กระบี่จงมา 395.1 น้ำลดหินผุด เงินกองน้อย

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 395.1 น้ำลดหินผุด เงินกองน้อย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดนอกกำแพงสวนสิงโต

หลิ่วป๋อฉีก็พุ่งตัวขึ้นไปบนหลังคาศาลาแห่งหนึ่ง พยักหน้าเบาๆ เผยสีหน้าชื่นชมอย่างที่หาได้ยาก

ฝึกตนอยู่ที่เรือนซือเตาของภูเขาห้อยหัว ได้เห็นเรื่องประหลาดและคนประหลาดมากมายยิ่งกว่าอยู่ในทวีปใดๆ ของใต้หล้าไพศาล อีกทั้งหลิ่วป๋อฉียังเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่เทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวท่านนั้นฝากความหวังไว้มาก และยังคอยติดตามผู้อาวุโสในสำนักออกทะเลไปจับพวกเจียวเฒ่าที่เหนื่อยล้าหลังกลับมาจากการโปรยพิรุณอยู่เป็นประจำ สายตาของนางย่อมสูงมากเป็นธรรมดา

จูเหลี่ยนยืนพิงราวระเบียงคนงาม เผยเฉียนก็ยืนอยู่บนราวระเบียง ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “คืออาจารย์ข้าหรือ?”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “นายน้อยใช้ยันต์เป็น ศึกบนภูเขาริมชายแดนต้าเฉวียน ข้าเคยเห็นมากับตาตัวเอง ยันต์ม้าเหล็กล้อมนครสามแผ่นรวมกันเป็นค่ายกล กลายเป็นยันต์ทหารตรีปฏิภาณหนึ่งชุด พลานุภาพยิ่งใหญ่ สามารถกักปีศาจใหญ่ในลำคลองหมายเหอตนนั้นเอาไว้ได้ นึกไม่ถึงว่านายน้อยจะสามารถวาดยันต์ได้ด้วยตัวเอง พรสวรรค์ไม่ธรรมดา พลังอำนาจไม่น้อย…”

เผยเฉียนพูดเสียงขุ่น “มีอะไรบ้างที่อาจารย์ข้าทำไม่ได้? ไม่เห็นต้องแปลกใจเลย!”

จูเหลี่ยนเอ่ยหยอกล้อ “แล้วเมื่อครู่นี้เจ้าถลึงตาโตเป็นกระด้ง แอบหัวเราะปากกว้างทำไม?”

เผยเฉียนตีหน้าเคร่ง ไม่โต้เถียงไร้สาระกับตาเฒ่านี่อีก นางแหงนหน้าขึ้น ชำเลืองตามองไปบนชายคาเหนือศีรษะ  แล้วค่อยมองพื้นดินนอกราวระเบียง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ออกแรงดีดปลายเท้ากระโดดขึ้นสูง สองมือคว้าชายคา คิดจะพลิกตัวกลิ้งไปบนหลังคา ผลกลับกลายเป็นว่ากระชากกระเบื้องแผ่นหนึ่งให้ร่วงลงมาด้วย จูเหลี่ยนเตรียมจะยื่นมือไปดึงคอเสื้อด้านหลังของเจ้าคนบุ่มบ่ามผู้นี้ หมายจะดึงนางกลับเข้ามาในระเบียง แต่จู่ๆ จูเหลี่ยนกลับเปลี่ยนความคิด ปล่อยให้เผยเฉียนร่วงกระแทกลงไปในลานบ้าน ระหว่างที่ร่างร่วงหวือลงไป ในหัวสมองของเผยเฉียนว่างเปล่า เพียงแค่อาศัยสัญชาตญาณของตัวเอง ลมปราณขุมหนึ่งที่เป็นดั่งมังกรเพลิงในร่างจึงโคจรอย่างดุเดือด พริบตาเดียวก็ม้วนตัวขดเป็นรูปร่างของวานรลักษณะคล้ายตอนที่จูเหลี่ยนตั้งท่าหมัดอยู่หลายส่วน และขณะที่อยู่ห่างพื้นอีกประมาณหนึ่งจั้ง มือเท้าของนางก็พลันกางออก ครั้นจึงพลิ้วกายลงบนพื้นอย่างปราดเปรียวประดุจแมวป่าตัวน้อย

จูเหลี่ยนฟุบตัวบนราวระเบียง จุ๊ปากพูด “จอมยุทธ์หญิงท่านนี้บินบนชายคาเดินบนผนังได้แล้ว วิชาตัวเบาร้ายกาจจริงๆ”

เผยเฉียนนั่งแปะลงบนพื้น นางตกใจจนหน้าขาวเผือด พอคืนสติกลับมาก็หันไปแผดเสียงด่าจูเหลี่ยนที่ไม่รู้จักความทุกข์ทรมานของผู้อื่น “พ่อครัวเฒ่า ทำไมเจ้าไม่ช่วยข้า?! หากข้าตกลงมาเจ็บหนักปางตาย แขนขาดหรือขาขาดไปแล้วอาจารย์รังเกียจข้า ข้าจะทำอย่างไร เดิมทีข้าก็เป็นตัวภาระของอาจารย์อยู่แล้ว เดินทางก็เดินได้ช้า มักจะถ่วงเวลาอาจารย์อยู่เสมอ ถึงเวลานั้นหากอาจารย์ไม่พอใจ ไม่ต้องการข้าอีกแล้ว…”

พอเผยเฉียนคิดถึงภาพเหตุการณ์อันน่าเวทนานั้นก็เริ่มร้องไห้จ้าเสียงดังลั่น

ทำเอาจูเหลี่ยนหนวกหู แม้แต่สาวใช้จ้าวหยาก็ยังรีบวิ่งออกมานอกห้อง เมื่อครู่นี้จ้าวหยาคุยเล่นอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูตลอดเวลา เวลานี้เห็นเผยเฉียนนั่งอยู่บนพื้น นางจึงมีสีหน้างงงัน ไม่รู้ว่าเด็กหญิงที่ฉลาดเฉลียวผู้นี้ไปนั่งอยู่ในลานบ้านได้อย่างไร

จูเหลี่ยนแสร้งทำท่าตกตะลึง “รีบขึ้นหอมาเร็วเข้า ปีศาจมาแล้ว”

เผยเฉียนไม่พูดจาไม่จาผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว หยุดเสียงร้องไห้ได้ในฉับพลัน วิ่งตึงๆ ขึ้นบันไดหอเรือนมา พุ่งตัวเข้าใส่ห้องสตรีที่ยังไม่ได้ลงกลอน หมุนตัวกลับไปปิดประตูให้แน่นสนิท หยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาแล้ววิ่งพรวดไปหยุดอยู่ข้างกายจูเหลี่ยน เหลียวซ้ายแลขวา ปาดน้ำตาพลางยื่นมือไปตบยันต์กระดาษสีเหลืองบนหน้าผาก ถามว่า “อยู่ไหนๆ?”

จูเหลี่ยนกลั้นยิ้ม พูดตอบไปอย่างส่งเดช “ถือว่าเจ้าโชคดี ดูเหมือนว่าปีศาจตนนั้นเห็นว่าหอซิ่วโหลวแข็งแกร่งมิอาจทำลายจึงหนีไปแล้ว”

เผยเฉียนเช็ดน้ำตาและเหงื่อที่ไหลนองหน้าทิ้งแรงๆ นางกลัวมากเกินไปจริงๆ จึงไม่ทันได้สังเกตสีหน้าเจ้าเล่ห์ของจูเหลี่ยน ยังคงพยายามเบิกตากว้างตามหาร่องรอยของปีศาจอย่างละเอียด ปากก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “จูเหลี่ยน หากคราวหน้าปีศาจมาเยือนหอซิ่วโหลวอีก เจ้าต้องปกป้องคุณหนูหลิ่วและพี่หญิงหยาเอ๋อร์ให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นหากอาจารย์กลับมาแล้วพบว่าพวกนางสองคนถูกปีศาจจับตัวไป ต่อให้ปากอาจารย์จะไม่ด่าข้า แต่ในใจต้องโกรธข้าแน่นอน”

จ้าวหยาหันหน้าไปปิดปากหัวเราะทางอื่น

จูเหลี่ยนยิ้มพูดว่า “ไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเองบ้างรึ?”

เผยเฉียนควักยันต์ออกมาอีกแผ่น แปะลงบนหน้าผากตัวเอง กำไม้เท้าเดินป่าในมือแน่น “อาจารย์บอกให้ข้าปกป้องตัวเองให้ดี ข้าก็จะต้องทำให้ได้!”

จูเหลี่ยนเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งวางแนบหน้าท้อง บุคลิกของปรมาจารย์เปิดเผยออกมาจนหมดสิ้น เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “วางใจเถอะ อาจารย์ของเจ้าก็บอกแล้วว่าให้ข้าปกป้องเจ้าให้ดี”

……

บนหอเก็บหนังสือ

คุณชายตู๋กูยิ้มกล่าวว่า “ปีศาจที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ตนนั้น เกรงว่าคงกลายเป็นสุนัขที่ถูกคนปิดประตูตีแล้ว”

เหมิงหลงถาม “จะกักขังทั้งสวนสิงโตไว้ได้จริงๆ หรือ?”

คุณชายตู๋กูอธิบาย “ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้านทานการบุกฝ่าหลายครั้งของปีศาจตนนั้นได้ แต่ขอแค่มันเปิดเผยร่างจริงก็คือช่วงเวลาที่นักพรตหญิงจะชักมีดสังหาร”

เหมิงหลงถามอีก “แต่ถ้าปีศาจตนนั้นตัดสินใจว่าจะหลบซ่อนตัวไม่ยอมออกมาล่ะ?”

คุณชายตู๋กูชี้ไปยังภาพปรากฎการณ์ปราณวิญญาณที่เกิดขึ้นในแถบพื้นที่โดยรอบสวนสิงโต คนธรรมดาที่อยู่ในสวนสิงโตอาจจะมองอะไรไม่ออก แต่เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญแล้วจะเห็นเป็นแสงสีทองที่เหมือนลำธารไหลรินโอบล้อมเป็นวง “การใช้ยันต์ไม่ทราบชื่อนี้สร้างเป็นค่ายกล ปราณวิญญาณจำแลงมาเป็นของเหลว ความมหัศจรรย์นั้นไม่ได้อยู่ที่แค่สองคำว่ากักขัง หากไม่ผิดไปจากที่คาด นี่น่าจะเกี่ยวพันไปถึงสายน้ำและรากภูเขาของที่แห่งนี้ด้วย บวกกับที่ตอนนี้เทพแห่งผืนดินหลุดพ้นจากพันธนาการแล้ว การตามหาที่ซ่อนตัวของปีศาจก็ยิ่งง่ายขึ้น อีกอย่างในเมื่อเซียนซือหนุ่มผู้นี้สามารถวาดค่ายกลยันต์ขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ อันดับต่อไปก็คงจะวาดยันต์ลงบนแกนกลางสำคัญอันเป็นสถานที่ซ่อนลมกักน้ำของสวนสิงโตด้วย ต่อให้ปีศาจนั่นไม่อุดอู้จนตายก็ต้องถูกทำให้สะอิดสะเอียนจนตาย ประหนึ่งคนอยู่กลางน้ำเดือดที่ไม่อาจรู้สึกดีได้เลย”

เหมิงหลงกล่าวอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ “วาดยันต์ไปตั้งมากมายกว่าจะสร้างความเคลื่อนไหวพวกนี้ขึ้นมาได้ ไม่ถือว่าร้ายกาจอะไร อาจารย์ของคุณชายแค่วาดยันต์แผ่นหนึ่งก็สามารถใช้ลมปราณสยบควันม่วงให้โอบล้อมรอบนครที่มีชาวบ้านอาศัยหลายแสนคน หรือไม่ก็เอื้อมมือคว้าเมฆดำมาจำแลงเป็นงู สังหารให้ปีศาจใหญ่โอสถทองตายไปโดยตรง…”

คุณชายตู๋กูกล่าวอย่างระอาใจ “ข้ากำลังพูดถึงความดีของคนหนุ่มผู้นี้ ส่วนเจ้ากำลังพูดถึงความร้ายกาจของอาจารย์ข้า สองอย่างนี้ไม่เกี่ยวข้องกันสักหน่อย เจ้าน่ะ อย่าเอาแต่ดูแคลนผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวนอกเหนือจากคุณชายอย่างข้าเลย”

เหมิงหลงพูดอย่างตรงไปตรงมา “บ่าวก็แค่เห็นคนอื่นดีกว่าคุณชายไม่ได้ หากคนหนุ่มแซ่เฉินเป็นผู้หญิง ต่อให้เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่ง คุณชายว่าบ่าวจะริษยาไหม?”

คุณชายตู๋กูยิ้มถาม “งั้นถ้าเป็นเซียนกระบี่หญิงที่อายุน้อย แล้วยังหน้าตาดีกว่าเจ้าอีกเล่า?”

เหมิงหลงฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง “ถ้าอย่างนั้นบ่าวก็คงริษยาจนคิดฆ่าคนเลยล่ะ”

คุณชายตู๋กูยิ้มบางๆ “ท้องหนูไส้ไก่ ความปรารถนามากแต่จิตใจคับแคบ ต้องเรียนรู้ไว้เป็นบทเรียนห้ามเอาเยี่ยงอย่างนะ”

เหมิงหลงทอดสายตามองไปไกลพลางพูดเบาๆ “เดิมทีผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราก็เดินบนทางไส้แกะที่อันตรายที่สุดอยู่แล้ว แค่กระบี่บินผ่านไปได้ก็พอแล้ว”

คุณชายตู๋กูส่ายหน้า “นั่นเป็นเพราะเจ้าเดินไปได้ไม่ไกลพอและไม่สูงพอ แต่ก็ไม่เป็นไร พรสวรรค์ของเจ้าดีมากพอ ค่อยๆ เดินไปบนเส้นทางแห่งวิถีกระบี่เถอะ ต่อให้เป็นพ่อแม่ข้าก็ยังให้ความสำคัญกับเจ้า รู้สึกว่าเจ้าเป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่ดีเยี่ยม ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มอบเทพท่องราตรีตนนั้นให้เจ้าเป็นรางวัล”

เหมิงหลงพลันรู้สึกว่าคำพูดของคุณชายตัวเองคล้ายจะมีความนัยซ่อนแฝงอยู่ แต่อดกลั้นไว้ไม่พูดออกมา นางหันหน้ากลับไป แนบซีกหน้าข้างหนึ่งไว้บนราวระเบียง

คุณชายตู๋กูนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็ยิ้มพูดว่า “เจ้าเป็นหนอนในท้องของข้าหรือไร? เอาเถอะ ข้าจะเล่าเรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟังก็แล้วกัน ปีนั้นพ่อแม่ของข้าเคยติดตามคนผู้นั้นไปที่สวนลมฟ้า ไปเยี่ยมเยียนหลี่ถวนจิ่ง ได้ชมการเข่นฆ่าสังหารระหว่างผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดครั้งที่สาม แน่นอนว่าฝ่ายของพวกเราพ่ายแพ้ เพียงแต่ว่าหลังจบเรื่องหลี่ถวนจิ่งผู้นั้นต้มชารับรองแขก ก่อกำเนิดอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปท่านนี้ยิ้มกล่าวประโยคประหลาดว่า ผู้ฝึกลมปราณเอาหน้าสุนัขที่ไหนมาเหยียดตามองโลกมนุษย์ เอาอะไรมาดูถูกคนล่างภูเขา ก็แค่บังเอิญได้เดินไปบนเส้นทางที่กว้างใหญ่สุขสบายเท่านั้น หากกฎเกณฑ์ในช่วงแรกสุดไม่มีความเกี่ยวข้องกับการ ‘หล่อหลอมปราณวิญญาณ’ แต่เป็นว่าในใต้หล้าแห่งนี้ใครมีความสามารถในการเพาะปลูกมากที่สุด คนคนนั้นก็จะ ‘สอดคล้องกับมหามรรคา’ มากที่สุด หรือใครที่ปะเย็บซ่อมรองเท้าได้เก่งที่สุด คนนั้นก็ได้รับ ‘เงื่อนไขหรือสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด’ ถ้าอย่างนั้นพวกเทพเซียนที่อยู่สูงส่งเหนือผู้ใดในเวลานี้จะมีสภาพเป็นเช่นไร”

เหมิงหลงพูดเบาๆ “หลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าเป็นคนประหลาดที่ชอบพูดเรื่องประหลาดและทำเรื่องประหลาดจริงๆ”

คุณชายตู๋กูอืมรับหนึ่งที “หลี่ถวนจิ่งคือเจินเหรินที่แท้จริง แต่พอเขาตายไป ต่อให้สวนลมฟ้ามีหวงเหอและหลิวป้าเฉียวอยู่ ก็ยังไม่สามารถกดข่มปราณกระบี่ที่พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้าของภูเขาตะวันเที่ยงได้อยู่ดี”

เหมิงหลงพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “หลิวป้าเฉียวกับซูเจี้ยนั่นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? สุดท้ายได้กลายเป็นคนรักที่ครองคู่กันอย่างมีความสุขเหมือนในนิยายหรือไม่?”

คุณชายตู๋กูครุ่นคิด “ต่อให้ความรักของสองคนนี้จะเป็นนิยายที่จบลงด้วยความสุขเล่มหนึ่งจริงๆ แต่ตอนนี้พวกเราเพิ่งจะเปิดอ่านไปได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น”

เหมิงหลงพลันกดเสียงลงพูดเบาๆ ว่า “คุณชาย หรือจะเป็นเหมือนพื้นที่มงคลกระดาษขาวที่นักเขียนสำนักประพันธ์มาชุมนุมกัน ไม่ว่าในตำราจะเขียนอย่างไร ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่มงคลก็จะทำอย่างนั้นจริงๆ? นายแม่ยังเคยบอกว่าในบรรดาเมธีร้อยสำนัก อริยะปราชญ์ของสำนักนี้ร้ายกาจนักล่ะ คนที่ตบะสูงส่งสามารถเขียนสภาพความเป็นไปของหนึ่งแคว้นได้ คนที่ตบะแย่หน่อยก็เขียนสภาพของหนึ่งพื้นที่หนึ่งเขต ส่วนลูกศิษย์สำนักประพันธ์ที่ตบะต่ำสุด เพิ่งจะเข้าสำนักมาได้ไม่นานจะได้แค่เขียนถึงเกิดแก่เจ็บตายของชีวิตมนุษย์ สุดท้ายยิ่งตัวละครใต้ปลายพู่กันของเหล่านักเขียนสำนักประพันธ์มีมากเท่าไหร่ อาณาเขตของพื้นที่มงคลแห่งนั้นก็จะยิ่งขยายใหญ่มากเท่านั้น”

คุณชายตู๋กูคลี่ยิ้ม “โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์พันลึก เรื่องจริงเรื่องเท็จ ใครเล่าจะรู้ได้”

เหมิงหลงถาม “คุณชาย วันใดที่พวกเราต่างก็เป็นเซียนดินแล้วลองไปดูกันว่าจริงหรือเท็จดีไหม?”

คุณชายตู๋กูสอดสองมือรองใต้ท้ายทอย ยิ้มตาหยีตอบรับ “ดีสิ”

……

ในห้องหนังสือของหลิ่วชิงซาน เด็กหนุ่มชุดดำมีสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง

เหตุใดคนหนุ่มสะพายกระบี่สมควรตายผู้นั้นถึงได้เชี่ยวชาญวิธีการเขียนยันต์ อีกทั้งบนตัวยังพกยันต์ระดับขั้นไม่ธรรมดามากมายถึงเพียงนั้น?!

นี่คือตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าหากมันไม่ตายก็จะไม่ยอมเลิกรา? ไม่กลัวบ้างเลยหรือว่าสุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายจะเป็นดั่งปลาตายตาข่ายขาด? (เปรียบเปรยว่าพินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย) ใครต่างก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน? เจ้าคนต่างถิ่นแซ่เฉินผู้นี้ต้องการอะไรกันแน่ ลัญจกรตระเวนไล่ล่าสมบัติชิ้นที่อยู่บนโต๊ะนี้ต้องเป็นตาเฒ่าวิปริตผู้ประคับประคองมังกรตนนั้นได้ไปถึงจะมีประโยชน์! ทุ่มยันต์มากมายขนาดนี้ทิ้งไป คิดว่าตนเองเป็นลูกหลานสกุลหลิวเทพเจ้าแห่งโชคลาภในธวัลทวีปหรือไร?

มันเหมือนมดบนกระทะร้อน เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องหนังสือ

คนบ้า มีแต่พวกคนบ้า

หากแค่สตรีจากเรือนซือเตาที่มีเทพเจ้าจิ้ง เจี่ยจั้วผายลมสุนัขอะไรนั่นแค่คนเดียวก็แล้วไปเถอะ นี่ยังมามีวิญญูชนผู้เที่ยงตรงที่ทำคุณความดีโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนโผล่มาเพิ่มอีก คนสองคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันกลับรู้จักร่วมมือกันมาวางแผนเล่นงานมัน คนหนึ่งวาดยันต์ผีบังตาอยู่รอบนอก อีกคนหนึ่งดึงความสนใจของมันอยู่ภายใน ปั่นป่วนการมองเห็นของมันให้พร่าเลือน

หรือว่าแผนการยึดครองสวนสิงโตซึ่งเป็นการคล้อยไปตามสถานการณ์ของตนในครั้งนี้จะต้องล้มเหลวในช่วงเวลาสุดท้าย? พอนึกถึงผู้เฒ่าวิปริตจมูกเหยี่ยว รวมไปถึงผู้เฒ่าสกุลถังที่กุมอำนาจใหญ่ไว้ในมือ มันก็เริ่มใจฝ่อ

ความรู้สึกนี้บังเกิด มันก็เกือบจะเปิดเผยร่างจริงพุ่งเข้าชนกำแพงนั่นให้พังยับโดยไม่สนใจสิ่งใด ขอแค่ออกไปจากสวนสิงโตได้ ถึงเวลานั้นก็ไม่ต่างจากนกที่ได้โบยบินบนฟ้าสูง เวทการหลบหนีที่ได้มาจากพรสวรรค์อันเลิศล้ำ อีกทั้งพื้นที่นอกสวนยังเป็นชัยภูมิดีเยี่ยมที่รายล้อมไปด้วยภูเขา เว้นเสียจากเซียนดินก่อกำเนิดที่มีศักยภาพน่าตะลึงมาค้นหาด้วยตัวเอง สามารถฟันผ่าภูเขาเขียวรอบด้านได้อย่างง่ายดายแล้ว ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่กลัวใครทั้งนั้น

เพียงแต่ว่าไม่นานมันก็บอกเตือนตัวเองว่า เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายยิ่งไม่ควรตระหนกลน ตอนนี้สวนสิงโตกลายเป็นกรงขังชั่วคราวแล้ว นี่เป็นสถานการณ์ที่แน่นอนแล้ว จะร้อนใจไม่ได้ จะให้เกิดความวุ่นวายท่ามกลางความโกลาหลอีกไม่ได้เด็ดขาด

มันคลี่ยิ้มกว้างเพราะนึกความคิดดีๆ อย่างหนึ่งออก “ถ้าอย่างนั้นก็ให้นายท่านชิงลองหยั่งเชิงดูก่อนว่าพวกเจ้าแน่จริงหรือไม่”

บนหัวกำแพงด้านนอกสุดของสวนสิงโต เฉินผิงอันกำลังลังเลว่าควรจะให้สือโหรวไปขอก้อนเงินของทางการแคว้นชิงหลวนมาจากสกุลหลิ่วเพิ่มอีกดีหรือไม่ เพราะสามารถเอามาใช้วาดยันต์ได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าตัวอักษรสีเงินเทียบกับตัวอักษรสีทองที่บดหลอมมาจากทองก้อนไม่ได้ ทว่าก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียคือประสิทธิผลไม่ดีนัก อานุภาพของยันต์จะถูกลดทอนลง ข้อดีคือเฉินผิงอันสามารถวาดยันต์ได้อย่างผ่อนคลาย ไม่ต้องเปลืองแรงกายใจ บอกตามตรง การค้าขายที่ขาดทุนเช่นนี้ นอกจากยันต์กระดาษเหลืองที่สะสมมานานจะถูกนำออกมาใช้จนเกลี้ยงแล้ว ยังมีปราณวิญญาณที่ยังไม่ทันหล่อหลอมในชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ถูกเขาเผาผลาญไปเกินครึ่ง

เพียงแต่ว่าเรื่องวงในเหล่านี้ไม่อาจนำไปบอกแก่คนนอกได้

พยายามคิดในแง่ดีก็แล้วกัน

ยกตัวอย่างเช่นหากสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ด้วยการวาดยันต์จนเต็มสวนสิงโตได้จริงๆ ก็มีค่าพอที่จะเอาไปเล่าเป็น…กับแกล้มเคล้าสุรายามที่พบกับสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงคราวหน้า

ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังตัดสินใจอยู่นั้น ดวงตาของเขาก็หรี่ลง

เห็นเพียงว่าสวนสิงโตที่อาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลมีเด็กหนุ่มชุดดำเกือบร้อยคนปรากฎตัวในเวลาเดียวกัน เขาวิ่งตะบึงไปตามระเบียง ทางเดิน บ้างก็กระโดดขึ้นไปบนหลังคาประหนึ่งกบแตะผิวน้ำ

พากันวิ่งหนีออกไปนอกสวนสิงโต

มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าเด็กหนุ่มหล่อเหลาบางคนในนี้ก็คือร่างจริงของปีศาจตนนั้น

หากปล่อยให้มันหนีออกไปนอกสวนสิงโตได้แล้วคราวหน้าแฝงตัวกลับเข้ามาอีกครั้ง เฉินผิงอันก็จนปัญญาจะรับมือแล้วจริงๆ

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด