กระบี่จงมา 357.1 ช่วงชิงมรรคาห่างกันเพียงเสี้ยว จั่วโย่วไม่รู้จะไปที่ใด

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 357.1 ช่วงชิงมรรคาห่างกันเพียงเสี้ยว จั่วโย่วไม่รู้จะไปที่ใด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฝนตกถี่กระชั้นเหมือนเสียงรัวกลองในสนามรบ การเข่นฆ่าบนภูเขาดำเนินไปอย่างดุเดือด

โดยเฉพาะเมื่อหลังจากตายไป สตรีบังคับกระบี่ผู้นั้นยังปรากฏตัวอย่างฉับพลันแล้วเดินออกมาจากวัดร้างอย่างปลอดภัยไม่เป็นอะไรสักอย่าง

นี่ทำให้วิญญูชนหวังฉีและปีศาจน้ำแห่งลำคลองหมายเหอที่อยู่บนยอดเขาหันมามองหน้ากันเอง นี่คือวิชาอภินิหารแห่งตระกูลเซียนวิชาใด? หรือว่าโฉมสะคราญที่มีวิชากระบี่เลิศล้ำคือยันต์หุ่นเชิดของสำนักนอกรีตลัทธิเต๋า? หรือว่าเป็นวิชากลไกของสำนักโม่ที่ไม่มีใครรู้จัก? ทว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ยันต์และวิชากลไกสูงส่งได้ถึงขั้นนี้แล้ว?

ตรงพื้นที่ว่างในป่าที่ถูกปราณกระบี่พังให้ราบเป็นหน้ากลองครั้งแล้วครั้งเล่า แม่ทัพบู๊สวี่ชิงโจวชำเลืองมองไปยังเซียนซือสวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ เมื่อครู่นี้หากไม่เป็นเพราะสวีถงเตือนให้เขาระวังตัว เขาก็เกือบจะยื่นมือไปคว้ากระบี่ชือซินสมบัติอาคมชิ้นนั้นมาแล้ว แต่สวีถงกลับบอกให้เขารีบหลบ หัวใจของสวี่ชิงโจวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ละทิ้งสมบัติอาคมที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาอย่างเด็ดเดี่ยว นั่นถึงทำให้เขาหลบเวทกระบี่จากสตรีที่ตายแล้วฟื้นคนนั้นมาได้ ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยเขาก็ต้องทิ้งแขนข้างหนึ่งไว้ที่นี่

อารมณ์ของสวีถงหนักอึ้ง “สตรีผู้นี้ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวธรรมดาอย่างแน่นอน”

สวี่ชิงโจวเพ่งตามองไป นอกจากกระบี่ยาวบนพื้นที่ถูกบังคับกลับไปและปราณกระบี่ที่พุ่งแสกหน้ามาถึงในเสี้ยววินาทีแล้ว ร่างของหญิงสาวที่หัวและร่างขาดออกจากกันบนพื้นก็หายไปด้วย

บนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ห่างไปไกล สุยโย่วเปียนที่ไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ ยืนอยู่บนกิ่งไม้ ในมือถือชือซินเอาไว้

สุยโย่วเปียนมองไกลๆ มายังสวี่ชิงโจวที่สวมเสื้อเกราะจินอูของสำนักการหทาร และเซียนซือสวีถงที่คีบยันต์สีทองไว้แผ่นหนึ่ง ปณิธานการต่อสู้ของนางพลันท่วมทะยาน นางมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า ขอแค่ได้เข้าร่วมศึกแห่งความเป็นความตายที่เผาผลาญปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์จนหมดสิ้น การฝ่าทะลุขอบเขตก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม!

จิตใจของสวี่ชิงโจวส่ายไหวไปครู่หนึ่ง หลังจากที่สตรีผู้นี้ ‘ตายไปหนึ่งครั้ง’ ตบะและพลังอำนาจของนางกลับเพิ่มขึ้นพรวดพราดอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าคว้าจับโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตท่ามกลางศึกใหญ่เอาไว้ได้ จึงตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะใช้เขากับสวีถงเป็นหินลับมีดบนวิถีวรยุทธ์ หากปล่อยให้นางเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดร่างทอง เกรงว่าดาบที่ชื่อว่า ‘ต้าเฉี่ยว’ ในมือของตนคงสูญเสียความหมายไปอย่างสิ้นเชิง

ขนาดสวี่ชิงโจวที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวซึ่งมีปณิธานแน่วแน่ ผ่านการเข่นฆ่าสังหารมายาวนานก็ยังเป็นเช่นนี้ สวีถงคือผู้ฝึกลมปราณ อารามฉ่าวมู่คือตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียน อีกทั้งยังเป็นกิจการที่บุตรสืบทอดมาจากบิดาหลายรุ่นหลายสมัย บนเส้นทางของการฝึกตน สวีถงเดินผ่านมาอย่างราบรื่น เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกขั้นสูงสุดคนหนึ่ง สวีถงไม่กลัวแม้แต่น้อย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะฝ่าทะลุขอบเขตบนสนามรบ อีกทั้งศัตรูคนนี้ยังเหมือนคนที่ฆ่าไม่ตาย ถ้าอย่างนั้นขอแค่นางปล่อยกระบี่หนึ่งออกมาได้สำเร็จก็สามารถตัดหัวของตนได้ แล้วจะไม่ให้สวีถงอกสั่นขวัญผวาได้อย่างไร?

หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ อาวุธวิเศษและสมบัติอาคมมีนับพันนับหมื่นชิ้น ทว่าชีวิตของผู้ฝึกลมปราณมีเพียงแค่ชีวิตเดียว

สวี่ชิงโจวสัมผัสได้ถึงความขลาดกลัวของสวีถงแล้ว เขาทั้งไม่รู้สึกอับอายจนพานเป็นความโกรธ ทั้งไม่ได้ด่าเทพเซียนที่เสพสุขอยู่ในเมืองเซิ่นจิงมาร้อยปีผู้นี้ แล้วก็ไม่ได้ตระหนกลนตามอีกฝ่ายไปด้วย บุรุษที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลแม่ทัพอันดับต้นๆ ของต้าเฉวียนผู้นี้สงบสติอารมณ์แล้วกล่าวว่า “ลองฆ่านางดูอีกครั้ง หากนางยังมีชีวิตกลับมาอีกรอบ เจ้าและข้าสองคนค่อยหลบเลี่ยงประกายแหลมคมของนาง”

สวีถงจึงกัดฟัน ยันต์สีทองแผ่นนั้นที่อยู่ระหว่างนิ้วส่องประกายแสงแวววาว “ถ้าอย่างนั้นก็ลองฆ่านางอีกครั้งโดยไม่ต้องสนค่าตอบแทน!”

สุยโย่วเปียนกระตุกมุมปาก

นางมองสวี่ชิงโจวและสวีถงผู้นั้นเป็นเพียงแค่โครงกระดูกขาวสองร่างบนทางเดินขึ้นสวรรค์ใต้ฝ่าเท้าของตัวเองเท่านั้น

สนามรบอีกแห่งหนึ่ง หลูป๋ายเซี่ยงเองก็จำเป็นต้องผลัดเปลี่ยนลมปราณ แต่เป็นเพราะสุยโย่วเปียนช่วยดึงดูดสวี่ชิงโจวและสวีถงเอาไว้ ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์และผู้ฝึกลมปราณที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดอดกลั้นไม่ยอมลงมือมาตลอดเวลา จนกระทั่งเวลานี้ถึงได้ลงมือลอบโจมตีเขาหนึ่งครั้ง พลังการพิฆาตสังหารอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบการลงมืออย่างเต็มกำลังของสวี่ สวีสองคนได้ติด ดังนั้นจึงได้แค่กรีดชายโครงของหลูป๋ายเซี่ยงให้เป็นรอยเลือดเท่านั้น หลูป๋ายเซี่ยงใช้มือข้างหนึ่งอุดปากแผลเอาไว้ ตรงไหล่ยังปักคาด้วยธนูสีหมึกที่เต็มไปด้วยลวดลายของยันต์สีเขียวเข้มซึ่งทางราชสำนักจัดทำขึ้นเป็นพิเศษ หลูป๋ายเซี่ยงสะบัดหยดเลือดที่ติดปลายดาบทิ้ง ทว่ากลับไม่แม้แต่จะชายตามองลูกธนูดอกนั้น ยิ่งไม่ได้เสียเวลาใช้มือดึงมันออกมา

อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าในแต่ละยุคสมัยทั้งสี่ท่านของพื้นที่มงคลดอกบัว ก่อนจะเดินออกมาจากภาพวาด ต่างคนต่างได้รับคำพูดประโยคหนึ่ง เพียงแต่ว่าต่างคนต่างไม่รู้เรื่องก็เท่านั้น เฉินผิงอันที่เป็นนายของคนทั้งสี่ก็ยิ่งถูกปิดหูปิดตา

เว่ยเซี่ยนเป็นคนแรกสุดที่เดินออกมาจากม้วนภาพวาด ทว่าคำพูดประโยคนั้นที่เขาพูดตอนอยู่หน้าวัดร้างกับเอ่ยได้สายยิ่ง

ตอนนั้นหลูป๋ายเซี่ยงเชื่อว่าเว่ยเซี่ยนไม่มีทางหลอกคนอื่นในเรื่องแบบนี้ ยิ่งเชื่อว่าไม่ใช่เฉินผิงอันที่เป็นคนบงการเว่ยเซี่ยนอย่างลับๆ เพราะคิดอยากจะให้พวกเขาทั้งสี่คนทุ่มเทชีวิตสู้รบจนถึงที่สุด

เพียงแต่ว่าตอนนี้หลูป๋ายเซี่ยงยังไม่อยากตาย

จูเหลี่ยนยังไม่ตายเลย ลมปราณแห่งพลังชีวิตของผู้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่หน้าวัดร้างดุจมังกรดุจพยัคฆ์ถึงเพียงนั้น สมกับเป็นคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่ยิ่งบาดเจ็บพลังการสังหารก็ยิ่งแข็งแกร่งจริงๆ

แม้หลูป๋ายเซี่ยงจะไม่เคยได้ยินชื่อเหรียญทองแดงแก่นทองอะไรมาก่อน รู้เพียงว่าเงินเทพเซียนของใต้หล้าแห่งนี้มีเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยและเงินฝนธัญพืชสามชนิดเท่านั้น แต่หลูป๋ายเซี่ยงรู้สึกว่าชีวิตนี้ของตน ถึงอย่างไรก็สามารถทัดเทียมกับ ‘เหรียญทองแดงแก่นทอง’ เหรียญหนึ่งได้

ถึงอย่างไรอีกไม่นานก็จะทลายทหารชุดเกราะหนึ่งพันนายได้แล้ว ในเมื่อใกล้จะทำตามสัญญาได้สำเร็จก็ไม่ต้องร้อนใจอีก แล้วนับประสาอะไรกับที่แผนการล้อมฆ่าของฝ่ายตรงข้ามในครั้งนี้ คิดจะรวบแหดึงปลาใหญ่อย่างเขาขึ้นมาก็ยังเร็วเกินไปนัก

เกี่ยวกับเรื่องฝ่าขอบเขต หลูป๋ายเซี่ยงอาจเป็นคนที่มีความคิดเฉยชาที่สุดในบรรดาคนทั้งสี่

ส่วนสุยโย่วเปียนก็ต้องไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือคนที่มีจิตใจรุ่มร้อนที่สุด เพราะนางทะเยอทะยานมากที่สุด ต้องการทำตามปณิธานที่ในปีนั้นไม่อาจทำสำเร็จได้ในพื้นที่มงคลดอกบัว นั่นคือการขี่กระบี่บินทะยาน

ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์และสดใหม่เฮือกที่สองประหนึ่งแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลบ่าอยู่ในร่างกายของหลูป๋ายเซี่ยง แม้ว่าจะเป็นเทียบกับสภาพพรั่งพร้อมสูงสุดก่อนหน้านี้ไม่ได้ แต่ก็มากพอจะรับมือกับการเข่นฆ่าอีกหนึ่งก้านธูป

ตรงตีนเขาของภูเขาอันเป็นที่ตั้งวัดร้างมีทหารชายแดนของต้าเฉวียนขึ้นเขาไปสังหารเหล่ายักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารในตำนานอีกครั้ง

เกาซื่อเจินถูกสายฝนชะร่างจนใบหน้าซีดขาว ในที่สุดก็ทนฟังคำเกลี้ยกล่อมจากพ่อบ้านวัยชราคนหนึ่งของจวนกั๋วกงไม่ไหว ปล่อยให้ฝ่ายหลังกางร่มไว้เหนือศีรษะของเขา

เมื่อครู่นี้เกาซื่อเจินเพิ่งผ่านความรู้สึกที่ทั้งตะลึงทั้งดีใจไป ตอนแรกมีสายลับบนภูเขาส่งข่าวมายังตีนเขาบอกว่า สตรีที่สะพายกระบี่ถูกแม่ทัพสวี่และสวีเซียนซือร่วมมือกันสังหาร ศีรษะถูกสวี่ชิงโจวตัดขาดร่วงลงพื้น แล้วก็ถูกเจ้าอารามฉ่าวมู่ทำลายจิตวิญญาณให้แหลกสลาย ตายจนตายกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าผ่านไปครู่เดียวก็มีทหารหน่วยสอดแนมลงจากเขามารายงานอีกว่า สตรีสะพายกระบี่ผู้นั้นมีชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง เปิดฉากสังหารกับสวี่ชิงโจวและสวีถงครั้งใหญ่ คราวนี้สตรีสะพายกระบี่จ้องแต่จะไล่ฆ่าคนทั้งสอง ไม่สนใจเล่นงานทหารชุดเกราะอีก

เซินกั๋วกงแห่งต้าเฉวียนที่ลงเดิมพันก้อนใหญ่พลันหันหน้าไปมองจุดที่ห่างจากข้างกายไปไม่ไกล ยังพอจะมองเห็นเหล่าทหารเสื้อเกราะที่เดินขึ้นเขาท่ามกลางม่านฝนไปเงียบๆ ได้อย่างเลือนราง บางคนก็มีใบหน้าของเด็กหนุ่ม อายุพอๆ กับเกาซู่อี้บุตรชายของเขา บางคนก็เป็นทหารแก่ที่ผ่านศึกมานับร้อยครั้งจนไม่ใช่หนุ่มอีกแล้ว เหมือนกับเขาเกาซื่อเจิน

ผ่านไปประมาณสองเค่อ เกาซื่อเจินที่อารมณ์หนักอึ้งก็ได้รับข่าวร้ายอีกหนึ่งข่าว

สตรีสะพายกระบี่ผู้นั้นทนรับดาบหนึ่งที่สวี่ชิงโจวผ่ามากลางหลัง รวมไปถึงถูกยันต์หุ่นเชิดเกราะทองตนหนึ่งต่อยเข้าที่ศีรษะ ส่งกระบี่แทงทะลุหัวใจของสวีถงได้สำเร็จ สวีเซียนซือที่เดิมทีไม่ควรต้องตายคาที่ใช้ทุกวิธีการทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะกินยาวิเศษลงไปมากน้อยเท่าไหร่ ร่ายใช้วิชาเซียนที่สามารถต่อชีวิตไปมากแค่ไหนก็ยังคงตายอยู่ดี หัวใจทั้งดวงแห้งเหี่ยวกลายเป็นผุยผง หลังจากที่สตรีสะพายกระบี่ตายไป ศพของนางก็หายไปอีกครั้ง ตอนที่เดินออกมาจากวัดร้างแห่งนั้นเป็นครั้งที่สองก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเจ็ดร่างทองบนวิถีวรยุทธ์แล้ว แม่ทัพสวี่ได้ถอยร่นหนีออกจากภูเขาไปโดยพลการแล้ว องค์ชายใหญ่ต้าเฉวียนพิโรธหนัก ป่าวประกาศว่าจะต้องลงทัณฑ์ตระกูลสวี่ที่อยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งให้จงได้

เกาซื่อเจินไม่เอ่ยอะไรสักคำเดียว

มีเพียงฝนเม็ดใหญ่หนาวเย็นเสียดขั้วกระดูกที่เทลงมาจากม่านราตรีเท่านั้นที่เป็นดั่งเสียงพึมพำของเทวดาในยามนอนหลับฝัน

พ่อบ้านวัยชราที่อุทิศตนรับใช้จวนกั๋วกงมาหลายชั่วอายุคนเอ่ยปลอบใจเสียงเบา “ท่านกั๋วกง ขอแค่ท่านหวังไม่ลงมือด้วยตัวเองก็หมายความว่ายังไม่ถึงช่วงเวลาที่จะตัดสินศึกได้ ไม่จำเป็นต้องมองโลกในแง่ร้ายเกินไปนัก”

เกาซื่อเจินสีหน้าไร้อารมณ์

บนภูเขา แม้ว่าบาดแผลจะมีทั่วกายหลูป๋ายเซี่ยง แต่นอกจากบาดแผลตรงช่วงเอวและตรงช่วงไหล่ที่ถูกธนูซึ่งทางราชสำนักทำขึ้นเป็นพิเศษแทงทะลุแล้ว กลับไม่ส่งผลกระทบต่อพลังการต่อสู้ของเขาเท่าใดนัก ยังคงสามารถต้านทานการโจมตีที่เป็นดั่งน้ำขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่าได้

พวกปลาที่หลุดรอดออกจากแห เว่ยเซี่ยนที่หนึ่งคนเป็นหน้าด่านอยู่หน้าประตูวัดเก็บกวาดได้ไม่ลำบากแม้แต่น้อย

เสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ตัวนั้นไม่เสียแรงที่เป็นเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่สวี่ชิงโจวตาแดงด้วยความอยากได้มานาน ต้องรู้ว่าเสื้อเกราะที่สวี่ชิงโจวสวมใส่อยู่นั้นคือเสื้อเกราะจินอูที่เป็นอันดับสองในบรรดาสามอันดับของเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหาร ระดับขั้นเหนือกว่าเสื้อเกราะน้ำค้างหวานไปหนึ่งขั้นใหญ่

บวกกับที่ตัวเว่ยเซี่ยนเองมีชาติกำเนิดมาจากกองทัพ ฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนที่มีจุดเริ่มต้นมาจากชนชั้นล่างในหมู่ชาวบ้านผู้นี้ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามาเกินครึ่งชีวิต ได้รับคำสรรเสริญว่าหมื่นศัตรูมิอาจต่อกรอยู่ในประวัติศาสตร์ของสี่แคว้นในพื้นที่มงคลดอกบัว คำเรียกขานว่า ‘แม่ทัพผู้กล้าแห่งการทะลวงขบวนทัพในสนามรบ’ ที่ถูกกล่าวขานกันในภายหลัง แม้จะมีหน้ามีตาแค่ไหน แต่มากสุดก็เป็นได้แค่ ‘เว่ยเซี่ยนคนที่สอง’ เท่านั้น ดังนั้นเว่ยเซี่ยนจึงปรับตัวเข้ากับการเข่นฆ่าท่ามกลางขบวนทัพที่วุ่นวายได้ดีกว่าหลูป๋ายเซี่ยง เมื่ออยู่ในสนามรบที่กองทัพใหญ่ตั้งขบวนรบ เว่ยเซี่ยนจึงมีข้อได้เปรียบที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่งประหนึ่งอริยะที่เฝ้าพิทักษ์สำนักศึกษา

นี่เป็นพรสวรรค์ที่ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกขั้นสูงสุดทุกคนจะได้ครอบครอง ต่อให้เป็นปรมาจารย์ขอบเขตแปดเดินทางไกลหรือขอบเขตเก้ายอดเขาก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะมีพรสวรรค์นี้ได้

จูเหลี่ยนลงมืออย่างไม่ออมแรง จึงเป็นเหตุให้อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสมาก

ในขณะที่เว่ยเซี่ยนคิดจะแลกเปลี่ยนตำแหน่งกับจูเหลี่ยนนั้น จูเหลี่ยนกลับปฏิเสธความหวังดีจากเว่ยเซี่ยน หากคนบ้าวรยุทธ์ตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อับจนหนทาง นิสัยดุร้ายกระหายเลือดของเขาก็มากพอจะทำให้คนตกใจกลัวได้เลย

เว่ยเซี่ยนยังคงยืนกรานว่าจะเปลี่ยนตำแหน่งกับจูเหลี่ยน เป็นเพราะเขาอยากจะแสดงละครฉาก ‘เด็ดหัวแม่ทัพท่ามกลางทหารนับหมื่น’ นี่เป็นเรื่องที่เขาถนัดมากที่สุด แม้จะบอกว่าอาจต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นชีวิตครึ่งหนึ่งของเขาถึงจะโชคดีสังหารหลิวจงองค์ชายใหญ่อะไรนั่นได้ แต่ขนาดสุยโย่วเปียนยังตายไปตั้งสองครั้ง เว่ยเซี่ยนรู้สึกว่าหากตนตายไปและฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งแล้วสามารถแลกมาได้ด้วยการต่อสู้อย่างสาแก่ใจที่ปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ นั่นถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว อีกอย่างตอนอยู่โรงเตี๊ยมเขาป้องกันหน้าประตู ตอนนี้ที่อยู่หน้าประตูวัดบนภูเขาแห่งนี้ก็ทำเหมือนกัน แบบนี้จะไม่เท่ากับว่าตนกลายเป็นหมาเฝ้าบ้านไปแล้วหรอกหรือ?

จูเหลี่ยนปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้อาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งของผู้ฝึกลมปราณกระเด็นออกไป แล้วถือโอกาสนี้ถอยร่น เรือนกายที่แก่ชราถอยกรูดไปข้างหลังตลอดทาง สองหมัดของจูเหลี่ยนเห็นกระดูกขาวโผล่ออกมาแล้ว

ก่อนที่จูเหลี่ยนจะบุกขึ้นหน้าไปเปิดฉากสังหารซ้ำอีกครั้ง เขาแสยะปากพูดกับเว่ยเซี่ยนที่อยู่ด้านหลังเบาๆ ว่า “ขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดีสักประโยค ตายไปแล้วสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้ เงินที่จ่ายไปเป็นเงินของเฉินผิงอัน จะเสียดายหรือไม่ก็อยู่ที่อารมณ์ของพวกเราสี่คนเอง แต่ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าตายง่ายๆ ดีกว่า ตอนนี้ข้าก็ยังบอกเหตุผลไม่ได้ นี่เป็นเพียงแค่ลางสังหรณ์ เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าไม่เป็นไร เจ้าก็อ้อมผ่านพวกแมลงวันน่ารำคาญที่พอจะเป็นคาถาอาคมบ้างนิดหน่อยเหล่านี้ไปสังหารองค์ชายหลิวจงผู้นั้นซะ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า”

ดูเหมือนเว่ยเซี่ยนจะไม่อยากรับน้ำใจ เขาเอ่ยถามว่า “ช่วยข้าสกัดกั้นไม่ให้พวกทหารเข้าไปในวัดสักครู่ได้หรือไม่?”

ทว่าจูเหลี่ยนกลับกระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งครั้ง ร่างเหมือนสายฟ้าพุ่งทะยานที่พลิกเปลี่ยนเส้นทางอยู่หลายครั้ง เขากลับไปโรมรันอยู่กับพวกผู้ฝึกตนติดตามกองทัพและนักรบเสื้อเกราะที่คอยวางแผนรับมืออยู่ด้านข้างอีกครั้ง

เห็นได้ชัดว่าเขาจูเหลี่ยนไม่ยอมรับปากว่าจะช่วย

หมัดหนึ่งของเว่ยเซี่ยนต่อยเข้าที่ทหารชายแดนต้าเฉวียนคนหนึ่งที่ถือดาบฟันเข้ามายังหน้ากากของเขา ต่อยจนเสื้อเกราะตรงหน้าอกของคนผู้นั้นยุบยวบลงไป ร่างกระเด็นไปโดนสหายคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง ศพของเขากระแทกให้ทหารที่อยู่ด้านหลังเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีก

เว่ยเซี่ยนหาเวลาว่างหันไปมองเฉินผิงอัน “จับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน ให้ข้าไปลองดูไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้าตอบรับ

เว่ยเซี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพียงแค่อ้อมผ่านสนามรบที่จูเหลี่ยนอยู่ไปเล็กน้อยเท่านั้น

จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “ไม่ฟังคำพูดของคนแก่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน หาได้ยากนักที่ข้าจะมีจิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์เช่นนี้ แต่กลับถูกคนอื่นมองเป็นลมที่พัดผ่านหูไป โลกใบนี้นี่นะ”

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น จ้องตรงไปยังยอดเขาแห่งนั้น

ในวัดร้าง เผยเฉียนหยิบกล่องเก็บสมบัติใบนั้นออกมาอีกครั้งเพื่อโอ้อวดทรัพย์สมบัติของตัวเองให้คนจิ๋วดอกบัวดู

สำหรับคนจิ๋วดอกบัวที่ซื่อบื้อตนนี้ นางไม่มีใจระแวดระวังอย่างที่ไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก นอกจากเฉินผิงอันแล้ว มันก็คือคนที่เผยเฉียนไว้วางใจที่สุดบนโลกใบนี้

เพียงแต่ว่าคนจิ๋วดอกบัวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มักจะเขย่งเท้ามองเฉินผิงอันที่อยู่นอกประตูอยู่เป็นระยะ

เผยเฉียนสั่งสอนด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ทำไม ไม่เชื่อใจพ่อข้างั้นรึ? เจ้าแขนขาดไปข้างหนึ่งแล้วยังจะตาบอดอีกหรือไง? พ่อข้าคือใคร? จะแพ้รึ? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ต่อให้วันใดข้าเผยเฉียนกลายเป็นคนโง่ที่ไม่ชอบเงินแล้ว พ่อข้าก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด!”

สีหน้าของคนจิ๋วดอกบัวมึนงง สองอย่างนี้เกี่ยวอะไรกันด้วย? มันไม่เคยเข้าใจเลยว่าเด็กหญิงผิวดำเกรียมนิสัยชั่วร้ายผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่

เสียงของเฉินผิงอันดังเข้ามาในวัดร้าง “ใช้กิ่งไม้คัดตัวอักษร”

เผยเฉียนที่นั่งยองอยู่บนพื้นเหมือนโดนฟ้าผ่า แอบตบศีรษะของคนจิ๋วดอกบัวไปทีหนึ่ง แต่ไม่กล้าลงแรงมากนัก กลัวว่าจากห้าร้อยตัวจะเปลี่ยนเป็นหนึ่งพันตัว หลังจากลุกขึ้นยืนแล้วก็หยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาเขียนตัวอักษรในบทความอริยะปราชญ์ลงไป ทุกครั้งที่นางเขียนตัวอักษรเสร็จหนึ่งตัว เจ้าตัวน้อยจะผลุบหายเข้าไปในดิน จากนั้นก็จะโผล่หัวออกมาข้างตัวอักษรตัวนั้นแล้วหัวเราะคิกคัก เผยเฉียนตวัดค้อนใส่หลายรอบ ในใจคิดว่าเหตุใดใต้หล้าถึงมีเจ้าตัวน้อยที่น่าเบื่อขนาดนี้ คงไม่ใช่ภูตปัญญาอ่อนหรอกกระมัง? เฮ้อ คราวหน้าเห็นทีต้องพูดกับเฉินผิงอันสักหน่อยแล้วว่าให้ขายมันแลกเป็นเงิน จะได้เอามาซื้อตำราเล่มใหม่ให้นาง

บนยอดเขา ปีศาจวารีลำคลองหมายเหอถูฝ่ามือเข้าหากัน คันไม้คันมือเต็มที “ให้ข้าลงไปฝึกปรือฝีมือดีไหม?”

หวังฉีใคร่ครวญเพราะยังตัดสินใจไม่ได้

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำมองม่านฝนแวบหนึ่ง “ผ่านไปอีกหนึ่งเค่อ ฝนก็จะซาลงแล้ว ถึงเวลานั้นต่อให้เจ้าขอร้องข้า ข้ายังคร้านจะลงมือ เจ้าอย่าลืมว่าครั้งนี้ข้าปรากฏตัวที่นี่ ไม่ได้มีความจำเป็นต้องช่วยเจ้าฆ่าคนเลยสักนิด แค่มาช่วยนายท่านของข้าจับตามองสถานการณ์ทางฝั่งนี้ก็พอแล้ว ถึงเวลานั้นก็แค่ต้องปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกไปจากศพของเฉินผิงอัน แค่นี้ก็สามารถปัดก้นเดินจากไปได้แล้ว”

แน่นอนว่าอันที่จริงเขายังจำเป็นต้องช่วยนายท่านตามหาสมบัติชิ้นที่สามารถอำพรางเจตนารมณ์สวรรค์ได้ด้วย

ส่วนจะหาอย่างไร

ย่อมต้องมีความลี้ลับใหญ่ซ่อนอยู่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด