กระบี่จงมา 311.1 ลอบฆ่า

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 311.1 ลอบฆ่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชายฉกรรจ์วัยกลางคนเดินออกมาจากร่มไม้ช้าๆ มือกุมด้ามกระบี่ ตัวกระบี่ทิ่มลงเบื้องล่าง แกว่งซ้ายแกว่งขวาไปมา ท่าทางเช่นนี้เหมือนมือกระบี่เสียที่ไหน เหมือนเด็กซุกซนที่ถือกลองป๋องแป๋งเสียมากกว่า เมื่อเขาปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน หม่าเซวียน สตรีผีผา ใบหน้ายิ้ม หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อ ยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารล้วนหน้าเปลี่ยนสีกันหมด

ชายฉกรรจ์ไม่ชายตาแลยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในยุทธภพทั้งหลายเหล่านี้ แค่ยิ้มพูดกับคนหนุ่มที่น่าจะอยู่บนเส้นทางเดียวกับตนว่า “คิดมากเกินไปแล้ว เจ้ายังไม่มีหน้าตาใหญ่โตขนาดนั้น ร้อยปีของยุทธภพแห่งนี้ คาดว่าคงมีแค่ติงอิงคนเดียวที่พอจะมีคุณสมบัติ ส่วนเจ้า…”

เขายื่นฝ่ามือข้างที่ว่างออกมาแล้วส่ายนิ้ว “ยังไม่เข้าขั้น”

ภายใต้การจับจ้องของทุกคน ชายฉกรรจ์ปักกระบี่ยาวลงบนพื้น ฝ่ามือยันด้ามกระบี่ ท่วงท่าเกียจคร้าน พูดกลั้วหัวเราะกับคนทั้งสองกลุ่ม “อย่ามัวยืนอึ้งกันอยู่สิ เชิญพวกเจ้าต่อได้เลย หากฆ่าไม่ได้จริงๆ ข้าค่อยลงมือก็ยังไม่สาย วางใจเถอะ กระบี่ที่ออกจากฝักของข้าวันนี้จะเล่นงานเจ้าเด็กนั่นเพียงคนเดียว รับรองว่าไม่ทำร้ายพวกเจ้ามั่วซั่วเด็ดขาด”

หม่าเซวียนถ่มน้ำลายปนเลือดทิ้งแล้วหัวเราะกำเริบเสิบสาน “คิดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เซียนกระบี่ลู่มาช่วยคุมหลังให้ การเดินทางมาเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนคราวนี้ไม่เสียเที่ยวแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ขอแค่วันหน้าคนในยุทธภพพูดคุยถึงศึกใหญ่ครั้งนี้ก็คงเลี่ยงจะเอ่ยถึง ‘หม่าเซวียน’ ไม่ได้ สามารถต่อสู้อย่างสุดกำลังได้แล้ว!”

หม่าเซวียนโก่งหลังขึ้นเล็กน้อย เห็นเพียงว่าตั้งแต่ไหล่ลามไปถึงแขนของเขาปรากฎภาพลายสักพยัคฆ์ลงขุนเขาตัวหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังน่าตื่นตกใจ

ไม่เพียงเท่านี้ บนแผ่นหลังที่นูนสูงยังมีภาพวาดที่คล้ายคลึงกับภาพของเทพทวารบาล เป็นภาพของชายฉกรรจ์หนวดยาวชุดเขียวถือดาบยาวคนหนึ่งกำลังหลับตา ยืนเอาดาบยันพื้น แผ่ไอความเย็นที่เข้มข้น น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าพยัคฆ์ลงภูที่อยู่ตรงไหล่เสียอีก

รอยยิ้มของใบหน้ายิ้มที่นั่งยองอยู่บนหัวกำแพงยิ้มกดลึก สองนิ้วคีบก้านต้นหญ้าที่ไม่รู้ว่าไปดึงจากไหนเอามาเคี้ยวเบาๆ

หนุ่มปักบุปผาโจวซื่ออธิบายให้ยาเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายฟังเบาๆ “เห็นได้ชัดว่าหม่าเซวียนก็พบเจอเรื่องมหัศจรรย์ ได้รับโชควาสนาเล็กๆ น้อยๆ มาบางส่วนเช่นกัน ท่านพ่อข้าเคยเล่าให้ฟังว่า นี่เรียกว่าวิชาอัญเชิญเทพ ในสัญญาหกสิบปีคราวก่อนที่เกิดขึ้นเมื่อสามร้อยปีที่แล้ว เคยมีคนอาศัยวิชานี้เปิดฉากสังหารทั่วทิศอยู่นอกด่าน ไล่ล่ากองทหารม้าแห่งทุ่งราบสองพันนายแล้วสังหารเสียเกลี้ยง”

เห็นสายตามืดทะมึนของสตรีอุ้มผีผา ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่พลังอำนาจไต่ทะยานขึ้นเป็นลำดับก็หัวเราะหึหึ “หากไม่มีความสามารถใหม่ๆ มาเพิ่ม ไหนเลยจะกล้ามาเข้าเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าผู้อาวุโสสนใจทองเล็กน้อยแค่นั้น?”

หญิงสาวพูดเสียงเย็น “ข้ามาก็เพราะทอง เงินก้อนนี้ สะอาด”

หม่าเซวียนเยาะหยัน “ทำไม คงไม่ได้หลงรักเจ้าบัณฑิตยากจนคนนั้นจริงๆ หรอกนะ? พวกบัณฑิตที่ไม่ต้องการหน้าตาจะมีสักกี่คนกันเชียว หากเขารู้เรื่องราวในอดีตของเจ้าคงเสียใจจนไส้เขียว ไม่แน่ว่าอาจด่าเจ้าสาดเสียเทเสียจนเทียบหญิงคณิกาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หากเขาด่าอย่างนั้นก็ไม่ได้ใส่ร้ายเจ้าเลยสักนิด ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเจ้ามีตรงไหนบ้างที่สะอาด? รีบไสหัวไปซะ วันหน้าเมื่อเจ้ากับบัณฑิตยากจนผู้นั้นแต่งงานกัน นายท่านจะมอบทองให้พวกเจ้าสองคนห้าร้อยตำลึงเอง ถือซะว่าเป็นเงินค่าร่วมหลับนอนกับหญิงโสเภณีแล้วกัน”

โจวซื่อเอ่ยยิ้มๆ “ปากก็เรียกคนเขาว่าเมียน้อย ที่แท้ก็มีใจให้เขาจริงๆ”

สตรีอุ้มผีผาสวมเล็บปลอมเผยความลังเลออกมาเสี้ยวหนึ่ง

ใบหน้ายิ้มพลันเอ่ยขึ้นว่า “แต่งงาน? ก่อนข้าจะมาที่นี่เคยได้พูดคุยกับบัณฑิตแซ่เจี่ยงคนหนึ่ง คุยถูกคอกันไม่น้อย พูดถึงเรื่องราวน่าสนใจในยุทธภพ หนึ่งในนั้นก็พูดถึงเรื่องสนมผีผา คงเป็นเพราะบัณฑิตคนนั้นเรียนหนังสือจนโง่ไปแล้ว เขาพูดแค่ว่าเหตุใดบนโลกถึงได้มีสตรีไร้ยางอายที่หลงระเริงตนได้มากขนาดนี้ ถึงสุดท้ายแล้วก็ยังคิดไม่ออกว่าสนมผีผาคนนั้นก็คือคนข้างหมอนของตัวเอง เฮ้อ ในเมื่อเป็นคนเลอะเลือนขนาดนี้ คิดดูแล้วงานแต่งครั้งนี้ก็คงสำเร็จได้ด้วยดี”

สีหน้าของหญิงสาวเศร้าสลด แต่จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นเด็ดเดี่ยว

เฉินผิงอันใช้ใจมอง ใช้หูฟังโดยที่ไม่มีความร้อนรนกระวนกระวายเลยแม้แต่น้อย

ไม่เพียงแต่ตกอยู่ในวงล้อมแน่นหนากลางถนน ดูเหมือนว่ากระบี่บินสืออู่ที่อยู่ในบ้านที่เขาพักก็ถูกยันต์อักษรบ่อพันธนาการเช่นกัน

ชายที่กุมด้ามกระบี่ท่าทางเอ้อระเหยลอยชายผู้นั้นคือผู้ฝึกยุทธ์ที่ ‘ใกล้มรรคา’ คนที่สามที่เฉินผิงอันเคยพบเจอ สองคนก่อนหน้านี้คือผู้เฒ่าสวมกวานดอกบัวสีเงินและฝานกว่านเอ่อร์ ทว่าเมื่อเทียบกับฝานกว่านเอ่อร์แล้ว ตบะวิถีวรยุทธ์ของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้สูงกว่าไม่น้อย หากดูจากตอนนี้ก็เหมือนว่าจะห่างจากผู้เฒ่าแซ่ติงไม่มากเท่าไหร่

แต่ขนาดหม่าเซวียนยังมีความสามารถที่เก็บไว้ก้นกรุ ก็เห็นได้ชัดว่ายุทธภพแห่งนี้ไม่ได้ตื้นเขินอย่างที่คิดไว้

หากสืออู่วัตถุฟางชุ่นอยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ไม่ใช่ชูอี สถานการณ์อาจจะดีกว่านี้ แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์

ตอนนี้สถานการณ์ที่เขาเจอสมกับคำว่าศัตรูล้อมหน้าล้อมหลังอย่างแท้จริง

โจวซื่อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่นางยาเอ๋อร์ คงต้องรบกวนแล้ว”

หญิงสาวที่สวมรองเท้าเกี๊ยะกล่าวอย่างระอาใจ “ท่านปู่ก็พูดแล้ว ข้าหรือจะกล้าแอบอู้ แต่เจ้าจำไว้ว่าต้องช่วยข้าด้วย”

หนุ่มปักบุปผาพยักหน้ารับ “ทำลายบุปผางามคือเรื่องที่โหดร้ายอันดับหนึ่งของโลก ข้าโจวซื่อจะไม่มีทางทำให้แม่นางยาเอ๋อร์ผิดหวังแน่นอน”

ใบหน้ายิ้มที่สีหน้าแข็งทื่อโยนก้านต้นหญ้าทิ้ง เขาเองก็ลุกขึ้นเช่นกัน หลังจากยืดเส้นยืดสายแล้วก็ใช้มือสองข้างนวดคลึงข้างแก้ม เผยรอยยิ้มจริงใจที่ไม่แข็งทื่อตายตัวเหมือนเดิมอีกต่อไป “ข้าอยากจะลองชั่งน้ำหนักของเจ๋อเซียนด้วยมือตัวเองดูสักหน่อย”

ลู่ฝ่างร้องเรียก แล้วเอ่ยเตือนด้วยรอยยิ้ม “ศึกใหญ่กำลังจะเริ่มต้น เจ้ายังคาดหวังอยากจะได้สิ่งจอมปลอมพวกนั้นอีกรึ? คนหนึ่งก็ถงชิงชิงที่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ คนหนึ่งเฝิงชิงป๋ายที่ก้าวรุดหน้าไม่สนอุปสรรคใดๆ บวกกับเจ้าที่มึนๆ งงๆ อีกคนหนึ่ง อันที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรเลย ต่างคนต่างก็มีวิธีเอาตัวรอด เพียงแค่โชคชะตาของเจ้าแย่กว่าคนอื่นก็เท่านั้น รู้อยู่แล้วว่าเจ้าจงใจปกปิดความสามารถที่แท้จริงอยู่ตลอดเวลา เล่นกับไฟระวังมันจะเผาไหม้ตัวเอง”

หม่าเซวียนปล่อยพลังอำนาจให้ไต่ทะยานสู่จุดที่สูงที่สุดในชีวิตของการเล่าเรียนวรยุทธ์ในรวดเดียว ไม่มีเหตุผลให้มัวรั้งรออีก

ความชิงชังความอาลัยที่มีต่อสตรีอุ้มผีผาอาจจะไม่ใช่ของปลอมเสมอไป และการรอจังหวะลงมืออย่างเต็มกำลังนี้ก็ยิ่งเป็นของจริง

เรือนร่างของพยัคฆ์ลงจากภูตัวนั้นขยับเคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิตจริง เมื่อบนไหล่และแขนของหม่าเซวียนมีแสงสีทองแผ่ขึ้นมาเป็นระลอก เวลาที่หม่าเซวียนกำหมัดซ้าย ตรงร่องนิ้วจึงมีแสงสีทองลอดออกมา

ก้าวหนึ่งก้าวก็มาอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันในชั่วเสี้ยววินาที เหวี่ยงกระแทกหมัดออกไป เสียงพายุคลอเสียงฟ้าร้องก็ดังสะเทือนเลือนลั่นอยู่กลางอากาศ

เฉินผิงอันไม่ถอย กลับกันยังรุกเข้าหา เขาเอียงศีรษะ ก้มตัวลง ใช้ไหล่ดันแนบประชิดอีกฝ่าย ขณะเดียวกันมือขวาก็กดเข่าของอีกฝ่ายที่กระแทกเข้ามา แล้วดันออกไป ร่างทั้งร่างของหม่าเซวียนถูกดันจนกระเด็นออกไปเจ็ดแปดจั้ง ทุกก้าวล้วนเหยียบให้พื้นถนนเกิดหลุม โซเซหลายก้าวกว่าจะหยุดยืนได้อย่างมั่นคง

เสียงผีผาดังขึ้นจากสองข้างกายของหม่าเซวียน เส้นใยสีสว่างใสสองเส้นพุ่งเข้าหาเฉินผิงอันเป็นวงโค้ง

หม่าเซวียนพลันกระทืบเท้ากระโจนไปข้างหน้าอีกครั้ง

ร่างของเฉินผิงอันวูบหายไปมา หลบพ้นการลอบฆ่าของสายผีผามาได้ นอกจากความปราดเปรียวของเรือนกายแล้ว คล้ายว่าถูกอะไรบางอย่างคอยกระชากไปข้างหน้า ถึงได้เร็วจนผิดปกติ

ดวงตาของลู่ฝ่างเป็นประกายวาบ หัวเราะเสียงดัง “หม่าเซวียน ระวังเบื้องหน้า”

หม่าเซวียนชะงักกึก เป็นเหตุให้บนถนนถูกไถคราดเป็นร่องลึกสองเส้น เท้าสองข้างของเขาย่ำลงหนักๆ แขนสองข้างก็ยกขึ้นมาป้องกันเบื้องหน้า

แล้วก็มีหมัดที่น่าเหลือเชื่อหมัดหนึ่งต่อยเข้าที่แขนของเขาจริงๆ หม่าเซวียนคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล แม่ทัพถือดาบชุดเขียวหนวดยาวที่วาดไว้บนแผ่นหลังพลันลืมตาโพลง

“ไปตายซะ!” หม่าเซวียนแค่หงายหลังเล็กน้อย หนึ่งเท้าเหยียบไปเบื้องหน้า ควงแขนเหวี่ยงหมัดออกไป แขนทั้งข้างที่มีแสงสีทองไหลรินก็ตวัดวาดเป็นภาพหน้าพัดสีทองอยู่กลางอากาศ

ในสายตาของใบหน้ายิ้ม เห็นเพียงว่าคนชุดขาวหิมะใช้มือข้างหนึ่งรับหมัดของหม่าเซวียนแล้วกดลงด้านล่างเบาๆ ดีดร่างขึ้นสูง ลอยข้ามหัวของหม่าเซวียนมา อีกทั้งยังดีดเท้าเข้าที่ท้ายทอยของหม่าเซวียนหนึ่งที กระโจนเข้าหาสตรีที่ลงมืออย่างลับๆ ล่อๆ ซึ่งหลบอยู่เบื้องหลัง สตรีอุ้มผีผารู้ได้ว่าท่าไม่ดี นิ้วที่อยู่บนเส้นเอ็นจึงขยับลื่นไหลว่องไว ระหว่างสองฝ่ายจึงมีใยแมงมุมสีเขียวมรกตถักทอขึ้นมา

เฉินผิงอันพลันขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็เปลี่ยนทิศทาง ละทิ้งสตรีอุ้มผีผา ตรงดิ่งไปทางฝั่งซ้ายมือ

ซึ่งก็คือใบหน้ายิ้มที่กำลังคลี่ยิ้มน่าสะพรึงกลัว

หากไม่นับรวมลู่ฝ่าง

ในบรรดาคนสองกลุ่มที่เผยกายตรงหน้าตอนนี้ เฉินผิงอันกริ่งเกรงคนท่าทางประหลาดผู้นี้มากที่สุด

ใบหน้ายิ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ “คนต่างก็พูดกันว่าเลือกบีบมะพลับนิ่ม (เปรียบเปรยถึงเลือกรังแกคนที่อ่อนแอกว่า) เจ้ากลับดีนัก”

เขากางสองแขนออกแล้วทิ้งตัวลงมาเบื้องหน้า

นาทีถัดมาร่างของใบหน้ายิ้มก็หายวับไป

เฉินผิงอันเปลี่ยนทิศทางอยู่กลางอากาศ ยื่นมือไปคว้าใบหน้ายิ้มที่มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังแล้วถีบเข้าที่ศีรษะด้านหลังของเขาอย่างเงียบเชียบ

เฉินผิงอันกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า

ไม่ต่างจากการใช้ยันต์ย่อพื้นที่

 ใบหน้ายิ้มมาปรากฏกายอยู่ด้านหลังอย่างลึกลับอีกครั้ง คราวนี้เขาห่อตัว กางแขนสองข้างออก ปล่อยหมัดสองข้างต่อยเข้าที่จุดไท่หยางสองฝั่งของเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันกำลังจะลงมือ

คำพูดของลู่ฝ่างที่บอกกับใบหน้ายิ้มอย่างโจ่งแจ้งกลับชิงดังขึ้นมาเสียก่อน “ระวัง เขาจะเอาจริงแล้ว”

ใบหน้ายิ้มลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเป็นฝ่ายละทิ้งโอกาสดีเยี่ยมที่จะใช้สองหมัดต่อยศีรษะเฉินผิงอันให้ระเบิดแตก พริบตาเดียวก็ไปยืนอยู่บนถนนหินเขียว

เฉินผิงอันเหมือนเปลี่ยนตำแหน่งกับใบหน้ายิ้ม ฝ่ายหลังไปอยู่บนถนน ส่วนเฉินผิงอันยืนอยู่บนหัวกำแพง

ชำเลืองตามองชายฉกรรจ์กุมด้ามกระบี่ที่ทำลายเรื่องดีของตนถึงสองครั้ง “ทำไมเจ้าไม่ลงมือเสียเลยเล่า?”

ลู่ฝ่างใช้ฝ่ามือตบด้ามกระบี่เบาๆ พูดกลั้วหัวเราะ “ล้อมวงรุมเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งกับคนมากมายขนาดนี้ หากแพร่ออกไป ย่อมไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียง”

เฉินผิงอันเงียบงัน

ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แผ่กลิ่นอายความตายเข้มข้น เหมือนกาเหล้าที่เดิมทีเปิดออกแล้ว แต่กลับถูกคนเอาอะไรมาอุดไว้จึงไม่อาจได้กลิ่นจากในกาเหล้าอีกแม้แต่นิดเดียว

ชูอีเหมือนวัวปั้นดินเหนียวที่จมลงสู่มหาสมุทร ไม่มีความเคลื่อนไหว ความเชื่อมโยงทางจิตกับเฉินผิงอันถูกตัดขาด

ไม่เพียงเท่านี้ ชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างก็สูญเสียประสิทธิผลไปด้วย

ทว่าเมื่อสูญเสียยันต์คุ้มกันกายอย่างจินหลี่ตัวนี้ไป เท่ากับว่าเฉินผิงอันสูญเสียเงินทุนจากการมองข้ามอาวุธป้องกันกาย แต่ก็มีข้อดีอย่างหนึ่งอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือไม่มีพันธนาการจากการที่ต้องโคจรปราณวิญญาณไปให้แก่ชุดคลุมอาคมจินหลี่ เหมือนว่าเฉินผิงอันได้ถอดยันต์ลมปราณที่แท้จริงของหยางเหล่าโถวในตอนนั้นออก มือเท้าไร้พันธนาการ ออกหมัดมีแต่จะเร็วยิ่งกว่าเดิม

ชูอีหายตัวไป สืออู่ถูกกักตัวไว้ จินหลี่ไม่มีวิชาอาคมใดๆ

แลกมาด้วยการออกหมัดอย่างเต็มคราบ

การออกหมัดเน้นย้ำในข้อที่ว่าปล่อยเก็บได้ดังใจปรารถนา

และอันที่จริงเฉินผิงอันก็ ‘เก็บ’ ไว้ตลอดเวลา

เพราะสำหรับยุทธภพ เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน รวมไปถึงสิบผู้ยิ่งใหญ่ใต้หล้าของที่แห่งนี้ เขามีแต่ความสงสัยและคลางแคลงใจ

เพียงแต่ว่าคิดไม่ตกก็ส่วนคิดไม่ตก เพราะบางเรื่องก็ยังต้องลงให้เขามือทำ

ลู่ฝ่างเริ่มให้การชี้แนะอีกครั้ง “หม่าเซวียน อย่าตายนะ”

หม่าเซวียนตั้งท่าหมัด แขนซ้ายขวาทั้งสองข้างล้วนกลายเป็นสีทอง ระหว่างที่หายใจจะมีแสงสีทองถูกพ่นออกมาเป็นกลุ่ม

อริยะบุ๋นหนวดยาวชุดคลุมเขียวที่อยู่ด้านหลังของเขา หลังจากลืมตาขึ้นมาแล้วก็เหมือนมีชีวิตจริง ปลายดาบของเขามีลูกแสงสีขาวหิมะลูกหนึ่งส่องแสงสว่างขึ้นมา เส้นใยเป็นกลุ่มๆ เส้นๆ กระจัดกระจายไปทั่วร่าง เพียงไม่นานดวงตาทั้งคู่ของหม่าเซวียนก็กลายเป็นแสงสีเงินจางๆ

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่กลายมาเป็นเหมือนเทวรูปที่ตั้งบูชาอยู่ในตำหนักใหญ่ แสยะปากกล่าวว่า “จินกังมิพ่ายร่างนี้ เดิมทีคิดไว้ว่าจะเอามาลองใช้กับบุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอย่างราชครูจ้ง ไอ้หนู เจ้ามันร้ายจริงๆ มาๆๆ ต่อยลงมาบนร่างของนายท่านได้เต็มที่ หากข้าขมวดคิ้วก็ถือว่าข้าแพ้…”

“ได้เลย”

ครั้นแล้วเฉินผิงก็อันยกเท้าถีบ

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด