กระบี่จงมา 209.1 กระบี่ไม้เหมือนกัน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 209.1 กระบี่ไม้เหมือนกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 209.1 กระบี่ไม้เหมือนกัน
โดย

คราวนี้อาเหลียงมาอย่างรีบร้อนแล้วก็จากไปอย่างรีบร้อน เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าอาเหลียงที่ถูกคนต่อยด้วยหนึ่งหมัดจนร่วงลงมายังโลกมนุษย์ไม่ใช่คนที่ดุดันห้าวหาญอย่างที่คิดไว้ในใจ กลับกันยังรู้สึกว่าอาเหลียงที่เป็นเช่นนี้เท่ห์มากเป็นพิเศษ

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันค่อนข้างจะเสียดายที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้เห็นอาเหลียงชักกระบี่กับตาตัวเอง

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีชื่อว่าเจียงหูลง ยกขึ้นดื่มเบาๆ หนึ่งอึก แล้วอดทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ “หลังฝึกหมัดครบหนึ่งล้านครั้งก็น่าจะรีบทำเวลาฝึกกระบี่ได้แล้ว”

หลังเก็บน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงไปดังเดิม เฉินผิงอันก็ไม่ระวังตัวแจอีกต่อไป เขาสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วเริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอย่างเปิดเผย

เซียนที่เคยขี่กระบี่ผ่านห้วงอากาศของเมืองเล็กไปอย่างยิ่งใหญ่ เหยียบบนกระบี่เดินทางท่องไปไกล คอยดูทิศทางลมที่พัดกระโชกขึ้นลง ผู้อาวุโสแซ่ชุยปล่อยหมัดออกไปหนึ่งหมัดก็เขย่าคลอนแผ่นดินและภูเขา เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ ตัวคนยังมาไม่ถึง กระบี่กลับมาถึงก่อนแล้ว ส่องแสงสว่างจ้าไปทั้งฟ้าดิน…

เรื่องราวงดงามบางอย่าง หากปรากฏอยู่บนร่างของคนอื่น หลังอิจฉาแล้วก็จงเรียนรู้ ส่วนข้อที่ว่าเรียนรู้แล้วจะเกิดผลหรือไม่ พยายามให้เต็มที่ก่อนค่อยว่ากัน

เป็นเรื่องง่ายจะตายไป

รออยู่นานไม่เห็นคนกลับมา บวกกับที่แรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ทำให้คนทั่วทั้งเรือคุนกระวนกระวายไม่เป็นสุข ชุนสุ่ยกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดบนหอชมทัศนียภาพ เป็นอันตรายต่อแขกที่มาเยือน จึงเดินผ่านห้องหนังสือมายังธรณีประตูที่อยู่ใกล้เคียง ค้นพบว่านักพรตที่สนิทกับเทพขุนเขาเหนือของต้าหลีหายตัวไปแล้ว ชุนสุ่ยก็อดบ่นในใจไม่ได้ว่าเจ้าหมอนี่ทำตัวลับๆ ล่อๆ เสียจริง

เห็นว่าเฉินผิงอันคล้ายจะกำลังฝึกตน ชุนสุ่ยก็รีบหมุนตัวกลับไปเงียบๆ ตอนที่เดินไปทางห้องโถงหลักยังจงใจเดินให้เบาลง

รบกวนการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคือข้อห้ามที่ร้ายแรงของทั้งบนและล่างภูเขา

การปิดด่านของผู้ฝึกลมปราณใหญ่ในทวีปต่างๆ ล้วนเป็นเรื่องใหญ่อันดับต้นของทั้งสำนัก เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ภูเขาต่าเจี้ยวของพวกนางก็เกิดมรสุมที่ใหญ่เทียมฟ้าขึ้นครั้งหนึ่ง ระหว่างที่ผู้อาวุโส ‘หนุ่ม’ ขอบเขตเก้าคนหนึ่งซึ่งปิดด่านพยายามจะฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตสิบ ภูเขาต่าเจี้ยวเกิดประมาทเลินเล่อ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือธรรมะสูงหนึ่งคืบ มารร้ายสูงหนึ่งศอก ศัตรูคู่อาฆาตของเขาแอบแฝงตัวเข้ามาในภูเขา ทำลายรากฐานมหามรรคา ทำให้ชีวิตนี้เขาได้แต่ชะงักค้างอยู่ที่ขอบเขตโอสถทองคำ หลังจากนั้นไม่นานเท่าไหร่จิตใจของเขาก็ทรุดโทรม เป็นเหตุให้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่เดิมทีมีชื่อเสียงที่ดีมากในสำนัก กลายเป็นฉุนเฉียวดุร้าย ชอบสังหารสาวใช้เป็นว่าเล่น ถึงขั้นทุบตีลูกศิษย์ที่ตัวเองภาคภูมิใจซึ่งอยู่ในขอบเขตชมมหาสมุทรจนกลายเป็นคนพิการ สะพานแห่งความเป็นอมตะเกือบจะหักพัง สุดท้ายบุรพาจารย์ผู้ควบคุมกฎที่แต่ไหนแต่ไรมาโปรดปรานเขามาตลอด มองเขาเป็นดั่งบุตรแท้ๆ ของตัวเองก็จำต้องลงมือจับเขาขังไว้ในคุกบนภูเขา

จากนั้นบุรพาจารย์ผู้ควบคุมกฎที่ไม่เคยลงจากเขาเป็นเวลาร้อยปีก็ตัดสินใจทำสิ่งที่สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้แก่ผู้คน นางไปรับกระบี่ของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกสำนักที่ศาลบรรพชน สะพายกระบี่ลงจากภูเขา บุกเข้าไปในสำนักของศัตรูแล้วเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ หลังปลิดชีพศัตรูได้ด้วยมือของตัวเอง นางก็หัวเราะสาแก่ใจแล้วหวนกลับคืนมายังสำนักพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัส ไม่ถึงหนึ่งปีก็จากโลกนี้ไปอย่างเฉียบพลัน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่องการแก้แค้นของบุรพาจารย์ผู้ควบคุมกฎนั้น หากจะถามว่าคุ้มค่าหรือไม่ ลูกศิษย์ของภูเขาต่าเจี้ยวแต่ได้กล้าวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นการส่วนตัว ทว่าความองอาจห้าวหาญของบุรพาจารย์ผู้ควบคุมกฎคนนั้น ต่อให้เป็นตระกูลเซียนหรือสำนักนอกภูเขาต่าเจี้ยวก็ยังต้องชื่นชมสรรเสริญนาง รู้สึกว่านางมีมาดของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกสำนักภูเขาต่าเจี้ยว หลังจากนั้นเป็นต้นมาสำนักทั้งหลายก็มีแต่จะปฏิบัติต่อภูเขาต่าเจี้ยวที่ตัดคำว่า ‘สำนัก’ ทิ้งดีมากขึ้น

ผู้ดูแลหม่าที่รับผิดชอบภาระงานทุกอย่างในเรือนอักษรตัวเทียนคือผู้เฒ่าอ้วนท้วนคนหนึ่ง บนมือสวมแหวนหยกหลากหลายสีสัน เขาจำเป็นต้องมาอธิบายให้กับแขกสูงศักดิ์ทุกห้องฟังด้วยตัวเอง บอกกับพวกเขาอย่างน่าเชื่อถือว่าความเคลื่อนไหวผิดปกติที่เกิดขึ้นในเรือคุนไม่ได้เกิดจากการถูกโจมตี เพียงแต่ว่าบางครั้งปลาคุนก็เกเรซุกซน ซึ่งร้อยปีจะพบเจอได้สักครั้ง

ส่วนแขกที่อยู่ในห้องอื่นๆ ภูเขาต่าเจี้ยวไม่จำเป็นต้องให้เขาเปลืองน้ำลายไปอธิบายอะไร

ชิวสือเปิดประตู ได้ยินว่าเฉินผิงอันฝึกตนอยู่บนหอชมทัศนียภาพ ผู้ดูแลหม่าที่ยิ้มตาหยีจึงฝากความไว้ที่เด็กสาว บอกแค่ว่าหลังจากนี้อย่าลืมแจ้งให้อีกฝ่ายทราบก็พอ

ก่อนที่ผู้ดูแลหม่าซึ่งยืนอยู่หน้าประตูจะจากไป เขามองข้ามไหล่บอบบางของเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าไปยังชุนสุ่ยพี่สาวที่มีรูปร่างอวบอิ่มมากกว่า นางยืนตัวตรงอยู่ข้างโต๊ะ ต่อให้หันหน้ามาตรงๆ ก็ยังสามารถเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของเด็กสาวได้ ผู้เฒ่าดึงสายตากลับอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วเอ่ยสัพยอกว่า “ชิวสือ เจ้ากินให้มากๆ หน่อย ผอมเกินไปแล้ว เด็กผู้หญิงผอมมากไปก็ไม่ดี หากเสียดายเงินก็ไม่เป็นไร เงินแค่นี้พี่หม่ายังพอจะมีอยู่บ้าง เจ้ามาหาข้าได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องเกรงใจพี่หม่าของพวกเจ้า เข้าใจไหม?”

ชิวสือยิ้มหวานตอบรับ

รอจนนางปิดประตู เดินกลับไปนั่งข้างกายพี่สาวแล้วก็อดกลอกตามองบนไม่ได้ “ตาแก่ขึ้นคานบ้ากาม ถูกเขามองมาครั้งหนึ่งก็เหมือนโดนทากไต่มือ เหนียวๆ ลื่นๆ ขยะแขยงจริงๆ! ยังจะเรียกตัวเองว่าพี่หม่าอีก ท่านพี่ ข้าอยากจะต่อยให้ตาสุนัขของเขาบอดจริงๆ เลย”

ชุนสุ่ยเอ่ยเย้าเสียงอ่อนโยน “ตัวเองหน้าตาดีแต่กลับไม่อนุญาตให้คนอื่นมองมากสักหน่อยหรือ เจ้านี่นิสัยคุณหนูใหญ่จริงๆ คิดว่าตัวเองเป็นเทพธิดาของตระกูลเซียนหรือไง? เพียงแต่ไม่ทราบว่าเทพธิดาชิวสือเป็นเพื่อนสนิทกับเทพธิดาหลิวจากหอหวงเหลียงคนนั้นหรือเปล่า? ช่วยแนะนำบ่าวให้รู้จักกับนางหน่อยได้ไหม?”

ชิวสือถลึงตาพูดเสียงขุ่น “ท่านพี่ ทำไมต้องล้อเลียนข้าแบบนี้ด้วย!”

จู่ๆ ชุนสุ่ยก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณชายเฉินจากหลงเฉวียนต้าหลีคนนี้นับว่าเป็นคนพูดง่ายคนหนึ่ง”

ชิวสือกะพริบตาฉ่ำน้ำ “ทำไม ท่านคงไม่ได้อยากจะเสนอตัวร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขาหรอกนะ ยังเด็กอยู่เลย ท่านพี่ชอบเด็กงั้นหรือ?”

ชุนสุ่ยกล่าวอย่างระอาใจ “พูดเหลวไหลอะไรน่ะ”

ชิวสือหัวเราะคิกคัก “ข้ารู้แล้วๆ ท่านชอบหันเซียนซือของภูเขาต่าเจี้ยวพวกเราใช่ไหมล่ะ ก็ถูกนะ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าประมุข พรสวรรค์ดี หน้าตาก็ดี ที่สำคัญคืออ่อนโยนต่อทุกคน สองครั้งที่ลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ก็ล้วนสร้างชื่อเสียงใหญ่โต งานเฉลิมฉลองของภูเขาต่าเจี้ยวที่จัดขึ้นสามปีครั้ง สายตาที่ท่านมองเขาตอนประลองเวทกระบี่กับคนอื่นไกลๆ จุ๊ๆ นั่นต้องเรียกว่าประหนึ่งลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชย ดั่งหิมะที่หลอมละลาย…”

ชุนสุ่ยโน้มตัวมาด้านหน้า หน้าอกที่วางทับอยู่บนขอบโต๊ะก่อให้เกิดเส้นโค้งเว้าน่าตะลึงโดยที่นางไม่ได้ตั้งใจ นางยื่นมือมาตบหน้าผากของน้องสาวเบาๆ หนึ่งที “เจ้าคือขอบเขตสอง ข้าคือขอบเขตสอง พวกเราสองคนรวมกันแล้วขอบเขตยังสูงเท่าเขาไม่ได้เลย เมื่อสามปีก่อนเขาก็เป็นขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว ไม่แน่ว่าพวกเรากลับไปคราวนี้ เขาอาจจะเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรแล้วก็ได้”

ชิวสือยิ้มแล้วคว้ามือของพี่สาวเอาไว้ พูดหยอกเย้าโดยเลียนแบบท่าทางและน้ำเสียงของผู้ดูแลหม่า “โอ้โห แม่นางชุนสุ่ย มือเล็กๆ นี่ขาวจริงๆ สวยงามนุ่มนวลมาตั้งแต่เกิด นิ้วทั้งสิบของเทพธิดาคนอื่นที่ไม่เคยแตะงานหนักก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสวยงามเหมือนมือของเจ้า…”

มือข้างหนึ่งของชุนสุ่ยถูกน้องสาวกุมไว้แน่น อีกมือหนึ่งยกขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก

เส้นทางบนภูเขานั้นเดินได้อย่างยากลำบาก แต่จะอย่างไรก็ยังมีเรื่องที่น่ายินดีเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่นพี่น้องสองคนที่มีชีวิตพึ่งพากันและกัน นับตั้งแต่เด็กก็มีชีวิตที่ค่อนข้างสงบสุขไร้กังวล เวลาพักผ่อนยังสามารถแอบเพ้อฝันถึงเรื่องราวและบุคคลที่สูงส่งเหนือกว่าตัวเองได้

เดิมทีเฉินผิงอันเดินมาถึงธรณีประตูที่เชื่อมต่อห้องหนังสือกับห้องโถงหลักแล้ว พอเห็นภาพนี้ เขาไม่อยากทำลายความอบอุ่นนั้นจึงเดินถอยกลับไปยังหอชมทัศนียภาพอย่างเงียบเชียบ

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ สองพี่น้องที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสองกลับสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันไปถึงหอชมทัศนียภาพแล้วก็ตัดสินใจฝึกเดินนิ่งต่อ

เป้าหมายที่เขาตั้งไว้ให้กับตัวเองคือฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง ไม่ใช่ว่าออกหมัดหนึ่งครั้งแล้วจะนับเป็นหนึ่งครั้ง แต่ต้องเดินนิ่งหกก้าวให้ครบถ้วนหนึ่งครั้งถึงจะนับได้

หากเน้นในด้านความเร็วอย่างเดียว ต่อให้ไม่ถึงขั้นนับวันรอได้ แต่หากการเดินทางลงใต้ในครั้งนี้เขาสามารถใช้เวลาครึ่งวัน ซึ่งก็คือประมาณหกชั่วยามมาฝึกเดินนิ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บวกกับจำนวนครั้งที่สะสมมาตลอดหนึ่งปีที่เดินทางไปยังต้าสุย คาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกประมาณสองปีครึ่ง

แต่ตอนนี้เฉินผิงอันเปลี่ยนมาเป็นเน้นที่ความเชื่องช้า เพราะการโคจรสิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ หลังจากที่ฝ่าทะลุด่านหกหยุดมาได้ สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นก็แตกต่างไปจากหกหยุดแรกอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นเหมือนน้ำในแม่น้ำที่ไหลรินเชื่องช้าแต่มีปริมาณมากมหาศาล  เฉินผิงอันจึงไม่อาจทำอะไรลวกๆ ได้ อีกอย่างคำกล่าวที่ว่ายิ่งรีบก็ยิ่งช้า คือหลักการที่ปรากฎในหน้าหนังสือบ่อยครั้ง เฉินผิงอันจึงไม่กล้ามองข้าม

ดังนั้นหากไม่ผิดไปจากที่คาดการณ์ ต่อให้เดินทางไปถึงภูเขาห้อยหัวได้สำเร็จก็คงไม่สามารถทำตามเป้าหมายฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้งได้

นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย

เดิมทียังคิดว่าเมื่อได้พบเจอกันอีกครั้ง จะดีจะชั่วก็มีเรื่องที่ตนทำสำเร็จแล้วหนึ่งเรื่อง

การฝึกเดินนิ่งของเฉินผิงอันในตอนนี้เรียกได้ว่าน้ำมาคลองก็สร้างสำเร็จ ต่อให้เขาจะคิดเรื่องอะไรอยู่ในใจก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการชำระล้างร่างกายและการบำรุงจิตวิญญาณจากการตั้งท่าหมัดของเขา

ฝึกหมัดมวยก็เหมือนการอ่านหนังสือ

อ่านตำราครบหมื่นเล่ม ยามตวัดพู่กันดุจมีเทพช่วย สมแล้วที่หลักการในหน้าหนังสือมาจากคำสอนของอริยะ ไม่ได้โกหกจริงๆ

ขณะที่เฉินผิงอันหยุดพักเล็กน้อย เขาฟุบตัวลงบนราวระเบียง ทอดสายตามองทะเลเมฆ ดวงอาทิตย์ตกลงทางทิศตะวันตก บนทะเลเมฆคล้ายปูเสื้อคลุมสีทองทับไว้หนึ่งชั้น แสงสีทองเปล่งประกายระยิบระยับ งดงามจับตา ทำให้จิตใจของคนผ่อนคลาย ก่อนหน้านี้ตอนที่เด็กสาวสองคนแนะนำมุมต่างๆ ในเรือนพัก เฉินผิงอันรู้สึกว่าทะเลเมฆในเวลานั้นเหมือนปุยฝ้ายสีขาวผืนใหญ่ อีกทั้งยังแบ่งออกเป็นสองชั้นคือสูงกับต่ำ เรือคุนแหวกว่ายไปท่ามกลางทะเลเมฆก็ราวกับว่าฟ้าไม่ได้สูงเท่าไหร่ และแผ่นดินก็อยู่ไม่ห่างนัก เป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก

เฉินผิงอันถอนสายตากลับมาช้าๆ หอเรือนที่เขาอยู่เวลานี้สูงมากที่สุด เรือนอื่นๆ ล้วนเตี้ยกว่ามาก บนหอชมทัศนียภาพของที่พักบ้างส่วนยังพอจะมองเห็นผู้ฝึกลมปราณที่ยืนชมทะเลเมฆยามอาทิตย์อัสดงได้รางๆ วงนอกของหอสูง ด้านในรั้วที่สูงใหญ่แน่นหนายังมีคนจำนวนมากกว่าที่กำลังเดินเล่น เด็กบางคนวิ่งเล่นสนุกสนานพร้อมเสียงหัวเราะเบิกบานภายใต้การดูแลจากผู้ใหญ่ในตระกูล

จากนั้นเฉินผิงอันก็มองเห็นแผ่นหลังหนึ่ง ด้วยความสามารถในการมองเห็นของเขาเวลานี้สามารถเห็นได้ชัดว่าด้านหลังของคนผู้นั้นสะพายห่อสัมภาระไว้เฉียงๆ ด้านล่างห่อผ้าคือกระบี่ไม้เล่มหนึ่ง บนร่างของเขาสวมชุดคลุมเต๋าเก่าแก่ มวยผมปักปิ่นใหม่ บุรุษหนุ่มคนนั้นเดินหันข้างอย่างเชื่องช้า ก้มหน้าลงมองพื้นดิน ยื่นฝ่ามือมาบังไว้ตรงขนคิ้ว สีหน้าค่อนข้างเลื่อนลอย

แม้ว่าบนเขตพื้นที่ของสันหลังปลาคุนจะมีค่ายกลที่มองไม่เห็นให้การปกป้องอยู่ รั้วที่รอบล้อมก็มีริ้วคลื่นอ่อนจางจนแทบสังเกตไม่เห็น แต่ก็ยังมีลมเย็นๆ พัดผ่านเข้ามาได้ ริมฝีปากของนักพรตหนุ่มที่หน้าตาไม่โดดเด่นแห้งผาก สายลมพัดให้เส้นผมตรงจอนหูของเขาปลิวไสวเบาๆ

เขาเองก็สะพายกระบี่ไม้เล่มหนึ่งเหมือนกัน

เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงยืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพสูงตระหง่าน สาวใช้ในเรือนตัวอักษรเทียนอาจจะพูดถึงเรื่องราวของเทพเซียนขอบเขตหยกดิบก็จริง แต่ถึงอย่างไรแผ่นดินที่เล็กที่สุดของใต้หล้าไพศาลซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าตอนนี้ก็มีผู้ฝึกลมปราณจากสำนักเล็กๆ อยู่มากกว่า โดยเฉพาะผู้ฝึกตนอิสระที่ตั้งถิ่นฐานอยู่แถวเทือกเขาและทะเลสาบ เป็นเหมือนจอกแหนไร้รากที่ลอยล่องไปตามกระแสคลื่น ตลอดชีวิตก็ไม่มีทางได้รู้เลยว่าห้าขอบเขตบนคือห้าขอบเขตอย่างไรกันแน่

และนักพรตหนุ่มที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนผู้นั้นก็ยืนอยู่ตรงรั้วชั้นที่ต่ำที่สุด กระเพาะอาหารส่งเสียงร้องโครกคราก เขากำลังคำนวณเงินที่เหลืออยู่ในกระเป๋าเงินว่าจะพอให้เขาลงเรือที่แคว้นหนันเจี้ยนหรือไม่

เฉินผิงอันเดินถอยกลับมาสองสามก้าวแล้วฝึกวิชาหมัดต่อ

ท่วงท่าเป็นธรรมชาติ ปณิธานหมัดโบราณเรียบง่าย

เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดเดินนิ่งอยู่บนหอชมทัศนียภาพตลอดเวลา ฝึกจนท้องฟ้าดำมืด จนกระทั่งดวงจันทร์และดวงดาวส่องสว่างกลางนภา

เมื่อเขากลับมาที่ห้องโถงอีกครั้งก็พบว่าสาวใช้ชิวสือฟุบตัวงีบหลับอยู่บนโต๊ะ ชุนสุ่ยนั่งนิ่งๆ รออยู่ด้านข้าง ยิ้มมองมาทางห้องหนังสือ พอประสานสายตากับเฉินผิงอัน นางก็รีบยื่นมือจะไปตีไหล่น้องสาว แต่เฉินผิงอันโบกมือบอกให้รู้ว่าไม่เป็นไร ชุนสุ่ยลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็เลือกปลุกให้ชิวสือตื่น เด็กสาวที่สะดุ้งตื่นรีบหันหน้ามามอง เช็ดมุมปากอย่างรีบร้อนไม่ให้ตัวเองต้องขายหน้าแขกสูงศักดิ์

กฎเกณฑ์ของเรือคุนที่มีต่อสหายเทพขุนเขาเหนือของต้าหลีนั้นยืดหยุ่นอย่างมาก แต่กลับไม่มีความเกรงใจให้กับสาวใช้อย่างพวกนางเลยแม้แต่น้อย

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด