กระบี่จงมา 324.1 แสงไฟในโลกส่องสว่าง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 324.1 แสงไฟในโลกส่องสว่าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันผลักประตูเดินเข้าไป

ในบ้านไม่มีคน

ไม่มีหญิงชราปากร้ายขี้บ่น แน่นอนว่าย่อมไม่มีเสียงสบถด่าฟ้าด่าดินของนาง ไม่มีคนปากร้ายดั่งมีด แต่จิตใจอ่อนเหลวดั่งเต้าหู้ ไม่มีสตรีแต่งงานแล้วที่มองดูเหมือนเป็นคนซื่อ แต่กลับขโมยหนังสือไปให้ลูกชายอ่าน สายตาที่นางมองลูกชายตัวเองเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอยู่เสมอ ไม่มีชายชราที่ติดเล่นหมากล้อม แล้วก็ไม่มีชายฉกรรจ์ที่แบกห่อผ้าออกไปเสี่ยงดวงข้างนอก เช้าตรู่ของทุกวัน ก่อนออกจากบ้านเขาจะค่อยๆ เดินย่องออกไป คาดว่าคงกลัวจะทำเสียงดังรบกวนบุตรชายที่ต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน

เฉินผิงอันยืนอยู่ในลานบ้านครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง เอาปราณยาวสอดกลับเข้าไปในฝักกระบี่ที่วางไว้บนโต๊ะ หนังสือบนโต๊ะไม่เหลืออยู่แล้ว เฉินผิงอันนั่งยองลงบนพื้น เอาฝ่ามือแนบกับพื้นดิน หลับตาลง พยายามตามหาร่องรอย กระบี่บินสืออู่และชูอีบินพรวดออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แนบตัวติดกับพื้นดินแล้วพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายทิ่มปลายกระบี่ลงบนตำแหน่งหนึ่งของพื้นดิน

เฉินผิงอันรีบใช้สองมือขุดเปิดหน้าดินทันที ด้วยขอบเขตวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ห้านิ้วของเขาจึงเรียกว่าตัดเหล็กดุจโคลนได้แล้ว

ตอนที่ต่อสู้กับจ้งชิวอยู่บนถนนใหญ่ เขาได้เลื่อนสู่ขอบเขตห้า หลังจากนั้นก็ได้สู้กับติงอิง การนำหินลับมีดสองก้อนนี้มาใช้ขัดเกลาวิถีวรยุทธ์ เมื่อเทียบกับการประลองฝีมือกับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตโอสถทองบนเกาะกุ้ยฮวาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือสภาพจิตใจก็ล้วนแข็งแกร่งกว่าเก่าเยอะมาก โดยเฉพาะหลังจากต่อสู้กับติงอิงตั้งแต่ที่หัวกำแพงไปจนถึงภูเขากู่หนิว ศึกตัดสินเป็นตายที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาของวิถีวรยุทธ์และชะตาบู๊แห่ง ‘ใต้หล้า’ นี้ ต่อให้มองจากสายตาของผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วก็ยังมีแต่ความชื่นชม เขาคงพูดว่า แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตแปดเก้าก็ไม่แน่ว่าจะมีพลังอำนาจเช่นนี้

ครู่หนึ่งต่อมาในหลุมใหญ่ที่สูงเกือบเท่าตัวคนหลุมหนึ่ง เฉินผิงอันใช้สองมือกอบประคองคนจิ๋วดอกบัวที่ลมหายใจรวยรินขึ้นมา กระโดดออกจากหลุมใหญ่ วางมันลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างออกก่อนเอามันมาห่อเป็นก้อนคล้ายรังต้นหญ้า แล้ววางเจ้าตัวน้อยลงไปในชุดคลุมอาคม

หลังจากนั้นก็รีบหยิบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาจากวัตถุฟางชุ่น เมื่อเทียบกับเงินหิมะน้อยที่ปราณวิญญาณบางเบา และเงินร้อนน้อยที่แค่ใช้มือจับก็สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณไหลเวียนวนแล้ว ปราณวิญญาณที่อยู่ในเงินฝนธัญพืชมีมากที่สุด เพราะเหมือนถูกผนึกเป็นน้ำแข็ง เฉินผิงอันกำเหรียญเงินที่เทพเซียนบนภูเขาใช้กันนี้ไว้กลางฝ่ามือ บีบหนึ่งครั้ง เงินฝนธัญพืชก็ระเบิดแตก เฉินผิงอันคลายมือออกเล็กน้อย โปรยมันลงไปบนร่างของคนจิ๋วดอกบัว

ส่วนเรื่องที่ว่าเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญสามารถซื้อภูตประหลาดมากมายมาจากร้านตระกูลเซียน อย่างน้อยก็ต้องเป็นภูตที่แม้แต่ในจวนตระกูลอ๋องหรือตระกูลของผู้สูงศักดิ์ก็ยังหาได้ยาก เฉินผิงอันไม่ได้เป็นนกน้อยที่เพิ่งหัดบินในยุทธภพอีกแล้ว ไม่ใช่ศิษย์เตาเผามังกรในตรอกหนีผิงอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงรู้ชัดเจนดี

เฉินผิงอันรู้จักโลกใบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้ำสวรรค์หลีจู ราชวงศ์ต้าหลี  แจกันสมบัติทวีป กำแพงเมืองปราณกระบี่ ใบถงทวีป พื้นที่มงคลดอกบัว

เฉินผิงอันจับตามองคนจิ๋วดอกบัวอย่างละเอียด ปราณวิญญาณที่ไหลไปทั่วร่างคล้ายน้ำพุที่ไหลแทรกซึมเข้าสู่ผืนนาที่ดินแตกระแหงอย่างเชื่องช้า

เฉินผิงอันเริ่มวางใจลงได้ ขอแค่ยังสามารถดูดซับปราณวิญญาณได้ก็แสดงว่ายังมีทางเยียวยารักษา จึงยื่นนิ้วโป้งไปลูบหน้าผากที่เกลี้ยงเกลาของเจ้าตัวน้อยเบาๆ

ปลอบโยนคนจิ๋วดอกบัวเสร็จก็กลบดินลงหลุมให้เรียบร้อย เฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กใต้ชายคา ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมาแกว่ง แต่ไม่ได้ดื่มเหล้า

หลังจากถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่แล้ว เฉินผิงอันก็สลายกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นบนตัวออกไป ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับติงอิงมีแต่บาดแผลเต็มตัว และก็เพราะเหตุนี้เขาถึงได้ถูกปราณวิญญาณมากมายราวน้ำทะเลกรอกใส่ร่าง พวกมันฉวยโอกาสไหลกรูเข้าไปยังช่องโพรงลมปราณใหญ่ๆ ในร่างของเฉินผิงอัน เวลานี้ลมปราณเหล่านั้นนอนขดตัวอยู่ในช่องโพรงลมปราณทั้งหลายคล้ายกองกำลังต่างๆ ในพื้นที่การปกครองแบบแบ่งแยกดินแดน เพราะไม่ลามไปรุกรานเส้นทางที่ลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์ต้องผ่าน ช่องโพรงลมปราณเหล่านี้จึงเหมือนสถานที่นอกด่าน ก่อตัวกลายเป็น ‘เมืองชายแดน’ ที่ต่างคนต่างถูกบีบให้อยู่ในสถานที่แคบๆ ส่วนใหญ่ล้วนกระจัดกระจาย ไม่ได้รวมตัวกันเป็นปึกแผ่น ดังนั้นจึงไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร

เฉินผิงอันไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องดีหรือร้าย แต่ตอนนี้เขายังไม่มีวิธีจะแก้ไขมันได้จริงๆ

ควรจะสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะแห่งนั้นขึ้นมาอย่างไร และการไปจากใต้หล้าแห่งนี้ จึงจะเป็นเรื่องเร่งด่วนในตอนนี้

อารามกวานเต๋าไม่ใช่อารามเต๋าอย่างแท้จริง แต่กลายเป็นว่านักพรตเฒ่าไปที่ไหน ที่นั่นก็คืออารามเต๋า นี่ทำให้เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เหตุใดเซียนกระบี่ใหญ่ที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงไม่บอกตนแต่เนิ่นๆ

ทว่าลองมาย้อนนึกดู ตอนนั้นที่เข้ามาในเมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยน วันๆ เดินสะเปะสะปะไปเรื่อยเหมือนแมลงวันไร้หัว เมื่อจิตใจวุ่นวายสับสนไปแล้ว เขาก็เลือกทำใจให้สงบแล้วเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย นั่นเป็นความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างออกไป ได้พบเห็นผู้คนสารพัดรูปแบบ มองดูเหมือนผ่อนคลายสบายอารมณ์ แต่มันทำให้เฉินผิงอันนึกถึงชีวิตตอนเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร เงินที่ทำงานแลกมาไม่มากพอให้ใช้มือเติบ แต่ก็มากพอจะเลี้ยงดูตัวเองให้มีชีวิตรอดต่อไป ไม่ต้องถึงขั้นหิวตาย ดังนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันมีเสื้อผ้าพอให้ใส่ มีอาหารพอให้กินอิ่ม ก็คงเป็นเพราะมีความรู้สึกเช่นนี้ ทุกครั้งที่ติดตามผู้เฒ่าเหยาขึ้นเขาไปเก็บดิน ต่อให้จะต้องนอนกลางดินกินกลางทราย เดินทางบนภูเขาอย่างยากลำบาก ทุกวันเหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ทว่าใจกลับไม่เหนื่อย ล้มตัวลงได้ก็หลับทันที

นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เฉินผิงอันออกมาจากอำเภอหลงเฉวียน คุ้มครองพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไปขอศึกษาต่อ ต่อมาก็บุกเข้ามาในใต้หล้าแห่งนี้โดยไม่รู้ตัว

เคยมีครั้งไหนที่นอนหลับสบายบ้าง?

ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งเฉินผิงอันจะลุกขึ้นไปดูอาการของคนจิ๋วดอกบัวในห้อง แม้ว่าพัฒนาการจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่กลับค่อยๆ ฟื้นตัวหายดีทีละนิด นี่ถึงทำให้เขาวางใจลงได้อย่างแท้จริง

การจากเป็นจากตายที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด ต่อให้อาศัยเหล้าดับทุกข์ได้ แต่ถึงอย่างไรคนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่คืนสติจากฤทธิ์สุรา

ในห้องสามารถวางใจลงได้แล้ว แต่นอกห้องล่ะ?

เฉินผิงอันนั่งก้มตัวอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก รอคอยให้เด็กชายที่ชื่อเฉาฉิงหล่างกลับมาบ้าน

นับแต่วันนี้ไป บ้านในตรอกเล็กที่ไม่มีชื่อแห่งนี้ก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากบ้านหลังน้อยในตรอกหนีผิงปีนั้นแล้ว

ช่วงสนธยา เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เด็กน้อยคนหนึ่งเดินอยู่ในตรอกเล็ก ประตูบ้านไม่ได้ปิดไว้ พอเขามองเห็นเฉินผิงอันสีหน้าก็ทึ่มทื่อ ก่อนจะก้มหน้าลง เฉาฉิงหล่างเดินเข้าห้องของตัวเองไปอย่างเงียบงันและเฉยเมย

เฉินผิงอันขยับปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร กลับลงไปนั่งบนม้านั่งอีกครั้ง จนกระทั่งถึงช่วงกลางดึก ในช่วงฤดูร้อนเช่นนี้ ต่อให้ตอนดึกจะมีลมโชยมาปะทะใบหน้า แต่ก็ยังไม่ถือว่าเย็นสบายอยู่ดี ช่วงเวลาระหว่างนี้ตอนที่เฉินผิงอันไปเยี่ยมดูคนจิ๋วดอกบัว บังเอิญเหลือบไปเห็นพัดสานที่ทำขึ้นหยาบๆ อันหนึ่ง จึงหยิบออกมาจากห้อง

ครึ่งคืนหลังเสียงตีฆ้องบอกเวลาดังแว่วมาไกลๆ

เฉาฉิงหล่างเดินออกจากห้อง หิ้วม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันยื่นพัดส่งไปให้ เฉาฉิงหล่างลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังรับไป

เงียบงันกันอยู่นาน เฉินผิงอันถึงกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ขอโทษนะ”

ตั้งแต่ต้นจนจบเด็กชายไม่ได้เอ่ยอะไร ไม่ได้โทษเฉินผิงอัน แล้วก็ไม่ได้พูดว่าไม่ได้ตำหนิเขา เอาแต่ก้มหน้าสะอื้นเบาๆ

วันต่อมาเฉาฉิงหล่างตื่นสายมาก แล้วก็ไม่ได้ท่องหนังสือยามเช้าตรู่ เฉินผิงอันจึงไปที่โรงเรียน คิดจะไปขอลาหยุดแทนเฉาฉิงหล่าง กลับเห็นว่าคนเดินบนถนนบางตา พอไปถึงโรงเรียนก็พบว่าประตูปิดสนิท แม้แต่หน้าอาจารย์ผู้สอนหนังสือก็ไม่ได้พบ

แต่เฉินผิงอันค้นพบว่าไม่มีสายลับของแคว้นหนันเยวี่ยนปรากฏตัวใกล้ๆ แม้แต่คนเดียว

คิดดูแล้วนี่น่าจะเป็นฝีมือของราชครูจ้งชิว

สองวันต่อมามีคนแอบย้ายออกไปจากแถบนี้อย่างเงียบเชียบ ยามค่ำคืนเหลาสุราหอโคมเขียวในตรอกจ้วงหยวนก็เงียบสงบลงเยอะมาก เงียบจนราวกับว่าสามารถกางตาข่ายดักนกหน้าประตูได้เลย (เปรียบเปรยถึงความเงียบเหงา ไม่มีคนมาเยือน)

ยามสนธยาของวันนี้ เฉินผิงอันหิ้วม้านั่งมานั่งอยู่ตรงหัวเลี้ยวของตรอก หากเป็นยามปกติ ตรงนี้จะต้องมีวงหมากล้อม คนบ้าหมากล้อมสองคนเข่นฆ่ากันบนกระดานจนฟ้ามืด ด้านข้างมีคนบ้าหมากล้อมอีกนับไม่ถ้วนคอยร้องบอกส่งเดชว่าต้องวางหมากตัวไหน

บนถนนใหญ่ยังคงมีร่องลึกตัดสลับ ผนังหักกำแพงแตกพัง สภาพน่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ที่แท้จ้งชิวก็มาหา

จ้งชิวเดินเล่นเลียบไปตามถนนเส้นใหญ่กับเฉินผิงอัน สีหน้าของจ้งชิวเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “พื้นที่แถบเมืองหลวงนี้ได้เพิ่มการป้องกันให้เข้มงวดอย่างลับๆ แล้ว ข่าวลือที่มาจากแต่ละด้านก็ถูกควบคุมเอาไว้ ฮ่องเต้และรัชทายาทต่างก็รู้สึกสนใจในตัวเจ้า อยากพบเจ้ามาก แต่ถูกข้าโน้มน้าวห้ามปรามเอาไว้ แต่หากเจ้าเต็มใจก็สามารถเข้าวังไปได้ตลอดเวลา หรือจะไปเที่ยวเล่นหาข้าที่บ้านพักก็ได้”

เฉินผิงอันพยักหน้าตอบรับ

จ้งชิวสวมชุดสีเขียว จอนผมสองข้างเป็นสีขาวเล็กน้อย เวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน เขากลับดูแก่ชราขึ้นหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของราชครูผู้นี้ไม่ได้ผ่อนคลายนัก เขาเอ่ยต่อว่า “อวี๋เจินอี้อยู่ที่ซากปรักของภูเขากู่หนิว สร้างกระท่อมหลังเล็กให้ตัวเอง หวังจะตั้งใจฝึกตนอยู่ที่นั่น ฮ่องเต้ให้ข้อเสนอบอกว่า เว้นแต่อวี๋เจินอี้จะย้ายพรรคหูซานเข้ามาในอาณาเขตของแคว้นหนันเยวี่ยน หาไม่แล้วคงต้องใช้กำลังขับไล่อวี๋เจินอี้ออกไป อวี๋เจินอี้ไม่สนใจ ข้าหวังว่าฮ่องเต้จะทรงรอไปอีกหน่อย แต่ฮ่องเต้กลับไม่ยอมรับปาก ตอนนี้ระดมกำลังทหารแล้ว อีกไม่นานย่อมต้องมีทหารนับหมื่นนายไปล้อมอยู่ที่ภูเขากู่หนิว”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามว่า “แล้วฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินผู้นั้นล่ะ?”

จ้งชิวเล่าความเป็นมาคร่าวๆ ของฝานกว่านเอ่อร์ให้เฉินผิงอันฟังก่อน จากนั้นก็กล่าวอย่างระอาใจว่า “ข้าเดาเอาว่าฮ่องเต้น่าจะไปพบนางเป็นการส่วนตัว ถึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้ คิดว่าขอแค่มีนางช่วยคุมทัพ บวกกับถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่เป่ยจิ้นที่เลือกอยู่ต่อในเมืองหลวง แน่นอนว่ายังรวมถึงข้าจ้งชิวด้วย ต่อให้สถานการณ์จะแย่ก็คงไม่แย่ไปยังไง”

กล่าวมาถึงตรงนี้ จ้งชิวก็มายืนอยู่ตรงริมขอบของร่องลึก ซึ่งก็คือตำแหน่งที่ตอนนั้นเฉินผิงอันใช้ท่าปรับแก้มังกรใหญ่ซึ่งเป็นวิชาหมัดขั้นสูงสุด ทะยานลมเข้ามาใกล้แล้วต่อยให้เขาปลิวกระเด็นออกไป เขาคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ฮ่องเต้พูดจาหยั่งเชิงข้าอยู่หลายครั้ง หมายสอบถามให้รู้ถึงสภาพจิตใจและประวัติความเป็นมาของเจ้า ข้าทั้งไม่อาจหลอกลวงฮ่องเต้ แล้วก็ไม่อาจดึงเจ้าเข้ามาข้องเกี่ยวกับบุญคุณความแค้นในโลกมนุษย์ จึงพูดแค่ว่าเจ้าไม่มีทางให้การสนับสนุนแคว้นหนันเยวี่ยน แล้วก็ไม่มีทางช่วยเหลืออวี๋เจินอี้ นกกระเรียนป่าที่โบยบินอยู่บนฟากฟ้า มีแต่จะอยู่ในจุดลึกของหมู่เมฆ ไม่มีทางลงมาคบค้าสมาคมกับสุนัขหรือไก่ ยิ่งไม่มีทางจะมาแย่งชิงอาหารกับพวกมัน”

เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณ

จ้งชิวโบกมือ “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าคงรู้สึกรำคาญใจยิ่งกว่าเจ้า”

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าลงมาดื่มเหล้าหนึ่งคำ

จ้งชิวนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “โศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวที่เจ้าไปพักอาศัย ข้าเป็นคนจัดการเอง ทางราชสำนักก็จับตัวพวกคนของลัทธิมารมาได้ไม่น้อย สามารถแน่ใจได้ว่าตอนนั้นเป็นติงอิงที่ออกคำสั่ง คาดว่าคงเพราะต้องการให้หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ประมือกับเจ้าแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่เอาตัวอยู่นอกสถานการณ์ เพื่อสะดวกดึงตัวลู่ฝ่างและโจวเฝยออกมาในตอนท้าย และฟังจากคำให้การของเฉาฉิงหล่างซึ่งได้มาจากที่ว่าการ รู้ว่าการที่ติงอิงทำเช่นนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าสักเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะติงอิงเข้าใจผิดคิดว่าเด็กเฉาฉิงหล่างผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที

แล้วจู่ๆ เขาก็ถามว่า “ที่นี่คือที่ไหนกันแน่?”

จ้งชิวอึ้งตะลึง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย

เฉินผิงอันชี้ไปยังปราณยาวที่อยู่ข้างหลังตัวเองพลางอธิบายว่า “ข้าแบกกระบี่เล่มนี้ทะเล่อทะล่าบุกเข้ามาที่นี่ เดินวนไปวนมา ตามหาอยู่นานก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองได้เข้ามาอยู่ในนี้นานแล้ว”

จ้งชิวอธิบายบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเจ๋อเซียนและพื้นที่มงคลดอกบัวให้เฉินผิงอันฟัง

เฉินผิงอันถึงได้กระจ่างแจ้ง

ตอนนั้นนักพรตเฒ่าพูดแค่ครึ่งเดียว สามารถแน่ใจได้ว่าอารามกวานเต๋าไม่มีอยู่จริง แต่อันที่จริงแล้วก็พูดได้ว่าตลอดทั้งพื้นที่มงคลดอกบัวก็คือ ‘สถานที่พิศมรรคา’ ของนักพรตเฒ่า

ตอนแรกเฉินผิงอันก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้ว เพราะเขาค้นพบว่าในทวีปหนึ่งกลับมีแคว้นเป่ยจิ้นถึงสองแห่ง ต้องรู้ว่าเฉินผิงอันพบคนจิ๋วดอกบัวในวัดเป่ยจิ้น ทีแรกเฉินผิงอันยังนึกว่าอาจเป็นเพราะขนบธรรมเนียมของใบถงทวีปไม่เหมือนกับแจกันสมบัติทวีป เขายังเคยไปเปิดอ่านหนังสือเกร็ดพงศาวดารและผลงานของปัญญาชนมากมายจากร้านหนังสือในตรอกจ้วงหยวน ผลคือยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกประหลาด แต่ก็ยังไม่ถอดใจ เลยแอบเข้าไปในหอเก็บตำราส่วนตัวของตระกูลแห่งหนึ่งที่แค่มองก็รู้ว่ามีฐานะ หมายจะใช้ประวัติศาสตร์แท้จริงมายืนยันตำแหน่งที่แน่ชัดของแคว้นหนันเยวี่ยนในใบถงทวีป แต่ก็ยังเหมือนเดินในไอหมอก เพราะในตำราก็มีแค่ประวัติศาสตร์ของสี่แคว้นเท่านั้น

ภายหลังเกิดเรื่องน่าอายขึ้นที่วัดป๋ายเหอ สี่ปรมาจารย์ใหญ่มารวมตัวกันที่ภูเขากู่หนิว เฉินผิงอันก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ เพราะทุกคนล้วนชอบใช้คำศัพท์ว่า ‘ใต้หล้า’ ราชครูจ้งชิวคืออันดับหนึ่งในใต้หล้า แคว้นหนันเยวี่ยนคือแคว้นที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในใต้หล้า ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินคือสาวงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า ฯลฯ และยังมีอีกมากมายจนไม่อาจยกตัวอย่างได้หมด

และคืนนั้นในวัดป๋ายเหอ ติงอิง โจวซื่อและยาเอ๋อร์แฝงตัวเข้าไปในตำหนักใหญ่เพื่อตามหาอรหันต์ร่างทอง

ก่อนหน้านี้เนื่องจากข้างกายเฉินผิงอันมีผู้ฝึกตนอย่างภิกษุเฒ่าวัดจินเซียงอยู่ท่านหนึ่ง บวกกับที่เข้ามาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นานก็ได้เห็นชุดกระโปรงสีเขียวที่ชอบร่ายรำอยู่ใต้แสงจันทร์ตัวนั้น เฉินผิงอันจึงไม่ได้คิดมาก นึกว่าที่นี่คือ ‘สถานที่ไร้อาคม’ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมเป็นอุปสรรคแห่งหนึ่ง ก็เหมือนที่ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่ผู้เฒ่าอยู่ในแคว้นซูสุ่ยแจกันสมบัติทวีปก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝีมือแข็งแกร่งไร้เทียมทานแล้ว

ตอนนี้มาลองย้อนนึกดูอย่างละเอียด เฉินผิงอันพลันรู้สึกขนลุกขนชัน หนาวยะเยือกยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

เหมือนกับตอนที่มองไปยังบ่อน้ำแห่งนั้น

แม้จะรู้ว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว แต่เข้ามาอย่างไร เข้ามาเมื่อไหร่ เฉินผิงอันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

ขอแค่นักพรตเฒ่าไม่ปรากฏตัววันหนึ่ง เฉินผิงอันก็ไม่มีทางได้คำตอบเสียที

ในฐานะราชครู เมื่อศึกใหญ่ผ่านไป สถานการณ์ในใต้หล้าเปลี่ยนมาเป็นยากจะคาดเดา จึงยังมีเรื่องอีกนับไม่ถ้วนรอให้จ้งชิวเป็นคนตัดสินใจ วันนี้มาหาเฉินผิงอัน หนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด สองมาจากความต้องการส่วนตัว เพราะคิดอยากจะมาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์อยู่ที่นี่ ดังนั้นเมื่อคุยเรื่องที่สมควรคุยจบแล้ว จ้งชิวจึงบอกลาจากไป

ก่อนจะจากไป เฉินผิงอันเอ่ยขออภัยเขา “ตอนนี้ข้ายังออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ได้”

จ้งชิวยิ้มพูด “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเจ้าเฉินผิงอันก็ไม่เหมือนเจ๋อเซียนอยู่แล้ว”

จ้งชิวที่หันหลังจากมาเดินไปบนถนนใหญ่ที่เงียบสงบเพียงลำพัง สีหน้าหม่นหมอง

หากเจ๋อเซียนคนแรกที่ตนและอวี๋เจินอี้เจอในปีนั้นคือเฉินผิงอัน จุดจบจะแตกต่างไปจากทุกวันนี้หรือไม่?

เฉินผิงอันหิ้วม้านั่งตัวเล็กเดินเข้าไปในตรอกเล็กที่มืดสลัว

แล้วเขาก็พลันหรี่ตาลง

นอกประตูบ้านมีเด็กหญิงผอมแห้งคนหนึ่งยืนอยู่

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด