กระบี่จงมา 346.1 ยันต์หกแผ่นของวิญญูชน ปราบผีสยบกระบี่

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 346.1 ยันต์หกแผ่นของวิญญูชน ปราบผีสยบกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เผยเฉียนบอกว่าจะไปดูผนังบังตาตรงหน้าประตูใหญ่ ด้านบนมีควันธูปลอยออกมาจากในศาล แถมยังมีกลิ่นหอม สายน้ำก็ขยับเคลื่อนได้พร้อมกับมีเสียงน้ำไหล น่าสนใจยิ่งนัก

เจ้าแม่เทพวารีโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งเรียกสาวใช้อายุน้อยคนหนึ่งให้พาเผยเฉียนออกไปชมทัศนียภาพ

นึกขึ้นได้ว่าอริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งของสายบุ๋นสายอื่นเพิ่งจะจากไป เฉินผิงอันจึงวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง ถามว่า “เขตการปกครองหลงเฉวียนที่เป็นบ้านเกิดของข้า อันที่จริงแล้วก็คือถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต ตอนนั้นอาจารย์ฉีรับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียน เพียงแต่ว่าตอนเด็กข้ายากจน ไม่ได้เรียนหนังสือ เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันคือลูกศิษย์ของอาจารย์ฉีจึงมักจะพูดถึงเขาบ่อยๆ แต่แน่นอนว่าข้าย่อมเคยพบหน้าอาจารย์ฉีมาก่อน ถึงอย่างไรเมืองเล็กก็ใหญ่เพียงแค่นั้น”

จงขุยกลับไปนั่งข้างโต๊ะ หรี่ตาเทเหล้าใส่ถ้วย คำพูดเหล่านี้ของเฉินผิงอัน เขาย่อมไม่เชื่อทั้งหมด ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งอายุน้อยเพียงเท่านี้ก็ได้ครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม อีกทั้งยังสามารถปล่อยจิตหยินให้ออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืน ต่อให้ถ้ำสวรรค์หลีจูจะเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ เฉินผิงอันได้รับโชควาสนาอย่างอื่น แต่หากจะบอกว่าเฉินผิงอันแค่เคย ‘พบหน้า’ ฉีจิ้งชุนเท่านั้น ให้ตายจงขุยก็ไม่เชื่อ

แต่เฉินผิงอันไม่ต้องการพูด จงขุยก็ไม่คิดจะซักไซ้ไล่เลียง แม้จะบอกว่าความรู้ของเหวินเซิ่งเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับสำนักศึกษาใหญ่หลายแห่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วหากในหอเก็บตำราส่วนตัวของพวกชาวบ้านจะมีผลงานของเหวินเซิ่งเก็บไว้กลับไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร

อย่าว่าแต่รู้จักฉีจิ้งชุนเลย ต่อให้เคยเรียนที่โรงเรียนแห่งนั้นมาก่อนก็ไม่เป็นไร ขอแค่เจ้าเฉินผิงอันไม่ใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายบุ๋นของฉีจิ้งชุนก็ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ถอยไปพูดหมื่นก้าว ในเขตการปกครองของสำนักศึกษาต้าฝูใบถงทวีป ต่อให้เป็นความจริงก็ไม่เป็นไร มีเขาจงขุยอยู่ ยิ่งมีอาจารย์ของเขาอยู่

แต่หากอยู่ในสำนักศึกษาสองแห่งที่อยู่ทางทิศเหนือกับทิศใต้ของใบถงทวีปกลับบอกได้ยากแล้ว

ดวงตาสองข้างของเจ้าแม่เทพวารีเปล่งประกาย วางฝ่ามือสองข้างยันไว้บนโต๊ะ ถามอย่างร้อนใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยเจอท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมาก่อนไหม? เขาคือผู้เฒ่าที่สง่างามมากเลยใช่หรือไม่ สวมกวานสูงรัดเข็มขัดหยก ชายแขนเสื้อสองข้างมีลมเย็น ในความเคร่งขรึมแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน อีกทั้งแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่มีความรู้สูงส่งเทียมฟ้า บุคลิกไม่ต่างจากเหล่าผู้สูงส่งบนภูเขาเลย?”

เฉินผิงอันได้แต่ตอบขัดไปจากความตั้งใจของตัวเอง “ไม่เคยพบมาก่อน”

สายตาของเจ้าแม่เทพวารีฉายความเสียดาย แล้วก็มีความเวทนารวมอยู่ด้วย อย่างแรกเพื่อตนเอง อย่างหลังเพื่อเฉินผิงอัน นางกลับลงไปนั่งอย่างห่อเหี่ยว ดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ พอเช็ดปากแล้วก็พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะไม่เคยได้เจอกับท่านอาจารย์ผู้เฒ่ามาก่อน วันหน้าต้องพยายามหาโอกาสพบเขาให้ได้ ไม่อย่างนั้นชีวิตของเจ้าก็ไม่สมบูรณ์แล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างจนใจ “ตกลง ข้าจะพยายาม”

นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “แล้วเจ้าเคยเจอเจ้าคนที่ชื่อชุยฉานไหม? เจ้าสารเลวที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่ แต่กลับหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน และยังมีเซียนกระบี่ที่มีวิชากระบี่เลิศล้ำผู้นั้นอีก ชื่อของเขาเผด็จการอย่างยิ่ง เขาชื่อจั่วโย่ว ว่ากันว่าวิชากระบี่ของเขาเป็นหนึ่งในใต้หล้า และยังมีพวกเหมาเสี่ยวตง…ลูกศิษย์ของเหวินเซิ่งมีมากมายขนาดนี้ เจ้าคงต้องเคยเจอมาบ้างสักคนกระมัง?”

เฉินผิงอันยกกาเหล้าขึ้น “น่าเสียดายๆ ดื่มเหล้าๆ”

เจ้าแม่เทพวารีตบโต๊ะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองในความไม่เอาไหนของอีกฝ่าย “ดื่มเหล้ากะผายลมน่ะสิ เจ้านี่มันเป็นคนยังไงนะ?! หากข้าเป็นคนที่เกิดและเติบโตในถ้ำสวรรค์หลีจู เรื่องใหญ่เรื่องแรกที่จะทำหลังออกจากบ้านเกิดก็คือไปตามหาท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง หากบุกเข้าไปในสวนป่ากงเต๋อของสถานศึกษาไม่ได้ ก็ถอยไปเลือกในอันดับรองลงมา จะดีจะชั่วก็ต้องไปด่าชุยฉานให้ได้ ไปเห็นวิชากระบี่ของจั่วโย่ว เล่นหมากล้อมกับเหมาเสี่ยวตง…”

เฉินผิงอันเอ่ยคล้อยตาม “มีเหตุผลๆ”

เจ้าแม่เทพวารี “…”

จงขุยกลั้นยิ้ม “ด่าชุยฉาน? เจ้าแม่เทพวารี หาใช่ข้าดูแคลนเจ้าไม่ ทว่าต่อให้มีข่าวลือบอกว่าขอบเขตของราชครูต้าหลีท่านนั้นถดถอย แต่ก็ยังสามารถใช้สองนิ้วบีบร่างทองของเจ้าให้แตกสลายได้อยู่ดี”

เจ้าแม่เทพวารีพูดอย่างเต็มไปด้วยเหตุผล “ข้าด่าอยู่นอกประตูเมืองหลวงต้าหลีแค่ไม่กี่คำ เขาก็ได้ยินด้วยหรือ?”

จงขุยมองค้อน “แบบนั้นเขาคงไม่ได้ยินจริงๆ นั่นแหละ”

คนทั้งสามต่างคนต่างดื่มเหล้าของตัวเองไป

บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด

พอปีศาจใหญ่ที่อยู่ใกล้กับสำนักฝูจีตนนั้นถูกเปิดโปงตัวตนก็อาละวาดอย่างเหี้ยมโหด ถึงกับทำให้คู่รักขอบเขตหยกดิบที่เชี่ยวชาญการร่วมมือกันโจมตีตายหนึ่งบาดเจ็บหนึ่ง สนามรบยังอยู่ที่ภูเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักฝูจี ต่อให้ปีศาจใหญ่ตนนั้นอาศัยข้อได้เปรียบที่มีร่างกายแข็งแรงทนทานมาตั้งแต่เกิด แต่เกรงว่าอย่างน้อยขอบเขตของมันต้องเป็นขอบเขตสิบสองถึงจะได้

ปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินตนหนึ่งที่เดิมทีควรมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วทิศกลับซ่อนตัวอยู่ในภาคกลางของใบถงทวีปอย่างเงียบเชียบมานานหลายปีขนาดนี้? โดยที่สำนักฝูจี สำนักศึกษาต่างก็สัมผัสไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย? อีกทั้งตอนที่ผู้นำของภูเขาไท่ผิงจะขัดขวางไม่ให้มันลงสู่ทะเล คุกที่คุมขังภูตผีปีศาจของภูเขาไท่ผิงกลับเปิดออกพอดี ทำให้เหล่าปีศาจเผ่นหนีไปทั่วทิศได้สำเร็จ?

บวกกับที่ก่อนหน้านี้มีข่าวลือบอกว่าอาวุธเซียนที่ล้ำค่าในสมัยโบราณทยอยกันปรากฎตัวในทักษินาตยทวีป ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปก็ได้ชักนำให้ผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนเข่นฆ่าช่วงชิงกันมากพอแล้ว

เจ้าแม่เทพวารีถามอย่างระมัดระวัง “ขอถามสักคำ อาจารย์เจ้าขุนเขาของเจ้าออกมาจากสำนักศึกษา บุกไปเป็นแนวหน้าเพื่อสังหารปีศาจใหญ่ตนนั้น ไม่กลัวว่าตัวเองจะตายจริงๆ หรือ?”

จงขุยโมโหจนกลายเป็นขำ “ช่วยเห็นข้อดีของอาจารย์ข้าบ้างได้ไหม? อีกอย่างใต้หล้านี้ใครจะถามคำถามข้อนี้ก็ได้ มีเพียงเจ้าแม่เทพวารีอย่างเจ้าที่ไม่ควรถาม สองร้อยกว่าปีมานี้ เจ้าเป็นฝ่ายออกจากจวนปี้โหยวและศาลเทพวารีเพื่อไปต่อสู้กับปีศาจใหญ่ตนนั้นมากี่รอบแล้ว?”

เจ้าแม่เทพวารีดื่มเหล้าหนึ่งคำ “นั่นไม่เหมือนกัน ข้าเป็นแค่เทพวารีตัวเล็กๆ แต่อาจารย์ของเจ้ามีชาติกำเนิดจากจวนอริยะบางท่านของศาลบุ๋น…”

จงขุยชำเลืองตามองนาง “นี่ก็คือหลักการที่เจ้าอ่านเจอมาจากในตำราอริยะปราชญ์ของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งงั้นรึ?”

เจ้าแม่เทพวารีอับอายจนพานเป็นความโกรธ ด่านางต่อหน้าว่าความรู้ตื้นเขิน นางไม่ถือสา แต่จะดึงเอาท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมาเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้เด็ดขด จึงตบโต๊ะถลันพรวดลุกขึ้นยืน “จงขุย หากเจ้ายังพูดจาเหน็บแนมเสียดสีไม่เลิกก็คายบะหมี่และสุราที่กินออกไปมาเลย!”

จงขุยดื่มเหล้าหนึ่งคำ “ข้าจะดื่มเหล้าของเจ้าแล้วจะทำไม”

เขาดื่มอีกหนึ่งคำ “ข้าดื่มอีกแล้ว อร่อยจริงๆ”

เจ้าแม่เทพวารีโกรธจนหน้าเขียว สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

เฉินผิงอันพูดขึ้นเบาๆ “ที่บ้านเกิดข้ามีซุ้มประตูอยู่แห่งหนึ่ง ป้ายหนึ่งในสี่ป้ายเขียนคำว่า ‘ตังเหรินปู้รั่ง’ (ไม่เกี่ยงงอนในสิ่งที่สมควรกระทำ) นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมอาจารย์ของจงขุยถึงเลือกทำเช่นนี้ ก่อนหน้านี้จงขุยพูดว่าเหตุใดใต้หล้าไพศาลถึงยินดีปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ลัทธิขงจื๊อเป็นผู้กำหนด การกระทำของอาจารย์จงขุยในวันนี้ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นหรือตาย ในบรรดาพวกเราสามคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่พูดถึงจงขุยที่เป็นลูกศิษย์ของเขา อย่างน้อยข้ากับเจ้าแม่เทพวารีอย่างเจ้าย่อมรู้สึกว่าการกระทำของสำนักศึกษาต้าฝูมากพอจะทำให้ผู้คนนับถือเลื่อมใสในคุณธรรมที่สูงส่งของพวกเขา วันหน้าหากข้ามีบุตรชายหญิง เมื่อพวกเขาออกจากบ้านมาท่องเที่ยวทั่วหล้า ข้าจะต้องบอกให้พวกเขามาเยือนใบถงทวีป ไปเยือนสำนักศึกษาต้าฝูสักครั้ง”

จงขุยพยักหน้ารับ ยกถ้วยเหล้าดื่มคารวะเฉินผิงอันหนึ่งครั้ง

เจ้าแม่เทพวารีอืมรับหนึ่งที เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ จึงดื่มคารวะเฉินผิงอันหนึ่งถ้วยเช่นกัน

ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา

จงขุยวางถ้วยเหล้าลง เตรียมจะทำเรื่องสุดท้ายให้เสร็จสิ้น นั่นคือไปจากจวนปี้โหยวลำคลองหมายเหอแห่งนี้

เผยเฉียนวิ่งเหยาะๆ มาหยุดอยู่นอกธรณีประตูของห้องโถงใหญ่ มือสองข้างทำเป็นท่ากอบน้ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความลิงโลด ตะโกนเสียงดังพูดกับเฉินผิงอันคล้ายกำลังโอ้อวดสมบัติล้ำค่า “ข้าวักน้ำกอบหนึ่งมาได้จากบนผนังบังตา อยากดูสักหน่อยไหม?”

นางลดแขนลงต่ำ ระหว่างมือสองข้างที่สิบนิ้วประสานกันมีน้ำสีเขียวมรกตอยู่จริงๆ

เฉินผิงอันมองปราดหนึ่ง “เอากลับไปคืน”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที ก่อนจะวิ่งตุปัดตุเป๋กลับไปทางเดิม ด้านหลังมีสาวใช้ที่ปิดปากหัวเราะเดินตามไป

เจ้าแม่เทพวารีรู้สึกว่าเด็กหญิงตัวน้อยน่าสนใจมาก จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “แค่แก่นน้ำในลำคลองกอบมือเดียวเท่านั้น ไม่มีค่าเท่าไหร่หรอก อันที่จริงคุณชายไม่ต้องให้นางเอากลับไปคืนก็ได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า แต่ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด

จงขุยเองก็มีวัตถุฟางชุ่นที่พกติดตัวไว้ตลอดเวลาเช่นกัน คือที่ทับกระดาษซึ่งเป็นรูปสัตว์เทพทองสัมฤทธิ์ขนาดเล็กกะทัดรัดชิ้นหนึ่ง มีนามว่าเซี่ยจื้อ (เป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายสิงโตที่มีเขาเดียว สามารถแยกแยะถูกผิดได้โดยสัญชาตญาณ จึงถือกันเป็นสัญลักษณ์แห่งกระบวนการยุติธรรม)

หยิบเหล็กหมาดหิมะที่บนด้ามสลักคำว่า ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ ออกมาอีกครั้ง รวมไปถึงกระดาษยันต์สีทองสามแผ่น ผิวกระดาษมีลายอักษรจ้วนซูประทับจางๆ

เฉินผิงอันมองไม่ออกว่าเป็นกระดาษอะไร รู้เพียงว่าไม่ค่อยเหมือนกระดาษยันต์สีทองของตัวเองสักเท่าไหร่ ทว่าเจ้าแม่เทพวารีกลับเป็นผู้เชี่ยวชาญที่รู้จักกระดาษยันต์ชนิดนี้ นางเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “กระดาษลมฟ้า? แบ่งออกเป็นลายกรงเล็บมังกร ลายเส้นเอ็นหยก ลายหลิงจือ มันมีค่ามากเลยนะ ตอนแรกที่จวนปี้โหยวของข้าเพิ่งบุกเบิกพื้นที่สร้างจวน หากพูดถึงกระดาษยันต์ประเภทนี้ ทางราชสำนักต้าเฉวียนก็ยังแค่เคยมอบกระดาษลมฟ้าลายกรงเล็บมังกรมาให้แผ่นเดียวเท่านั้น”

เห็นว่าเฉินผิงอันมีสีหน้าปกติราวกับไม่รู้ถึงมูลค่าของยันต์แผ่นนี้ เจ้าแม่เทพวารีก็อธิบายว่า “ยันต์ที่เขียนสำเร็จด้วยกระดาษยันต์ประเภทนี้สามารถกำราบภูตผีได้ดีที่สุด ต่อให้เป็นเซียนดินที่สูงส่งเหนือผู้ใดอย่างโอสถทอง ก่อกำเนิดก็ยังมองวัตถุชนิดนี้เป็นของรักของหวง ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด ผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าขอบเขตโอสถทองคิดจะซื้อกระดาษลมฟ้าแค่สามแผ่น คาดว่าคงต้องสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว”

ใช่ว่าเฉินผิงอันจะไม่รู้ถึงข้อดีของกระดาษยันต์สีทอง ตอนนั้นที่อยู่ในสนามรบแคว้นซูสุ่ย ติดตามอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งอวี่เซาบุกทะลวงขบวนรบไป ข้ารับใช้เชื้อพระวงศ์คนหนึ่งก็เคยเรียกยันต์สีทองออกมาเชิญตัวเทพเกราะทองตนหนึ่งเพื่อขัดขวางการลอบโจมตีของเฉินผิงอัน เฉินผิงอันได้เห็นกับตาตัวเองว่าหลังจากผู้เฒ่าโยนยันต์แผ่นนั้นออกมา เขามีท่าทางร้าวรานใจน่าสงสารเพียงใด

“ตอนนี้แม้แต่ภูเขาไท่ผิงก็ไม่สงบสุขแล้ว แค่คิดก็พอจะรู้ได้ว่าภาคกลางของใบถงทวีปจะวุ่นวายเพียงใด เดินทางท่องอยู่ในยุทธภพ ไม่มียันต์ติดตัวสักแผ่นสองแผ่นคงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่”

จงขุยวางยันต์สามแผ่นไว้บนโต๊ะ ในมือถือเหล็กหมาดหิมะ ก่อนจะวาดยันต์ เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน สหายส่วนสหาย แต่เรื่องเงินทองควรคิดให้ชัดเจน ข้าช่วยเจ้าเขียนยันต์สามแผ่น ยันต์ทหารตรีปฏิภาณฟ้าดินและมนุษย์นี้มีปราณสังหารเข้มข้น เหมาะกับการใช้สยบกำราบผีร้ายพอดี เป็นยันต์สยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะชุดหนึ่งที่ข้าสร้างขึ้นเอง สามารถเอาไปใช้เดี่ยวๆ ได้ มากพอจะข่มขู่ให้ภูตผีขอบเขตโอสถทองถอยหนี ต่อให้เป็นราชาแห่งผีขอบเขตก่อกำเนิด เมื่อใช้ยันต์สามแผ่นพร้อมกัน ขอแค่เอาออกมาใช้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้มันบาดเจ็บสาหัสได้ ถือว่านี่เป็นดอกเบี้ยจากที่ข้ายืมเหล็กหมาดหิมะของเจ้าก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันตบไหล่เขา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อมันล้ำค่าขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ให้เจ้ายืมเหล็กหมาดหิมะได้อีกหลายวัน”

จงขุยสะบัดไหล่ปัดมือของเฉินผิงอันทิ้ง มองค้อนปะหลับปะเหลือก “ข้าไม่สนิทกับเจ้าสักหน่อย”

เจ้าแม่เทพวารีเดาะลิ้นไม่หยุด เดาไม่ออกจริงๆ ว่าคนทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างไร คนหนึ่งยอมให้ยืมสมบัติอาคมชั้นเยี่ยม อีกคนหนึ่งยอมมอบกระดาษลมฟ้าให้ถึงสามแผ่น

จงขุยทำท่าเหมือนตอนเขียนกลอนคู่ในโรงเตี๊ยม เริ่มวางมาดน่าเชื่อถืออีกครั้ง มือข้างหนึ่งถือพู่กันค้างอยู่กลางอากาศ เตรียมจรดพู่กันวาดยันต์ มือข้างหนึ่งสะบัดชายแขนเสื้อ ยกขึ้นสูง “อริยะเคยกล่าวว่า อ่านตำราหมื่นเล่ม จรดพู่กันดุจมีเทพช่วย เจ้าแม่เทพวารี เอาเหล้ามา!”

เจ้าแม่เทพวารียื่นเหล้าถ้วยหนึ่งส่งให้เขา

เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “อย่าทำเป็นเล่น วาดยันต์ให้ดี วาดผิดแล้วจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องเปลี่ยนกระดาษลมฟ้าแผ่นใหม่ให้ข้า เจ้าบอกเองว่าสหายก็ส่วนสหาย เรื่องเงินต้องคิดกันให้ชัดเจน”

จงขุยวางถ้วยเหล้าที่เดิมทีคิดจะเอามาเพิ่มความฮึกเหิมลงอย่างขุ่นเคือง เฉินผิงอันจึงพูดอีกว่า “ข้าล้อเจ้าเล่น”

จงขุยหน้ามุ่ย

เจ้าแม่เทพวารีเริ่มรู้สึกเลื่อมใสในตัวของคุณชายหนุ่มที่ปล่อยจิตหยินออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืนคนนี้บ้างแล้ว

เจ้าไม่หวาดเกรงวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาบ้างเลยหรือไร?

จงขุยกรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ เรอออกมาดังเอิ้ก แล้วภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น ปราณวิญญาณสีขาวหิมะเป็นเส้นๆ คล้ายปราณแห่งความเที่ยงธรรมในท้องของบัณฑิตถูกจงขุยพ่นออกมา ปราณแห่งความเที่ยงธรรมเหล่านั้นล้อมพันอยู่ตรงปลายพู่กันของเหล็กหมาดหิมะ ยันต์ที่จงขุยวาดไม่สอดคล้องกับกฎดั้งเดิมของการวาดยันต์ เพราะไม่ได้ ‘จรดพู่กัน’ สัมผัสกับกระดาษ แต่ท่องกลอนประโยคหนึ่งออกมาแทน “แม่ทัพใหญ่เพิ่งออกจากประตูวัง ทหารม้าเกราะเหล็กก็พุ่งพังฐานที่มั่น”

หลังจากนั้นสะบัดข้อมือเบาๆ หนึ่งที ปลายพู่กัน ‘จรดลง’ วาดเป็นคนจิ๋วขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหลายคนเรียงติดกัน

หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าเป็นขุนพลบู๊ขี่ม้าสวมเกราะเหล็กสีเงินยวง ทหารม้าหลายร้อยนายที่อยู่บนกระดาษลมฟ้ากำลังจัดขบวนทัพอย่างว่องไว ก่อนที่ต่างคนต่างดึงบังเหียนหยุดม้า

จงขุยที่มือขวาถือพู่กัน สองนิ้วมือซ้ายประกบกันชี้ไปยังกระดาษยันต์หนึ่งทีพลางเอ่ยเสียงหนัก “นิ่ง!”

ทหารม้าเกราะเหล็กเหล่านั้นหลอมละลายผสานรวมเข้าไปในกระดาษยันต์สีทองในเสี้ยววินาที

ชั่วพริบตานั้นก็กลายเป็นกระดาษยันต์หนึ่งแผ่น

หลังจากนั้นอีกสองแผ่นก็ใช้วิธีวาดที่ไม่ต่างกัน คู่ควรกับคำกล่าวสรรเสริญว่า ‘ใต้ข้อมือมีผีและเทพ’ อย่างยิ่ง

เจ้าแม่เทพวารีทอดถอนใจด้วยความชื่นชม ไม่เสียแรงที่เป็นว่าที่อริยะของสำนักศึกษาต้าฝู ไม่พูดถึงคุณธรรมและความรู้ ลำพังเพียงแค่การเขียนยันต์นี้ก็น่าจะทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งตบโต๊ะร้องชมเชยอย่างถูกใจได้แล้ว

จงขุยมอบกระดาษยันต์สามแผ่นให้เฉินผิงอัน “ยันต์ทหารตรีปฏิภาณนี้วาดสำเร็จแล้ว”

เฉินผิงอันรับแผ่นยันต์มาอย่างระมัดระวัง ก่อนถามยิ้มๆ ว่า “วาดยันต์สามแผ่น เหนื่อยไหม?”

จงขุยตบท้องตัวเอง หลุดหัวเราะพรืด “เรื่องเล็กน้อย! ในท้องข้ามีกลยุทธ์อยู่เต็มเปี่ยม ซุกซ่อนทหารสวมเสื้อเกราะไว้หนึ่งแสนนาย ก็แค่ยันต์สามแผ่นเท่านั้น…เท่านั้น?”

จงขุยปากอ้าตาค้าง เพราะเขาเห็นว่าเฉินผิงอันเพิ่งเก็บยันต์สามแผ่นไปก็หยิบกระดาษยันต์ออกมาอีกสามแผ่น แผ่นที่อยู่ด้านบนสุดเป็นกระดาษสีทอง แต่กลับไม่ใช่กระดาษลมฟ้าที่พื้นเป็นลายตัวอักษรโบราณ ราวกับว่าจะมีประวัติความเป็นมายาวนานยิ่งกว่า

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด