กระบี่จงมา 376.1 ผู้ฝึกตนอิสระมีหลากหลาย

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 376.1 ผู้ฝึกตนอิสระมีหลากหลาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งลักษณะเหมือนคนอายุสามสิบต้นๆ ยืนอยู่บนหินใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่ง ใบหน้าของเขาเปรอะฝุ่นมอมแมม ถ่มเลือดคำหนึ่งออกมาเบาๆ

การต่อสู้ครั้งนี้มีแต่เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมาย เวลาคิดบัญชีตอนจบเรื่อง หากจะขอเงินเพิ่มจากเซียนดินโอสถทองผู้นั้นอีกนิดคงไม่เกินกว่าเหตุกระมัง วัตถุดิบวิเศษทั่วร่างของวัวดิน ของดีๆ เจ้าล้วนเอาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นโอสถทอง เขาวัว เอ็นและกระดูก ฯลฯ พวกเขาก็ได้แค่เครื่องในและเลือดเนื้อไปเท่านั้น ผลกลับกลายเป็นว่านี่ยังต้องต่อสู้อีกสองรอบ หากแม้แต่เงินร้อนน้อยไม่กี่เหรียญยังไม่เต็มใจจะควักออกมา ก็อย่าโทษหากพวกเขา…ชี้หน้าด่าแม่ลับหลังก็แล้วกัน

ผู้ฝึกลมปราณคนนี้ชื่อว่าลวี่หยางเจิน มีชาติกำเนิดจากชนบท ครอบครัวเป็นนายพรานกันมาหลายรุ่นหลายสมัย ตอนนี้คือผู้ฝึกตนอิสระที่ไร้ที่พักพิงคนหนึ่ง เมื่อปีก่อนเพิ่งจะข้ามผ่านธรณีประตูบานใหญ่มาได้ จึงกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิต แม้ว่าจะเป็นขอบเขตที่ต่ำที่สุดของห้าขอบเขตกลาง แต่สำหรับผู้ฝึกตนอิสระแล้ว การได้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตก็คือการเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว ก้าวนี้เดินออกไปก็จะได้ทำหน้าที่ในจวนตระกูลเซียนที่ระบบการสืบทอดถูกต้อง สามารถไปเป็นผู้ถวายงานให้กับฮ่องเต้ของโลกมนุษย์ เป็นเค่อชิงที่ทำงานให้กับจวนของชนชั้นสูงหรือพวกขุนนาง หรือเปลี่ยนมาพูดอีกอย่างหนึ่ง ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตถ้ำสถิตก็ถือว่าเริ่มมีมูลค่าในตัวเองแล้ว

ความฝันของลวี่หยางเจินก็คือหวังว่าตัวเองจะโชคดีกว่าพวกโครงกระดูกผู้ฝึกตนที่เจอตรงโพรงริมหน้าผาตอนนั้นสักหน่อย ได้ตำราเซียนระบบเต๋าเล่มหนึ่งที่ชี้ตรงไปยังขอบเขตเซียนดินบนมหามรรคามาครอบครอง ต่อให้ชีวิตนี้ไม่อาจเป็นเซียนดินโอสถทองที่อยู่สูงเหนือผู้ใด แต่หากได้ยืนอยู่นอกประตู ยื่นมือออกไปก็สามารถสัมผัสกับธรณีประตูของเทพเซียนพสุธาได้ เขาก็พึงพอใจแล้ว

และความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดในส่วนลึกของหัวใจลวี่หยางเจิน หรือควรจะพูดว่าความเพ้อฝัน นั่นคือหวังว่าวันใดวันหนึ่งตนเองซึ่งอายุเกือบหกสิบปีจะพบกับโชคดีใหญ่เทียมฟ้า อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งขึ้นมา ดังนั้นพอลวี่หยางเจินเห็นเซียนซือหนุ่มชุดขาวพลิ้วกายลงบนพื้น มีแสงสองเส้นพุ่งหายเข้าไปในน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดตรงเอว เขาก็พลันตาแดงก่ำ กระบี่บิน ต้องเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแน่นอน!

ไหนบอกว่า ‘หกสิบปีถ้ำสถิตเฒ่า ร้อยปีเซียนกระบี่ยังคงหนุ่ม’ อย่างไรล่ะ?

หรือว่าคนตรงหน้าผู้นี้คือผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่มีวิชารักษาความเยาว์วัย?

หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งก็เจอปัญหาใหญ่เทียมฟ้าแล้ว

หากเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่เก็บตัวสันโดษ คาดว่าการวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อล้อมสังหารช่วงชิงสมบัติครั้งนี้คงจะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายกันมหาศาลแล้ว

หลังจากอารมณ์ตื่นเต้นในช่วงสั้นๆ ผ่านไป ลวี่หยางเจินก็สงบสติอารมณ์ลงได้อย่างรวดเร็ว

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่สามารถเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาได้ หลังเผยกายบนโลก กระบี่บินนั้นยังสามารถต้านทานพายุลมกรดและการขัดเกลาจากปราณชั่วร้ายบนโลก นอกจากความน่ากลัวของตัวพวกเขาเองอย่างพลังการต่อสู้ที่น่าตะลึง ชอบตัดสินเป็นตายในเสี้ยววินาทีเมื่อต้องเข่นฆ่ากับใคร จุดที่ทำให้ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเขากริ่งเกรงกันมากที่สุดนั้นอยู่ที่ผู้ฝึกกระบี่แทบทุกคนในแจกันสมบัติทวีปล้วนเป็นลูกรักของตระกูลเซียนบนภูเขา ใครกล้าแตะต้องแม้แต่ปลายเล็บก็ต้องสะเทือนไปถึงศาลบรรพจารย์ในสำนักของพวกเขาแน่นอน

ลวี่หยางเจินใช้หางตาชำเลืองมองไปรอบด้าน

นอกจากเซียนดินโอสถทองที่ร่ายเวทอำพรางตาปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริงผู้นั้นซึ่งมองการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าไม่ออกแล้ว

ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่เหมือนกับลวี่หยางเจินล้วนมีสภาพจิตใจไม่ต่างกับลวี่หยางเจิน เพียงแต่ว่าบางคนก็ขี้ขลาดกว่า รู้จักบังคับเรือตามลมมากกว่า จึงเก็บอาวุธ หันไปแสดงท่าทีเป็นมิตรกับผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองกลายเป็นมะพลับนิ่มที่ถูกแขกไม่ได้รับเชิญผู้นี้บีบเล่น โดนอีกฝ่ายปลิดชีพด้วยหนึ่งกระบี่เพื่อแสดงอำนาจบารมี แล้วก็มีบางคนที่ไม่กลัวตาย ซุกซ่อนประกายร้อนแรงในดวงตาไว้อย่างมิดชิด ทว่าการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ที่ลวี่หยางเจินใคร่ครวญออกมาได้ก็ได้เปิดเผยความคิดในใจที่แท้จริงของพวกเขา จัดการไปพร้อมกับวัวดินตัวนั้น หากทำการค้าครั้งใหญ่ที่น่าตะลึงพรึงเพริดนี้ได้สำเร็จก็มากพอจะทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่กลายเป็นเศรษฐีภายในค่ำคืนเดียว! อย่างมากนับแต่บัดนี้ก็ไปให้ไกลจากพื้นที่แคว้นชิงหลวน ผู้ฝึกตนอิสระที่ถูกตระกูลเซียนบนภูเขามองเป็นสุนัขป่าคุ้ยเขี่ยหาอาหาร เดิมทีก็เป็นดั่งจอกแหนไร้รากอยู่แล้ว ฝึกตนอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?

อีกอย่างต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีหมวกสูงค้ำให้อยู่

ดังนั้นพวกลวี่หยางเจินจึงพากันเหลือบมองเซียนดินโอสถทองอยู่หลายครั้งตามจิตใต้สำนึก ยอดฝีมือท่านนี้มีที่มาไม่แน่ชัด เมื่อครึ่งปีก่อนก็รวบรวมพวกเขามาเป็นพรรคพวก ถ้อยคำคร่าวๆ ของเขาก็คือสถานที่แห่งนี้มีปีศาจใหญ่วัวดินซึ่งอำพรางตัวอยู่ท่ามกลางเส้นทางมังกรที่ผุพังซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานเส้นหนึ่งเป็นเวลานานถึงสองร้อยกว่าปีแล้ว สั่งสมฝึกตนจนได้ตบะเทียบเท่ากับขอบเขตประตูมังกรของผู้ฝึกลมปราณ หากฝ่าไปถึงขอบเขตโอสถทองได้ ตอนที่สร้างโอสถทอง แคว้นชิงหลวนจะต้องเผชิญหน้ากับโศกนาฎกรรมที่แผ่นดินสะท้านสะเทือนเพราะการพลิกตัวของวัวดิน เมืองหลายแห่งที่อยู่ในอำเภอและเขตการปกครองรอบรัศมีพันลี้จะต้องมีคนบาดเจ็บและล้มตายนับไม่ถ้วน ดังนั้นก่อนหน้าที่มันจะกลายเป็นโอสถทองก็จำเป็นต้องกำราบและสังหารมันให้ได้เสียก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้มันเป็นภัยต่อแคว้น…

ลวี่หยางเจินกับผู้ฝึกตนอิสระสองคนที่จับกลุ่มกันชั่วคราวเพื่อเดินทางตามหาสมบัติได้ยินเหตุผลที่ฟังดูแล้วเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมนี้ ตอนนั้นหากไม่เป็นเพราะกลัวตบะโอสถทองของคนผู้นี้ก็คงหลุดส่งเสียงหัวเราะออกไปแล้ว

การที่เขาจับมือเป็นพันธมิตรกับคนทั้งสองชั่วคราวแล้วเดินทางไปเยือนหลายแคว้นอย่างแคว้นชิงหลวน แคว้นชิ่งซาน ฯลฯ ก็เพราะผู้ฝึกตนสองพี่น้องนั้นมีคนหนึ่งที่เป็นตี้ซื่อซึ่งหายากคนหนึ่ง

ตอนนี้สองพี่น้องต่างก็ขยับเข้ามาใกล้เขาอย่างเงียบเชียบ

ครั้งนี้สามารถแบ่งน้ำแกงหนึ่งถ้วยมาจากจานอาหารของผู้ฝึกตนโอสถทอง ลวี่หยางเจินและผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นต่างก็มีคุณความชอบ ลวี่หยางเจินเชี่ยวชาญค่ายกล สามารถสยบความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวัวดินพลิกตัวได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ตระกูลเซียนที่แท้จริงจับตามองมา ถึงเวลานั้นจะกลับกลายเป็นว่าทุกคนยุ่งกันมาเกินครึ่งวันเพื่อสังหารสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับเป็นการตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น

ส่วนวิชาที่ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นเชี่ยวชาญก็คือเงื่อนไขสำคัญที่เซียนดินโอสถทองยินดีรับคนทั้งสามมาร่วมงาน เทพเซียนท่านนี้แค่พอจะระบุขอบเขตที่วัวดินซ่อนตัวได้คร่าวๆ แต่กลับยังคงตามหาไม่เจอว่ามันอยู่ตรงไหนกันแน่ ดังนั้นนักพรตหญิงที่ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าผู้นี้จึงถึงเวลาขึ้นเวทีแสดง

หญิงสาวสวมชุดงดงาม ลักษณะท่าทางเหมือนสตรีแต่งงานแล้ว เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า พรสวรรค์ไม่ถือว่าดีนัก เพียงแต่ว่าหากอยู่ท่ามกลางผู้ฝึกตนอิสระก็ถือว่าไม่เลว ความประทับใจที่นางมีต่อลวี่หยางเจินก็ดีพอสมควร ครั้งนี้เข้าร่วมแผนการกับเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง อย่างน้อยพวกเขาสองพี่น้องและลวี่หยางเจินก็ถือว่าปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ เวลานี้ได้ใช้คลื่นเสียงในทะเลสาบหัวใจสื่อสารกัน “ผู้มาเยือนมีเจตนาไม่ดี เห็นได้ชัดว่าเป็นสหายของสองคนนั้น จะเอาอย่างไร?”

ลวี่หยางเจินลูบใบหน้า “นิ่งรอดูสถานการณ์ก่อนเถอะ”

หญิงสาวพยักหน้ารับ การล้อมสังหารครั้งนี้ นางคือคนที่โดดเด่นที่สุด หลังจากศึกใหญ่เปิดฉากขึ้น นางอยู่ว่างสบายยิ่งกว่าพี่ชายและลวี่หยางเจินเสียอีก ถึงขั้นพูดได้ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย

เพราะนางคือตี้ซื่อคนหนึ่งของสายรองสำนักหยินหยาง

พี่ชายของนางคือชายฉกรรจ์สูงแปดฉื่อ ถือขวาน สวมเสื้อเกราะสีเขียวที่สลักอักขระยันต์ไว้มากมาย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือด แต่โชคดีที่เป็นแค่บาดแผลภายนอกที่เกิดจากผิวหนังปริแตกเท่านั้น เนื่องจากวาสนานำพาทำให้เขาเดินไปบนเส้นทางของผู้ฝึกตนสำนักการทหาร แต่ก็เหมือนแค่ภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น เขาก็แค่ได้รับตำราลับที่สูญหายไปของตระกูลเซียนสามสาขาที่ระบุถึงการหล่อหลอมร่างกายและสร้างจิตวิญญาณให้มั่นคงมาครอง บวกกับในอดีตได้ทุ่มทรัพย์สมบัติมหาศาลซื้อชุดเกราะวิเศษชิ้นนี้มา ถึงได้เป็นดั่งพยัคฆ์ติดปีก ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงบารมีในแถบของชายแดนแคว้นชิ่งซาน

ทว่าคนที่หาเงินได้อย่างแท้จริงกลับไม่ใช่ชายฉกรรจ์สวมเกราะที่พลังการต่อสู้ไม่ธรรมดาผู้นี้ แต่เป็นน้องสาวที่เป็นตี้ซื่อของเขาผู้นั้น

ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา โดยเฉพาะผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่ได้รับการสืบทอดจากสำนัก ในเรื่องการตามหาสมบัติวิเศษนี้ค่อนข้างจะมีเคล็ดลับและความรู้อยู่มาก

นอกจากจับผลัดจับผลูไปเจอกับโชควาสนาบนมหามรรคา ยังสามารถตามหาเบาะแสร่องรอยจากในอักขรากรมภูมิศาสตร์ท้องถิ่น บวกกับแผนที่ทางชัยภูมิที่เก็บเป็นความลับอยู่ในที่ว่าการของทางการ จำเป็นต้องตรวจสอบให้ตรงจุด และยังต้องสอบถามเอาจากชาวบ้านที่ขึ้นเขาลงห้วยเป็นประจำอย่างพวกนายพราน ชาวประมง ฯลฯ ถึงพอจะมีโอกาสค้นพบหนทางร่ำรวย

นี่จึงจำเป็นต้องให้พวกเซียงกวานและตี้ซื่อเปิดภูเขาถามเส้นทาง เซียงกวาน เล่าลือกันว่าสามารถเห็นโฉมหน้าของฟ้าดินได้อย่างชัดเจน สามารถอาศัยการดูดาวทำนายโชคชะตาของคนที่มาทำนาย โชคชะตาของแคว้น ส่วนตี้ซื่อนั้นเชี่ยวชาญในการตามหาช่องโพรงเส้นทางมังกร โดยเฉพาะการจับความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นกับปราณวิญญาณที่ยิ่งมีความรู้สึกเฉียบไวเป็นพิเศษ

เมื่อหาพบก็ยังมีด่านที่ต้องข้ามผ่านไป วัตถุดิบวิเศษในโลกมักจะมีภูตผีให้การคุ้มกันอย่างแน่นหนาเสมอ

และนี่ก็เป็นด่านยากที่อันตรายถึงชีวิตของผู้ฝึกตนอิสระมาโดยตลอด ผู้ฝึกตนอิสระมักจะเดินทางเพียงลำพัง พละกำลังน้อยนิด ไม่เหมือนพวกสำนักบนภูเขาที่มีถ้ำสถิตเทพเซียนที่หากค้นพบสถานที่แบบนี้ก็สามารถระดมพลพาคนจำนวนมากไปตรวจสอบ หากไม่ได้จริงๆ ก็หาตระกูลเซียนแห่งอื่นที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดังนั้นจึงมีน้อยครั้งที่พวกเขาจะพลาดไป ส่วนผู้ฝึกตนอิสระที่หากแน่ใจว่าไม่สามารถฮุบกลืนมาได้เพียงลำพังก็ได้แต่หาคนมาร่วมมือด้วย ไม่อย่างนั้นก็แทบไม่มีความเป็นไปได้

ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงไม่ไปตามหาสำนักตระกูลเซียนบนภูเขา ความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จจะไม่มากกว่าหรอกหรือ?

หนึ่งเพราะผลเก็บเกี่ยวน้อยเกินไป ทั้งๆ ที่เป็นคนค้นพบวัตถุดิบวิเศษหรือตำราลับบรรพกาลก่อนใคร แต่กลับง่ายที่จะมีจุดจบเป็นแค่คนที่ได้กินเศษน้ำแกงเหลือเดน นอกจากนี้ยังมีจุดจบที่น่าอนาถยิ่งกว่า นั่นก็ถือถูกตระกูลเซียนลอบสังหาร ต้องรู้ว่าผู้ฝึกตนอิสระถูกเซียนซือของระบบสืบทอดดั้งเดิมดูแคลน รังเกียจ มองเป็นผีเร่ร่อนท่ามกลางผู้ฝึกลมปราณ เป็นดั่งหนอนที่ชอนไชอยู่ตามปราณวิญญาณของฟ้าดิน คือผู้ฝึกตนเถื่อนที่ไม่เลือกวิธีการ

เหตุใดผู้อาวุโสขอบเขตหยกดิบในประวัติศาสตร์ของท่าเรือหางผึ้งคนนั้นถึงมีชื่อเสียงที่สูงส่งและดีงามอย่างยิ่งท่ามกลางผู้ฝึกตนอิสระของแจกันสมบัติทวีป? นั่นก็เป็นเพราะผู้อาวุโสท่านนี้เคยเอ่ยความในใจของผู้ฝึกตนอิสระนับพันนับหมื่นออกมา ‘ข้าผู้อาวุโสจะยืนกินจนอิ่ม!’

ชื่อถูกบันทึกไว้ในตำรา ส่วนหนึ่งอยู่ในศาลบรรพชนของสำนัก ส่วนหนึ่งอยู่ในราชสำนักบางแห่งที่อยู่ใกล้กับสำนัก ผู้ฝึกลมปราณประเภทนี้ถูกเรียกว่าเซียนซือแห่งทำเนียบวงศ์ตระกูล หากไม่ได้อยู่ในทำเนียบนี้ก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระแล้ว

ราชสำนักและทางการของท้องถิ่นต่างก็ไม่ชอบผู้ฝึกตนอิสระประเภทนี้ เพราะนิสัยเปลี่ยนแปลงง่าย ง่ายที่จะก่อเรื่อง ล่องลอยไม่อยู่นิ่ง มักจะทำให้พวกเขาต้องตามเช็ดก้นให้เป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ฝึกตนอิสระที่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางซึ่งสังหารเข่นฆ่าผู้คนได้อย่างเฉียบขาด คือคนอำมหิตที่เดินออกมาบนเส้นทางท่ามกลางลมคาวฝนเลือดนับครั้งไม่ถ้วน อารมณ์ของพวกเขาแปรปรวน ไม่เห็นใจใคร ยามที่ท่องอยู่บนโลกมนุษย์ก็มักจะทำอะไรกำเริบเสิบสาน แต่หากจะบอกว่าชีวิตของผู้ฝึกตนอิสระทุกคนไร้ค่าดั่งต้นหญ้าก็ย่อมเป็นคำพูดที่เกินจริงอย่างแน่นอน เพียงแต่ทั้งสามฝ่ายอย่างตระกูลเซียนบนภูเขา ที่ว่าการของราชสำนักและสำนักฝ่ายธรรมะในยุทธภพต่างก็ชอบพูดเลยเถิดเช่นนี้ เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนอิสระกลายเป็นดั่งหนูที่วิ่งผ่านถนนแล้วผู้คนวิ่งไล่ตีมานานปีแล้วปีเล่า

ผู้ฝึกตนอิสระที่พอจะมีความสามารถก็มักจะขอสถานะมาจากราชสำนักบางแห่ง หรือไม่ก็ขอสถานะผู้ถวายงานที่ได้รับส่วนแบ่งอย่างมากจากกองกำลังบนภูเขาบางลูก ใช้ชื่อเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลในการฝึกตนอย่างอิสระเสรี

พวกลวี่หยางเจินสามคน เนื่องจากคนหนึ่งคืออาจารย์ด้านค่ายกลที่ไม่เชี่ยวชาญการโจมตี อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกตนสำนักการทหารเถื่อนที่เน้นด้านการป้องกัน อีกคนหนึ่งก็ยิ่งเป็นตี้ซื่อที่ ‘มือไร้แรงจะมัดไก่’ ดังนั้นแต่ละคนจึงถือว่าค่อนข้างหนักแน่น

ทว่าคนอีกกลุ่มหนึ่งที่จับกลุ่มกันเจ็ดแปดคน สายตาที่มองเซียนซือหนุ่มผู้นั้น นอกจากจะมองประเมินเพื่อวิเคราะห์และประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แล้ว ยังแฝงแววอำมหิตดุร้ายออกมาเสี้ยวหนึ่ง

คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่สนิทกันมานานแล้ว คือผู้ฝึกลมปราณแปลกหน้าที่อยู่ใกล้เคียงกับแคว้นชิงหลวน เกินครึ่งคือมาร่วมความครึกครื้นของงานสัมมนามหายานและพิธีหลัวเทียน หวังลองมาเสี่ยงดวง การล้อมปราบปีศาจที่เป็นเผ่าพันธ์วัวดินครั้งนี้ พวกเขาออกแรงค่อนข้างมาก มีทั้งผู้ฝึกตนสำนักการหทารที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว แล้วก็มีทั้งนักพรตนอกรีตซึ่งเชี่ยวชาญด้านยันต์และหุ่นเชิด ผู้ฝึกตนผีที่ใช้ธงเรียกวิญญาณ ชายฉกรรจ์กำยำผู้หนึ่งที่วัตถุแห่งชะตาชีวิตคือโล่หวาย โล่เหยี่ยวและโล่เหล็กสามชิ้น รับผิดชอบช่วยป้องกันการโจมตีให้กับสหายที่หลบเลี่ยงไม่ทัน

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งที่ยังคงเป็นห้าขอบเขตกลาง กระบี่บินเล่มหนึ่งพอออกจากช่องโพรงลมปราณมาก็ก่อตัวกลายเป็นของจริง กระบี่บินทั้งเล่มเป็นสีดำสนิท ยาวสองฉื่อกว่า ห่อหุ้มสายลมและสายฟ้า กลิ่นคาวเลือดเข้มข้น เนื่องจากยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต ยังไม่ได้ ‘บุกเบิกจวน’ อย่างแท้จริง ดังนั้นปราณวิญญาณทั่วร่างจึงไม่สามารถประคับประคองให้กระบี่บินเผยกายได้นานนัก ส่วนใหญ่จึงมักจะโจมตีหนึ่งครั้งแล้วย้อนกลับเข้าช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตที่อบอุ่น ใช้เงินเกล็ดหิมะมาชดเชยปราณวิญญาณที่หายไปในช่องโพรงเพื่อรอการออกกระบี่ในครั้งถัดไป บาดแผลที่ถึงแก่ชีวิตหลายจุดบนร่างวัวดินสีเหลืองตัวนั้น มีถึงครึ่งหนึ่งที่เป็นฝีมือของกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนนี้

 หัวใจหลักของคนกลุ่มนี้คือผู้เฒ่าที่สวมชุดดำคนหนึ่ง เขานั่งอยู่บนจิ้งจอกดำตัวใหญ่ยักษ์ที่มีห้าหาง

ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองผู้ฝึกตนโอสถทองที่อำพรางตัวตนอย่างมิดชิด ความหมายของเขานั้นง่ายดายมาก ครั้งนี้เจ้าต้องควักกระเป๋าใช้เงินเกล็ดหิมะมาแลกเปลี่ยนของวิเศษตลอดทั้งตัวของปีศาจวัวดิน ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็ออกแรงกันไม่น้อย เรื่องที่ควรทำก็ทำไปหมดแล้ว ตอนนี้มีผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่รู้ความเป็นมาเข้ามาก่อกวน จะสู้หรือจะถอย เจ้าเป็นคนตัดสินใจ หากยังคิดจะสู้ให้ตายกันไปข้าง มีเรื่องกับผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้ ค่าตอบแทนจะไม่ใช่เงินร้อนน้อยอย่างที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้อีกแล้ว หากคิดจะถอย ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็จ่ายค่ามัดจำล่วงหน้าไปแล้ว ทั้งสองฝ่ายสามารถแยกย้ายตัดขาดความเกี่ยวข้องกันได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย

ผู้ฝึกตนโอสถทองที่บังคับลมหยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศกลับไม่ได้ใช้เสียงในใจบอกกล่าวแก่ผู้ฝึกตนอิสระยี่สิบกว่าชีวิต ไอหมอกในขุนเขาปกคลุมอยู่บนใบหน้าของเซียนดินผู้นี้ เขามองไปยังคนหนุ่มที่สวมชุดขาวแล้วเอ่ยตามตรงว่า “เจ้าคิดจะตัดขาดทางทำมาหากินของคนอื่นจริงๆ หรือ? ข้ารับปากพวกเจ้าได้ ขอแค่พวกเจ้ายินดีถอยออกไปจากภูเขา ไม่สอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ ของวิเศษบนร่างของวัวดินสีเหลืองที่เดิมทีควรเป็นของข้าจะหักส่วนหนึ่งมาเปลี่ยนเป็นเงินเกล็ดหิมะ หลังจบเรื่องข้าจะประคองสองมือส่งให้เจ้าเอง”

หลังจากที่ฟังจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียอธิบาย เฉินผิงอันก็พอจะรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวคร่าวๆ

วัวดินสีเหลืองที่นอนจมอยู่กลางกองเลือดด้านหลังตัวนี้ แม้จะถือว่าเป็นปีศาจเผ่าวัวดินของบนโลก แต่เกิดมากลับมีนิสัยอ่อนโยน คำว่าวัวดินพลิกตัวที่ชาวบ้านชอบพูดถึงกันไม่เกี่ยวกับมันแม้แต่น้อย มันซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาสองร้อยกว่าปีก็เพราะอยากจะซ่อมแซมเส้นทางมังกรบรรพกาลที่แตกพังแห่งนั้นให้เป็นสถานที่สำหรับบุกเบิกจวนในวันหน้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้มันเผยร่างจริงในลักษณะนอนอยู่ตลอดเวลา ร่างของมันเหมือนเทือกเขาที่มีหินภูเขากองทับถมกัน ‘บนภูเขา’ มีต้นไม้เขียวขจีขึ้นรกครึ้มมานานแล้ว

คำว่าวัวดินพลิกตัวที่แท้จริงคือฝีมือของเต่ายักษ์ แมงกะชอน ไส้เดือนและคางคกยักษ์ที่จำศีลอยู่ใต้ดินมาอย่างยาวนาน ภูตแห่งภูเขาและแม่น้ำเหล่านี้ชอบอยู่เฉยๆ ไม่ชอบเคลื่อนไหว อาศัยพรสวรรค์ที่มีจึงมักจะชอบใช้ร่างของตัวเองเชื่อมโยงเข้ากับรากของภูเขา ดึงดูดเอาปราณวิญญาณบนผืนแผ่นดินมาอย่างเชื่องช้า กลัวเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ หากพวกมันเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตห้าขอบเขตกลาง หรือไม่ก็ช่วงที่ใกล้จะสร้างโอสถทองได้สำเร็จก็ล้วนจำเป็นต้องสูบกลืนปราณวิญญาณฟ้าดิน เนื่องจากซ่อนตัวอยู่ใต้ดินเป็นเวลานาน กินโชคชะตาแห่งขุนเขาเป็นอาหาร หากฝ่าทะลุขอบเขตจะเกี่ยวพันกับโชควาสนาบนมหามรรคา จึงมักจะสำแดงสันดานเดิม เผยความดุร้ายออกมาอย่างชัดเจน ดังนั้นถึงได้มีคำกล่าวที่ว่าวัวดินพลิกตัว เต่ายักษ์พลิกกระดองซึ่งชักนำให้เกิดโศกนาฏกรรมแผ่นดินไหวหลายต่อหลายครั้ง

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด