กระบี่จงมา 360.1 คิดถึงเฉินผิงอัน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 360.1 คิดถึงเฉินผิงอัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันหลับตาเดินบนสะพานหินโค้ง เรือนกายโยกไหวเล็กน้อย ใต้สะพานมีสายน้ำไหลริน ชายแขนเสื้อมีเมฆหมอกล้อมเวียนวน เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียน

เว่ยเซียนเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ของเผยเฉียนอย่างยิ่งจึงเปิดปากเอ่ยชมว่า “มังกรผงาด พยัคฆ์เยื้องย่าง ประหนึ่งขุนเขาตั้งตระหง่าน…”

เพิ่งจะวิจารณ์ได้แค่ครึ่งเดียว เว่ยเซียนก็หุบปากลง

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใต้ฟ้ายอมมีลมเมฆที่มิอาจคาดการณ์ได้ถึง มีเรื่องไม่คาดฝันเล็กน้อยเกิดขึ้นก็ไม่ถือว่าทำลายความสุภาพสง่างาม”

ที่แท้สะพานหินโค้งก็มีขั้นบันได ไม่รู้ว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงลืมเรื่องนี้ไป เท้าที่ก้าวออกมาจึงเหยียบลงบนความว่างเปล่า ทั้งคนทั้งหีบไม้ไผ่กลิ้งตลบอยู่บนพื้น

เผยเฉียนยกฝ่ามือตบหน้าผากตัวเอง บิดาข้า ท่านรับคำชมไม่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ

สุยโย่วเปียนเบี่ยงหน้าไปทางอื่น มุมปากยกยิ้ม

เฉินผิงอันกระโดดผลุงขึ้นยืน พอลืมตาแล้วก็ปัดชายแขนเสื้อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง

บนชุดคลุมอาคมจินหลี่มีแสงสีทองส่องประกายวาบผ่านไป ปราณวิญญาณในไข่มุกที่มังกรทองคาบเอาไว้ยิ่งรวมตัวกันได้แน่นหนากว่าเดิม

หากไม่เป็นเพราะมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เซียนนอกมหาสมุทรท่านหนึ่งทิ้งไว้ชิ้นนี้ การล้มครั้งนี้ของเฉินผิงอันจะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เห็น หนึ่งคือร่างกายจะเป็นเหมือนการ ‘เปิดด่านรับศัตรู’ ปล่อยให้ปราณวิญญาณฟ้าดินที่เหมือนน้ำในมหาสมุทรกรอกเทเข้ามาในช่องโพรงลมปราณ ต้องเจ็บปวดทรมาน สองคือมีความเป็นไปได้มากกว่าจะสูบเอาปราณวิญญาณในฟ้าดินของภูเขาชิงจิ้งมาเหมือนปลาวาฬสูบน้ำ ถึงเวลานั้นต้องก่อให้เกิดภาพเหตุการณ์ประหลาด ชักนำปัญหาแทรกซ้อน ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นมรสุมลูกใหม่เลยก็ได้

ชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็เป็นเหมือนทะเลสาบแห่งหนึ่ง มีประโยชน์ในการกักเก็บน้ำ

แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นแค่การรักษาที่ปลายเหตุมิใช่ต้นเหตุ การหล่อหลอมวัตถุห้าธาตุ สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาอย่างแท้จริง บุกเบิกช่องโพรงในร่างกายห้าแห่งให้เป็นเหมือนทะเลสาบ นี่คือภารกิจเร่งด่วนในเวลานี้

สะพานแห่งความเป็นอมตะแห่งนี้จะสร้างได้สำเร็จหรือไม่ เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์เกินกว่าจะใช้คำพูดใดมาบรรยายได้

ตัวเฉินผิงอันเองก็รู้สึกประหลาดใจ มาจนกระทั่งบัดนี้ตนถึงเพิ่งถูกฟ้าดินแห่งนี้ยอมรับอย่างแท้จริงหรือ? ประหลาดนัก

สายตาของคนทั้งสี่ในภาพวาดล้วนเฉียบคม แรกเริ่มยังรู้สึกว่าน่าขัน ถึงอย่างไรเฉินผิงอันในความทรงจำของพวกเขาก็เป็นคนที่สำรวมตน อยู่ในกฎระเบียบทุกเรื่อง ยากนักที่จะได้เห็นสภาพอเนจอนาถแบบนี้ของเขาสักครั้ง เพียงแต่ว่าหลังจากลองมองประเมินอย่างตั้งใจเพียงเล็กน้อย ทุกคนต่างก็มองเห็นสายสนกลใน เพียงแต่ไม่มีใครเอ่ยออกมาก็เท่านั้น

ยอดบนสุดของบันไดสีชาดสามพันขั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียว แม้ว่าจะมีเมฆหมอกล้อมวน ทว่าเจียงซ่างเจินและลู่ยงที่ยืนเคียงบ่ากัน ทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ เมื่อเทียบกับคนสี่คนในภาพวาดที่ต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแล้วย่อมมองออกได้เยอะกว่า

ลู่ยงเอ่ยอย่างตกตะลึงระคนชื่นชม “ช่างเป็นชุดคลุมอาคมมังกรที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ลึกล้ำเกินจะหยั่งจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจมีระดับขั้นเท่ากับ ‘พื้นที่มงคลขนาดเล็ก’ ในตำนานแล้ว เซียนซือน้อยสวมชุดคลุมนี้ไว้บนร่าง เกรงว่าเมื่อเทียบกับเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่ระดับขั้นสูงสุดแล้ว สมบัติอาคมก็ไม่อาจรุกราน กระบี่บินก็ไม่อาจแทงเข้าเสียยิ่งกว่า”

ลู่ยงเข้าใจผิดคิดว่าเฉินผิงอันคือผู้ฝึกตนสำนักการทหาร

เจียงซ่างเจินพูดพร้อมคลี่ยิ้มอ่อนจาง “เจ้าตำหนักลู่สายตาดีมีแววยิ่งนัก”

ลู่ยงกล่าวอย่างหวาดผวาว่า “ท่านผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”

เจียงซ่างเจินหันหน้ากลับมา “หากข้าจำไม่ผิด เจ้าอายุมากกว่าข้า จะเรียกข้าว่าผู้อาวุโสทำไม?”

ลู่ยงอึ้งพูดไม่ออก

ในฐานะที่สกุลเจียงคือไท่ซ่างหวงของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา พวกเขาจึงมีจิตใจยากจะคาดเดาสมกับเป็นราชันย์อย่างแท้จริง ตอนนี้ตนอยู่กับกษัตริย์ก็เหมือนอยู่กับพยัคฆ์

เจียงซ่างเจินหัวเราะขึ้นอีก “คราวนี้หากเจ้าพูดประโยคหนึ่งว่า ‘บนเส้นทางของการฝึกตน ผู้ที่เรียนรู้ได้อย่างชำนาญย่อมได้อยู่หน้าสุด’ ก็จะถือว่าเป็นคนที่ฉลาดเฉียบแหลมกว่าคนอื่นเยอะเลย”

ลู่ยงไม่รู้ว่าเจียงซ่างเจินต้องการอะไรกันแน่ ได้แต่ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ผู้อาวุโสมีวิสัยทัศน์สูงส่ง ลู่ยงโง่เขลา หาไม่แล้วชีวิตนี้ก็คงไม่มีแค่โอสถและสมุนไพรอยู่เคียงข้างเท่านั้น”

เจียงซ่างเจินถาม “สองร้อยปีมานี้ข้าจำเป็นต้องจัดการกิจธุระในพื้นที่มงคล ยุ่งจนหัวแทบไหม้ ออกจากบ้านไม่บ่อยนัก สู้คนตาบอดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เจ้าตำหนักลู่เฝ้าพิทักษ์ท่าเรือตระกูลเซียนบนยอดเขาเทียนแจว๋แห่งนี้ ต้องคอยต้อนรับขับสู้ผู้คน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าช่วงสองร้อยปีล่าสุดนี้ หากไม่นับใบถงทวีป ในใต้หล้าไพศาลมีเซียนกระบี่หนุ่มที่โด่งดังที่สุดคนใดบ้าง?”

ลู่ยงคิดแล้วก็ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านผู้นั้นที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือ?”

เจียงซ่างเจินโมโหจนกลายเป็นขำ “เจ้าลู่ยงเห็นว่าข้าโง่จริงๆ หรือไง? ข้าจะไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนรึ?!”

ลู่ยงกระวนกระวายใจ รีบแก้ตัวใหม่ เริ่มนับนิ้วคำนวณว่าในทวีปแห่งอื่นมีเซียนกระบี่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือคนใดบ้าง จากนั้นก็ร่ายรายชื่อผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่ชื่อเสียงโด่งดังดุจสายฟ้ากัมปนาทให้เจียงซ่างเจินฟัง ทุกคนล้วนเป็นเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงซึ่งรุ่งโรจน์ที่สุดในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญคือทุกคนต่างก็อายุไม่มาก คนที่เขาร่ายออกมามีมากถึงแปดคน ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีสี่คน อุตรกุรุทวีปมีสามคน แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ก็มีกับเขาคนหนึ่งเช่นกัน ซึ่งก็คือเซียนกระบี่เว่ยจิ้นที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเจ็ดคนแรกแล้ว เว่ยเซียนแห่งหอเทพเซียนศาลลมหิมะ ตอนนี้ขอบเขตยังไม่สูง แต่ผลสำเร็จในอนาคตย่อมเป็นที่น่าจับตามองอย่างแน่นอน ดังนั้นขนาดใบถงทวีปก็ยังได้ยินชื่อของคนผู้นี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดอย่างเขาลู่ยงซึ่งเป็นเจ้าตำหนักพยัคฆ์เขียวก็ยังได้ยินชื่อของศาลลมหิมะอันเป็นหนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหารในแจกันสมบัติทวีปเป็นครั้งแรกก็เพราะเว่ยจิ้น

ชื่อและเรื่องราวคร่าวๆ ของแต่ละคนผ่านหูไป จุดท้ายเจียงซ่างเจินก็ส่ายหน้า พูดแค่ว่าไม่ถูก ยังห่างชั้นไกลนัก

ลู่ยงจนปัญญาแล้วจริงๆ

เดิมทีผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณก็มีน้อยอยู่แล้ว เซียนกระบี่ก็ยิ่งน้อยในน้อยเข้าไปอีก สามารถมองข้ามความห่างของธรณีประตูใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิด สังหารขอบเขตหยกดิบได้ บนโลกนี้ก็มีแค่ผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น

เกี่ยวกับเซียนกระบี่ ‘อายุน้อย’ ที่ฉายประกายแหลมคมที่สุดในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ลู่ยงที่มุ่งมั่นอยู่กับการหลอมโอสถเคยได้ยินมาแค่นี้เท่านั้น

เจียงซ่างเจินไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้ลู่ยงต่อ ในใจเขาเองก็จนใจอยู่บ้าง เวลาหกสิบปีใช้หมดไปในพื้นที่มงคลดอกบัว ร้อยยี่สิบปีก่อนหน้านั้น หกสิบปีแรกไปสยบความวุ่นวายครั้งใหญ่ซึ่งพันปียากจะพานพบสักครั้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ได้รับบาดเจ็บมาไม่เบา หกสิบปีหลังจึงปิดด่านฝึกตน ไม่มีเวลาให้ความสนใจสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าจริงๆ เวลาผ่านไปเกือบสองร้อยปี มนุษย์ธรรมดาด้านล่างภูเขาตายกันไปกี่รอบแล้ว ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนที่อยู่บนยอดเขาอย่างเจียงซ่างเจินนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังเป็นคนที่มีความหวังว่าจะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น อันที่จริงจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับกาลเวลาที่ผ่านเลยไปเท่าไหร่นัก ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ยืนได้มั่นคงก็สามารถมีอายุขัยเพิ่มขึ้นมาอีกหลายร้อยปีหรืออาจถึงขั้นเป็นพันปี

ถูกผิด บุญคุณความแค้นในโลกมนุษย์ล่างภูเขาไม่มีค่าพอให้พูดถึงจริงๆ เมื่ออยู่ภายใต้ชีวิตอมตะ บนโลกก็ล้วนไม่มีอะไรที่แน่นอน

สายตาของเจียงซ่างเจินหลุบลงต่ำเล็กน้อย ตำหนักพยัคฆ์เขียวที่อยู่ด้านหลังนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็นที่ตั้งบูชาเทพเซียนทั้งหมดของลัทธิเต๋า และบันไดสวรรค์ใต้ฝ่าเท้าเบื้องหน้านี้ก็มีสามพันขั้น ความหมายก็คือ ‘มหามรรคาสามพัน’ (หมายถึงว่าวิชาคาถานั้นมีมากมาย ยากจะคำนวณได้หมด ในลัทธิเต๋า สามหมายถึงจำนวนที่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นตัวแทนของจำนวนที่ไม่แน่นอน มรรคามิอาจคำนวณ และทุกคนล้วนมีมรรคาเป็นของตัวเอง ขอแค่ได้มาก็ล้วนถือว่าเป็นหนึ่งในมรรคกถา)

ฟังดูเหมือนว่าเส้นทางมีมากมาย ทว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถเดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดได้อย่างแท้จริง

มหามรรคาเส้นทางสายใหญ่ ไม่ได้บอกว่าทางเส้นนี้กว้างแค่ไหน เพราะยิ่งเดินขึ้นไปข้างบน เส้นทางใต้ฝ่าเท้าก็จะยิ่งแคบลง ถึงขั้นอาจกลายเป็นสะพานไม้ท่อนเดียว

เพียงแต่ว่าเจียงซ่างเจินกระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่า เส้นทางการฝึกตนของตน เส้นทางที่ตนเดินไป ต่อให้สูงแค่ไหนก็ไม่มีทางสูงถึงสะพานไม้ท่อนเดียว ไม่จำเป็นต้องให้เขาไปเข่นฆ่าช่วงชิงมรรคาอยู่เบื้องหน้าขอบเขตบินทะยาน แล้วก็ไม่มีสถานการณ์ที่ต้องให้คนด้านหลังมาเบียดมาดันเขาถึงจะยอมเดินหน้าต่อ

ส่วนผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่เหนือมหาสมุทรผู้นั้น เกรงว่าคงต้องรอให้กลับไปถึงสำนักกุยหยกก่อนแล้วค่อยขอความรู้จากเจ้าสำนักผู้เฒ่า ไม่พูดถึงความสามารถอื่นของท่านผู้อาวุโส เอาแค่เรื่องข่าวและข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เขาว่องไวยิ่งกว่าใคร นิสัยของเจ้าสำนักผู้เฒ่าที่แม้แต่เรื่องที่ว่าลูกศิษย์หญิงสวมเอี๊ยมตัวในสีอะไรก็ล้วนอยากรู้คำตอบ เหล่าเทวรูปที่ตั้งบูชาไว้บนภูเขาทะเลาะกันราวกับหญิงปากตลาดก็ยังอยากจะเอาหูแนบกำแพงแอบฟังนั้นช่าง…ยอดเยี่ยมซะจริง บนโลกจะมีผู้ฝึกตนบนยอดเขาขอบเขตเซียนเหรินสักกี่คนที่แอบอยู่ในจวนของตัวเอง ทุกวันคอยใช้วิชาอภินิหารบุปผาในกระจกจันทราในน้ำคอยมองเหล่าเทพธิดาของสำนักเล็กๆ แต่งตัวฉูดฉาดงดงาม แสดง ‘พรสวรรค์’ ออกมาอย่างมีจริตจก้าน จากนั้นก็จะมีตาแก่คนหนึ่งส่งเงินร้อนน้อยกำใหญ่ไปให้สำนักเหล่านั้นโดยไม่เปิดเผยตัว บางครั้งถึงขั้นแอบออกไปจากสำนัก มอบโชควาสนาหรือไม่ก็สมบัติอาคมให้พวกนางด้วยตัวเอง?

ทุกปีสำนักกุยหยกจะอาศัยเงินปันผลจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา รวยเหมือนหมูที่อ้วนจนมันเยิ้ม ในฐานะเจ้าสำนักแห่งหนึ่ง ตาเฒ่าเจ้ายังมีหน้ามาโกหกข้าเจียงซ่างเจินว่าในกระเป๋าไม่มีเงินอีกรึ?

แล้วยังมีหน้ามาพูดอย่างห้าวหาญกับข้าว่าเจอคนบนเส้นทางเดียวกันคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเจ้าประมุขผู้เฒ่าของพรรคหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปที่มีชื่อว่าพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน? แถมยังบอกว่าหากมีโอกาสจะไปเยี่ยมเยียนสักครั้ง? แล้วยังพูดด้วยความเสียดายอย่างสุดแสนว่าเทพธิดาซูเจี้ยอะไรของภูเขาเจินอู่ต้องดับแสงไปกลางคันแล้ว?

บางครั้งเจียงซ่างเจินก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าสำนักผู้เฒ่าฝึกตนจนกลายมาเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้อย่างไร

เจ้าสำนักผู้เฒ่าที่แทบไม่เคยพูดเรื่องมหามรรคากับเขาเจียงซ่างเจิน หลังจากที่เขาถอดตัวตนของเจ๋อเซียนโจวเฝยกลับคืนสู่สำนัก ตาเฒ่ากลับยกเอาเรื่องที่ไม่สลักสำคัญใดๆ มาพูดกับเขาเป็นครึ่งๆ วันด้วยน้ำเสียงปรารถนาดี บอกว่าไม่ควรปฏิบัติกับสตรีบนโลกเช่นนี้ พวกหญิงสาวในตำหนักคลื่นวสันต์ของพื้นที่มงคลดอกบัวน่าสงสารยิ่งนัก เจียงซ่างเจินถูกอบรมสั่งสอนอยู่ครึ่งวัน ตาเฒ่าก็บอกให้เขาไปสังหารปีศาจใหญ่ที่ทะเลตะวันตก ไม่ยอมมอบอาวุธสำคัญของสำนักที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาให้สักชิ้น คาดว่าน่าจะโมโหจริงๆ แล้ว

กลับเป็นยาเอ๋อร์ที่ถูกเจียงซ่างเจินพาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว พอไปถึงสำนัก ตาแก่ก็มอบสมบัติอาคมส่วนตัวของตัวเองให้เป็นรางวัลทันที แน่นอนว่าต้องยืมใช้ชื่อของเจียงซ่างเจิน

กลุ่มคนหกคนเดินไปบนบันไดสามพันขั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียว เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ไม่เจอใครเลยตลอดทาง

เงยหน้ามองไป เมฆหมอกบดบังสายตา มองไม่เห็นตำหนักพยัคฆ์เขียว

เผยเฉียนกระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน เอ่ยเบาๆ ว่า “ด้านบนมีคนยืนอยู่สองคน ดูเหมือนว่าจะรอพวกเราอยู่”

หัวใจของเฉินผิงอันดิ่งลงโดยพลัน

หรือว่าทางฝ่ายของราชวงศ์ต้าเฉวียนมีใครยังไม่ยอมวางมือ?

และเวลานี้เอง ดูเหมือนจะสัมผัสได้ว่าถูกคนสังเกตเห็น คนทั้งสองจึงเดินลงบันได เดินออกมาจากทะเลเมฆช้าๆ

คนหนึ่งคือคนหนุ่มที่เรือนกายสะโอดสะอง อีกคนหนึ่งคือเทพเซียนผู้เฒ่าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเซียน เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าเดินตามหลังคนหนุ่มมาก้าวหนึ่ง ไม่ได้เดินเคียงไหล่มา คล้ายเป็นผู้ติดตามเสียมากกว่า

ฝีเท้าของเฉินผิงอันยังคงไม่ช้าไม่เร็ว ทว่ามือในชายแขนเสื้อกลับคีบยันต์สยบกระบี่ที่เขียนด้วยกระดาษสีเขียวไว้ระหว่างสองนิ้วแล้ว

มองไปไกลๆ ฝีเท้าของคนทั้งสองที่อยู่ด้านบนดูเหมือนช้า ทว่าในความเป็นจริงกลับรวดเร็วมาก พริบตาเดียวก็มายืนอยู่บนบันไดห่างจากกลุ่มของเฉินผิงอันไปแค่เจ็ดแปดขั้น

เผยเฉียนรู้สึกว่าคนหนุ่มผู้นั้นหน้าคุ้นๆ จึงไปหลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน

พบหน้ากันเจียงซ่างเจินก็พูดเข้าประเด็นทันที “เฉินผิงอัน จากลากันที่พื้นที่มงคลดอกบัว ได้มาพบเจอกันอีกครั้ง ดูท่าพวกเราจะมีวาสนาต่อกันไม่น้อย”

เฉินผิงอันถาม “โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์? เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก?”

เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยี “ใช่แล้ว”

ผู้ฝึกตนใหญ่ที่ยืนอยู่บนยอดเขาของใบถงทวีปผู้นี้หันหน้าไปยิ้มให้ลู่ยง “นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าสายตาดีมีแววที่แท้จริง”

ลู่ยงไร้คำพูดตอบโต้

เฉินผิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะพาตัวมาส่งถึงที่เร็วขนาดนี้”

เจียงซ่างเจินหุบยิ้ม พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เฉินผิงอัน บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้ากับโจวซื่อและยาเอ๋อร์ ข้าไม่สนใจ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ตอนที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองของพื้นที่มงคลดอกบัว ข้าก็เคยคิดว่าหลังออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวแล้วจะไปหาเจ้า เชิญให้เจ้าไปเป็นผู้ถวายงานให้แก่สกุลเจียงข้า โชควาสนามากมายในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ขอแค่เจ้ามีความสามารถก็ช่วงชิงเอาไปได้เลย ข้าเจียงซ่างเจินเต็มใจจะให้เป็นเช่นนั้น เพียงว่าภายหลังเจ้าดึงดันจะสังหารลู่ฝ่างและโจวซื่อให้ได้ ข้าจึงเกิดจิตสังหารขึ้นมาจริงๆ คิดว่าหากกลับไปถึงใบถงทวีปแล้วจะทำอะไรบางอย่าง เพียงแต่ว่าพอขอให้ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางช่วยเหลือ ไม่ว่าอย่างไรก็ยังหาตัวเจ้าไม่เจอ ภายหลังก็มีเรื่องให้ต้องทำอีก เรื่องนี้จึงถูกถ่วงเอาไว้”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “นี่เจ้าก็หาข้าเจอแล้วไม่ใช่หรือ?”

ในใจเจียงซ่างเจินตกตะลึงไปเล็กน้อย

เพิ่งจะออกจากพื้นที่มงคลดอกบัวมาได้ไม่นานเท่าไหร่ เหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าได้เจอกับเฉินผิงอันสองคนที่ต่างกัน

ไม่ได้อยู่ที่ด้านการฝึกตน แต่อยู่ที่สภาพจิตใจ

อย่าดูแคลนผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่งที่เดินขึ้นยอดเขาของพื้นที่มงคลดอกบัว

ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ไม่สูงก็จริง แต่นั่นเป็นเพราะถูก ‘มหามรรคา’ ของนักพรตบางคนกดทับไว้บนไหล่

ทุกอย่างที่ติงอิงทำลงไปก็เป็นแค่การ ‘ปัดภาระ’ ในอีกความหมายหนึ่งเท่านั้น

‘โจวเฝย’ และลู่ฝ่างก็เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ปณิธานไม่ได้อยู่ที่การขัดเกลาวิถีวรยุทธ์ แต่อยู่ที่การฝ่าด่านจิตมาร คือเหตุผลของคนคนหนึ่ง แต่อันที่จริงแล้วเหตุใดจะไม่ใช่ ‘ความทุกข์เพราะไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา’

ส่วนคนทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอันก็น่าจะเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่เล่าลือกันของพื้นที่มงคล สตรีสะพายกระบี่น่าจะเป็นสุยโย่วเปียนเซียนกระบี่หญิงที่ลู่ฝ่างมักจะพูดถึงเป็นประจำ อีกสามคนที่เหลือ เขาก็พอจะคาดเดาตัวตนได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าใครเป็นใคร บุรุษร่างสูงใหญ่ที่พกดาบก็คือจูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธ์ที่ตอนหนุ่มหล่อเหลาเกินผู้ใดจะเปรียบเทียบในตำนาน? บุรุษร่างเล็กเตี้ยแต่กำยำคือหลูป๋ายเซี่ยงบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมาร? ผู้เฒ่าหลังค่อมที่ยิ้มตาหยีนั่นคือเว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน?

เฉินผิงอันได้เป็นเจ้านายของคนทั้งสี่นี้ เจียงซ่างเจินตกตะลึงและอิจฉาเล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้นริษยาอาฆาต

ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวต้องการเวลาในการสร้างขอบเขตให้มั่นคงมากที่สุด เท้าเหยียบลงบนพื้นดิน น้ำหยดทะลุหิน ไม่พิถีพิถันในเรื่องพรสวรรค์และโชควาสนาอย่างผู้ฝึกลมปราณ

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด