กระบี่จงมา 307.1 ภิกษุเฒ่าไม่ชอบพูดเรื่องพระธรรม

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 307.1 ภิกษุเฒ่าไม่ชอบพูดเรื่องพระธรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ยามเช้าตรู่ ประตูใหญ่เปิดออกดังแอด เด็กหญิงผอมแห้งสะดุ้งตื่นในชั่วพริบตา นางกระโดดลงมาจากหลังสิงโตหิน ค้อมตัวลงวิ่งเลียบกำแพงหนีไปให้ห่างจากที่แห่งนี้

แน่นอนว่าเฉินผิงอันต้อง ‘ตื่น’ เช้ากว่านาง หลังจากที่มองอยู่ไกลๆ เห็นว่าเด็กหญิงจากไปแล้ว เขาก็ไม่สะกดรอยตามนางอีก แต่กลับไปยังที่พักของตัวเอง เฉินผิงอันเช่าห้องด้านข้างของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ทางใต้ของเมืองหลวงเพื่อพักอาศัย บริเวณใกล้เคียงมีตรอกจ้วงหยวน (จอหงวน) ที่มีชื่อเสียงมาก แต่อันที่จริงกลับเทียบตรอกซิ่งฮวาของบ้านเกิดเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ มีบัณฑิตยากจนที่เดินทางมาสอบที่เมืองหลวงพักอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากไม่ได้รับเลือกในการสอบช่วงวสันต์ จ่ายเงินค่าเดินทางกลับบ้านเกิดไม่ไหว อีกทั้งมีสหายที่เพิ่งได้รู้จักในเมืองหลวงให้คอยสอบถามแลกเปลี่ยนความรู้ จึงเลือกมาพักอยู่ที่นี่

เฉินผิงอันมีแค่กุญแจห้อง ไม่มีกุญแจประตูหน้าบ้าน ดังนั้นเขาจึงเลือกเวลากลับมายังที่พัก ประตูบ้านเปิดไว้อยู่แล้ว เฉินผิงอันกลับไปที่ห้องของตัวเอง ปิดประตูลงแล้วก็ชำเลืองตามองตำราที่กองทับกันบนโต๊ะรวมไปถึงผ้าห่มบนโต๊ะซึ่งต่างก็ถูกขยับเคลื่อนย้ายมาก่อน ร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ ล้วนปรากฏอยู่ในสายตาของเฉินผิงอันอย่างชัดเจน เขาถอนหายใจด้วยความระอา ยังดีที่ของไม่ได้หายไป

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันไม่ได้พักอยู่ที่นี่ แต่พักอยู่ที่โรงเตี๊ยม เช่าห้องขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างขวางให้ฝึกหมัดฝึกกระบี่ได้ ภายหลังตามหาอารามเต๋าไม่พบ ยิ่งนานวันจิตใจก็ยิ่งหงุดหงิดงุ่นง่าน เฉินผิงอันจึงหยุดฝึกเดินนิ่งและวิชากระบี่เป็นครั้งแรก เพื่อประหยัดเงินจึงย้ายมาพักอยู่ที่นี่ แล้วก็จะฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูแค่บางครั้งเท่านั้น

เฉินผิงอันนอนอยู่บนเตียง เหม่อมองเพดานห้อง

หากต้องเป็นเหมือนแมลงวันไร้หัวต่อไปเช่นนี้เรื่อยๆ คงไม่ใช่เรื่อง

ได้ประโยชน์จากการขัดเกลาบนกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่แข็งแกร่งแน่นหนาจนน้ำก็ลอดซึมไปไม่ได้ ภายหลังยังมาเจอศึกใหญ่ที่ป้อมอินทรีบินอีกสองครั้ง โดยเฉพาะตอนที่ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองระเบิดห้องโอสถจนปราณวิญญาณไหลทะลัก การกระทำสวนกระแสของเฉินผิงอันครั้งนั้นทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มหาศาล ตอนนี้วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ของเฉินผิงอันมีวี่แววว่าคอขวดเริ่มจะคลายตัวออก แต่เขากลับรู้สึกว่ายังขาดอะไรอยู่อีกเล็กน้อย ลางสังหรณ์ที่เลือนรางอย่างหนึ่งบอกกับเฉินผิงอันว่า ขอแค่เขาเต็มใจก็สามารถข้ามผ่านธรณีประตูขอบเขตสี่ไปได้อย่างรวดเร็ว แต่เฉินผิงอันต้องการรากฐานที่หนาแน่นและมั่นคงยิ่งกว่านี้ หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องทำอย่างที่ลู่ไถว่า นั่นคือลองไปเสี่ยงดวงที่ศาลอริยะบู๊ดู หรือไม่ก็หาซากปรักของสนามรบโบราณแห่งหนึ่งแล้วเข้าไปตามหาวิญญาณวีรบุรุษ เทพหยินที่รบตายไปแล้วแต่ดวงจิตยังไม่แตกสลาย

ถึงอย่างไรก็ต้องหาเรื่องอะไรสักอย่างทำ ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันกลัวว่าตัวเองจะขึ้นราเอาได้

เฉินผิงอันตัดสินใจว่าจะอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนนี้ถึงปลายฤดูร้อน หากยังหาอารามเต๋าไม่เจอก็จะกลับแจกันสมบัติทวีป ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไว้บนวิถีวรยุทธ์ขอบเขตเจ็ด ปู่ของชุยฉานอยู่ที่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันมีความมั่นใจในเรื่องนี้มาก และไม่แน่ว่าสัญญาสิบปีที่ให้ไว้กับหนิงเหยาอาจจะทำได้สำเร็จล่วงหน้าหลายปี

แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อย กลัวก็แต่ว่าผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่จิตใจสูงส่งยิ่งกว่าแผ่นฟ้า วิชาหมัดไร้ศัตรูทัดเทียมผู้นั้นจะป่าวประกาศว่าจะขัดเกลาเขาให้กลายเป็นขอบเขตห้า ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดอะไรเทือกนั้น

ตอนนั้นแค่ขอบเขตสามตนก็ลำบากทรมานถึงเพียงนั้นแล้ว เฉินผิงอันกลัวจริงๆ ว่าจะถูกผู้เฒ่าต่อยจนตายทั้งเป็น หรือไม่ก็เจ็บปวดจนตาย

เฉินผิงอันสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย หลับตาลงช้าๆ

ไม่รู้ว่าอาเหลียงที่อยู่ฟ้านอกฟ้าต่อสู้จนรู้แพ้รู้ชนะกับเต๋าเหล่าเอ้อร์ที่เล่าลือกันว่าเป็นผู้ไร้ศัตรูเทียมทานที่แท้จริงแล้วหรือยัง

ไม่รู้ว่าระหว่างที่เดินทางไกลไปยังสกุลเฉินอิ่งอิน ภูเขาสูงสุดที่หลิวเสี้ยนหยางได้เห็นสูงเท่าไหร่ และแม่น้ำใหญ่สุดที่ได้เห็นกว้างใหญ่แค่ไหน

ไม่รู้ว่าหลี่เป่าผิงที่เรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาจะมีความสุขหรือไม่

ไม่รู้ว่ากู้ช่านที่อยู่ทะเลสาบเจี่ยนซูจะถูกคนรังแกหรือไม่ สมุดบัญชีเล่มเล็กๆ ที่เอาไว้จดชื่อศัตรูจะเพิ่มขึ้นมาอีกเล่มแล้วหรือเปล่า

ไม่รู้ว่าแม่นางหร่วนซิ่วยังชอบขนมกุ้ยฮวาของที่ร้านในตรอกฉีหลงหรือไม่

ไม่รู้ว่าจางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสียที่เดินทางไปด้วยกันได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ที่สามารถร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมกันกำจัดปีศาจปราบมารหรือไม่

ไม่รู้ว่าฟ่านเอ้อร์ที่อยู่ในนครมังกรเฒ่าจะเจอหญิงสาวที่ถูกใจหรือยัง

เฉินผิงอันคิดเรื่องในใจจนหลับไปทั้งอย่างนี้

มีกระบี่บินชูอีสืออู่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ อันที่จริงตลอดทางที่เฉินผิงอันนอนกลางดินกินกลางทรายมานี้ เขาไม่ค่อยเป็นกังวลเท่าใดนัก

เจ้าของบ้านหลังนี้คือคนสามรุ่น ครอบครัวมีทั้งหมดห้าคน ผู้เฒ่าชอบออกไปเล่นหมากล้อมกับคนอื่นข้างนอก ฝีมือการเล่นหมากล้อมอ่อนด้อย กิริยาเวลาเล่นกลับแย่ยิ่งกว่า เพราะชอบร้องเสียงดังโวยวาย

หญิงชราพูดจาไม่น่าฟัง วันๆ เอาแต่ทำสีหน้าบึ้งตึงจนเฉินผิงอันอดนึกไปถึงแม่เฒ่าหม่าในตรอกซิ่งฮวาไม่ได้

คู่สามีภรรยาอายุยังน้อยสองคน สตรีแต่งงานแล้วทำงานเย็บปักถักร้อย ดูแลงานบ้าน ทุกวันจะต้องถูกแม่สามีด่าจนแทบโงหัวไม่ขึ้น ตามคำพูดเก่าแก่ของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน บุรุษคือคนที่แบกผ้าห่อบุญ ก็คือแบกห่อผ้าใบใหญ่ไว้ด้านหลัง เดินทางไปทั่วเพื่อหาซื้อของมา ตรงเอวผูกกลองใบเล็กเอาไว้ เวลาเดินตามถนนหรือตรอกซอกซอยก็ร้องเร่เรียกคนไปด้วย หากโชคดีเก็บได้ของเก่าที่มีมูลค่าแล้วเอาไปขายให้กับร้านของเก่าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี แค่ของเปลี่ยนมือก็ได้เงินมาหลายตำลึง

สตรีแต่งงานแล้วหน้าตาธรรมดา แต่กลับให้กำเนิดบุตรชายที่หน้าตางดงาม อายุเจ็ดแปดขวบ ปากแดงฟันขาว ไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ในตรอก กลับเหมือนคุณชายน้อยของตระกูลใหญ่โตเสียมากกว่า เวลาไปเรียนที่โรงเรียน ได้ยินว่าเป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์ผู้สอนอย่างมาก เขามักจะไปดูปู่เล่นหมากล้อมกับคนอื่นบ่อยๆ นั่งครั้งหนึ่งก็นานเกินครึ่งชั่วยาม ไม่พูดอะไรสักคำเดียว ผู้ที่ดูคนเล่นหมากล้อมแล้วไม่สอดปากเอ่ยแทรกก็คือสุภาพชนที่แท้จริง มีบุคลิกเหมือนอาจารย์น้อยอยู่มาก

เพื่อนบ้านที่ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือคนโตก็ล้วนสนิทสนมกับเด็กคนนี้ มักจะชอบมาหยอกล้อถามเขาว่าชอบใครมากกว่ากัน ระหว่างเด็กหญิงข้างบ้านที่เติบโตมาด้วยกันกับคุณหนูหลิวที่โรงเรียน เด็กคนนี้มักจะทำเพียงแค่ยิ้มอย่างเขินอายแล้วดูคนเล่นหมากล้อมต่อไปเงียบๆ

หลังจากที่เฉินผิงอันหลับไปแล้ว

เจ้าตัวน้อยตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาจากพื้น ปีนขึ้นมาบนโต๊ะ มานั่งอยู่ข้าง ‘ภูเขาหนังสือ’ แล้วเริ่มงีบหลับ

เห็นได้ชัดว่าคนจิ๋วดอกบัวเชี่ยวชาญวิชาดำดิน มันทำได้อย่างเงียบเชียบและว่องไวอย่างถึงที่สุด

ก่อนจะมาถึงเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เฉินผิงอันหยอกเย้ามันอยู่หลายครั้ง บ้างก็ควบม้าห้อตะบึงไป หรือไม่ก็รวบรวมพละกำลังไว้ที่ฝ่าเท้าแล้ววิ่งห้อไปไกลหลายสิบลี้ในรวดเดียว รอจนเขาหยุดม้าหรือหยุดวิ่ง ข้างเท้าก็มักจะมีเจ้าตัวน้อยโผล่หัวออกมาจากดินแล้วหัวเราะคิกคักให้เขาเสมอ

ไม่ว่าเฉินผิงอันจะเดินนิ่งต่อยหมัดหรือฝึกวิชากระบี่ มันก็ไม่เคยมารบกวน มักจะทำแค่มองอยู่ไกลๆ มีเพียงเฉินผิงอันกวักมือเรียกหามัน มันถึงจะมาหยุดอยู่ข้างกายเขา ปีนป่ายไปตามชุดคลุมอาคมจินหลี่ สุดท้ายไปนั่งอยู่บนไหล่ของเฉินผิงอัน หนึ่งคนตัวโตหนึ่งคนตัวจิ๋วชมทิวทัศน์ไปด้วยกัน

ส่วนเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นก็ฝากไว้ที่เฉินผิงอันชั่วคราว

เฉินผิงอันเพียงแค่งีบครู่สั้นๆ เพียงไม่นานก็ต้องตื่นเพราะเสียงความเคลื่อนไหวในลานบ้าน เสียงบ่นของหญิงชรา เสียงรับคำอย่างขลาดกลัวของสตรีแต่งงานแล้ว ผู้เฒ่าที่กำลังฝึกเปล่งเสียงในลำคอ เด็กน้อยที่ท่องเนื้อหาในตำราของนักเรียนปฐมวัยช่วงเช้า มีเพียงชายฉกรรจ์คนนั้นที่น่าจะยังนอนหลับอุตุ

เฉินผิงอันนั่งข้างโต๊ะ หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเบาๆ เจ้าตัวน้อยก็ตื่นขึ้นมาช้าๆ มันยังมึนงงอยู่เล็กน้อยจึงมองเฉินผิงอันด้วยสายตาเหม่อลอย

เฉินผิงอันส่งยิ้มให้ “เจ้านอนต่อเถอะ”

เจ้าตัวน้อยลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง วิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ช่วยเขาเปิดหน้าหนังสือ

เฉินผิงอันเคยชินเสียแล้ว หนังสือบนโต๊ะล้วนเป็นหนังสือที่เขาซื้อมาใหม่หลังจากลากับลู่ไถและป้อมอินทรีบิน ตอนนั้นลู่ไถบอกว่ามีเพียงอ่านตำราระดับหนึ่งเท่านั้นถึงจะมีหวังเป็นคนระดับสอง เรื่องการอ่านหนังสือนี้ จะหวังให้อ่านครบทุกเล่มไม่ได้ โลภมากอ่านเยอะก็ใคร่ครวญเนื้อหาไม่แตก ให้อ่านตำราที่สำคัญเป็นหลัก ค่อยๆ ขบคิดใคร่ครวญ หากสามารถอ่านแก่นแท้ของตำราที่ถูกต้องแท้จริงเล่มหนึ่งเข้าท้องได้ทั้งหมด นำจินตภาพที่งดงาม หลักการที่แท้จริงเหมือนได้พบเห็นกับตาตัวเอง และจิตวิญญาณที่ซ่อนแฝงอยู่ระหว่างแต่ละประโยคแต่ละบทความมาให้ตัวเองใช้ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าอ่านหนังสือ หาไม่แล้วสักแต่พลิกเปิดตำรา เปิดตำราเป็นพันเป็นหมื่นเล่ม ให้ตายก็เป็นได้แค่ชั้นหนังสือสองขาเท่านั้น (เปรียบเปรยถึงคนที่เก่งแต่ทฤษฎี พอนำมาปฏิบัติจริงกลับทำไม่ได้)

ตอนนั้นเฉินผิงอันที่ได้ฟังเหมือนสมองถูกเปิดโล่ง หากไม่ได้ลู่ไถช่วยพูดเตือน เขาเห็นหนังสือดีหนึ่งเล่มก็คงจะซื้อมาหนึ่งเล่มจริงๆ อีกทั้งยังจะต้องอ่านอย่างละเอียด อ่านอย่างเชื่องช้า ทว่าตำรามีมากมายดุจน้ำในมหาสมุทร แต่อายุขัยของคนมีจำกัด เฉินผิงอันทั้งต้องฝึกหมัดฝึกกระบี่ แถมยังต้องตามหาอารามเต๋า กว่าจะมีเวลาว่างอันน้อยนิดเหลือได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงควรนำมันมาอ่านหนังสือที่ดีที่สุดจริงๆ

ลู่ไถมอบรายการหนังสือมาให้หนึ่งแผ่น เฉินผิงอันเก็บรักษากระดาษแผ่นนั้นไว้เป็นอย่างดี ทว่ากลับไม่ได้ซื้อหนังสือตามรายการเหล่านั้น เขาซื้อตำราหลักธรรมของหย่าเซิ่งลัทธิขงจื๊อมาแทน

น่าเสียดายที่หนังสือของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าหาซื้อไม่ได้ตามท้องตลาด

เฉินผิงอันคิดอยากจะอ่าน ‘ตรีจตุ’ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน

หากพูดกันตามความรู้สึกแล้ว เฉินผิงอันย่อมเอนเอียงไปทางอาจารย์ของอาจารย์ฉีอย่างซิ่วไฉเฒ่าที่ชอบดื่มเหล้า แถมพอเมาแล้วยังชอบพูดจาประสาคนเมามากกว่า แต่ชื่นชอบ เลื่อมใสและนับถือคนคนหนึ่งๆ ได้ ไม่มีปัญหา แต่หากรู้สึกว่าคำพูดของคนผู้นั้น และเรื่องที่คนผู้นั้นทำล้วนถูกต้องทั้งหมด นั่นแหละถึงจะเป็นปัญหาใหญ่

ความรู้ของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าสูงหรือไม่? ต้องสูงมากอยู่แล้ว ตามคำกล่าวของชุยฉานคนหนุ่ม ความรู้ของเขาเคยสูงส่งจนทำให้ผู้ที่เล่าเรียนเขียนอ่านทุกคนรู้สึกว่าเป็นดั่ง ‘ดวงตะวันกลางนภา’

ถ้าเช่นนั้นเฉินผิงอันมีสิทธิ์จะเข้าใจว่าเหตุผลของซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้มีเหตุผลมากที่สุดหรือไม่?

มองดูเหมือนมดตัวน้อยคิดจะเขย่าคลอนต้นไม้ใหญ่ น่าขำที่ไม่ประมาณตน แต่ความจริงแล้วเขากลับมีสิทธิ์นั้น เพราะยังมีหย่าเซิ่งอยู่อีกคน และมีตำรามากมายที่หย่าเซิ่งทิ้งเอาไว้

เฉินผิงอันเคยพูดกับพ่อแม่ของหนิงเหยาว่า การชอบคนคนหนึ่งอย่างแท้จริงคือต้องชอบในสิ่งที่ไม่ดีของคนคนนั้นด้วย

แล้วก็เคยกำชับเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูว่า “หากข้าทำผิด พวกเจ้าจำไว้ว่าต้องคอยเตือนข้า”

แต่ส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันย่อมยังหวังว่าจะได้เห็นความรู้ของทั้งสองฝ่ายจากศึกตรีจตุ ตนจะได้สามารถรู้สึกจากใจจริงว่าคำพูดของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าถูกต้องมากยิ่งกว่า

ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าที่ได้ดื่มเหล่าร่วมกับผู้เฒ่าก็จะได้มีเรื่องให้คุยกัน

เฉินผิงอันนั่งตัวตรงอย่างสำรวม เขาอ่านหนังสือช้ามาก เสียงก็เบามาก ทุกครั้งที่อ่านถึงประโยคสุดท้ายของหน้า คนจิ๋วดอกบัวจะพลิกเปิดหน้าใหม่ให้เขาอย่างคล่องแคล่ว

จากนั้นก็จะกลับไปนั่งอยู่บนโต๊ะระหว่างเฉินผิงอันกับหนังสืออีกครั้ง อีกทั้งยังนั่งตัวตรงอย่างสำรวมเลียนแบบเฉินผิงอัน มันตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงอ่านเหนือศีรษะอย่างสงบ

สำหรับลานบ้านด้านนอกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของชาวบ้านร้านตลาดแล้ว เฉินผิงอันผู้สวมชุดขาวสะพายกระบี่ห้อยน้ำเต้าจึงเหมือนบุคคลประหลาดที่อยู่ไกลไปสุดขอบฟ้า มาเยือนก็ไม่รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม จากไปแล้วก็ไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์

แค่จ่ายเงินก็พอแล้ว

ข้างตรอกจ้วงหยวนห่างไปไม่ไกลมีเหลาสุราหอโคมเขียว และยังมีวัดที่เสียงพระสวดคาถาบาลีดังแว่วมา แม้จะอยู่ใกล้ แต่กลับห่างไกลราวกับเป็นสองใต้หล้า

เฉินผิงอันมักจะเห็นพวกพระสงฆ์เดินอุ้มบาตรออกมาข้างนอกเป็นประจำ แม้ว่าเรือนกายของพวกเขาจะผอมบาง แต่ส่วนใหญ่กลับมีใบหน้าที่สงบอิ่มเอิบ ต่อให้ไม่สวมจีวรก็มองออกได้ในปราดเดียวว่าพวกเขาแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป

ส่วนทางฝ่ายของเหลาสุรานั้นมักจะมีเสียงดังอึกทึกในช่วงกลางคืนเป็นประจำ ตลอดทั้งตรอกอบอวลไปด้วยกลิ่นแป้งประทินโฉมฉุนจมูก จะสงบลงก็เมื่อล่วงเข้ายามเช้าเท่านั้น แม้ว่าคนของที่นั่นซึ่งไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่มาดื่มสุราเคล้านารี หรือหญิงสาวที่คอยปรนนิบัติรินสุราก็ล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้างดงาม แต่เมื่อความสนุกสนานปิดฉากลง คนส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าเหนื่อยล้า มีอยู่หลายครั้งที่เฉินผิงอันเห็นว่าหลังจากสตรีพวกนั้นส่งแขกออกจากหอโคมเขียวแล้ว พวกนางก็จะกลับไปลบเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าออก ท้องฟ้าเพิ่งจะเริ่มสางก็เดินออกจากประตูข้างของหอโคมเขียวมายังตรอกเล็กที่อัดแน่นไปด้วยร้านค้าแผงลอย นั่งกินโจ๊กหรือไม่ก็เกี๊ยวน้ำหนึ่งถ้วย หญิงสาวบางคนกินไปหลับไปก็มี

หนึ่งเค่อของราตรีวสันต์มีค่าเท่าทองพันชั่ง ก็เหมือนการยืมเงินจากสวรรค์ที่ต้องใช้คืน

พ่อค้าบางคนที่คุ้นเคยกับหญิงคณิกาเหล่านี้มักจะชอบพูดจาหยาบโลน หญิงสาวบางคนก็ไม่ถือสา พูดตอบรับอย่างขอไปทีแค่ไม่กี่คำเพราะหวังประหยัดเงินไม่กี่เหรียญทองแดง แต่ก็มีบางคนที่ขึงขังจริงจัง พวกนางที่เดิมทีเคยชินกับการทำตัวว่านอนสอนง่าย ฝืนประจบเอาใจลูกค้ากลับสบถด่าหยาบคาย พวกพ่อค้าก็จะทำคอย่นด้วยความหวาดกลัว รอจนหญิงสาวจากไปแล้วถึงได้เริ่มด่าพวกนางว่าเป็นแค่ของหมักดอง (เปรียบเปรยถึงสิ่งที่สกปรก) ที่ทำงานขายเนื้อหนังเท่านั้น มีหน้าอะไรมาแสร้งทำท่าเป็นคุณหนูในห้องหอ

วันต่อมาหญิงสาวจากหอโคมเขียวที่ด่าคนก็กลับมาอีกครั้ง ชายฉกรรจ์ที่เมื่อวานโดนด่าก็ยังคงแอบเหลือบมองมือเล็กๆ ขาวนวลที่โผล่พ้นจากชายแขนเสื้อของพวกนาง ขาวราวกับเนื้อหมูที่อยู่บนเขียง เทียบกับเมียหน้าเหลืองของที่บ้านตัวเองแล้ว คนหนึ่งราวกับฟ้า อีกคนหนึ่งราวกับดิน ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกนางที่หมดจดงดงามถูกเลี้ยงดูกันมาอย่างไร เพียงแต่พอคิดว่าหากอยากจับหน้าอกของพวกนางก็ต้องจ่ายเงินที่ทำงานอย่างยากลำบากมาเกือบครึ่งปี พ่อค้าก็ได้แค่ถอนหายใจ

แคว้นหนันเยวี่ยนไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว ประเทศชาติร่มเย็นเป็นสุข กษัตริย์แต่ละพระองค์แทบไม่ต้องทำอะไร ทั้งไม่มีชื่อเสียงดีงาม แล้วก็ไม่มีชื่อเสียงชั่วร้าย

เนื่องจากเมืองหลวงไม่ได้มีการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล เหล่าจอมยุทธ์ในยุทธภพจึงห้อยดาบพกกระบี่กันอย่างโจ่งแจ้ง แม้จะควบม้ากลางเมือง ทางการก็ไม่เคยสนใจ หากเจอกันบนทาง ทั้งคนบนม้าและล่างม้าต่างก็ทักทายกันอย่างปรองดอง บางคนที่รู้จักสนิทสนมกันก็จะเข้าไปดื่มเหล้าในร้านใกล้เคียงด้วยกัน เจ้าพูดถึงเรื่องการเลื่อนขั้นอย่างน่าระอาใจในวงการขุนนาง ข้าพูดถึงเรื่องการประมือกับยอดฝีมือแห่งยุทธภพที่สาแก่ใจ ไปๆ มาๆ สุราแค่สองสามจินย่อมไม่พอดื่ม

เพื่อตามหาอารามเต๋าแห่งนั้น ทุกวันเฉินผิงอันจะต้องเดินเตร่ไปทั่วเมืองหลวงแห่งนี้ เคยเห็นสารพัดเรื่องในหมู่ชาวบ้าน แล้วก็เห็นบางอย่างที่แปลกประหลาดซึ่งซ่อนอยู่ในหมู่พวกเขาเช่นกัน

แต่ขอแค่พวกมันไม่มาหาเรื่องตนก่อน เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะใส่ใจ

ลู่ไถเคยพูดประโยคหนึ่ง ตอนนั้นเขาสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งนัก ตอนนี้ยิ่งหวนนึกถึงก็ยิ่งมีเรื่องให้ขบคิดใคร่ครวญ

เมื่อได้ฝึกบำเพ็ญตนบนภูเขาก็จะรู้สึกเพียงว่า ยิ่งนานวันก็ยิ่งดูเหมือนวัตถุหยิน ภูตผีและตัวประหลาดที่อยู่ในโลกจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เฉินผิงอันปิดหนังสือ เวลาหนึ่งชั่วยามก็ล่วงเลยผ่านไปเช่นนี้ เขาเตรียมจะออกจากบ้านไปเดินเล่นต่อ

แม้ว่าระหว่างที่ตามหาอารามเต๋า จิตใจของเฉินผิงอันจะยิ่งวุ่นวายหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ใช่ว่าเฉินผิงอันจะไม่เคยลองทำจิตใจให้สงบมาก่อน อันที่จริงเขาพยายามมากแล้ว ไปที่วัดน้อยใหญ่ จุดธูปไหว้พระ เดินอยู่ท่ามกลางร่มไม้ของทางสายเล็กที่เงียบสงบเพียงลำพัง ทุกครั้งที่ไปเยือนวัดหนึ่งก็จะจดบันทึกลงบนแผ่นไม้ไผ่ วัดเล็กในตรอกจ้วงหยวน เฉินผิงอันไปเยือนบ่อยที่สุด วัดแห่งนี้ไม่ใหญ่ นับรวมเจ้าอาวาสแล้วก็มีแค่สิบกว่าคน นานวันเข้าเขาก็กลายเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตา ทุกครั้งที่จิตใจของเฉินผิงอันไม่สงบ เขาก็จะไปนั่งอยู่ที่นั่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องไปพูดคุยกับพวกพระสงฆ์ ต่อให้นั่งอยู่ใต้ชายคา รับฟังเสียงกรุ้งกริ้งของกระดิ่งลมเพียงลำพังก็สามารถฆ่าเวลาช่วงบ่ายที่ไอร้อนลอยกรุ่นไปได้

แคว้นหนันเยวี่ยนนับถือลัทธิพุทธ ลดค่าลัทธิเต๋า วัดในเมืองหลวงและตามสถานที่ต่างๆ มีมากมายดุจต้นไม้ในป่า ควันธูปลุกโชติช่วง ยากนักที่จะได้พบเห็นอารามเต๋าสักแห่ง ที่เมืองหลวงก็ยิ่งไม่มีเลยแม้แต่แห่งเดียว

หลายวันมานี้มีเรื่องลับที่น่าตกตะลึงเรื่องหนึ่งแพร่สะพัดอย่างครึกโครมไปทั่วเมืองหลวง วัดป๋ายเหอหนึ่งในสี่วัดใหญ่ของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนเกิดเรื่องน่าอับอายอย่างใหญ่หลวงเรื่องหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมาวัดป๋ายเหอมีชื่อเสียงเลื่องลือเพราะพระธรรมของเจ้าอาวาสลึกล้ำ คืออรหันต์ร่างทองที่ยังมีชีวิต หลังจากภิกษุแต่ละรูปล่วงลับไปก็สามารถทิ้งร่างที่ไม่เน่าเปื่อยเอาไว้ หรือไม่พอเผาแล้วก็กลายเป็นผลึกพระธาตุ สำหรับข้อนี้ อีกสามวัดที่เหลือต่างก็ละอายใจที่สู้ไม่ได้

นี่ก็เป็นหลักฐานเด่นชัดที่ทำให้พระธรรมของแคว้นหนันเยวี่ยนเจริญรุ่งเรืองเหนือกว่าแคว้นใกล้เคียง

ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นานพระที่มีสมณศักดิ์สูงซึ่งเข้าจำวัดในวัดป๋ายเหอ เมื่อปีก่อนได้รับการแนะนำให้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส อนาคตสดใสไร้ขีดจำกัดกลับหนีออกจากวัดไปในวันหนึ่ง เขาตรงไปร้องทุกข์ฟ้องศาลต้าหลี่ หลังจากฟังจบ ขุนนางทั้งหลายในศาลต้าหลี่ซึ่งรวมถึงตุลาการศาลต่างก็หันมามองหน้ากันเอง ที่แท้ภิกษุเฒ่าผู้นี้มาฟ้องว่าวัดป๋ายเหอใส่ยาพิษลงในอาหารของเขา แถมยังแอบวางแผนว่าจะกรอกปรอทใส่เข้าไปในศพเขาหลังจากที่เขาตายไป ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเปิดโปงว่าพระสงฆ์ในวัดป๋ายเหอก่อกรรมทำชั่ว หากรวมเรื่องที่หลอกลวงสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงที่ทุ่มเงินก้อนโตเพื่อหวังมาขอลูกด้วยก็มีคดีใหญ่รวมถึงหกคดี

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด