กระบี่จงมา 394.2 แสงสว่างผุดวาบ ภูเขาค่อยๆ เขียว

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 394.2 แสงสว่างผุดวาบ ภูเขาค่อยๆ เขียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มันเดินอาดๆ อ้อมผ่านโต๊ะที่วางของตกแต่งประณีตงดงามจนเต็มมานั่งบนเก้าอี้ แหงนเงยศีรษะไปด้านหลัง ขยับก้นไปมา แต่กลับไม่รู้สึกสบายตัวสักทีจึงเริ่มสบถด่าหยาบคาย มารดามันเถอะ พวกบัณฑิตนี่แม่งดีแต่กินอิ่มแล้วไม่ทำงานทำการอะไรจริงๆ ขนาดเก้าอี้ที่นั่งสบายสักตัวก็ยังไม่เต็มใจทำ จะต้องให้คนลำบากนั่งอกตั้งหลังตรงอยู่ได้

มันจ้องเป๋งไปยังเบื้องบน

ไพล่นึกไปถึงผู้อาวุโสใหญ่อีกคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลัง ผู้เฒ่าสกุลถังที่กุมอำนาจใหญ่ของแคว้นชิงหลวน

คนผู้นี้เกลียดขี้หน้าหลิ่วจิ้งถิงมานานมากแล้ว

นี่ช่างน่าแปลกนัก ขนาดมันที่เป็นคนนอกยังรู้ว่าหลิ่วจิ้งถิงเป็นขุนนางน้ำดีมากความสามารถ คือเสาคานสำคัญที่ค้ำยันราชสำนัก เจ้าเป็นอาแท้ๆ ของฮ่องเต้สกุลถังองค์ปัจจุบัน เหตุใดถึงมองหลิ่วจิ้งถิงเป็นดั่งศัตรูคู่อาฆาตเสียเล่า?

สองปีมานี้มีปัญญาชนและชนชั้นสูงมากน้อยเท่าไหร่ที่เดินทางลงใต้เพราะชื่นชมในชื่อเสียงอันดีงามของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว?

ต่อให้มันคิดจนหัวแตกก็ยังไม่เข้าใจ

นี่กลับทำให้มันไพล่นึกไปถึงเมื่อปลายปีที่มันไปนอนอยู่บนคานแอบฟังบทสนทนาในวงเหล้าระหว่างพ่อลูกสวนสิงโต

หลิ่วจิ้งถิงและบุตรชายของเขาสองคนดื่มเหล้าพูดคุยกัน เรื่องที่คุยก็หนีไม่พ้นความกังวลต่อบ้านเมืองความเป็นห่วงปวงประชาของหลิ่วจิ้งถิง ข่าวใหม่ล่าสุดที่บุตรชายคนโตได้ยินมา รวมไปถึงการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาสังคมในปัจจุบันของหลิ่วชิงซาน

พวกปัญญาชนและขุนนางบุ๋นที่เกลียดแค้นหลิ่วจิ้งถิงที่สุดนั้นน่าสนใจมาก ไม่ใช่พวกศัตรูในราชสำนักที่ความเห็นด้านการปกครองไม่ตรงกัน แต่กลับเป็นพวกบัณฑิตที่พยายามพึ่งพารองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วแต่ไม่ได้ผล ทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อประจบเอาใจแต่กลับไม่ได้รับการตอบรับ จากนั้นก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่โต้เถียงเอาชนะคะคานกับลูกศิษย์ของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วอย่างไม่ยอมเลิกรา ถกเถียงกันในวงการวรรณกรรมจนหน้าดำหน้าแดง สุดท้ายด้วยความอับอายที่พานเป็นความโกรธจึงหันมาเคียดแค้นหลิ่วจิ้งถิงเข้ากระดูกดำตามไปด้วย

ขนาดหลิ่วจิ้งถิงเองยังรู้สึกประหลาดใจ อันที่จริงการปฏิบัติตัวที่เขามีต่อคนอื่นล้วนไม่เคยแบ่งแยกว่าตำแหน่งขุนนางสูงหรือต่ำ ชาติกำเนิดดีหรือเลว อย่างมากสุดก็แค่ไม่เอ่ยวิจารณ์ผลงานที่ใช้ถ้อยคำเลิศลอยสวยหรูเกินไป ไม่สนใจถ้อยคำที่จงใจประจบเอาใจเขา แต่ท่าทีเช่นนี้ของหลิ่วจิ้งถิงกลับทิ่มแทงใจคนบางคนมากที่สุด สำหรับเรื่องนี้ หลังจากที่หลิ่วจิ้งถิงลาออกจากราชการแล้วมีครั้งหนึ่งได้พูดคุยเรื่องวงการขุนนางกับบุตรชายคนโต นายอำเภอเล็กๆ ที่ภาพลักษณ์ภายนอกไม่โดดเด่นเท่าน้องชายหลิ่วชิงซานได้พูดหลักการเหล่านี้ให้บิดาฟังอย่างกระจ่างแจ้ง ตอนนั้นหลิ่วจิ้งถิงทำเพียงกระดกจอกเหล้าดื่มจนหมดจอกเท่านั้น

ส่วนหลิ่วชิงซานกลับไม่เห็นด้วย เขาพูดจาโผงผางตรงไปตรงมา กลับกลายเป็นตำหนิพี่ชายคนโตที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กไปคำรบหนึ่ง

ยังดีที่พี่ชายรู้นิสัยของหลิ่วชิงซานดีจึงไม่โกรธเคือง เอ่ยแค่ว่าตนเข้าไปอยู่ในอ่างโรคติดต่ออย่างวงการขุนนางแล้ว หวังว่าวันหน้าหลิ่วชิงซานอย่าได้เลียนแบบเขาก็พอ

ช่างเป็นบรรยากาศกลมเกลียวปรองดองที่บิดาเมตตาบุตรกตัญญู พี่ชายมีน้ำใจน้องชายให้ความเคารพนับถือซะจริง

อันที่จริงตอนนั้นในใจมันก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ปีศาจจิ้งจอกที่ถูกตนกินไปตนนั้นคิดจะทำตัวกลมกลืนเข้ามาในตระกูลหลิ่วของสวนสิงโตจริงๆ ใช่หรือไม่? การที่มันอยากจะสอบเคอจวี่เพราะคิดว่าวันหนึ่งจะใช้สถานะลูกเขยของหลิ่วจิ้งถิงมาสร้างคุณงามความดีในราชสำนักและด้านงานวรรณกรรม สุดท้ายหันกลับมาหล่อเลี้ยงชะตาบุ๋นของสกุลหลิ่วซะเอง?

เพียงแต่ว่าตอนนั้นมันน้ำลายสอมากจริงๆ จึงกินปีศาจจิ้งจอกที่ยังไม่ทันสร้างโอสถทองตนนั้นหมดในคำเดียว จำได้ว่าตัวเองยังเรออยู่อีกหลายทีด้วยนี่นะ?

มันหันหน้ากลับไป รับสัมผัสได้ถึงการออกมีดของสตรีหน้าเหม็นเรือนซือเตาที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะกลับไปมือเปล่า พูดอย่างเคียดแค้น “หน้าตาอัปลักษณ์ถึงเพียงนั้น คู่กับเจ้าคนขาเป๋ก็เหมาะสมกันพอดี!”

น่าเสียดายที่มันไม่ใช่อริยะลัทธิขงจื๊อที่แค่เอื้อนเอ่ยก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นได้

ทอดถอนใจหนึ่งที ก่อนจะดึงสายตากลับมา กวาดตามองไล่ไปบนสี่สมบัติแห่งห้องหนังสือจำนวนมากมายที่ไร้ราคาเหล่านั้นอย่างไม่มีอะไรทำ

มันพลันเบิกตากว้าง ยื่นมือไปคลำกล่องใบเล็กที่อยู่ด้านข้างที่ทับกระดาษไม้ทรงยาว

ร้อนลวกมือ!

มันรีบหดมือกลับมา อารมณ์ผ่อนคลายอย่างยิ่งยวด ด่ายิ้มๆ ว่า “เจ้าหลิ่วชิงซานผู้นี้ ร้ายนักนะ!”

……

ทางฝั่งของศาลบรรพชนสกุลหลิ่ว

อาจารย์สอนหนังสือสองคน อาจารย์วัยชราคอยอยู่ข้างกายหลิ่วจิ้งถิง

หลิ่วจิ้งถิงยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ลำบากอาจารย์ฝูแล้ว”

ผู้เฒ่าแค่ส่ายหน้า

นอกจากสอนหนังสือแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้แทบไม่เคยพูดจา แล้วสีหน้าก็แทบไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง

อันที่จริงคนตลอดทั้งสวนสิงโตต่างก็หวาดกลัวอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้

ส่วนอาจารย์หลิวที่เป็นศิษย์ลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนผู้นั้น แม้จะไม่ถือว่าน่าใกล้ชิดสนิทสนมเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นคนที่เข้มงวดกับกฎระเบียบอย่างมาก ลูกหลานสกุลหลิ่วและลูกหลานบ่าวรับใช้ที่เคยเรียนหนังสือกับเขาล้วนถูกเขาตีและสั่งสอนอบรมมาแทบทุกคน แต่กระนั้นก็ยังน่าเข้าใกล้ยิ่งกว่าผู้เฒ่าแซ่ฝู

เวลานี้ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อเดินมาที่หน้าประตูศาลบรรพชน รอคอยให้หลิ่วชิงซานกลับมา

พอเห็นว่าหลิ่วชิงซานกลับมาจากหอซิ่วโหลวอย่างปลอดภัย อาจารย์หลิวท่านนี้ก็ยังมีสีหน้าไร้อารมณ์ จนกระทั่งหลิ่วชิงซานที่เดินกะเผลกคารวะเขาด้วยพิธีการที่ศิษย์คารวะอาจารย์ เขาถึงได้ผงกศีรษะตอบรับ

หลิ่วชิงซานข้ามธรณีประตูเข้ามา เดินไปหาหลิ่วจิ้งถิงผู้เป็นบิดา

ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อยังคงยืนอยู่หน้าประตู จากนั้นสายตาของเขาก็ไล่มองขึ้นไปเบื้องบน มองเห็นเงาร่างสองเงาที่หอเก็บตำรา นั่นคือคู่นายบ่าวที่มาจากภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายตาของชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อไม่ดีหรือเห็นแล้วแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น เพราะเพียงไม่นานเขาก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในศาลบรรพชน

ตรงราวระเบียงใต้ชายคาหอเก็บตำรา สาวใช้เหมิงหลงยิ้มถามว่า “คุณชาย ท่านว่าฝูเซิงกับคนแซ่หลิวผู้นี้จะเป็นยอดฝีมือนอกโลกเหมือนพวกเราหรือเปล่า?”

คุณชายตู๋กูหัวเราะขำคำพูดอีกฝ่าย “เจ้าอธิบายให้คุณชายอย่างข้าฟังก่อนเถอะว่า พวกเราเป็นยอดฝีมือนอกโลกตั้งแต่เมื่อไหร่?”

เหมิงหลงคลี่ยิ้มรู้ใจ ก่อนจะฟุบตัวบนราวระเบียงทอดสายตามองไปไกล

ในแจกันสมบัติทวีป พวกเขาไม่นับเป็นยอดฝีมือนอกโลกหรอกหรือ?

คุณชายก็แค่ถ่อมตัวเท่านั้น

ราชวงศ์จูอิ๋งที่นางอยู่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า จำนวนผู้ฝึกกระบี่มากเป็นอันดับหนึ่งของทวีป กองกำลังของแคว้นก็แข็งแกร่ง ลำพังเพียงแค่แคว้นใต้อาณัติก็มีมากหลายสิบแคว้น

ในบรรดาลูกหลานมังกรที่ตัดสินใจสละตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์มาตั้งแต่เนิ่นๆ คนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบ เคยประมือกับหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าที่เคยเป็นก่อกำเนิดอันดับหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปมาสามครั้ง แม้ว่าจะแพ้ทุกครั้ง แต่ก็ไม่มีใครกล้าสงสัยในพลังการต่อสู้ของผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ ในแจกันสมบัติทวีปมีเซียนดินสักกี่คนที่กล้าต้านรับหนึ่งกระบี่จากหลี่ถวนจิ่ง? หลี่ถวนจิ่งใช้หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ข่มกำราบภูเขาตะวันเที่ยงมาหลายร้อยปี ถ้าเช่นนั้นหลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่ของราชวงศ์จูอิ๋งผู้นี้พ่ายแพ้ไปแล้ว แต่กลับยังสามารถทำให้หลี่ถวนจิ่งรับปากจะต่อสู้กับเขาอีกสองครั้งก็แสดงให้เห็นแล้วว่าวิชากระบี่ของเขาสูงส่งเพียงใด

ยังมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าอีกสองคน คือคู่รักเทพเซียนที่มองข้ามความสัมพันธ์ทางสายเลือด ด้วยเหตุนี้จึงแตกหักกับราชวงศ์จูอิ๋ง อย่างน้อยภายนอกก็เป็นเช่นนี้ สามีภรรยาคู่นี้ปรากฏตัวน้อยครั้ง พวกเขาเอาแต่มุ่งมั่นฝึกฝนวิถีกระบี่ เล่าลือกันว่าอันที่จริงแล้วฮ่องเต้ราชวงศ์จูอิ๋งได้มอบท้องพระคลังให้คนทั้งสองช่วยดูแล มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแซ่ใหญ่หลายแซ่ในนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางทิศใต้สุด เงินทองจึงไหลมาเทมาไม่ขาดสาย

เหมิงหลงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “คุณชาย ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปเผด็จการเกินไปแล้วจริงๆ โดยเฉพาะเทียนจวินลัทธิเต๋าที่สมควรโดนแทงพันครั้งนั่น”

คุณชายตู๋กูยิ้มบางๆ “พวกเราก็เป็นอย่างนี้ในสายตาของภูตผีปีศาจบนภูเขาที่พวกเราไปถอนรากถอนโคน เหมือนกันไม่ใช่หรือ? หรือว่าพวกนักการพวกสาวใช้ที่ตายใต้ฝ่าเท้าเทพท่องราตรีของเจ้าตนนั้นล้วนสมควรตาย? แน่นอนว่าไม่ใช่ เพียงแต่ว่าพวกเราคร้านจะสนใจก็เท่านั้น”

เหมิงหลงสะอึกอึ้งพูดไม่ออก

ได้แต่ใช้ปลายเท้าเตะราวระเบียงของหอสูงอย่างขุ่นเคือง

……

เฉินผิงอันไม่ได้วาดยันต์บริเวณใกล้เคียงของหอซิ่วโหลวต่อ แต่พาสือโหรวตรงดิ่งไปที่ประตูใหญ่ของสวนสิงโต

ปราณวิญญาณของเทพทวารบาลหลากสีสันสององค์บางเบาจนไม่อาจประคับประคองให้พวกมันปกป้องสกุลหลิ่วได้อีก

เฉินผิงอันพึมพำถ้อยคำขออภัย จากนั้นก็เริ่มวาดยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจไว้บนประตูใหญ่สองบาน

ไม่เหมือนกับ ‘การละเล่นเล็กๆ น้อยๆ’ ที่หอซิ่วโหลว ยันต์สยบปีศาจสองแผ่นบนประตูจวนต่างก็ถูกวาดเสร็จในรวดเดียว เปิดอย่างยิ่งใหญ่และปิดอย่างยิ่งใหญ่ ประหนึ่งเทพสาดน้ำหมึก

 สือโหรวที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันแอบพยักหน้ากับตัวเอง หากไม่เป็นเพราะวัสดุของพู่กันที่อยู่ในมือธรรมดาเกินไป อีกทั้งสีทองในไหก็ไม่ถือว่ามีคุณภาพยอดเยี่ยม อันที่จริงยันต์ที่เฉินผิงอันวาดก็ถือว่ามีจิตวิญญาณแห่งยันต์เปี่ยมล้น และยังสามารถเพิ่มพลานุภาพให้มากขึ้นไปได้อีก

หลังจากวาดยันต์เสร็จแล้ว เฉินผิงอันก็ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ยืนเคียงไหล่อยู่กับสือโหรว เมื่อแน่ใจว่าไร้ช่องโหว่แล้วถึงได้เดินตามทางที่ปูด้วยก้อนหินริมกำแพงรอบนอกออกไป ห่างไปประมาณห้าสิบกว่าก้าวก็วาดยันต์ต่ออีกครั้ง

ระหว่างที่เดิน เฉินผิงอันหันไปพูดกับสือโหรวที่เงียบงันมาตลอดทางว่า “ระหว่างที่ข้าวาดยันต์จำเป็นต้องรวบรวมสมาธิ อาจไม่สามารถค้นพบร่องรอยของปีศาจตนนั้นได้ทันที ดังนั้นเจ้าต้องระวังไว้ให้มาก”

สือโหรวพูดอย่างเฉยเมย “ไม่พูดถึงหน้าที่ที่ต้องช่วยแบ่งเบาความกลัดกลุ้มให้กับนายท่าน นี่ยังเกี่ยวพันไปถึงชีวิตของบ่าวเองด้วย แน่นอนว่าต้องไม่กล้าประมาทอยู่แล้ว นายท่านไม่ต้องเป็นกังวลให้มากความ”

เฉินผิงอันหันหน้ามามองนางแวบหนึ่ง “เป็นเพราะคนคนหนึ่งยากจนจนหวาดกลัวไปแล้ว อยู่ดีๆ มีเงินขึ้นมาก็เลยกลายเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวสินะ”

สือโหรวฟังความหมายเหน็บแนมบางเบาในคำพูดนี้ออก แต่ไม่คิดจะโต้เถียง

ไม่ใช่ว่านางกระดากใจหรือละอายใจ แต่สาเหตุเป็นเพราะข้อความในกระดาษแผ่นนั้น

หลังจากเปิดกระดาษพับรูปม้าที่ชุยตงซานฝากไว้ที่จูเหลี่ยน เนื้อหาในกระดาษแผ่นนั้นกระชับเรียบง่าย มีแค่ประโยคเดียว หกคำเท่านั้น

“น้องสาวเอ๋ย อย่ารนหาที่ตาย”

มองดูเหมือนเป็นคำเย้าหยอก แต่กลับทำให้สือโหรวที่อยู่ในคราบร่างเซียนรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว

เฉินผิงอันวาดยันต์แต่ละครั้งอย่างรวดเร็ว น่าจะเป็นเพราะเคยฝึกฝนอย่างยากลำบากมาก่อน ไม่อย่างนั้นก็เป็นเพราะมีอาจารย์เป็นผู้สูงส่ง

สือโหรวจำต้องยอมรับในความทนทานของเฉินผิงอัน ไม่ว่าจะความมั่นคงของจิงชี่เสินในทุกลมหายใจ หรือความนิ่งของร่างกายและจิตวิญญาณก็ล้วนเป็นตัวช่วยที่สำคัญ จะขาดข้อใดไปไม่ได้เลย

การวาดยันต์เผาผลาญพลังกายใจที่สุด

นี่เป็นประโยคแห่งสัจธรรมแท้จริงที่โด่งดังและแพร่หลายของพรรคมหายันต์

หนึ่งเค่อต่อมา สือโหรวฉวยโอกาสที่เฉินผิงอันเพิ่งวาดยันต์แผ่นใหม่ล่าสุดเสร็จ กำลังเอนหลังพิงผนังหายใจหอบรัว เอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “นายท่านกำลังสร้างค่ายกลหรือ?”

เฉินผิงอันถลึงตามองนาง รีบยกนิ้วมาวางไว้บนริมฝีปาก บอกให้รู้เป็นนัยว่าความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย และตอนที่ก้าวเดินไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง คงเป็นเพราะโมโหมากจริงๆ จึงหันกลับมาถลึงตาใส่สือโหรวที่ปากไม่มีหูรูดซ้ำอีกที

สือโหรวที่มือโอบอุ้มไหของเหลวสีทองเหนียวหนืดข้างละไหเดินติดตามไปด้านหลังเฉินผิงอันแต่โดยดี นึกไปด้วยว่าเจ้าหมอนี่ก็มีช่วงเวลาที่ตระหนกลนกับเขาด้วย มุมปากของนางตวัดโค้งบางๆ แต่ก็ถูกนางกดลงอย่างรวดเร็ว

อาณาบริเวณของสวนสิงโตนั้นกว้างขวางมาก เฉินผิงอันที่พยายามวาดยันต์สร้างค่ายกลเงียบๆ อย่างยากลำบาก หมายฉวยโอกาสตอนที่ปีศาจใหญ่ตนนั้นยังสัมผัสไม่ได้วาดยันต์ให้สำเร็จ ก็เรียกได้ว่าทุ่มสุดชีวิตไว้บนปลายพู่กันที่ตวัดลงบนผนังสีขาวแล้วจริงๆ

ไม่ได้ผ่อนคลายกว่าการรบราเข่นฆ่ากับใครเลย

สือโหรวไม่เหมือนกับคนทั้งสี่ในภาพวาด นางไม่เคยผ่านคลื่นมรสุมลูกแล้วลูกเล่าติดต่อกัน ยิ่งไม่มีประสบการณ์เดินทางข้ามผ่านสองทวีปใหญ่อันยาวนาน ดังนั้นจึงไม่คุ้นเคยกับนิสัยใจคอและความสามารถที่แท้จริงของเฉินผิงอันได้เหมือนพวกจูเหลี่ยน แต่เกี่ยวกับเรื่องสมบัติพัสถานของเฉินผิงอัน สือโหรวกลับเข้าใจค่อนข้างมาก จิตหยางกายนอกกายของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานหนึ่งร่าง ลูกศิษย์อย่างชุยตงซานหนึ่งคน แค่สองอย่างนี้เท่านั้น ไม่มีมากกว่านี้อีกแล้ว

แต่เมื่อเห็นว่าเฉินผิงอันพยายามปิดประตูตีสุนัข และเอามานึกเชื่อมโยงกับการจัดการในหอซิ่วโหลวและศาลบรรพชนสกุลหลิ่วก่อนหน้านี้

สือโหรวกลับรู้สึกนับถือการกระทำของเจ้าหมอนี่จากใจจริง

รอบคอบรัดกุมจนแม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่อาจลอดผ่าน

หากจะบอกว่าวิญญูชนควรอยู่ให้ห่างจากสถานที่อันตราย ถ้าอย่างนั้นหากเฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะไปเยือนสถานที่อันตราย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าความตั้งใจเดิมเป็นเช่นไร ลำพังแค่การจัดการทั้งหลายแหล่หลังจากนั้น เขาก็เป็นคนประเภทที่ว่าแทบอยากจะจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อมสรรพครบถ้วน ประมาณว่ากางร่มแล้วก็ยังจะสวมงอบ หรือห่มเสื้อเกราะเพิ่มเติมเข้าไปอีก

แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่อาจคาดเดาความคิดของสือโหรวได้

สิ่งหนึ่งมักจะสยบสิ่งหนึ่งได้เสมอ ก็ให้ชุยตงซานเป็นคนจัดการสือโหรวแล้วกัน

เมื่อเฉินผิงอันเดินวนรอบสวนสิงโตครบหนึ่งรอบ วาดยันต์แผ่นสุดท้ายเสร็จก็รู้สึกว่านี่อาจจะยังไม่พอ จึงเดินวนซ้ำอีกหนึ่งรอบ เอายันต์จำนวนมากที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีซึ่งวาดเสร็จนานแล้วแต่กลับไม่มีโอกาสเอามาใช้ออกมากรอกลมปราณที่แท้จริงเข้าไป แล้วแปะไปทั่วทุกหนแห่งบนกำแพงโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

นี่คือการค้าที่ขาดทุนย่อยยับ

เฉินผิงอันพุ่งตัวขึ้นไปบนหัวกำแพง ในใจคิดว่าจะต้องหาข้ออ้างไปดึงหูเผยเฉียนสักที

ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนนี่นะ ต่อให้ไม่ใช่เหตุผลกับนางในบางเรื่องก็ไม่เป็นไรหรอก!

เฉินผิงอันยืดแขนบิดขี้เกียจ ยิ้มมองไปรอบด้าน

นี่เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว ภูเขาเริ่มเขียวทีละน้อย

สือโหรวที่ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันยังคงอุ้มไหสองใบเอาไว้

เห็นสีหน้าผิดปกติของเฉินผิงอัน สือโหรวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เฉินผิงอันเอื้อมสองมือผ่านไหล่ สิบนิ้วสอดประสานกัน ฝ่ามือแนบติดกับด้ามกระบี่ ‘เจี้ยนเซียน’ ที่อยู่ด้านหลังพอดี

สะพายกระบี่เจี้ยนเซียน (เซียนกระบี่) แล้วเมื่อไหร่จะได้เป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริงกันนะ?

จำได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือข้ามฝากแล้วก้มหน้ามองพื้นที่บางแห่งของแจกันสมบัติทวีป มีคนคลี่ยิ้มหวานพูดพลางชี้มือไปยังพื้นดิน บอกว่าราชวงศ์ใหญ่สองแห่งใต้ฝ่าเท้าของพวกเราที่สู้รบกันเอาเป็นเอาตายยังจะนับเป็นอะไรได้ หากเรือข้ามฝากเคลื่อนลงใต้ไปอีกนิดก็จะมีราชวงศ์จูอิ๋ง เป็นราชวงศ์ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากที่สุดในแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้า เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเกิดของนางแล้วกลับเหมือนฝนปรอยๆ เท่านั้น นางยังบอกเฉินผิงอันว่าหากวันหน้ามีโอกาสต้องไปเยือนราชวงศ์จูอิ๋งก่อน แล้วค่อยไปเยือนอุตรกุรุทวีป แล้วก็จะรู้เองว่าที่ไหนถึงจะเรียกว่าผู้ฝึกกระบี่มากดุจต้นไม้ในผืนป่า ที่ไหนถึงควรจะใช้คำเปรียบเปรยว่าอันดับหนึ่งของทวีปอย่างแท้จริง

สำหรับอุตรกุรุทวีปแห่งนั้น เฉินผิงอันรู้สึกเลื่อมใสอยู่บ้าง

เก็บความคิดที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจเหล่านี้ลงไปแล้ว เฉินผิงอันก็ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ‘เจียงหู’ ลงมา แต่กลับไม่ได้ดื่มเหล้า

เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

ก่อนจะเก็บมันไปเงียบๆ หวังว่าสือโหรวจะไม่เห็น

สือโหรวรู้สึกตลก แล้วก็ถามขึ้นอย่างไม่ดูกาลเทศะ “ไม่อย่างนั้นให้ข้าไปเอาเหล้าสักกามาให้นายท่านดีไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง

บนผนังด้านนอกของสวนสิงโต ยันต์แต่ละแผ่นพลันมีแสงสว่างวาบขึ้นตรงใจกลางอันเป็นจิตวิญญาณของแผ่นยันต์

ส่องประกายแสงสีทองเจิดจ้าบาดตาออกมาในเวลาเดียวกันประหนึ่งรับคำสั่ง

ทันใดนั้นก็ราวกับว่ามีเจียวหลงสีทองตัวหนึ่งล้อมพันอยู่รอบสวนสิงโต

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด