอิ่งอินก็ยังถูกซิ่วไฉเฒ่าขโมยไป ทำเอาทั่วทั้งใต้หล้าโกลาหลปั่นป่วนกันไปหมด เพียงแต่ว่าตอนนี้ใครก็ทำอะไรซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้ สง่างามยิ่งนัก”

ผู้เฒ่าเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ฉานฉานตอนเด็กไม่มีทางพูดแบบนี้ หากเขาจะด่าใครบางคน ทุกครั้งหลังจากด่าเสร็จจะพูดเสริมไปอีกประโยคว่า แต่คนคนนั้นดีกับคนในครอบครัว แต่ว่าคนคนนั้นเขียนบทกลอนได้ดีมาก แต่ว่า…”

ชุยฉานแค่นเสียง “พอที! เรื่องเก่าแก่นานนมในบัญชีเก่าค้างปี พลิกเปิดไปมาก็เจอแต่ฝุ่น”

ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่เสียแรงที่เป็นราชครูต้าหลี บุคคลยิ่งใหญ่ที่คุมแนวโน้มของสถานการณ์ในครึ่งทวีป”

ชุยฉานถอนหายใจ

ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยตัวเอง “มิน่าเล่าตอนนั้นข้าถึงจำเจ้าไม่ได้ ฉานฉานในความทรงจำของข้าไม่ค่อยเหมือนเจ้าสักเท่าไหร่”

ชุยฉานลุกขึ้นยืน ใช้มือหนึ่งค้ำราวระเบียง “ใจคนเหมือนน้ำ หากไม่ขยับเคลื่อนไม่แปรเปลี่ยนเสียบ้างก็คือน้ำที่ตายแล้ว”

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนช้าๆ “ข้ามองออกว่านอกจากมือกระบี่ข้างกายเจ้า ในเมืองเล็กยังมีบุคคลที่ร้ายกาจอีกสองคน ทำไม พวกเขามาเพื่อเล่นงานเจ้าอย่างนั้นหรือ? ต้องการให้ข้าทำอะไรหรือเปล่า?”

ชุยฉานลังเลไปชั่วครู่ก็ถามกึ่งเล่นกึ่งจริง “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องดูก่อนว่าท่านกล้าสังหารเทียนจวินคนหนึ่งของอุตรกุรุทวีปหรือไม่”

ผู้เฒ่าหัวเราะเฮอๆ สองที

ชุยฉานหันหน้ากลับมามองผู้เฒ่า ก็ไม่ได้ต่างจากอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ เพราะผู้เฒ่าในความทรงจำตอนที่เขาเป็นหนุ่มก็แตกต่างไปจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิงเช่นเดียวกัน บรรพบุรุษสกุลชุยในเวลานั้นถือไม้เท้า อยู่ในวัยไม้ใกล้ฝั่ง อีกทั้งทั่วร่างยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของตำราดุจลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อผู้งามสง่า

ผู้เฒ่าหลับตาลง

เริ่มค้นหาลมปราณของคนบางคนในเมืองเล็ก

……

ตรอกเถาเย่ของเมืองเล็ก บ้านเก่าตระกูลเซี่ย

เฉาซีมาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน

เซี่ยสือคร้านจะแนะนำเขาให้ทุกคนรู้จัก เฉาซีเองก็ไม่อยากยกยอตัวเองให้ใครฟัง คนทั่วทั้งตระกูลเซี่ยจึงไม่มีทางรู้ได้ว่าเศรษฐีเฒ่าผู้นี้เป็นถึงเซียนกระบี่พสุธาของนาตยทวีป

เซี่ยสือกำลังรอคำตอบยืนยันที่แน่ชัดจากฮ่องเต้ต้าหลี ในบรรดาคนสามคน เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพ หม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่ หลี่ซีเซิ่งแห่งเมืองเล็ก สุดท้ายแล้วจะมอบให้ฝ่ายเขาได้สักกี่คน

แม้จะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเฉาซีอย่างชัดเจน แต่ในเมื่อเป็น ‘สหาย’ ของท่านบรรพบุรุษเซี่ยสือ ตระกูลเซี่ยก็ยังไม่กล้าเพิกเฉยละเลย

ในห้องโถงใหญ่ เฉาซีกำลังดื่มชา ปรายตามองไปยังคนจิ๋วควันธูปตัวเล็กน่ารักคู่หนึ่งที่หลบซ่อนอยู่ในกรอบป้าย และกำลังยื่นหน้าออกมามองเขา

เซี่ยสือรำคาญท่าทีของเฉาซีอย่างยิ่ง กำลังจะเปิดปากไล่คน คนทั้งสองกลับหันขวับมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้อย่างพร้อมเพรียงกัน

เฉาซีหรี่ตาลง รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น

เซี่ยสือสีหน้าเป็นปกติ แต่ลึกๆ ในใจกลับตื่นตะลึงไม่น้อย

พลังอำนาจของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุด

มุมใดมุมหนึ่งของภูเขาฝั่งตะวันตกเฉียงใต้กำลังมีคนใช้วิธีที่โอหังไร้ยำเกรงมา ‘สำรวจตรวจตรา’ ไปทั่วทั้งเมืองเล็ก

สุดท้ายจ้องเขม็งมาที่เซี่ยสือ

เฉาซีเซียนกระบี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตรงข้อมือยังผูกแม่น้ำหนึ่งสายซึ่งเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเอาไว้

มือกระบี่ ‘หนุ่ม’ คนหนึ่งไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวอยู่ในตรอกเถาเย่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาก็คือสวี่รั่วจอมยุทธ์สำนักโม่ พาด กระบี่ไว้ด้านหลังในแนวขวาง ก้าวเดินเอื่อยเฉื่อย

ชื่อเสียงของเขาในแจกันสมบัติทวีปไม่โดดเด่นนัก

แต่หากอยู่ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลับมีชื่อเสียงเลื่องระบือ ทว่าต่อให้เป็นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเอง คนส่วนใหญ่ก็ยังรู้แค่ว่ากระบี่ของสวี่รั่วจอมยุทธ์สำนักโม่เน้นป้องกันไม่เน้นโจมตี กระบวนท่ากระบี่โบราณเรียบง่าย ปราณกระบี่ลึกล้ำ ปณิธานแห่งกระบี่หนาเข้มข้น มีชื่อเสียงในด้านการป้องกันตัว ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้ววิชากระบี่ที่สวี่รั่วเชี่ยวชาญคือการประหัตประหารศัตรู หาไม่แล้วหากแค่ ‘ถือกระบี่เฉยๆ’ จะ ‘ไร้พ่าย’ ได้อย่างไร?

จอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งในใต้หล้า แม้เจตจำนงของสำนักจะเพื่อขจัดผู้มีอิทธิพล ประคับประคองคนอ่อนแอ แต่ไม่ว่าจะอยู่ในยุทธภพหรือในสมรภูมิรบ ลูกศิษย์ของสำนักโม่ก็มีพลังการสังหารที่ไม่ต่ำเตี้ย ด้วยเหตุนี้นอกจากสำนักการทหารแล้ว สำนักโม่จึงเป็นหนึ่งในนักพรตร้อยสำนักที่ได้รับความสำคัญและการพึ่งพาจากแม่ทัพฝ่ายบู๊มากที่สุด

ตอนนี้จู่ๆ ก็มีผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อย่างน้อยก็อยู่ในขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดโผล่มาทำท่าจะลงไม้ลงมือ เห็นได้ชัดว่าเจตนาไม่ดีต่อเซี่ยสือ

บวกกับอริยะหร่วนฉงที่ยังไม่รู้ว่าอยู่ฝ่ายใดอีกคนหนึ่ง

เซี่ยสือดื่มน้ำชา กวาดตามองไปรอบด้าน

และวินาทีก่อนที่เซี่ยสือจะวางถ้วยชากลับลงไปบนโต๊ะนั้นเอง

นกขมิ้นตัวหนึ่งก็พุ่งสวบแหวกอากาศลงมาจากเพดานที่เปิดอ้า ปากเพดานเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก แต่ไม่นานก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

นกขมิ้นตัวเล็กน่ารักมาหยุดอยู่ตรงหัวไหล่ของเซี่ยสือ ใช้ปากจิกเสื้อของชายฉกรรจ์เบาๆ

นกขมิ้นตัวนี้ เฉินผิงอันเคยเห็น ฉีจิ้งชุนเคยเห็น และชาวบ้านในเมืองเล็กอีกหลายคนต่างก็เคยเห็นมาก่อน

เฉาซีทำสีหน้ากังขา แต่จากนั้นก็พลันหน้าเปลี่ยนสี สุดท้ายเหงื่อเย็นๆ ผุดเต็มหน้าผาก ยิ้มซีดเซียว ทั้งเคารพหวาดเกรง อีกเสี้ยวหนึ่งคือความรู้สึกโชคดี

สวี่รั่วถอนหายใจหนึ่งที คลายมือข้างที่กำด้ามกระบี่ออก เขาคิดว่าไม่ว่าตนจะชักกระบี่หรือไม่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม เพราะว่าช้าเกินไป

มือที่ตีเหล็กของหร่วนฉงหยุดชะงักไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาหลอมกระบี่ของเขาต่อไป

มีเพียงผู้เฒ่าที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วเท่านั้นที่หัวเราะเสียงดัง ปณิธานการต่อสู้ไหล่บ่าท่วมท้น

—————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด