กระบี่จงมา 345.1 อริยะมาเยือนจวนปี้โหยว

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 345.1 อริยะมาเยือนจวนปี้โหยว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หญิงชราคนเฝ้าศาลของศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอเป็นคนสนิทของจวนผู้ว่าราชการในท้องถิ่น นอกจากใต้เท้าผู้ว่าฯ จะเป็นคนแนะนำมาด้วยตัวเองแล้ว นางยังต้องใช้ทรัพย์สินส่วนตัวอีกเป็นจำนวนมากการในสร้างสายสัมพันธ์กับที่ว่าการกรมพิธีการของเมืองเซิ่นจิ่ง กว่าจะได้ครอบครองตำแหน่งที่ได้ค่าน้ำร้อนน้ำชามากพอนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกลมปราณมากน้อยเท่าไหร่ที่อิจฉาตาร้อน ก่อนหน้านี้หญิงชราใช้วิธีจุดธูปเทพสูงฟ้องไปยังจวนปี้โหยว เวลานี้ไม่ต้องรอให้เจ้าแม่เทพวารีเอ่ยเตือนอะไร นางก็หยุดด้วยตัวเองแล้ว ไม่เหลือความคิดอยากแก้แค้นอีกต่อไป ไม่กล้า ไม่กล้าอย่างสิ้นเชิง

แค่วิญญูชนหนุ่มของสำนักศึกษาต้าฝูผายลมก็มากพอจะสะเทือนให้นางตายแล้ว

เหตุใดราชวงศ์ต้าเฉวียนถึงได้เจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วันตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะได้เป็นพันธมิตรกับหลายแคว้นในภาคกลางของใบถงทวีป?

นอกจากความปรีชาสามารถของฮ่องเต้และมีขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊มากความสามารถมารวมตัวกันแล้ว อันที่จริงทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นเพราะมีวิญญูชนท่านหนึ่งนั่งบัญชาการณ์อยู่ที่เมืองเซิ่นจิ่ง แคว้นดั้งเดิมที่แข็งแกร่งอย่างเป่ยจิ้น หนันฉี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีนักปราชญ์ของสำนักศึกษาอยู่แม้แต่คนเดียว

วิญญูชนจากสำนักศึกษาเบื้องหน้าคนนี้อายุน้อยขนาดนี้ เดิมทีนี่ก็เป็นบารมีที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งอยู่แล้ว

อายุสามสิบปีหรืออายุสี่สิบปี จอหงวนที่ตรากตรำกับการสอบกับเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่ช่วงชิงความรุ่งโรจน์มาได้ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว คือความต่างราวฟ้ากับดิน

หญิงชราเฝ้าศาลและผู้ฝึกตนเฒ่าที่กลับขึ้นมาบนฝั่งคล้ายเด็กน้อยทำผิดสองคนที่รอให้อาจารย์ลงโทษ

พวกเขาที่เป็นเทพเซียนผู้อาวุโสในสายตาของชาวบ้านมีความสัมพันธ์ที่ธรรมดากับจวนปี้โหยว รู้ดีว่าลึกๆ แล้วในใจเจ้าแม่เทพวารีดูแคลนพวกเขา แต่เพราะเห็นแก่หน้าของผู้ว่าฯ กับราชสำนัก เจ้าแม่ถึงได้หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง เรื่องหารายได้เข้ากระเป๋า ขอแค่ไม่เกินกว่าเหตุ ก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขาที่อยู่ในศาลเทพวารี

เพียงแต่ว่าคืนนี้เป็นคืนที่ค่อนข้างยากลำบากสำหรับพวกเขาแล้ว

เพราะเจ้าแม่เทพวารีและศาลเทพวารีไม่อาจเป็นยันต์คุ้มกันกายให้พวกเขาได้อีกต่อไป

จงขุยตวาดเสียงกร้าว “คนหนึ่งคือคนเฝ้าศาลที่รับผิดชอบดูแลควันธูปของศาล อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกตนที่ทางราชสำนักส่งตัวให้มาปักหลักอยู่ที่นี่ แต่กลับไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย ไม่ทันได้ถามไถ่ความเป็นมาก็จะอาศัยกำลังที่เหนือกว่าทำตัวดุร้าย มิน่าเล่าผีพรายใต้ลำคลองหมายเหอถึงได้มีมากขนาดนี้ นอกจากจะถูกปีศาจใหญ่ทำร้ายแล้ว พวกเจ้าสองคนก็ยากจะปฏิเสธความผิดให้พ้นตัวไปได้!”

หญิงชรากับผู้ฝึกตนเฒ่าตกใจหน้าซีดเผือด  ถ้อยคำทองวาจาหยกของอาจารย์สำนักศึกษาหลังจาก ‘สวมอาภรณ์สวมกวานอย่างเป็นระเบียบ’ (การสวมอาภรณ์สวมกวานอย่างเป็นระเบียบแสดงถึงรูปลักษณ์ภายนอก ขณะเดียวกันก็หมายถึงการจัดระเบียบมาจากภายใน เป็นการตักเตือนให้มนุษย์กระทำในสิ่งที่ถูกต้องเที่ยงธรรม) ไม่ว่าคำใดก็ตามที่หลุดออกมาล้วนมีน้ำหนักหมื่นจิน นี่ไม่ใช่แค่คำกล่าวลอยๆ เท่านั้น

สตรีร่างเล็กเตี้ยเอ่ยเสียงหนักอึ้ง “เรื่องสังหารผีพรายใต้น้ำพร่ำเพื่อ หลักๆ แล้วถือเป็นความผิดของข้าเอง”

จงขุยโบกชายแขนเสื้อ ไม่ไว้หน้าเจ้าแม่เทพวารีแม้แต่น้อย “คนละเรื่องกัน! สองคนนี้มีหน้าที่สำคัญขนาดนี้ แต่กลับคิดจะออมแรงกายแรงใจกับทุกเรื่อง ไม่ยอมเปลืองน้ำลายสอบถามแม้แต่ครึ่งคำ ไม่ยอมเสียเวลาคิดให้มากขึ้นอีกนิด แล้วจะรับหน้าที่นี้ต่อไปได้อย่างไร! พวกเขาไม่ใช่เศรษฐีที่นอนเสวยสุขอยู่ในบ้านเสียหน่อย อยู่ตำแหน่งไหนต้องพึงระลึกถึงเรื่องของตำแหน่งนั้น อยู่ที่นี่ ทุกการกระทำของพวกเขาล้วนเกี่ยวพันไปถึงโชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาของราชสำนัก!”

คนทั้งสองตื่นตระหนกจนแทบจะขวัญหนีดีฝ่อแล้ว

ดูจากท่าทางที่ดึงเอาราชสำนักเข้ามาเกี่ยวข้องนี้แล้ว หากวิญญูชนดึงเอาจุดประสงค์ของสำนักศึกษามาพูดอีก พวกเขาจะไม่เจอกับหายนะที่มิอาจพลิกฟื้นกลับคืนมาอีกเลยหรือ?

หญิงชราลงไปนั่งคุกเข่าเอ่ยขอร้องก่อน ถ้อยคำที่กล่าวก็ไม่พ้นทำนองว่า วันหน้าไม่กล้าทำผิดอีกแล้ว

ผู้ฝึกตนเฒ่าก็ค้อมเอวคารวะ บอกว่าตนผิดต่อความไว้วางใจที่ราชสำนักมีให้ วันหน้าจะต้องอุทิศตนทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ

จงขุยแค่นเสียงเย็น “เห็นแก่ที่พวกเจ้าเพิ่งทำความผิดเป็นครั้งแรก จะยกหน้าที่นี้ให้เจ้าแม่เทพวารีเป็นคนจัดการ”

คนทั้งสองรีบลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็หันไปขอรับผิดจากเจ้าแม่เทพวารี

จงขุยเห็นพวกเขาแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาจึงโบกชายแขนเสื้อตวาดว่า “ยังไม่รีบกลับไปปิดประตูทบทวนตัวเองที่ศาลอีก อย่ามาอยู่ตรงนี้ให้อับอายขายหน้าผู้คน!”

คนทั้งสองจึงจากไปอย่างกระเซอะกระเซิง

จงขุยหันไปพูดกับหญิงสาวร่างเล็กเตี้ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ในฐานะเทพวารีลำคลองหมายเหอ ได้รับการเคารพบูชาจากชาวบ้านนับหมื่น จะดีจะชั่วเจ้าก็ควรจัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชาเสียบ้าง อย่าเอาแต่จ้องจะจัดการจับปีศาจลำคลองตนนั้น เรื่องควันธูปขององค์เทพ ไม่ใช่แค่รบราฆ่าฟันกันอย่างเดียว หากชาวบ้านที่มาจุดธูปมีจิตศรัทธาอย่างแท้จริง ต่อให้หนึ่งปีมีธูปแค่ก้านเดียว ควันธูปก็ไม่มีทางขาดหาย แต่หากคนในเขตการปกครองมีแต่ความละโมบ คนที่มาจุดธูปมีแต่ใจเห็นแก่ได้ ไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสักเท่าไหร่ จะเป็นอย่างไร? ควันธูปหลายร้อยปี หมอกควันลอยแผ่เต็มฟ้า ขนาดยามค่ำคืนยังมีคนหลายร้อยมารออยู่ข้างนอกหวังได้เข้ามาจุดธูปในศาล บารมียิ่งใหญ่กว่าศาลบุ๋นและศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองเซิ่นจิ่งด้วยซ้ำ แต่ในความเป็นจริงแล้วควันธูปมีมากน้อยแค่ไหน หนักเบาเท่าไหร่ ทุกวันมีน้ำหนักกี่จิน คนธรรมดาไม่รู้ คนเฝ้าศาลก็ไม่รู้ แต่เจ้าในฐานะเทพวารีลำคลองหมายเหอจะไม่รู้ได้หรือ? หากไม่เป็นเพราะการดำรงอยู่ของตำหนักเจ้าแม่หลิงก่านช่วยเจ้ารวบรวมควันธูปและการเคารพบูชาจากสตรีแต่งงานแล้วที่มีจิตศรัทธาอย่างแท้จริงมาได้กลุ่มใหญ่ ป่านนี้เจ้าก็คงถูกปีศาจลำคลองที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาตนนั้นถอนรากถอนโคนศาลเทพวารี เหยียบย่ำจวนปี้โหยวจนเละเป็นหน้ากลองไปแล้ว!”

สตรีร่างเล็กเตี้ยรู้สึกกระดากใจและอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

จงขุยไม่พูดอะไรอีก

ทะเลสาบในหัวใจของเฉินผิงอันสงบลงแล้ว การเดินทางไกลในใต้หล้าไพศาลทั้งสองครั้ง เวลาที่คนนอกพูดถึงอาจารย์ฉีและซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งมีแค่สามครั้งเท่านั้น

เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองของแคว้นไฉ่อีแจกันสมบัติทวีป นักพรตเฒ่าในพื้นที่มงคลดอกบัวพูดถึงเรื่องของการจัดลำดับ จากนั้นก็เป็นเจ้าแม่เทพวารีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ นึกไม่ถึงว่าหลังจากได้อ่านหนังสือของซิ่วไฉเฒ่าแล้วนางจะกลายเป็น…ผู้ศรัทธาในตัวซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง อีกทั้งยังไม่ใช่ความเลื่อมใสศรัทธาธรรมดา แต่แทบจะใกล้เคียงกับความหลงใหล ขนาดเฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าพูดว่าความรู้ของอาจารย์ผู้เฒ่า ต่อให้เอาไปเทียบกับปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ยังแค่พอจะสูสีกันเท่านั้น ปีนั้นตอนที่ชุยตงซานพูดถึงอดีตอาจารย์ของตนก็ยังบอกแค่ว่าเหวินเซิ่งรอบรู้ ประหนึ่งดวงตะวันกลางนภาในสายตาของบัณฑิตทุกคนในโลก แต่ไม่เคยเอาไปเปรียบเทียบกับอริยะคนใดที่มีรูปปั้นตั้งอยู่ในศาลบุ๋น

แล้วนับประสาอะไรกับที่การที่สำนักศึกษาต้าฝูอัญเชิญตำราเล่มหนึ่งของลัทธิขงจื๊อออกมาบูชาไว้ในศาลสักแห่ง ต้องเกี่ยวพันไปถึงรากฐานร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง นอกจากนี้ยังเกี่ยวพันกับการเลื่อนขั้นจวนเป็นตำหนักที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน

สำหรับการตัดสินใจของสตรีร่างเล็กเตี้ยตรงหน้าผู้นี้ เฉินผิงอันทั้งรู้สึกตื่นตะลึง ไม่เข้าใจและทั้งดีใจจากใจจริง

ราวกับว่าอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่มากมายดุจน้ำในมหาสมุทร แล้วในที่สุดก็ได้พบเจอกับคนที่เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน

จงขุยหันมาพูดกับเฉินผิงอัน “รู้หรือไม่ว่าทำไมเหตุผลถึงใช้ได้ผล? ไม่เพียงแต่เรื่องที่ตบคนไปสองที แล้วก็ไม่ใช่แค่เพราะสถานะวิญญูชนของข้าด้วย”

เฉินผิงอันอยากรู้จริงๆ จึงถามอย่างจริงใจ “ช่วยอธิบายที”

จงขุยพูดด้วยสีหน้าฮึกเหิม “เป็นความดีความชอบของการนำตำราอริยะปราชญ์เล่มแล้วเล่มเล่าในสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อของพวกเรามาสั่งสอนให้แก่ความรู้ผู้คนนานนับพันปี สำนักศึกษาทั้งเจ็ดสิบสองแห่งตั้งตระหง่านอยู่ในเก้าทวีปใหญ่ เป็นเหตุให้ผู้คนทั้งบนและล่างภูเขาเกิดความเคารพยำเกรง หากพวกอาจารย์ของสำนักศึกษาเอาแต่อาศัยพละกำลัง แน่นอนว่าผู้คนย่อมเลื่อมใสแต่ปาก แต่ไม่ได้เลื่อมใสจากใจจริง มีแต่จะสะสมความไม่พอใจเอาไว้ ข้าจงขุยก็แค่อาศัยร่มเงาจากต้นไม้ที่บรรพชนปลูกไว้ก็เท่านั้น”

เฉินผิงอันรู้สึกแปลกๆ

คำพูดและการกระทำของจงขุยตอนนี้แตกต่างจากเวลาปกติราวฟ้ากับเหว

แน่นอนว่าเหตุผลที่จงขุยพูดมานั้นหาข้อตำหนิไม่ได้เลย

ลูกตาของจงขุยกลอกไปมาสองสามที ทำท่าเงี่ยหูตั้งใจฟัง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ในที่สุดอาจารย์ก็ไปสักที ดูท่าคลื่นมรสุมในคืนนี้คงถูกข้ารับมือจนผ่านไปได้แล้ว โชคดีมาเยือนหลังโชคร้าย ฮ่าๆ ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่กลับไปยังสำนักศึกษา อาจารย์อาจจะยังพูดชมเชยข้าสองสามคำ”

เฉินผิงอันพูดไม่ออก นี่ต่างหากถึงจะเป็นจงขุยที่เขารู้จัก

เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอได้เปิดโลกทัศน์ เกือบจะสงสัยว่าสถานะวิญญูชนของคนผู้นี้เป็นของปลอมหรือไม่

จงขุยตบท้อง “พอเจ้าพูดถึงบะหมี่ถ้วยนั้นก็ให้นึกอยากกิน พวกเราไปกินมื้อดึกที่จวนปี้โหยวของเจ้าสักมื้อดีไหม?”

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “ห่างไปไม่ไกลมีร้านขายอาหารรอบดึกอยู่”

เฉินผิงอันในเวลานี้ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ประสาในเรื่องทางโลกอีกแล้ว รูปปั้นของซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งไม่เพียงแต่ถูกย้ายออกมาจากในศาลบุ๋น ยังถูกคนทุบทำลาย หนังสือของเขาทุกเล่มที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลห้ามจัดพิมพ์อีกทั้งยังถูกเผาทิ้ง ตอนนั้นสำนักศึกษาทั้งเจ็ดสิบสองแห่งในเก้าทวีปใหญ่ หากไม่ใช่เจ้าขุนเขาออกหน้าด้วยตัวเอง อย่างน้อยก็ต้องมีวิญญูชนท่านหนึ่งจัดการเรื่องนี้ รับผิดชอบคอยตรวจตราให้ราชสำนักของแต่ละพื้นที่ปฏิบัติตาม ห้ามให้มีข้อผิดพลาดอย่างเด็ดขาด

หากเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอ ราชสำนักต้าเฉวียนและสำนักศึกษาต้าฝู ขอแค่ถูกคนมีใจคิดไม่ซื่อหลอกใช้ ถึงเวลานั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าจะทำร้ายคนอื่นและยังทำร้ายตัวเอง

การประชันขันแข่งของสายบุ๋นได้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงไปแล้ว คนรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องพูดหลักการเหตุผลอะไรอีก เพราะอะไร? เพราะเหล่าอริยะได้พูดเหตุผลหลักการทั้งหมดออกมานานแล้ว

เจ้าแม่เทพวารีที่มีร่างกายเล็กกะทัดรัดคล้ายจะเปลี่ยนใจ จึงเริ่มเชื้อเชิญคนทั้งสองไปที่จวนปี้โหยวด้วยการยิ้มพูดว่า “ร้านแผงลอยที่อยู่นอกศาลหรือจะเทียบกับอาหารมื้อดึกในจวนปี้โหยวของข้าได้ ไปๆๆ ข้าจะได้ถือโอกาสเอาสุราหมักร้อยปีไหหนึ่งมารับรองแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งสองท่านด้วย”

นางอยากใช้สถานะวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาของคนผู้นี้แสร้งเป็นจิ้งจอกที่ห่มหนังสือ เอามากำราบข้ารับใช้สกุลหลิวสองคนที่อยู่นอกจวนปี้โหยวซึ่งพยายามตื๊อนางโดยใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง

นางแอบหัวเราะชอบใจอยู่กับตัวเอง รู้สึกว่าแผนการของตนไม่เป็นรองปีศาจลำคลองตนนั้นเลย

นางยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์ดีจนหัวเราะออกมาอย่างโง่งม

เฉินผิงอันรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้ซื่อเกินไปหน่อยแล้ว ทำแบบนี้ไม่เท่ากับบอกให้รู้ว่าอาหารมื้อดึกของจวนปี้โหยวเจ้ากินยากหรอกหรือ? อย่างน้อยก็ควรจะรอให้หลอกพวกเขาสองคนเข้าไปในจวนได้ก่อนแล้วเจ้าค่อยหัวเราะชอบใจก็ยังไม่สาย

จงขุยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเหมือนคนตาบอด ลากเฉินผิงอันไปด้วยกัน บอกแค่ว่าอยากจะเห็นสุรารสเลิศที่หมักมานานเป็นร้อยปีไหนั้น อยากรู้ว่าจะสู้เหล้าบ๊วยหมักห้าปีได้หรือไม่

การปรากฏตัวที่ศาลเทพวารีคืนนี้ไม่อาจปิดบังหูตาของผู้คนได้อีกแล้ว อีกทั้งจงขุยยังช่วยตำหนิสั่งสอนหญิงชราคนเฝ้าศาลให้ สตรีร่างเล็กเตี้ยจึงปล่อยตัวตามสบาย ยื่นมือข้างหนึ่งไปยังลำคลองหมายเหอ ผิวน้ำพลันกระเพื่อมซัดรุนแรง ก่อนที่ลำน้ำเส้นหนึ่งจะพุ่งขึ้นไปยังชายฝั่ง จากนั้นก็จำแลงกายเป็นเจียวหลงสีเหลืองยาวร้อยจั้งที่มีชีวิตชีวาเหมือนจริงตัวหนึ่ง มันมาหยุดอยู่นอกศาลบนภูเขา เจียวหลงก้มหัวลงอย่างว่าง่าย เทพวารีลำคลองหมายเหอกระโดดขึ้นไปบนหัวของเจียวหลง จงขุยดึงเฉินผิงอันให้ขึ้นไปด้วยกัน ยืนอยู่ตรงระหว่างลำคอของเจียวหลงสีเหลือง

มันหมุนบิดลำตัว ย้อนกลับจากฝั่งลงไปยังลำคลอง ว่ายวนไปยังจวนปี้โหยวที่อยู่ตอนล่างของลำคลองอย่างรวดเร็ว

พวกชาวบ้านที่อยู่บนฝั่งรอให้ประตูเปิดจะได้เข้าไปจุดธูปได้เห็นท่วงท่าอันองอาจและวิชาอภินิหารของเจ้าแม่เทพวารีกับตาตัวเอง แต่ละคนลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวคำนับ พอลุกขึ้นยืน ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความปิติยินดี รู้สึกว่าไม่เสียเที่ยวที่มาเยือน ได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่เทพวารี นี่เป็นโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่เพียงใด!

คนทั้งสามโดยสารเจียวหลงที่จำแลงกายมาจากน้ำในลำคลอง ไม่นานก็มาถึงจวนปี้โหยวที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาอันเงียบสงบ มองดูเหมือนห่างจากลำคลองมาค่อนข้างไกล แต่อันที่จริงแล้วด้านล่างจวนมีสายน้ำเชื่อมโยงกันอยู่ จวนแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางค่ายกลแห่งหนึ่ง สามารถรวบรวมแก่นของลำคลองหมายเหอเอาไว้เพื่อดูดดึงโชคชะตาควันธูปที่อยู่ในแถบของลำคลองหมายเหอ นี่ก็คือรากฐานในการหยัดยืนของเทพวารีลำคลองหมายเหอ เทวรูปร่างทองที่อยู่ในศาลก็เป็นเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น

อาจารย์และศิษย์ของลัทธิเต๋าที่มาจากอารามจินติ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าประตูคู่นั้น นอกจากนักพรตเป่าเจินอิ่นเมี่ยวเฟิงและลูกศิษย์เส้ายวนหรานจะต้องกินน้ำแกงประตูปิดจากเจ้าแม่เทพวารีไปพักหนึ่งแล้ว ยังได้กินอาหารยามดึกอีกหนึ่งมื้อ เป็นพ่อบ้านเฒ่าที่สั่งให้พ่อครัวทำอาหารที่ถนัดมือซึ่งครบถ้วนทั้งกลิ่นสีและรสชาติ นอกจากนี้ยังยกสุรารสดีอีกสองกามารับรองข้ารับใช้ของต้าเฉวียนสองท่านที่ป่าวประกาศว่าหากไม่ได้พบเจ้าแม่เทพวารีก็จะไม่จากไป ในใจของพ่อบ้านวัยชรารู้สึกละอายใจเล็กน้อย แขกทั้งสองท่านนี้เดินทางมาไกล อีกทั้งยังมีนิสัยดีมาก ทั้งไม่บุกเข้าไปในจวน แล้วก็ไม่ได้พูดจาหยาบคาย นักพรตเฒ่าเป่าเจินผู้นั้นแค่คลี่ยิ้มขออาหารมื้อดึกจากพวกเขา ทำเอาพ่อบ้านวัยชราที่กลัวจะโดนฆ่าอยู่หน้าประตูซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

เจียวหลงจำแลงกายกลับไปเป็นสายน้ำเส้นหนึ่งที่หายไปบนพื้นดินนอกจวนอย่างรวดเร็ว

จงขุยพลันกระจ่างแจ้งในใจ ชำเลืองตามองสตรีร่างเล็กเตี้ยที่อยู่ข้างกาย เจ้าแม่เทพวารีก็หัวเราะแห้งๆ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

อาจารย์และศิษย์สองเห็นเห็นจงขุยก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ พอเดินลงบันไดมาแล้วก็ยกมือขึ้นกุมคารวะพลางบอกชื่อแซ่ของตัวเอง

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นจงขุยใช้เทพหยินและเทพหยางออกจากโรงเตี๊ยมไปสั่งสอนองค์ชายสองท่านกับตาตัวเอง แต่สำหรับชื่อจงขุยที่เป็นดั่งสายฟ้าผ่าดังข้างหูนี้ อิ่นเมี่ยวเฟิงเคยได้ยินมานานแล้ว ช่วงแรกเริ่มสุดพวกเขาสองคนค้นพบว่าทุกครั้งที่กองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาเปิดศึกใหญ่เข่นฆ่าศัตรูอยู่บนชายแดน จุดที่ห่างจากสนามรบออกไปจะต้องมีบัณฑิตชุดเขียวท่าทางสกปรกมอซอคนหนึ่งยืนมองศึกอยู่ไกลๆ ไม่เคยยื่นมือเข้าแทรก พอศึกใหญ่ปิดฉากลงถึงจากไปอย่างเงียบเชียบ หลังจากนั้นหากศึกใหญ่เกิดขึ้นใหม่ในที่แห่งอื่นอีกครั้ง คนชุดเขียวก็จะมาเยือนเงียบๆ เหมือนเดิม

อิ่นเมี่ยวเฟิงจึงใช้สถานะข้ารับใช้ผู้ปรนนิบัติจักรพรรดิของตนสอบถามเรื่องนี้จากเมืองเซิ่นจิ่ง แต่กลับไม่มีใครสามารถตรวจสอบเจอที่มาของคนผู้นี้ ภายหลังอาศัยอารามจินติ่งสำนักของตัวเองถึงได้รู้ว่าจงขุยคือวิญญูชนที่หนุ่มที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักศึกษาต้าฝู อายุสิบสองเป็นนักปราชญ์ อายุสิบแปดเป็นวิญญูชน อายุยี่สิบก็ได้รับสองคำว่า ‘เจิ้งเหริน’ (เจิ้งเหรินหมายถึงคนที่ซื่อตรงเปิดเผย/คนที่เหมาะสม/คนที่ใช่) เสริมมาด้านหลังบรรดาศักดิ์วิญญูชน การได้รับคำว่าเจิ้งเหริน ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งจะตัดสินใจได้เอง จำเป็นต้องให้อริยะของสถานศึกษาสายบุ๋นที่วิญญูชนผู้นั้นอยู่ทำการทดสอบด้วยตัวเอง จากนั้นอริยะหลายท่านที่มีรูปปั้นอยู่ในศาลบุ๋นต้องพยักหน้ารับเห็นด้วยถึงจะถือว่าผ่านด่าน

เพราะว่าวิญญูชนเจิ้งเหรินทุกคนล้วนถูกเรียกว่าเป็น ว่าที่อริยะ

ชื่อเสียงของสำนักศึกษาต้าฝูเทียบกับสำนักศึกษาอีกสองแห่งที่ตั้งอยู่ทางเหนือและใต้ของใบถงทวีปไม่ได้ แต่ในสายตาของคนฝ่ายในลัทธิขงจื๊อและตระกูลเซียนที่มีคำว่าสำนักในชื่อแล้ว ในฐานะบัณฑิตที่เกิดและเติบโตมาในใบถงทวีป จงขุยได้รับความใกล้ชิดสนิทสนมจากกองกำลังแต่ละฝ่ายและพวกเซียนดินอย่างมาก เพื่อช่วงชิงให้วิญญูชนเจิ้งเหรินท่านนี้มานั่งบัญชาการณ์อยู่ในแคว้นของตัวเอง ราชวงศ์หลายแห่งที่แข็งแกร่งที่สุดในใบถงทวีปต่างก็พยายามอุทิศตนเพื่อสำนักศึกษาต้าฝูกันอย่างเต็มที่

ต่อให้เป็นเจ้าอารามอารามจินติ่ง เมื่อลงจากภูเขามาพบเจอกับจงขุยโดยบังเอิญ เกรงว่าก็คงต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยมารยาทของคนในระดับที่เท่าเทียมกัน ดังนั้นอิ่นเมี่ยวเฟิงและเส้ายวนหรานจึงไม่กล้าแสดงความไม่เคารพออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว

เส้ายวนหรานสัมผัสได้ว่านักพรตเป่าเจินอาจารย์ของตนถึงขั้นจงใจแสดงความนอบน้อมและประจบเอาใจจงขุยด้วยซ้ำ

ในใจของผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนแห่งอารามจินติ่งผู้นี้รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ แต่ไม่ได้แสดงออกมา

อิ่นเมี่ยวเฟิงจำต้องทำตัวถ่อมตนเช่นนี้

เรื่องการเลื่อนขั้นจวนปี้โหยวเป็นตำหนักอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างมาก ในฐานะลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู ไม่แน่ว่าจงขุยอาจจะกลายเป็นผู้ตัดสินใจในท้ายที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะทั้งทำภารกิจลับของเมืองเซิ่นจิ่งได้สำเร็จ อีกทั้งยังช่วยต้าเฉวียนผูกสัมพันธ์กับว่าที่อริยะลัทธิขงจื๊อในอนาคตคนหนึ่งด้วย ถ้าเช่นนั้นในอนาคตเส้ายวนหรานลูกศิษย์ที่ตนให้ความสำคัญที่สุดก็จะมีที่พึ่งนอกเหนือจากอารามจินติ่ง

จงขุยย่อมเคยได้พบนักพรตที่มาอยู่ในโลกมนุษย์คู่นี้มาก่อน อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ความประทับใจไม่เลวร้าย แต่ก็ไม่ถือว่าดีนัก ไม่อย่างนั้นเขาคงพูดทักทายกับพวกเขาไปนานแล้ว

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด