กระบี่จงมา 266.2 ศิษย์พี่ใหญ่แซ่จั่ว

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 266.2 ศิษย์พี่ใหญ่แซ่จั่ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจียวเฒ่าทำอะไรเด็ดขาดว่องไว ชุดคลุมสีทองพองโป่งได้เองทั้งที่ไม่มีลม ยื่นมือกวักหนึ่งครั้ง กลางอากาศก็ปรากฏแสงสีทองขึ้นหนึ่งจุด จากนั้นค่อยๆ ลดระดับลง กระชากลากเส้นสีทองมาด้วยเส้นหนึ่ง

เฉินผิงอันไม่รู้สึกไม่สาแม้แต่น้อย เขาเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว หยุดอยู่ตรงหน้าเรือลำเล็ก ก้มหน้าลงมองจุดลึกของน้ำทะเลราวกับกำลังมองหายันต์ตัดโซ่แผ่นนั้น พูดเบาๆ ว่า “ลู่เฉิน ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังมองที่แห่งนี้อยู่ ความตั้งใจของเจ้า ข้าเองก็พอจะเดาได้บางส่วน แต่ข้าใช้ชื่อของเจ้ามาขู่ให้ศัตรูถอยหนี เจ้ากลับใช้สิ่งนี้มาเล่นงานข้า สำหรับเรื่องนี้ พวกเราถือว่าหายกันแล้ว แต่รบกวนเจ้าช่วยบอกอาเหลียงที่อยู่บนฟ้าสักคำ ผู้ที่สังหารเฉินผิงอันคือร่องน้ำเจียวหลงทะเลใต้”

กล่าวประโยคนี้จบ

เฉินผิงอันกำมือขวาเป็นหมัดต่อยหนักๆ ลงไปที่หัวใจของตัวเอง หมัดที่ทุบลงไปก่อนหน้านี้ตอนเอ่ยกับคนพายเรือเฒ่าก็เพื่อทำให้จิตใจของตัวเองสงบเพื่อพูดประโยคนี้กับลู่เฉิน หมัดนี้ที่ต่อยลงไปกลับทำให้ทะเลสาบหัวใจเกิดคลื่นกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง แม้แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของยันต์ที่อยู่ทั่วร่างของเขาก็แหลกสลายหายไปสิ้น กลับคืนมาเป็นหมัดเขย่าขุนเขาอีกครั้ง ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะเฉินผิงอันไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ลู่เฉินได้ร่ายใช้เวทคาถาสูงส่งมาสนทนากับตน

มือซ้ายของเฉินผิงอันยังคงยกไม่ขึ้น ส่วนมือขวาข้างที่กำเป็นหมัดนั้น พอคลายนิ้วทั้งห้าออกแล้วก็อ้อมผ่านไหล่ไปคว้ากระบี่ที่เดิมทีควรมอบให้แม่นางคนหนึ่ง

แต่แล้วจู่ๆ เฉินผิงอันก็ปล่อยมือ ปลดเจียงหูที่อยู่ตรงเอวลงมา การดื่มเหล้าครั้งนี้เป็นแค่การดื่มเหล้าจริงๆ ไม่ใช่ดื่มเพื่อเปลี่ยนลมปราณของผู้ฝึกยุทธ์ตอนที่อยู่เหนือกองกำลังของฝ่ายศัตรู ไม่ใช่ดื่มเพื่อปกปิดร่องรอยของสืออู่กับชูอี หลังจากที่เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วก็โยนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในเรือเล็กข้างฝ่าเท้า พูดในใจตัวเองว่า “อาเหลียง อาจารย์ฉี แม่นางหนิง ข้าขอโทษด้วย”

ตอนแรกเขาอยากเขียนยันต์ตัดโซ่หนึ่งแผ่นเพื่อให้ตัวเองมีคุณสมบัติที่จะต่อรองเงื่อนไขกับเจียวเฒ่าสีทอง ใช้หินดีงูทั้งหมดแลกมาด้วยการที่เกาะกุ้ยฮวาสามารถขับเคลื่อนออกไปจากร่องน้ำเจียวหลง

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเมื่อไปถึงภูเขาห้อยหัวแล้วจะต้องมอบเงินฝนธัญพืชให้กับหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่มากๆ หน่อย

ยังคิดด้วยว่าก่อนลงจากเรือจะต้องขอแผนที่เกาะกุ้ยฮวาแผ่นหนึ่งมาจากตระกูลฟ่าน ถึงเวลานั้นเมื่อลงจากเรือไปภูเขาห้อยหัวค่อยแอบใช้ตราประทับภูเขาและแม่น้ำที่อาจารย์ฉีมอบให้ประทับลงไปเบาๆ

ทั้งหมดนี้เป็นเหมือนโคมม้าวิ่งที่แล่นผ่านหัวสมองของเฉินผิงอันไป

……

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ปราณกระบี่สีทองที่บางราวเส้นผมซึ่งอยู่บนท้องฟ้าได้หายวับไป

เจียวเฒ่าสีทองหน้าซีดขาวเล็กน้อย แม้ว่าในใจยังคลางแคลงอยู่มาก ไม่อยากเชื่อในคำพูดของเด็กหนุ่ม แต่ถ้าหากมันเป็นจริงขึ้นมาล่ะ?

ถ้าหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันล่ะ?

เขาอดหันไปมองยังทิศทางของภูเขาห้อยหัวไม่ได้ ขยับปากทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด

ทว่านาทีถัดมาใบหน้าของเจียวเฒ่าชุดทองก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี หลังจากผงกศีรษะน้อยๆ ก็แผดเสียงหัวเราะดังสนั่น ปราณกระบี่สีทองปรากฏขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง เพียงแต่ว่าคราวนี้ไม่ใช่แค่เส้นเดียว แต่เป็นหลายเส้นเหมือนก้านใบบัวเล็กบางหลายก้านที่ชูช่อส่ายไหวอย่างมีชีวิตชีวาอยู่กลางทะเลเมฆ

เทือกเขาแห่งหนึ่งของภูเขาห้อยหัว

มีบุรุษเรือนกายสูงใหญ่สวมชุดนักพรตเต๋าคนหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าผาทอดสายตามองไปไกล สิ่งที่ปรากฎอยู่ในสายตาไม่ใช่ร่องเจียวหลงที่เขาเป็นผู้จัดวางค่ายกลเอาไว้ แล้วก็ไม่ใช่บนยอดเขาสองแห่งที่มีเทวรูปสององค์ยืนคุมเชิงกัน ไม่ใช่หญิงสาวสวมชุดสีเขียวที่นั่งเคียงบ่าดื่มเหล้าอยู่กับเทพพิรุณ แต่เห็นเป็นบุรุษท่าทางสง่างามมีความรู้ที่สวมชุดเขียวพกกระบี่ยาวตรงเอวคนหนึ่งที่ปรากฎตัวอยู่กลางทะเลเมฆ ก่อนหน้านี้เขาเดินทางออกจากน่านน้ำมหาสมุทรบริเวณใกล้เคียงกับนครมังกรเฒ่า อีกไม่นานก็จะมาถึงร่องน้ำเจียวหลง

คนผู้นี้ออกห่างจากโลกมนุษย์ไปนานหลายปีด้วยเหตุผลที่น่าสนใจมาก เพราะปราณกระบี่ทั่วร่างเข้มข้นเกินไป เข้มข้นจนถึงขั้นที่ว่าไม่ว่าเขาจะพยายามกดข่มไว้อย่างไรก็ล้วนไม่สามารถหยุดยั้งการแผ่กระจายไปสี่ทิศของปราณกระบี่ได้ วัตถุทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวเขาล้วนแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

ดังนั้นขอแค่คนผู้นี้ท่องไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ไร้ผู้คนบนโลก กลางทะเลเมฆ ห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร ภูเขาลึก สถานที่รกร้างมีควันพิษ…

ดวงตาของนักพรตร่างสูงใหญ่ฉายประกายเร่าร้อน คนผู้นี้มีค่าพอให้สู้ด้วยสักครั้ง!

เพียงแต่ไม่นานเขาก็ขมวดคิ้ว เหนือน้ำทะเลใต้ฝ่าเท้าของเซียนกระบี่ที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อผู้นั้นมีชายฉกรรจ์ท่าทางซื่อสัตย์ใช้ไม้พายพายเรือ ขยับไปไกลร้อยจั้งพันจั้งได้ในเสี้ยววินาที รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ความเร็วไม่เป็นรองเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าคนนั้นเลย

ชายท่าทางซื่อสัตย์คนนั้นกล่าวอย่างอึดอัดใจ “อาจารย์ของข้าบอกแล้วว่า เล่นงานเฉินผิงอันครั้งนี้ก็เพราะหวังดีกับเขา หากถือตราประทับตัวอักษรภูเขาของฉีจิ้งชุนไปที่ภูเขาห้อยหัว ด้วยนิสัยอารมณ์ร้ายของลูกศิษย์ซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์ลุงรองผู้นั้น เฉินผิงอันต้องลำบากมากแน่ๆ อีกอย่างอาจารย์ของข้าหวังจากใจจริงว่าเฉินผิงอันจะสามารถใช้เส้นทางอื่นเดินทางไปยังใต้หล้ามืดสลัวได้ เขายินดีรับเฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย”

ผู้ฝึกกระบี่บนท้องฟ้าที่ท่าทางสุภาพสง่างาม หน้าตาหล่อเหลาไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตาขึ้นมอง เพียงแค่หลุบตามองลงไปยังร่องน้ำเจียวหลงที่อยู่ห่างไปไกล พูดประโยคเดียวว่า “เจ้าเป็นแค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อคนหนึ่งของลู่เฉิน คิดจะแย่งศิษย์น้องเล็กกับเสี่ยวฉีของข้าอย่างนั้นหรือ ได้สิ ไม่สู้เจ้ารับกระบี่ของข้าสักทีหนึ่งก่อน?”

ชายฉกรรจ์กลับไม่ขุ่นเคือง ยังคงพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเคร่งขรึมซึ่งเป็นมาตั้งแต่เกิด “ไม่ตีกันหรอก ข้าพายเรือเป็นอย่างเดียวเท่านั้น”

ทุกที่ผู้ฝึกกระบี่ผ่าน หากเจอทะเลเมฆ ทะเลเมฆก็จะแหวกออกด้วยตัวเอง ครู่หนึ่งต่อมาเขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก “แล้วเจ้าจะตามข้ามาทำไม?”

คนพายเรือตอบตามสัตย์จริง “ไปพูดต่อหน้าเฉินผิงอันให้ชัดเจน เขาจะได้ไม่เข้าใจอาจารย์ของข้าผิด”

จู่ๆ ผู้ฝึกกระบี่ก็พูดอย่างจริงจัง “ข้ารู้สึกว่าเจ้าเกะกะตามาก จะทำอย่างไร?”

คนพายเรือคิดแล้วก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ไปแล้ว”

แล้วเรือแจวลำนั้นก็จอดนิ่งจริงๆ

บุรุษพยักหน้า “นับว่าเจ้าไม่โง่”

เขาทะยานลมต่อไปอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยขุ่นเคือง พูดพึมพำถามเองตอบเอง

“เสี่ยวฉีจะให้ข้าเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า ข้าหรือจะตอบรับ? เสี่ยวฉีเรียนหนังสือจนโง่ไปแล้ว แต่ข้าไม่ใช่สักหน่อย”

“ดังนั้นข้าไม่มีทางตอบตกลงแน่”

อารมณ์ของเขายิ่งนานก็ยิ่งย่ำแย่ เขาเริ่มทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้ลมปราณด้านหลังที่สั่นกระเทือนส่งเสียงดังครืนครั่นคล้ายเสียงสายฟ้าที่แผดก้องอยู่ในทะเลเมฆ

ตอนที่กำลังจะผ่านเทพพิรุณและเทวรูปสององค์มีคนตวาดเสียงดัง ไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกกระบี่คนนี้บินผ่านกลางอากาศของสำนักไปโดยพลการ ต้องอ้อมผ่านทางไป

ผู้ฝึกกระบี่ก้มหน้าหลุบตามองอย่างไม่ใส่ใจ ใช้นิ้วโป้งดันด้ามกระบี่แล้วผลักเบาๆ หนึ่งครั้ง กระบี่ยาวก็ร่วงลงไปหาน้ำทะเล พอกระบี่อยู่ห่างจากผิวน้ำแค่ไม่กี่จั้ง ทันใดนั้นกระบี่ก็ทะยานขึ้นสูงประหนึ่งสายรุ้งที่พุ่งเข้าไปตัดเทวรูปองค์นั้นให้ขาดเป็นสองท่อน แสงสีทองส่องประกายจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออก

แล้วกระบี่ยาวก็พุ่งทะยานจากไป ติดตามเจ้านายกลับคืนสู่ฝักอย่างเงียบเชียบ

ผู้ฝึกกระบี่เคลื่อนหน้าต่ออีกครั้ง

พูดคุยกันด้วยเหตุผล?

เขาไม่เคยชอบเลย

ถ้าต้องพูดคุยเหตุผลกับคนอื่น เขายังจะต้องฝึกกระบี่ไปทำไม?

ผู้ฝึกกระบี่พลันเงยหน้ามองไป “กล้าอวดปราณกระบี่ต่อหน้าข้า เจ้าคิดว่าตัวเองคืออาเหลียงหรือไง?”

ผู้ฝึกกระบี่ที่ยังอยู่ห่างจากร่องน้ำเจียวหลงเจ็ดแปดร้อยลี้หมุนข้อมือหนึ่งครั้งแล้วตบฉาดออกไป

ทั้งเกาะกุ้ยฮวาพลิกตลบอยู่กลางอากาศหนึ่งรอบ จากนั้นกระแทกแรงๆ บนผิวน้ำทะเลห่างไปสิบกว่าลี้ ทั้งเกาะสั่นคลอนรุนแรง ถัดมาก็เหมือนถูกพายุลูกใหญ่พัดใส่ ตัวเกาะแหวกคลื่นน้ำทะเลพุ่งพรวดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ออกห่างจากร่องน้ำเจียวหลง

ครั้นแล้วผู้ฝึกกระบี่ก็ดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งครั้ง

เหนือร่องน้ำเจียวหลงเหมือนมีประตูสวรรค์หลายบานเปิดอ้า

ก่อนที่ปราณกระบี่สีขาวกระจ่างดุจม่านน้ำตกจะไหลกรากลงมาไม่ขาดสาย

ทีแรกพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงของร่องน้ำเจียวหลงที่เดิมทีขดตัวอยู่ใกล้กับพื้นผิวน้ำทะเลยังไม่รู้ว่า ‘น้ำหลากสีขาวหิมะ’ ที่เทกระหน่ำสู่มหาสมุทรนั้นคือสิ่งใดกันแน่

ทว่ารอจนพวกมันคืนสติก็กลายเป็นว่าค้างอยู่ในท่าเดิมโดยที่ร่างเหลือแต่โครงกระดูกไปแล้ว

ส่วนพวกปราณกระบี่สีทองที่ถูกเจียวเฒ่าสีทองเรียกออกมาก็ถูกชะล้างไปจนสิ้น เหมือนกิ่งไม้แห้งไม่กี่กิ่งที่เผชิญกับน้ำป่าไหลหลาก ไม่หลงเหลืออยู่แม้แต่เสี้ยวเดียว

น้ำหลากสีขาวหิมะที่เกิดจากการก่อตัวของปราณกระบี่ไหลลงสู่ร่องน้ำเจียวหลงอย่างต่อเนื่อง

ทว่าเจียวเฒ่าสีทองกับเฉินผิงอันที่อยู่บนเรือลำเล็กกลับไม่เป็นอะไร

ในร่องน้ำเจียวหลง เมื่อปราณกระบี่กดทับลงมา ทั่วพื้นที่ก็มีแต่ซากโครงกระดูก

เจียวหลงชุดทองยืนอึ้งอยู่ที่เดิม สีหน้าเหมือนขี้เถ้ามอด

นี่ใช่คำว่าถ้าหากหรือไม่?

นี่ถือว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝันหรือไม่?

ผู้ฝึกกระบี่สวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินมาถึงริมขอบของร่องน้ำเจียวหลง เขาเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล เดินมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า น้ำทะเลที่ถูกปราณกระบี่รุกรานพลันเดือดพล่าน ระเหยกลายเป็นไอ สุดท้ายผู้ฝึกกระบี่จึงเลือกที่จะทะยานลมเดินกลางอากาศดังเดิม

เขาชำเลืองตามองเฉินผิงอัน พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เสี่ยวฉีต้องการให้ข้าเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า ข้าไม่ได้รับปาก ก็เหมือนกับตอนนั้นที่อาจารย์ต้องการให้ข้าปกป้องเสี่ยวฉี ข้าเองก็ไม่ได้รับปากเหมือนกัน มหามรรคาใต้ฝ่าเท้าที่ตัวเองเลือกเดินยังต้องให้มีใครมาปกป้องอีก”

สีหน้าของเขาค่อนข้างระอาใจ แต่ในแววตากลับเจือรอยยิ้ม “แต่เจ้าคือศิษย์น้องเล็กของข้าครึ่งตัว ข้าจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ อีกอย่างครั้งนี้เจ้ากล้ายอมรับความตายด้วยตัวเอง พูดว่าจะตายก็ตาย ข้ารู้สึกว่าดีมาก เอาเป็นว่าถูกใจข้าก็แล้วกัน ข้าก็เลยมาพบเจ้า อาจารย์กับเสี่ยวฉี คนหนึ่งแก่ขนาดนั้น อีกคนหนึ่งก็อายุไม่น้อยแล้ว ถูกคนอื่นรังแกก็ได้แต่โทษว่าพวกเขาทำตัวดื้อด้านเอง ส่วนเจ้า อายุยังน้อย ถูกคนรังแกแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่สมควร”

ระหว่างที่ผู้ฝึกกระบี่พูดจาอย่างผ่อนคลาย

ช่องโพรงลมปราณสามร้อยกว่าแห่งในร่างของเจียวเฒ่าชุดทองค่อยๆ มีแสงสีขาวหิมะแทรกซึมเข้ามาทีละนิด สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แต่เจียวเฒ่าที่พลังการต่อสู้เทียบเท่าขอบเขตหยกดิบกลับไม่ปริปากส่งเสียงร้องสักแอะ

“ปณิธานกระบี่ของข้าสู้อาเหลียงไม่ได้ แต่เวทกระบี่ของข้าสูงกว่าเขาเล็กน้อย”

ผู้ฝึกกระบี่มองไปยังเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเฉินผิงอัน ยื่นนิ้วโป้งชี้ขึ้นไปบนฟ้าก่อน จากนั้นค่อยชี้มาที่ตัวเอง พูดยิ้มๆ ว่า “อ้อ ใช่แล้ว ข้าชื่อจั่วโย่ว คือศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้ากับเสี่ยวฉี”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด