กระบี่จงมา 350.3 ลำคลองหมายเหอได้รับแต่งตั้งสายสืบทอดดั้งเดิม ยืมดาบศาลบู๊ วานรขาวสะพายกระบี่

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 350.3 ลำคลองหมายเหอได้รับแต่งตั้งสายสืบทอดดั้งเดิม ยืมดาบศาลบู๊ วานรขาวสะพายกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในจุดพักม้า บนกระดานหมากรู้ผลแพ้ชนะแล้ว ยังคงเป็นสุยโย่วเปียนที่แพ้

สำหรับเรื่องการประชันหมากล้อมนี้ สุยโย่วเปียนไม่ได้ยึดติดกับผลแพ้ชนะเท่าใดนัก

หลูป๋ายเซี่ยงทบทวนกระดานหมากที่เพิ่งเล่นไปเมื่อสักครู่อยู่เพียงลำพังในห้อง สายตาเขาจ้องนิ่งไปที่กระดานหมาก สองนิ้วคีบเม็ดหมากที่เหลือวางลงบนโต๊ะแล้วหมุนเบาๆ

ในห้องที่ห่างออกไปไม่ไกล เฉินผิงอันกำลังแกะสลักกระบอกไม้ไผ่ เขาพยายามจะแกะสลักบทความของอริยะปราชญ์บทหนึ่งไว้ด้านนอกของกระบอกไม้ไผ่

โชคดีที่การแกะสลักตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่ตลอดหลายปีมานี้ทำให้เขาพอจะมีความคุ้นเคยอยู่บ้าง อีกทั้งยังมีพื้นฐานการขึ้นรูปเครื่องปั้นสมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม ไม่กล้าพูดว่าตัวอักษรที่สลักลงไปเปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองแห่งความมีชีวิตชีวา แต่ในระหว่างตัวอักษรก็ยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของความเป็นระเบียบเรียบร้อย รอยสลักไม่ได้ลึกลงไปในเนื้อไม้สามส่วน ไม่ได้มีพลังอำนาจแกร่งกร้าวกดดันผู้อื่น แต่กลับเหมือนธารน้ำเส้นยาวที่ไหลรินอย่างอ่อนโยน สรุปก็คือพอจะน่าสนใจอยู่บ้าง

มีคนกล่าวว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างบำเพ็ญตบะเพื่ออายุขัยที่ยืนยาว ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางแสวงหาความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนเดินเพียงลำพังอยู่บนมหามรรคาที่สูงกว่าใครและทอดยาวยิ่งกว่าใครโดยที่แทบไม่เคยหยุดพักเลยแม้แต่นาทีเดียว

เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าแบบนี้มีอะไรที่ไม่ถูก ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำสิ่งที่มีประโยชน์จึงจะถือว่าไม่ผิดต่อกาลเวลา เพียงแต่ว่าบางครั้งก็ยังจำเป็นต้องหยุดเดิน บ้างก็ต้องชะลอฝีเท้า ทำจิตใจให้สงบชื่นชมทัศนียภาพที่อยู่ข้างทางบ้าง

การสลักตัวอักษรที่งดงามลงไปบนแผ่นไม้ไผ่ก็คือการทำเช่นนี้ ทำกระบอกเก็บพู่กันที่ไม่มีราคาค่างวด มีเพียงความตั้งใจจริงด้วยมือของตัวเองก็เป็นเช่นเดียวกัน

หนึ่งค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบสุข

เฉินผิงอันนั่งแกะสลักกระบอกไม้ไผ่อยู่จนเกินครึ่งคืน

นอนหลับไปสองชั่วยามก็ตื่นขึ้นมาฝึกท่าหมัดพร้อมกับท่าจับกระบี่เสมือนจริงต่ออีกครั้ง

ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว

ไม่รู้ว่าจะโชคดีได้เห็นหิมะใหญ่ครั้งแรกของปีที่ท่าเรือข้ามฟากนอกเมืองซิ่นจิ่งหรือไม่

ว่ากันว่าเมืองเซิ่นจิ่งที่อยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลนงดงามราวกับดินแดนแห่งเซียน

ตอนที่กินอาหารเช้า เฉินผิงอันรู้ว่าขบวนเดินทางตระกูลเหยาจะหยุดพักอยู่ในเมืองฉีเฮ้อสองวันก็ไม่ได้ใส่ใจนัก

เหยาเซียนจือวิ่งมาหาเฉินผิงอัน บอกว่าทุกคนนัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะไปเที่ยวภูเขาลูกเล็กที่เซียนผู้นั้นขี่กระบี่บินทะยาน อีกทั้งผู้ว่าฯ ของเมืองก็มาแจ้งกับจุดพักม้าไว้นานแล้วว่า ไม่ว่าแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาจะไปหรือไม่ไปที่นั่น วันนี้บริเวณใกล้เคียงกับภูเขาเล็กก็จะถูกปิด ไม่อนุญาตให้คนอื่นขึ้นเขา

พอไปรวมตัวกัน เฉินผิงอันถึงได้สังเกตเห็นว่าคนที่จะไปเที่ยวมีอยู่ไม่น้อย สามเหยาวัยเดียวกัน เส้ายวนหรานนักพรตเต๋าที่สวมชุดสีเขียว และยังมีสุยโย่วเปียนที่น้อยครั้งจะปรากฏตัวด้วย

เว่ยเซี่ยงกับหลูป๋ายเซี่ยงเลือกจะอยู่ที่จุดพักม้า เพียงแต่ว่าท่านแม่ทัพผู้เฒ่าที่ชอบท่องเที่ยวตามภูเขาและแม่น้ำมาตลอดทางกลับไม่ได้ไปด้วยในครั้งนี้ ออกจะผิดปกติอยู่บ้าง

ออกจากจุดพักม้าในวันนี้ เฉินผิงอันเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ขอบเขตสูงขึ้นไปอีกระดับแล้ว ดังนั้นเขาจึงปรากฏตัวในชุดขาว หากมีคนตั้งใจสังเกตก็จะเห็นว่าบนมวยผมยังปักปิ่นหยกสีขาวชิ้นหนึ่งด้วย

ราชวงศ์ต้าหลีอยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป เดิมทีบุรุษหนุ่มวัยฉกรรจ์ก็มีเรือนกายที่สูงใหญ่อยู่แล้ว สูงกว่าคนทางใต้อย่างนครมังกรเฒ่าอย่างน้อยก็ครึ่งศีรษะ อีกทั้งบุรุษที่อายุสิบห้าสิบหกปีก็แต่งงานมีครอบครัวกันได้แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้บ่อยในชนบทของแจกันสมบัติทวีป มีเพียงตระกูลชนชั้นสูงและตระกูลปัญญาชนเท่านั้นที่จะพิถีพิถันเรื่องที่ต้องรอให้บุรุษอายุยี่สิบปีก่อนจึงจะแต่งงาน

หลังจากที่เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดมา เรือนกายของเขาก็สูงชะลูดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็มีรูปลักษณ์ของคนหนุ่มอย่างแท้จริงแล้ว

ด้านหลังมีเผยเฉียนที่ร่างผอมแห้งผิวดำเกรียมตามก้นมาด้วย

มีเพียงอยู่ข้างกายเฉินผิงอันเท่านั้น นางถึงจะไม่รู้สึกกลัวจูเหลี่ยน

คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกเล็กที่อยู่ใจกลางเมือง ตอนที่เดินผ่านศาลบู๊ของเขตการปกครองได้เห็นคนประหลาดคนหนึ่งและเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง

นั่นคือเด็กหนุ่มร่างสูงกำยำที่บนกายมีคราบเลือด เขาบุกเข้าไปในศาลบู๊ ผลกลับถูกคนเฝ้าศาลพาคนมาช่วยกันจับเขาโยนออกมาจากประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว

ศาลบุ๋นบู๊สองแห่งของเขตการปกครองไม่ใช่สถานที่ที่คนไม่เกี่ยวข้องจะไปก่อความวุ่นวายได้

หลังจากที่เด็กหนุ่มคนนั้นถูกโยนออกไปนอกประตู เขาก็โขกหัวให้กับทางศาลบู๊อย่างแรงเสียงดังตึงๆ เป็นการวิงวอนขอร้อง

คนเฝ้าศาลคือผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนหนึ่ง เขายืนอยู่บนบันไดขั้นสูงสุด ตวาดใส่เด็กหนุ่มด้วยสีหน้าดุดัน “ดาบที่อริยะของศาลบู๊ถือไว้ในมือจะปล่อยให้มนุษย์ธรรมดามาแตะต้องได้อย่างไร?! เห็นแก่ที่เจ้าอายุน้อยไม่รู้ความ เรื่องที่บุกเข้ามาในศาล ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า รีบไปซะ หยุดคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว!”

ที่แท้เด็กหนุ่มบุกเข้าไปในศาลบู๊ก็เพราะอยากจะยืมดาบของอริยะ

เด็กหนุ่มโขกหัวจนศีรษะบวมแดงและมีเลือดไหลลงมาเป็นทางแล้ว เขาเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความสิ้นหวัง พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “อาจารย์คือชาวบ้านของเขตการปกครองแห่งนี้ มุ่งมั่นอยากกำจัดปีศาจปราบความชั่วร้าย ตอนนี้ถูกกักตัวอยู่ในป่าเขาวงกต ชีวิตตกอยู่ในอันตราย! หลังจากที่อาจารย์ส่งข้าพ้นจากไอพิษหมอกภูเขามาแล้วก็บอกว่ามีเพียงขอยืมดาบยาวเล่มนั้นจากนายท่านในศาลบู๊มา ถึงจะมีโอกาสสังหารปีศาจใหญ่ดุร้ายที่สร้างหายนะให้แก่ผู้คนตนนั้น! ท่านผู้เฒ่าผู้เฝ้าศาล ข้าขอร้องท่านล่ะ นี่เป็นเรื่องของการทำความดีสั่งสมบุญกุศล นายท่านอริยะบู๊ไม่มีทางโกรธแน่…”

ผู้เฒ่าที่มากบารมีหัวเราะเสียงเย็น “นายท่านอริยะบู๊จะโกรธหรือไม่โกรธ เจ้าเป็นคนตัดสินใจเองได้งั้นหรือ?! เอาอาวุธของอริยะศาลบู๊ท่านหนึ่งไปใช้กับเรื่องส่วนตัว ตามกฎหมายของต้าเฉวียนแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีโทษเช่นไร?! หากเป็นขุนนางในพื้นที่หรือนายอำเภอจะต้องถูกถอดออกจากตำแหน่ง! เจ้าเมืองต้องถูกลดระดับขั้น ผู้ว่าฯ ถูกปรับเงินเดือนสามปี!”

เด็กหนุ่มพึมพำอย่างร้าวรานใจสุดขีด “ในท้องถิ่นมีปีศาจออกอาละวาดทำร้ายผู้คน เหล่าขุนนางไม่สนใจก็ช่างเถิด ทว่าตอนนี้แม้แต่นายท่านอริยะบู๊ก็ยังไม่คิดจะสนใจอีกหรือ?”

ผู้เฒ่ามองดูเหมือนพูดจาดุดัน สายตาเย็นชา แต่ความจริงกลับถอนหายใจอยู่ในใจ

เด็กหนุ่มเอ๋ย เรื่องราวในโลกง่ายดายอย่างที่เจ้าคิดซะเมื่อไหร่

จูเหลี่ยนเลิกเปลือกตาขึ้นชำเลืองมองเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าเขา

เฉินผิงอันกำลังจะยกเท้าขึ้น เส้ายวนหรานกลับก้าวยาวๆ ออกไปก่อนแล้ว เฉินผิงอันจึงหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองลงอย่างเงียบเชียบ

เส้ายวนหรานมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กหนุ่ม ย่อตัวลงถาม “อาจารย์ของเจ้าถูกกักตัวอยู่ที่ไหน รู้หรือไม่ว่าปีศาจมีตบะอยู่ในขั้นใด?”

เด็กหนุ่มตอบทุกคำถามอย่างละเอียด

เส้ายวนหรานยื่นมือประคองเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้น มือข้างหนึ่งจับไหล่เขา ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าจะไปช่วยอาจารย์ของเจ้า ช่วยเขากำจัดปีศาจ”

เส้ายวนหรานหันหน้ากลับมามองเหยาจิ้นจือที่สวมผ้าคลุมหน้า เอ่ยขออภัย “แม่นางเหยา เกรงว่าข้าคงไปภูเขาลูกเล็กด้วยไม่ได้แล้ว”

เหยาจิ้นจือพยักหน้ารับเบาๆ มองเห็นใบหน้าที่อยู่ใต้ผ้าคลุมได้ไม่ชัดเจน

เส้ายวนหรานจับตัวเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วกระโดดพรวดขึ้นไปบนหลังคาที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นกระโดดเหมือนกบแตะผิวน้ำอีกไม่กี่ครั้งก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เหยาหลิ่งจือเด็กสาวห้อยดาบเลื่อมใสอยู่ในใจ ความประทับใจที่มีต่อข้ารับใช้หนุ่มของต้าเฉวียนอย่างเส้ายวนหรานดีขึ้นมาหลายส่วน

ก่อนหน้านี้เผยเฉียนหรี่ตามองเจ้าคนแซ่เส้าผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา นางเอียงศีรษะ พูดอะไรไม่ออก

มีเรื่องนี้เกิดขึ้น การขึ้นเขาไปเที่ยวหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจสักเท่าไหร่ อีกอย่างภูเขาเล็กลูกนี้ก็เล็กมากจริงๆ ไม่มีสถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจอะไรเลย

มีเพียงสุยโย่วเปียนที่สะพายกระบี่อยู่ด้านหลังที่พอมายืนอยู่บนยอดเขา แหงนหน้ามองผืนฟ้าแล้วสายตาฉายประกายร้อนแรง

นอกจากเฉินผิงอันจะเสียดายที่ทัศนียภาพรอบด้านธรรมดาไม่น่าตื่นเต้นแล้วก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมามากนัก

……

เทพภูเขาลงน้ำ เทพวารีขึ้นภูเขาก็ดี หรือเด็กหนุ่มแห่งเมืองฉีเห้อมาขอยืมดาบจากศาลบู๊ก็ช่าง สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาเรื่องหนึ่ง

สำนักต้าฝูเดินทางไปรวมตัวกับภูเขาไท่ผิง ร่วมมือกันขัดขวางไม่ให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองตนนั้นหนีลงมหาสมุทรไปต่างหากถึงจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างแท้จริง

อีกทั้งการที่วิญญูชนจงขุยไปเยือนภูเขาไท่ผิงก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก

นอกจากวิญญูชนอีกสองท่าน นักปราชญ์สามคนและลูกศิษย์ในสำนักศึกษาต้าฝูอีกยี่สิบกว่าคนแล้ว บัณฑิตของสำนักศึกษาเหวินยวนที่อยู่ไปทางใต้ยิ่งกว่าก็ยิ่งส่งคนไปเยือนภูเขาไท่ผิงเป็นจำนวนมาก มากถึงห้าสิบกว่าคน น่าเสียดายที่มีผู้เฒ่าซึ่งมียศวิญญูชนอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาคนอื่นๆ ต่างก็มีตบะเทียบชั้นกับคนของสำนักศึกษาต้าฝูไม่ได้

นี่ก็คือจุดที่ทำให้สำนักศึกษาเหวินยวนกระอักกระอ่วนใจ ชื่อเสียงของสำนักแห่งนี้ไม่โด่งดังนัก เป็นสำนักที่ไร้คนมีพรสวรรค์มากที่สุดในบรรดาสำนักศึกษาใหญ่สี่แห่งของใบถงทวีป มักจะมีข่าวลือจากบนภูเขาเป็นประจำว่าสำนักศึกษาเหวินยวนแห่งนี้น่าจะใกล้ถูกถอดยศออกจากหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาเต็มที เพราะสำนักศึกษาแห่งนี้ไม่มีวิญญูชนคนใหม่มาเกือบร้อยปีแล้ว เจ้าขุนเขาและรองเจ้าขุนเขาสามท่านก็ไม่สามารถเขียนบทความอริยะปราชญ์ที่น่าสนใจออกมาได้ คนบนโลกที่เดินทางไปเที่ยวชมสำนักศึกษาเหวินยวนล้วนไม่ใช่เพื่อไปหาอริยะปราชญ์ แต่ไปเพราะหอเหวินหยวนมีตำราจำนวนนับไม่ถ้วนเก็บสะสมไว้

จงขุยไปถึงภูเขาไท่ผิงแล้วก็ทำตามคำสั่งของอาจารย์อย่างเคร่งครัด บอกให้ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาต้าฝูทุกคนเชื่อฟังการจัดการจากนักพรตของภูเขาไท่ผิง ห้ามตัดสินใจทำอะไรเองโดยพลการเด็ดขาด

แม้ว่าปัญหาวุ่นวายจะเกิดขึ้นทั่วทุกสารทิศไม่หยุดหย่อน ทว่าไม่ว่าจะเป็นนักพรตรุ่นไหนของภูเขาไท่ผิงต่างก็ไม่มีใครที่ตระหนกลนลาน แต่ละคนตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดและเป็นระบบระเบียบ ผู้ฝึกลมปราณกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าลงจากภูเขาไปล้อมปราบภูตผีปีศาจในสถานที่ต่างๆ บ้างก็เกิดความเสียหาย ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย คนที่รบตายส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักพรตของภูเขาไท่ผิง นี่ทำให้ผู้ฝึกลมปราณของสำนักศึกษาใหญ่สองแห่งและคนจากตระกูลเซียนอีกมากมายเกิดความเคารพเลื่อมใส ยิ่งให้ความร่วมมืออย่างจริงใจมากขึ้น ระหว่างการเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง คนที่ทุกคนซึ่งมาจากหลากหลายสถานที่แต่กลับมีศัตรูร่วมกันพูดถึงมากที่สุดย่อมต้องเป็นเด็กหนุ่มนักการฝ่ายนอกของสำนักฝูจีที่เพียงแค่การกระทำเดียวก็ได้กลายเป็นคนมีชื่อเสียง ว่ากันว่าเจ้าสำนักฝูจีได้รับเขาไว้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายแล้ว อีกทั้งยังมอบอาวุธกึ่งเซียนที่หล่อหลอมมาร้อยปีซึ่งเคยเป็นของคู่บำเพ็ญตนของเขาให้เด็กหนุ่มด้วย

หากไม่เป็นเพราะเด็กหนุ่มคนนี้ไปเจอกับแผนการชั่วร้ายของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองตนนั้นโดยบังเอิญ เป็นเหตุให้ปีศาจใหญ่ต้องออกฤทธิ์ก่อเรื่องก่อนถึงเวลาที่วางแผนไว้ ผลลัพธ์ที่จะตามมาย่อมร้ายแรงอย่างที่ใครก็ไม่อาจคาดฝัน บ่ออเวจีที่ใช้สยบภูตผีปีศาจของภูเขาไท่ผิงบ่อนั้น เกรงว่าจะไม่ใช่แค่ปีศาจเกินครึ่งที่หนีไปได้ แต่ต้องเป็นทั้งหมดที่ได้เห็นแสงตะวันใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะปีศาจหลายตนที่อยู่ชั้นล่างสุดที่ตบะลึกล้ำ ต่ำสุดก็เป็นก่อกำเนิด

ในช่วงสิบวันที่ผ่านมานี้มีภูตผีปีศาจที่อำพรางตัวอยู่ในที่ต่างๆ ทยอยกันโผล่ออกมาสร้างหายนะให้กับพื้นที่แต่ละแถบอย่างกำเริบเสิบสาน อีกทั้งภูตผีปีศาจกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นขอบเขตประตูมังกรและขอบเขตโอสถทอง จึงล้อมปราบได้ยากยิ่ง

ภูเขาไท่ผิงไม่กล้าประมาท ไม่ว่าจะเป็นนักพรตของสำนักหรือคนบนเส้นทางเดียวกันที่มาให้ความช่วยเหลือภูเขาไท่ผิงก็ล้วนถูกระดมตัวออกไปแทบทั้งหมด

มีเพียงวิญญูชนจงขุยที่เลือกจะอยู่ในภูเขาไท่ผิง

ทุกคนต่างก็ไม่มีความเห็นต่าง การเดินทางกำจัดปีศาจปราบมารทั่วสารทิศในครั้งนี้ จงขุยคือคนที่สังหารฝ่ายศัตรูได้มากที่สุด อีกทั้งเขายังไม่ได้แค่ปกป้องลูกศิษย์ในสำนักศึกษาของตัวเองเท่านั้น หลายครั้งที่การเข่นฆ่าด้านล่างภูเขาเผชิญกับความอันตราย เขาก็จะเป็นฝ่ายเสนอตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มของผู้ฝึกลมปราณสำนักอื่น ดังนั้นก่อนจะลงไปจากภูเขาด้วยตัวเอง เซียนดินก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงที่เดิมทีรับผิดชอบควบคุมสถานการณ์ใหญ่จึงพูดกับจงขุยด้วยรอยยิ้มว่า คงต้องฝากสำนักให้ท่านอาจารย์ขุยช่วยดูแลชั่วคราวแล้ว

เซียนดินก่อกำเนิดผู้นั้นเปิดเผยกับจงขุยเป็นการส่วนตัวว่า อีกไม่นานบรรพาจารย์ของภูเขาไท่ผิงท่านนั้นก็จะกลับมาแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะพานักพรตหญิงหวงถิงกลับมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวด้วย

จงขุยจึงหัวเราะเสียงดังพูดว่ารีบกลับมาสิถึงจะดี เขาจะได้ไม่ต้องคอยจับจ้องบ่ออเวจีนั่นทุกวัน

หลังจากนั้นมาทุกวันจงขุยจะต้องเดินไปสำรวจชั้นใต้ดินของบ่ออเวจีเพียงลำพังทุกวัน

กลางดึกคืนนี้เขาเพิ่งจะเดินออกมาจากบ่ออเวจีก็ได้เห็นปีศาจใหญ่ตนหนึ่งที่…เคยได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือ แต่กลับไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

อันที่จริงอย่าว่าแต่เขาจงขุยที่เป็นคนนอกเลย ต่อให้เป็นนักพรตของภูเขาไท่ผิงหลายคนที่มีตบะสูงมากก็ยังไม่เคยพบเจอปีศาจใหญ่ที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาไท่ผิงตนนี้

นั่นคือวานรขาวสะพายกระบี่ สวมชุดดำตนหนึ่ง

ความสูงเท่าเทียมกับบุรุษวัยผู้ใหญ่ทั่วไป เพียงแต่ว่าวานรขาวที่ตบะสูงล้ำกลับไม่ได้จำแลงร่างกลายเป็นคน กลับยังคงสภาพร่างวานรขาวดั้งเดิมของตัวเองเอาไว้

แม้ว่าวานรเฒ่าจะเป็นปีศาจใหญ่ที่มีชื่อเสียงไปทั่วใบถงทวีป แต่ก็เป็นข้ารับใช้ที่พิทักษ์ภูเขาของภูเขาไท่ผิงด้วย ไม่พูดถึงอายุในการบำเพ็ญเพียรของวานรเฒ่าก่อนหน้านี้ ลำพังเพียงแค่เรื่องที่ช่วยคุ้มครองภูเขาไท่ผิงก็ยาวนานถึงสามพันปีแล้ว

อายุของวานรเฒ่าตนนี้สูงกว่าบรรพจารย์ที่หลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวของภูเขาไท่ผิงซึ่งลงจากเขาเดินทางไปข้างนอกด้วยซ้ำ การสร้างบ่ออเวจีเป็นฝีมือที่ใหญ่เทียมฟ้าของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาไท่ผิง ทว่าในกาลเวลาอันยาวนานหลังจากนั้น เรื่องของการเฝ้าบ่ออเวจีนี้ล้วนมอบให้กับวานรขาวที่ชอบสะพายกระบี่ น้อยครั้งจะเผยตัวบนโลกผู้นี้ ภูตผีปีศาจใหญ่ที่หนีไปได้แค่ไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์ล้วนถูกวานรขาวจัดการด้วยมือตัวเองอย่างไม่มีข้อยกเว้น เขาจัดการเสียจนสะอาดเอี่ยมจนถึงขั้นที่ว่าแม้แต่เซียนดินหลายท่านของภูเขาไท่ผิงก็ไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องเกิดขึ้นมาก่อน

ความวุ่นวายครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นตรงกับช่วงเวลาที่วานรเฒ่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบปิดด่าน พยายามจะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเซียนเหรินพอดี

คาดไม่ถึงว่าปิดด่านแค่สามปีห้าปี วานรเฒ่าก็ออกจากด่านแล้ว หรือเป็นเพราะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกจึงจำเป็นต้องปรากฎตัวล่วงหน้า?

ลมฤดูใบไม้ร่วงเยียบเย็น ผืนป่าบนภูเขาเงียบสงัด

ต่อให้วานรเฒ่าแค่ยืนอยู่ข้างกายก็ยังคงทำให้คนรู้สึกเหมือนมีภูเขาสูงใหญ่อยู่ด้านข้าง

จงขุยยังคงสวมชุดสีเขียวตัวเดียวกับตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมริมชายแดน เอ่ยถามว่า “เป็นเจ้า ใช่ไหม?”

วานรขาวสะพายกระบี่ไม่เอ่ยคำใด

เพียงแค่ใช้ปราณกระบี่ที่พุ่งทะยานเป็นสายรุ้งไปจากด้านหลังเป็นคำตอบ

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด