กระบี่จงมา 306.1 แลไกลมองใกล้

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 306.1 แลไกลมองใกล้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันมองเด็กหญิงผอมแห้งที่สีหน้าเย็นชาคนนี้ ต่อให้นางจะยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง อายุน้อยกว่าจูลู่หลายปีจนเทียบกันไม่ติด แต่เฉินผิงอันกลับยังคงรู้สึกรังเกียจนางจากใจจริง

เฉินผิงอันจึงไม่มองนางอีก หันไปมองทางประตูหลังของจวน พ่อบ้านเฒ่าที่มองดูเหมือนอ่อนโยนปราณีกำลังจูงมือของเจ้านายน้อยข้ามผ่านธรณีประตูไปพอดี เขาเองก็หันมามองทางเฉินผิงอัน สายตาของคนทั้งสองประสานกัน เฉินผิงอันผงกศีรษะให้เบาๆ คนผู้นั้นลังเลเล็กน้อยก่อนจะผงกศีรษะกลับคืน

ทุกอย่างล้วนไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยออกมา

หากวันนี้เฉินผิงอันไม่ปรากฏตัว เด็กผอมแห้งคนนี้ก็คงตายไปอย่างเงียบเชียบไร้คนรับรู้แล้ว

ส่วนผู้เฒ่าคนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเขายินดีที่จะเป็นฝ่ายมอบความเป็นมิตรให้กับคนบนเส้นทางเดียวกันที่มองตื้นลึกหนาบางไม่ออกผู้นี้ก่อน เลือกที่จะไม่ลงโทษเด็กเหลือขอยากไร้ที่ไม่รู้จักบุญคุณคน ปล่อยให้เฉินผิงอันเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา พูดกับเด็กคนนั้นว่า “วันหน้าไม่ต้องมาที่นี่อีก ไม่งั้นเจ้าต้องตาย”

เด็กหญิงเบ้ปาก ไม่เอ่ยอะไร

เฉินผิงอันหมุนกายจากไป

เด็กหญิงถ่มน้ำลายแรงๆ ใส่ทิศทางที่เฉินผิงอันหายตัวไป แล้วก็ยังไม่ลืมถุยน้ำลายใส่ประตูใหญ่กำแพงสูงแห่งนี้ด้วย

เพียงแต่ว่าหลังจากทำพฤติกรรมเล็กๆ สองอย่างที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นนี้เสร็จ ท้องที่ร้องโครกครากอยู่แล้วก็ยิ่งร้องดังกว่าเดิม นางเริ่มเวียนหัวตาลาย เดินย้อนกลับไปทางเก่า พยายามเดินเลียบกำแพงให้ได้มากที่สุด อย่าว่าแต่กลางถนนเลย นางถึงขั้นไม่ยอมให้คนเดินเท้าและรถม้าบนถนนมองเห็นตัวเองด้วยซ้ำ หากทำให้พวกเขาโมโหขึ้นมา นั่นต่างหากถึงจะต้องตายจริงๆ

ส่วนผู้ชายที่สวมชุดสีขาวหิมะคนนั้น นางไม่กลัว

ตั้งแต่ที่จำความได้ นางก็มีความรู้สึกที่เฉียบไวต่อความดีความชั่วมากเป็นพิเศษ ใครที่ยุ่งได้ ใครที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย นางชั่งน้ำหนักได้อย่างชัดเจน

อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้จากไปไหนไกล เขาแอบสะกดรอยตามคอยลอบสังเกตเด็กน้อยที่ทั่วตัวเต็มไปด้วยหนามแหลมคนนี้เงียบๆ

นางเดินๆ หยุดๆ อย่างหงุดหงิดแต่ไร้เรี่ยวแรงไปตลอดทาง หลังจากนางกวาดมองไปรอบด้านด้วยความระมัดระวัง รออยู่ครู่หนึ่งก็ปีนกำแพงขึ้นไปอย่างคุ้นเคย แอบขโมยผักดองของครอบครัวหนึ่งมาสวาปามอย่างหิวโหย จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ ออกมาจากตรอกเล็ก พอกระหายน้ำนางก็แอบปีนเข้าไปในบ้านของคนอื่นอีก ค่อยๆ ย่องไปตักน้ำในโอ่ง ก่อนจะปิดฝาโอ่ง นางยังคว้าดินขึ้นมาจากพื้นหนึ่งกำมือโปรยลงไปในโอ่งน้ำอย่างรวดเร็ว แล้วถึงได้จากไปอย่างเงียบเชียบ

เฉินผิงอันมองออกว่าขาของเด็กหญิงกะเผลกเล็กน้อย อีกทั้งยังยื่นมือไปลูบสะโพกฝั่งซ้ายบ่อยๆ น่าจะเป็นเพราะเวลาทำเรื่องเลวร้ายในอดีตต้องเจอกับความยากลำบากมาไม่น้อย

 และในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะจากไปนั้นเอง เด็กหญิงก็มาถึงแถบตรอกที่มีแต่ขี้ไก่ขี้หมากองอยู่กลาดเกลื่อน ในตรอกมีบุรุษกลุ่มหนึ่งยืนเอนพิงกำแพงรออยู่ ดูเหมือนว่าจะรอการมาถึงของนาง อายุของบุรุษเหล่านี้ล้วนไม่มาก บางคนก็เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ปี อายุมากที่สุดก็แค่ไม่เกินยี่สิบปี เป็นพวกอันธพาลเสเพล คนหนึ่งในนั้นพอเห็นเด็กหญิงผอมแห้งวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาพวกเขา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยกเท้าถีบออกไป ไม่หนักไม่เบา แต่หากโดนจังๆ เกรงว่าเด็กหญิงคงตัวปลิวเป็นแน่ ยังดีที่ดูเหมือนเด็กหญิงจะคาดเดาได้ล่วงหน้าแล้ว นางไม่ได้หลบเลี่ยง แต่ระหว่างที่วิ่งมากลับชะลอความเร็วลงเหมือนตั้งใจแต่ก็เหมือนไม่ได้เจตนา ลูกถีบนี้จึงไม่หนักเกินไปสำหรับนาง หลังจากนั้นนางก็แสร้งทำเป็นหงายหลังได้อย่างไม่มีพิรุธ ดิ้นรนลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเจ็บปวด สายตาและสีหน้าที่มองไปยังคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความประจบสอพลอราวกับว่านี่เป็นนิสัยที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด

อันธพาลในพื้นที่คนหนึ่งที่น่าจะเป็นผู้นำไม่อยากเสียเวลาอีก จึงบอกให้เด็กหญิงนำทางไป

คนทั้งสองเดินอ้อมไปอ้อมมา เสียเวลาไปไม่น้อยกว่าจะหาบ้านเก่าโทรมหลังหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างมานานปีเจอ เด็กหญิงยื่นมือชี้ไปทางบ้านหลังนั้นเงียบๆ อันธพาลที่เป็นผู้นำพูดพลางยิ้มเหี้ยม “หากบอกทางผิด อีกเดี๋ยวจะตัดขาของเจ้า!”

นางส่ายหน้าแรงๆ จากนั้นค่อยยื่นมือสองข้างมารองตรงหัวใจอย่างกล้าๆ กลัวๆ

อันธพาลคนนั้นทำสัญญาณมือของฝ่ายมืดในยุทธภพก่อน ทุกคนที่อยู่รอบกายจึงเริ่มออกไปล้อมบ้านหลังนี้

คนผู้นั้นไม่ได้เข้าร่วมด้วย เขาโยนเงินเหรียญทองแดงเจ็ดแปดเหรียญใส่มือเด็กหญิง พูดด้วยเสียงแปลกแปร่ง “นังเด็กเหลือขอ ไม่บังเอิญเลย อีกครึ่งอีแปะที่เหลืออยู่พี่ชายไม่ได้พกมาด้วย ติดไว้ก่อนแล้วกัน? รอให้เสร็จงานตรงนี้ก่อนแล้วพี่ชายจะกลับบ้านไปเอามาให้เจ้าดีไหม?”

เด็กหญิงส่ายหน้าอย่างแรง นางเขย่ามือ เหรียญทองแดงทั้งหมดก็ไหลไปอยู่รวมกันบนฝ่ามือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งหยิบเหรียญขึ้นมาสามเหรียญ ยื่นส่งให้อันธพาลผู้นั้น

อันธพาลผู้นั้นหัวเราะชอบใจ นังเด็กคนนี้รู้งานไม่เบา แล้วเขาก็โบกมือ ความคิดที่จะหยอกล้อนางต่อหายวับไปไม่มีเหลือ

เด็กหญิงคนนั้นถอยไปด้านหลัง ค้อมตัวก้มหัวให้บุรุษอยู่หลายครั้ง ก่อนจะหมุนตัววิ่งจากไป

บ้านที่อยู่ด้านหลังของเด็กหญิงมีเสียงคนร้องโหยหวนดังสะเทือนฟ้าดิน

เด็กหญิงเอาแต่วิ่งพลางแบมือออกเร็วๆ ด้วยความดีใจ มองเห็นเหรียญทองแดงเหล่านั้น บนใบหน้าอ่อนเยาว์แต่กลับเหลืองตอบของนางพลันคลี่ยิ้มกว้างดุจบุปผาผลิบาน

……

หลงเฉวียนที่เกิดจากถ้ำสวรรค์ร่วงลงมาแล้วมีอาเขตติดกับผืนแผ่นดินกลายเป็นเหมือนพื้นที่มงคลที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณแห่งหนึ่ง ดึงดูดให้ผู้คนน้ำลายสออยากครอบครอง

ภูตผีปีศาจที่อยู่รอบด้านมีมากนับหมื่นตน ผ่านการย้ายถิ่นฐานมาสองปีกว่า พวกเขาก็เริ่มจะไปพักพิงภูเขาใหญ่แห่งต่างๆ สถานการณ์จึงมีแนวโน้มว่าจะมั่นคงขึ้น

ในบรรดาคนเหล่านี้ ลำพังเพียงแค่ปีศาจใหญ่ขอบเขตโอสถทองก็มีมากถึงสามตน ทุกตนต่างก็เคยเป็นยักษ์ใหญ่ที่เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝนในพื้นที่หนึ่งโดยไม่มีข้อยกเว้น ส่วนข้อที่ว่าจะมีปีศาจใหญ่ก่อกำเนิดซ่อนตัวอยู่ภายใน ไม่เต็มใจเผยตัวหรือไม่ ตอนนี้กลับยังไม่อาจรู้ได้

เนื่องด้วยเหตุผลหลากหลายประกาย ภูตผีปีศาจที่ตายก่อนวัยอันควร ตายอย่างเฉียบพลัน รวมไปถึงถูกราชสำนักต้าหลีกำราบสังหารเพราะไม่รักษากฎ โดยรวมแล้วมีถึงพันกว่าตน แต่ปีศาจห้าขอบเขตกลางที่ตายไปกลับมีจำนวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกเผ่าปีศาจปลายแถวที่เพิ่งเหยียบขึ้นมาบนเส้นทางของการฝึกตน อาศัยแค่สันดานดุร้ายกระทำการต่างๆ เท่านั้น

ในบรรดาเผ่าปีศาจ ผู้ที่มีคุณสมบัติจะได้ครอบครองป้ายสงบสุขปลอดภัยที่ทางราชสำนักต้าหลีออกให้มีน้อยจนนับนิ้วได้

เพื่อสิ่งนี้เผ่าปีศาจที่พึ่งพาภูเขาใหญ่แห่งต่างๆ ปีศาจที่ทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ราชสำนักหรือผู้พิทักษ์กฎของขุนเขา บ้างก็ต้องควักกระเป๋าตัวเองหาทางสร้างความสัมพันธ์กับทางการ บ้างก็ขอร้องให้เจ้าของสถานที่ที่ตัวเองไปพักอาศัยช่วยแสดงความเป็นมิตรต่อต้าหลี ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเรื่องของเงิน เพราะมีเงินก็สามารถจ้างผีให้โม่แป้งได้ รายได้ก้อนนี้ทำให้กรมการคลังของต้าหลีที่ตอนแรกรับมือไม่ถูกยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง ความสัมพันธ์กับกรมกลาโหมที่แต่เดิมแข็งทื่อก็เริ่มคลายตัวลง ถึงอย่างไรสองแซ่สกุลของนายพลเอกอย่างเฉาและหยวนก็ล้วนมีกองกำลังของตัวเองอยู่ในกรมการคลังและกรมกลาโหม และเวลาเกือบร้อยปีมานี้เฉาหยวนสองตระกูลก็เหมือนน้ำมันกับไฟ ปัดแข้งปัดขากันทุกเรื่อง คนทั้งราชสำนักต่างก็รู้กันดี

ในฐานะอริยะของฟ้าดินแห่งนี้ หร่วนฉงที่มีชาติกำเนิดมาจากศาลลมหิมะได้สร้างสำนักกระบี่หลงเฉวียนขึ้นมา พื้นที่กว้างขวางยิ่ง เขาได้ครอบครองภูเขาหลายแห่งซึ่งรวมถึงภูเขาเสิ่นซิ่วเป็นหนึ่งในนั้น แต่ลูกศิษย์ในสำนักกลับมีน้อยจนน่าสงสาร คนหนึ่งคือหญิงสาวที่ตัดนิ้วโป้งของตัวเองขาด ลูกศิษย์ที่ถูกศาลลมหิมะทอดทิ้ง คอยรับผิดชอบดูแลร้านกระบี่เก่าที่อยู่นอกเมืองเล็ก น้อยครั้งมากที่นางจะขึ้นเขามาเยือนสำนัก มีนามว่าสวีเสี่ยวเฉียว

คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มพูดน้อยที่ชอบใส่ชุดสีดำอยู่ตลอดทั้งปี ชื่อว่าต่งกู่

และยังมีเด็กหนุ่มคิ้วยาวที่มีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู เซี่ยหลิง

ต่อให้รวมหร่วนซิ่วเข้าไปด้วย สำนักกระบี่หลงเฉวียนก็ยังมีควันธูปบางเบาจนน่าโมโห

ทว่าหร่วนฉงกลับไม่แยแสเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย นอกจากเขาจะไปเยือนหน้าผาแท่นสังหารมังกรที่อยู่บนภูเขาหลงจี๋ และไปพูดคุยกับคนจากบ้านเดิมอย่างศาลลมหิมะและคนของภูเขาเจินอู่แล้ว ก็ไม่สนใจเรื่องราวทางโลกอย่างอื่นอีก ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเมืองอู๋ยวน หรือว่าเทพภูเขาเว่ยป้อ เขาก็แทบไม่ให้ความสนใจเลย สำหรับเรื่องการถ่ายทอดมรรคาให้แก่ลูกศิษย์ทั้งหลายก็ยิ่งไม่ใส่ใจ ส่วนใหญ่ล้วนให้บุตรสาวเป็นคนช่วยจับตามองแทน

ภูเขาเสินซิ่ว วันนี้ทะเลเมฆขาวพร่างพราวลอยไกลสุดลูกหูลูกตา พระอาทิตย์ดวงโตลอยขึ้นมากลางอากาศ สาดส่องให้ทะเลเมฆเป็นสีแดงงามพร้อมอย่างทั่วถึง

เด็กสาวชุดเขียวที่มัดผมหางม้า หรือควรจะบอกว่าตอนนี้ไม่สามารถเรียกนางว่าเด็กสาวได้แล้ว เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูใหม่ๆ ตอนนี้เรือนกายของนางเพรียวบาง สูงขึ้นมาอีกเล็กน้อย คิ้วตาเรียวยาว ที่แท้แม่นางซิ่วซิ่วก็เติบใหญ่สะโอดสะองแล้ว

ข้างกายของนางมีลูกศิษย์เปิดขุนเขาของหร่วนฉงผู้เป็นบิดายืนอยู่ สวีเสี่ยวเฉียว ต่งกู่ เซี่ยหลิง ยากนักกว่าที่พวกเขาจะได้มารวมตัวกัน ในบรรดาคนทั้งสาม สวีเสี่ยวเฉียวเรียกหร่วนซิ่วว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ ต่งกู่เรียกว่าแม่นางหร่วน แต่เป็นคำเรียกขานที่ออกมาจากความเคารพด้วยใจจริง แต่เด็กหนุ่มเซี่ยหลิงกลับชอบเรียกนางว่าพี่หญิงซิ่วซิ่วมาโดยตลอด

ตรงข้างเท้าของหร่วนซิ่วมีสุนัขตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ หมาแก่ที่เดิมทีนอนป่วยพังพาบรอตายอยู่ข้างถนนตัวนั้น เวลานี้กลับเปลี่ยนมาเป็นมีชีวิตชีวา ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยประกายเฉลียวฉลาด นี่ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของยาหลายเม็ดที่หร่วนซิ่วมักจะโยนให้มันกินซึ่งล้วนเป็นยาชั้นเยี่ยม ทุกเม็ดมีค่าเท่ากับทองพันชั่ง เคยมีผู้ฝึกลมปราณผ่านทางมาเห็นภาพนี้ ในใจพลันเศร้ารันทด รู้สึกเพียงว่าตนเองมีชีวิตสู้หมาตัวหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ใจนึกอยากจะกระโจนออกไปแย่งชิงอาหารกับหมาให้รู้แล้วรู้รอด

ท่ามกลางทะเลเมฆอันงดงามพอจะมองเห็นภูเขาใหญ่หลายลูกที่สูงตระหง่านแหวกทะเลเมฆขึ้นมาดุจดั่งหมู่เกาะได้รำไร

หร่วนซิ่วชี้ไปที่ภูเขาลูกหนึ่ง “ท่านพ่อข้าพูดแล้วว่า ขอแค่พวกเจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทอง เขาก็จะมอบภูเขาให้คนละลูก และจะป่าวประกาศแก่ใต้หล้า จัดพิธีเปิดขุนเขาให้แก่คนผู้นั้นอย่างเป็นทางการ”

จากนั้นนางก็หันมามองต่งกู่ “แม้เจ้าจะมีชาติกำเนิดเป็นภูตปีศาจ เมื่อเทียบกับพวกเราแล้ว การฝ่าทะลุขอบเขตจะยากยิ่งกว่า แต่อาศัยอายุขัยที่ยืนยาว พื้นฐานที่ปูมาไม่เลว แถมยังเป็นขอบเขตประตูมังกรมาตั้งนานแล้ว ก็ถึงเวลาที่ควรจะลองฝ่าดูได้แล้ว”

ต่งกู่ขยับปากจะพูดแต่ไม่ได้พูด

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มั่นใจเท่าใดนัก ขอบเขตโอสถทองของห้าขอบเขตกลางเป็นขอบเขตที่ฝ่าไปได้ยากที่สุดของผู้ฝึกลมปราณ ไม่รู้ว่ามันขัดขวางผู้ฝึกลมปราณของประตูมังกรไว้มากน้อยเท่าไหร่ การที่ต่งกู่จากบ้านเกิด ทอดทิ้งสถานะไท่ซือตัวปลอมของแคว้นหนึ่ง ละทิ้งความร่ำรวยในโลกมนุษย์ ก็เพราะอยากจะอาศัยปราณวิญญาณที่มีเปี่ยมล้นมาตั้งแต่กำเนิดของถ้ำสวรรค์หลีจูมาเพิ่มความมั่นใจในการเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองของตน ส่วนระดับขั้นของโอสถทองที่สำเร็จออกมาจะสูงหรือต่ำ และภาพวาดในห้องโอสถจะมีมากหรือน้อย เขาไม่กล้าคาดหวังเลยแม้แต่นิดเดียว

ผู้ที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จ ก็คือคนรุ่นเดียวกับข้า

ไม่รู้ว่าประโยคนี้ดึงดูดให้ผู้ฝึกลมปราณในโลกกี่มากน้อยละทิ้งความสนใจต่อเรื่องทางโลก เอาแต่ฝึกตนมุ่งหามรรคาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจัดเหนื่อยปีแล้วปีเล่า

“ระหว่างที่เจ้าฝ่าทะลุขอบเขต ข้าจะใช้วิธีการบางอย่างยืมการโคจรลมปราณแห่งภูเขาและแม่น้ำที่เป็นของครอบครัวตัวเองมาช่วยระวังหลังให้เจ้า”

หร่วนซิ่วชี้ไปที่เซี่ยหลิง “ก่อนหน้านี้ศิษย์น้องของเจ้าได้สมบัติที่ใกล้เคียงกับอาวุธเซียนมาชิ้นหนึ่ง เป็นเจดีย์ขนาดเล็กหนึ่งหลัง ผู้สูงส่งท่านหนึ่งมอบให้เขา สามารถลดระดับความอันตรายในการฝ่าขอบเขตของเจ้าได้”

เซี่ยหลิงเด็กหนุ่มคิ้วยาวหน้ามุ่ย ขนาดความคิดจะโดดหน้าผาตายก็ยังมีแล้ว

พี่หญิงซิ่วซิ่วของข้า นี่เป็นความลับใหญ่เทียมฟ้าที่ข้าเก็บไว้ก้นกรุเชียวนะ ทำไมเจ้าถึงได้พูดออกมาง่ายๆ อย่างนี้เล่า

ต่งกู่ที่หน้าตายตลอดทั้งปีราวกับเป็นอัมพฤกษ์บนใบหน้า ในที่สุดก็เผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาเสี้ยวหนึ่ง หันไปโค้งตัวขอบคุณศิษย์น้องเล็กเซี่ยหลิง “ขอบคุณศิษย์น้อง บุญคุณยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ต่งกู่จะไม่ลืมไปชั่วชีวิต วันหน้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน!”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด