กระบี่จงมา 400.1 ของขวัญ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 400.1 ของขวัญ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบนหัวเรือประหนึ่งเสียงฟ้าผ่าดังแต่ฝนกลับตกลงมาเม็ดเล็ก

เพราะว่าผู้ฝึกกระบี่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา อีกทั้งยังมีตั้งสองเล่มซึ่งผิดไปจากปกติ แต่สุดท้ายกลับไม่เห็นเลือด?

พวกผู้ชมรู้สึกยังชมได้ไม่สาแก่ใจสักเท่าไหร่

เรือข้ามฝากบรรทุกผู้โดยสารสองร้อยคน ขณะนั้นผู้คนพากันวิพากษ์วิจารณ์ สำหรับคนของแคว้นชิงหลวนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ ผู้ฝึกตนอิสระที่แสวงหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง หรือขุนนางชนชั้นสูงที่พาคนในครอบครัวออกมาเปิดโลกทัศน์ การโดยสารเรือข้ามฟากของตระกูลเซียนไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่ ภาพทัศนียภาพอันงดงามที่ทะเลเมฆเคลื่อนคล้อย นกกระเรียนสยายปีกโบยบิน มองนานไปก็เท่านั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ตื่นเต้นเร้าใจสู้เห็นคนทะเลาะวิวาทกัน แต่ละคนต่างก็ยืนกรานในความเห็นของตัวเอง เมื่อเทียบกับสองฝ่ายที่เป็นคนในเหตุการณ์ซึ่งฝ่ายหนึ่งมีท่าทางสบายๆ ผ่อนคลาย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เปิดเผยความสามารถออกมาเพียงเล็กน้อยแล้ว พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกปาก ความคิดเห็นแตกต่างหลากหลาย ถึงท้ายที่สุดความเห็นก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน ต่างก็รู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นทำอะไรเผด็จการเกินไป เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้เหตุใดต้องลงไม้ลงมือทำร้ายคน วางท่าชัดเจนว่าแค่มีตัวตนเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ จะต้องถีบให้ชายฉกรรจ์ผู้นั้นล้มลงแล้วไม่อาจลุกขึ้นได้อีก หากนี่ไม่เรียกว่าอาศัยกำลังที่มากกว่ารังแกคนอื่น จะเรียกว่าอะไร?

เพียงแต่ว่ามีแม่นางน้อยคนหนึ่งที่พ่อแม่พาออกมาท่องเที่ยวตามภูเขาแม่น้ำพูดประโยคหนึ่งอย่างไร้เดียงสาว่า ไม่ใช่คนผู้นั้นทำผิดก่อนหรอกหรือ?

 พวกผู้ใหญ่ที่มายืนชมเรื่องสนุกอยู่บริเวณใกล้เคียง รวมไปถึงพ่อแม่ของนางที่มาจากตระกูลซึ่งถือว่ามีฐานะในแวดวงตระกูลชนชั้นสูงของแคว้นชิงหลวนต่างทำเป็นว่าไม่ได้ยินคำพูดไร้เดียงสาของเด็กคนนี้ ยังคงคาดเดาความเป็นมาของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นต่อไปว่ามาจากสวนลมฟ้าของหลี่ถวนจิ่ง? หรือจากภูเขาตะวันเที่ยงที่มีปราณกระบี่พุ่งเสียดชั้นเมฆ? หากไม่พูดเหน็บแนมเสียดสีก็บอกว่าผู้ฝึกกระบี่ในตำนานก็ร้ายกาจเช่นนี้ อายุยังน้อย แต่นิสัยกลับฉุนเฉียวไม่เบา ไม่แน่ว่าวันใดที่พบเจอกับเซียนดินที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่านี้ก็อาจต้องพบเจอเรื่องยากลำบากเข้าจริงๆ

แม่นางน้อยพูดอย่างขลาดๆ อีกว่า หากพี่ชายที่สวมชุดขาวและสะพายกระบี่ไว้ด้านหลังผู้นั้นไม่มีความสามารถติดตัว ก็ต้องถูกคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนั้นรังแกไม่ใช่หรือ?

พวกผู้ใหญ่ยังคงไม่สนใจความคิดอ่อนเยาว์ของเด็กน้อยคนหนึ่ง เด็กตัวเท่าก้นจะไปเข้าใจอะไร

ไม่มีใครสนใจนาง แม่นางน้อยรู้สึกโมโหเล็กน้อยจึงวิ่งไปยังบริเวณใกล้กับราวรั้วหัวเรือซึ่งมีคนยืนอยู่น้อย พยายามเขย่งปลายเท้ามองไปข้างนอก ก้อนเมฆเหล่านั้นราวกับขนมสายไหมที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ทำเอานางมองแล้วน้ำลายไหล ยื่นมือออกไปทำท่าคว้าจับมาไว้ในมือแล้วยัดใส่ปาก จากนั้นตบท้องด้วยความพึงพอใจ แล้วก็ไม่อารมณ์เสียกับพวกผู้ใหญ่อีก อันที่จริงนางอยากไปเล่นกับคนวัยเดียวกันที่เหมือนถ่านดำก้อนน้อยคนนั้น เพียงแต่ตอนนั้นนางไม่ค่อยกล้าสักเท่าไหร่ อีกอย่างพ่อแม่ก็กำชับนางว่า ขึ้นมาบนเรือแล้วห้ามทำตัวเหมือนเวลาอยู่ที่บ้าน ตอนหลังยังเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้นขึ้น นางจึงยิ่งไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้อีก

แม่นางน้อยพลันสังเกตเห็นว่าข้างราวรั้วที่ห่างไปไม่ไกลมีคนอยู่ผู้หนึ่ง คนผู้นั้นหน้าตาดีเป็นพิเศษ เทียบกับพี่ชายที่ปกป้องนังหนูถ่านดำก่อนหน้านี้แล้วก็เหมาะสมกับคำว่ารูปงามสะโอดสะองที่บอกไว้ในตำรายิ่งกว่าเสียอีก

คนผู้นั้นอายุประมาณสามสิบปี เพียงแต่ร่างทั้งร่างกลับให้ความทรงจำที่ค่อนข้างพร่าเลือนแก่คน รู้แค่ว่าอายุน้อย เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเท่านั้น

เขาหันหน้ามาสบตานาง แม่นางน้อยรีบหันหน้าหนี แสร้งทำเป็นว่ากำลังชมทัศนียภาพ

คนผู้นั้นคลี่ยิ้ม เลียนแบบแม่นางน้อยด้วยการยื่นมือออกไปคว้าเมฆสีขาวล่องลอยลักษณะคล้ายกับยอดเขาซึ่งลอยอยู่ใกล้กับตัวเรือ จากนั้นยอดเขาสีขาวหิมะนั่นก็ส่ายไหวเล็กน้อย แล้วก็มีเส้นสีขาวที่พอถูกแสงแดดส่องก็เป็นประกายระยิบระยับเส้นหนึ่งลอยเข้ามาในมือของคนผู้นั้น ถูกเขาขยำเป็นก้อนกลม เขายิ้มพลางยื่นส่งมันมาให้แม่นางน้อย ราวกับกำลังสอบถามว่าอยากลองชิมดูไหม แม่นางน้อยส่ายหน้าอย่างแรง คนผู้นั้นจึงโยนใส่ปากตัวเอง

แม่นางน้อยรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมาก นางอ้าปากกว้าง นับถืออย่างสุดจิตสุดใจ

คือเทพเซียนที่หน้าตาดีจริงๆ

คนผู้นั้นฟุบตัวคว่ำอยู่บนราวรั้ว ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ลาหยุดเพื่อออกเดินทางครั้งนี้ ทั้งเพื่อผ่อนคลายจิตใจ แล้วก็เพราะอยากมาลองสังเกตดูคนหนุ่มที่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะมีที่มาจากสำนักเดียวกันผู้นั้นใกล้ๆ

เขาก็คือผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงแห่งแคว้นชิงหลวน

เป็นทั้งคนที่วางแผนล้อมสังหารวัวเหลือง ล่อผู้ฝึกตนอิสระมาสังหาร แล้วก็เป็นทั้งผู้พิทักษ์ประตูเมืองหลวงของงานโต้วาทีพุทธเต๋าแคว้นชิงหลวนในครั้งนี้ด้วย

งานโต้วาทีพุทธเต๋ายังไม่ปิดฉากลงอย่างแท้จริง ดังนั้นผู้บัญชาการณ์ใหญ่ที่อายุมากกว่าแคว้นชิงหลวน เป็นแขนซ้ายขวาคอยช่วยเหลือฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นชิงหลวน อดีตกุนซืออันดับหนึ่งอย่างเหวยเลี่ยงจึงขอลาหยุดกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เมื่อไม่มีเหวยเลี่ยงนั่งบัญชาการณ์อยู่ที่เมืองหลวง ตอนนี้สถานการณ์ของแคว้นชิงหลวนก็ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ข้างตั่งนอนของฮ่องเต้มีแต่เสือและหมาป่า แต่ต่อให้ถังหลีจะไม่เต็มใจมากแค่ไหน ฮ่องเต้สกุลถังผู้นี้ก็ยังคงฝืนใจตอบรับอีกฝ่าย

หลังจากที่ฮ่องเต้ไท่จู่แคว้นชิงหลวนก่อตั้งแคว้น เขาก็ได้สร้างหอเรือนและแขวนภาพเหมือนของขุนนางผู้มีคุณูปการในการต่อตั้งแคว้นไว้ยี่สิบสี่คน อันดับของ ‘เหวยเฉียน’ ไม่สูงมากนัก แต่ลูกหลานของลูกหลานขุนนางบุ๋นบู๊อีกยี่สิบสามคนที่เหลือล้วนตายไปหมดแล้ว แต่เหวยเฉียนก็แค่เปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็นเหวยเลี่ยงเท่านั้น

เรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่มีชื่อว่า ‘ชิงอี’ (ชุดเขียว) ลำนี้รูปลักษณ์เหมือนกับเรือรบของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ที่แล่นอยู่บนทะเลสาบและแม่น้ำขนาดใหญ่ ความเร็วไม่มาก อีกทั้งยังขับอ้อม นั่นก็เพื่อให้ผู้โดยสารเกินครึ่งของเรือสามารถไปหาความบันเทิงจากภูเขาทั้งหลายที่มีชื่อเสียงของตระกูลเซียน ได้ขึ้นไปบนแท่นตกปลาบางแห่งที่สูงเหนือทะเลเมฆ ใช้คันเบ็ดตกปลาที่ทำมาจากไม้พิเศษซึ่งผ่านการหลอมเล็กไปตกนกและปลาบินที่มีมูลค่าเท่ากับทองพันชั่ง ไปชมทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่งดงามยามพระอาทิตย์ขึ้นและตกบนยอดเขาสูงบางแห่งที่มีโรงเตี๊ยมตั้งเรียงราย ไปซื้อต้นไม้ดอกไม้แปลกๆ ใหม่ๆ ที่ตระกูลเซียนทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อเมล็ดพันธ์ จากนั้นก็มอบให้ผู้ฝึกตนสำนักกสิกรรมเป็นผู้ปลูกและดูแล หลังซื้อมาแล้วจะเอากลับไปชื่นชมที่บ้าน หรือนำไปติดสินบนในวงการขุนนางก็ได้ทั้งนั้น และยังมีภูเขาบางแห่งที่จงใจเลี้ยงสัตว์บางประเภทไว้ตามภูเขาและทะเลสาบ ซึ่งจะมีผู้ฝึกตนทำหน้าที่พาคนมีเงินที่ชอบล่าสัตว์ขึ้นเขาลงน้ำ ‘เสี่ยงอันตราย’ ไปจับพวกมันมา

ท่ามกลางกาลเวลาที่เหวยเลี่ยงใช้ชีวิตโดยมีเหล่าบุปผางามห้อมล้อม อันที่จริงเขาตัวคนเดียวมาโดยตลอด

ทุกครั้งที่จวนผู้บัญชาการณ์ใหญ่แต่งภรรยามาอย่างถูกต้องเปิดเผยล้วนเป็นเพียงแค่ข้ออ้างบังหน้าเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงไร้ลูกหลาน

พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว

เหวยเลี่ยงย่อตัวลงนั่งยอง ยิ้มกล่าว “แม่นางน้อย เจ้าชื่ออะไรหรือ?”

แม่นางน้อยลังเลไปชั่วขณะ “ข้าชื่อหยวนเหยียนซู่”

เหวยเลี่ยงผงกศีรษะรับ “คำพูด (เหยียน) ย่อมต้องมีเนื้อหาและเรียงลำดับ (ซู่) หากมองเช่นนี้ ในครอบครัวของเจ้าต้องมีผู้อาวุโสที่เคยเป็นผู้เลื่อมใสใน ‘หลักอี้ฝ่า’ ( ‘อี้’ หมายถึงเนื้อหาที่เขียนในบทความต้องอิงตามวัตถุประสงค์ของคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อ ‘ฝ่า’ หมายถึงวิธีการเขียนบทความ อี้เป็นตัวตัดสินฝ่า ฝ่าเป็นตัวแสดงออกถึงอี้ นั่นคือเรียกร้องให้เนื้อหาถูกต้อง ถ้อยคำกระชับสวยงาม) ของพรรคถงเฉิงในอดีต ความรู้สายนี้เงียบหายไปนานหลายปีแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็เดาว่าไม่น่าจะเป็นพ่อเจ้าที่ตั้งชื่อให้ แต่เป็นปู่ของเจ้ากระมัง?”

แม่นางน้อยเบิกตากว้าง ยิ่งรู้สึกนับถือคนผู้นี้เข้าไปใหญ่ เรื่องนี้ก็เดาได้ด้วย?

เหวยเลี่ยงยิ้มถาม “พวกเรามาคุยกันหน่อยดีไหม?”

แม่นางน้อยวิ่งเหยาะๆ สองสามก้าวมานั่งยองอยู่ข้างกายเขา “ท่านอาจารย์พูดมาเถอะ ข้าจะรับฟังก็แล้วกัน”

ห่างออกไปไกล มารดาของแม่นางน้อยมีสีหน้าเป็นกังวล เตรียมจะไปพาตัวลูกสาวกลับมาอยู่ข้างกาย

สามีของสตรีแต่งงานแล้วคือปัญญาชนลัทธิขงจื๊อวัยกลางคน เขาเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน อยู่บนเรือข้ามฟากตระกูลเซียน ล้วนไม่มีใครที่เป็นคนธรรมดาเรียบง่าย

เพียงแต่ว่าเค่อชิงผู้เฒ่าของในตระกูลที่ติดตามพวกเขามาด้วยกลับส่ายหน้าให้ชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อ เอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่แน่ว่าอาจเป็นโชควาสนาตระกูลเซียนครั้งหนึ่ง ทางที่ดีที่สุดพวกเราคอยสังเกตการณ์ไปเงียบๆ ดีกว่า”

สองสามีภรรยาถึงได้พอจะวางใจลงได้ ขณะเดียวกันก็แอบรู้สึกคาดหวัง

เหวยเลี่ยงถือโอกาสนั่งลงขัดสมาธิ ฝ่ามือสองข้างวางค้ำหัวเข่า เรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำนี้ขับเคลื่อนเข้ามาเหนือทะเลเมฆแถบหนึ่ง นอกราวรั้วประหนึ่งแม่น้ำสายยาวสีขาวโพลน สมกับคำว่าเรือข้ามฟากอย่างแท้จริง

เหวยเลี่ยงถามความเห็นของแม่นางน้อยหยวนเหยียนซู่เกี่ยวกับข้อพิพาทก่อนหน้านี้ แม่นางน้อยจึงพูดความคิดของตัวเองออกมา

เห็นว่าเทพเซียนท่านนี้ผงกศีรษะ หยวนเหยียนซู่ก็รู้สึกดีใจ ในที่สุดก็มีคนยอมรับในความคิดของตนแล้ว

เหวยเลี่ยงเอ่ยเนิบช้า “เด็กน้อยที่ยังเข้าใจเรื่องทางโลกได้ไม่ลึกซึ้งอย่างพวกเจ้านี้ ล้วน…จะพูดอย่างไรดีล่ะ ก็เหมือนกับเครื่องกระเบื้องชิ้นหนึ่งที่งดงามที่สุดแต่กลับเปราะบางที่สุด ในอนาคตจะได้เข้าไปอยู่ในห้องโถงใหญ่งดงาม หรือจะกลายเป็นเพียงไหแตกที่ถูกทิ้งอยู่ข้างทางก็ล้วนต้องดูว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมาดีหรือไม่ หากได้รับการสั่งสอนมาดี รูปร่างก็ตั้งตรงถูกต้อง แต่หากสอนไม่ดี รูปร่างก็เอนเอียงบิดเบี้ยว”

“ทำตัวเป็นแบบอย่างทั้งคำพูดและการกระทำ ซึ่งจะต้องเน้นอย่างหลังเป็นสำคัญ คำพูดเป็นมายา การกระทำเป็นของจริง เพราะไม่แน่เสมอไปว่าเด็กๆ จะฟังหลักการที่พวกผู้ใหญ่พูดเข้าใจ แต่พวกเขากลับมีความสงสัยใคร่รู้ต่อโลกใบนี้มากที่สุด ต้องการให้เด็กๆ ฟังเข้าหู บรรจุหลักการเหตุผลไว้ในหัวนั้นยากมาก ในสายตาของเด็กๆ เห็นอะไรได้มากกว่า จดจำภาพลักษณ์คร่าวๆ ของวิถีแห่งโลกใบนี้ได้ง่ายกว่า พวกเขามองอย่างตื้นๆ แยกแยะดำขาวชัดเจน ไร้เดียงสาแต่กลับล้ำค่า ซึมซับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมและสิ่งอื่น ๆ เข้าไปโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ทีละเล็กทีละน้อย เป็นเดือนเป็นปี ภาพของโลกในใจก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว และยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้อีก”

“ดังนั้นคนหลายคนที่พอเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วกลับมีการกระทำที่ผิดแผกแปลกประหลาดซึ่งผิดต่อความทรงจำที่คนอื่นจำได้ อันที่จริงสิ่งเหล่านี้ล้วนมีร่องรอยให้ค้นหามาตั้งแต่แรกแล้ว ในช่วงเวลาสำคัญของการขัดเกลานิสัยคนให้เป็นรูปเป็นร่าง การกระทำและคำพูดของพ่อแม่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างถึงที่สุด การสั่งสอนอบรมที่เพราะทำความผิด แต่กลับด่าไม่ตรงจุด หรือทำผิดแล้ว แต่กลับรู้สึกว่าลูกของตัวเองอายุน้อยเกินไปจึงเลือกจะมองข้าม สุดท้ายก็ไม่เท่ากับทำร้ายคนอื่น ทำร้ายตัวเอง และทำร้ายบุตรชายบุตรสาวของตัวเองหรอกหรือ ดังนั้นการลงโทษและให้รางวัลจะต้องแยกแยะอย่างชัดเจน พ่อแม่ต้องรู้จักตั้งกฎเกณฑ์ให้กับบุตร การอบรมสั่งสอนเมตตาธรรมคุณธรรมคือวิธีอันเป็นรากฐานในการปกครองสังคม การพันธนาการและการลงโทษคือวิธีรองลงมาในการปกครองสังคม”

น้ำเสียงในการพูดของเหวยเลี่ยงราบเรียบ ไม่เร็วไม่ช้า

แม่นางน้อยตั้งใจฟังอย่างยิ่ง บางครั้งก็กะพริบตาปริบๆ

เหวยเลี่ยงเอ่ยต่อว่า “ดังนั้นตอนที่ยังเด็ก พ่อแม่จึงต้องใช้การกระทำสอนคุณธรรมและเมตตาธรรมแก่บุตร พอโตขึ้นมาหน่อย อาจารย์ก็สอนคุณธรรมและเมตตาธรรมในตำราให้แก่ลูกศิษย์ ทั้งสองฝ่ายช่วยเหลือเกื้อกูลอัน ฝ่ายแรกมุ่งเน้นไปทางปฏิบัติ ฝ่ายหลังมุ่งเน้นสู่การยกระดับ จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ ยิ่งไม่ควรขัดแข้งขัดขากันเอง”

แม่นางน้อยนั่งฟังเงียบๆ อยู่ตลอดเวลา ก็ไม่รู้ว่านางฟังเข้าใจบ้างหรือไม่

แต่แม่นางน้อยก็ยังเข้าใจว่าเวลาที่คนอื่นพูดต้องตั้งใจฟัง ห้ามพูดแทรก

เหวยเลี่ยงหันหน้ามายิ้มถาม “รู้หรือไม่ว่าคนแบบไหนที่ค่อนข้างชอบฟังคนอื่นพูดถึงหลักการและเหตุผล?”

แม่นางน้อยส่ายหน้า

เหวยเลี่ยงจึงถามเองตอบเอง “ช่วงแรกเริ่ม ลูกฟังพ่อแม่ หลังจากนั้นนักเรียนก็ฟังอาจารย์ พอเติบโต คนอ่อนแอต้องฟังคนแข็งแกร่ง คนจนฟังคนรวย ขุนนางฟังกษัตริย์ หรืออย่างล่างภูเขาที่ต้องฟังบนภูเขา บนภูเขาต้องฟังยอดเขา ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็มาแล้ว หากคนแข็งแกร่งทำไม่ถูก แต่คนอ่อนแอกลับเชื่อมั่นยึดถือในเหตุผลของผู้แข็งแกร่งอย่างสุดจิตสุดใจ จะทำอย่างไร? คุณธรรมและเมตตาธรรมนั้นยากที่จะเอามาใช้ให้เกิดผลแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ บนโลกมีของสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเคารพนับถือได้มากกว่าวิชาคาถาตระกูลเซียนทั้งหมดบนภูเขา ทำให้ผู้แข็งแกร่งทุกคนต่างก็รู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ทำให้คนเหล่านี้เหมือนเด็กที่ทำความผิดแล้วกลัวคำตำหนิของพ่อแม่ เหมือนไม้ปัดขนไก่และไม้บรรทัดของอาจารย์สอนหนังสือที่หากทำผิดก็จะตีลงมากลางฝ่ามือ รู้จักความเจ็บปวด”

เหวยเลี่ยงยิ้มเจิดจ้า “ฟังไม่เข้าใจ ใช่ไหม?”

แน่นอนว่านางฟังไม่เข้าใจ ในศีรษะเล็กๆ เหมือนมีแต่แป้งเปียก “อืม!”

เหวยเลี่ยงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อันที่จริงเจ้าฟังเข้าหัวไปแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่เข้าใจก็เท่านั้น แต่มันอยู่ในใจของเจ้าแล้ว เก่งกว่าผู้ใหญ่หลายๆ คนเสียอีก พวกเขาส่วนใหญ่มักจะดีแต่อวดฉลาดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หลังจากเคยเสียเปรียบมาก่อน แม่นางน้อย แม้ว่าพรสวรรค์ในการฝึกตนของเจ้าจะธรรมดา แต่ตอนนี้ฐานะครอบครัวของเจ้าดี ไม่ต้องทุกข์ใจเรื่องการกินการอยู่ ไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องซึ่งทำให้นิสัยของเจ้าเปลี่ยนแปลงไปมาก วันหน้าค่อยแต่งงานให้กับบุรุษดีๆ ชีวิตนี้ก็คงไม่ย่ำแย่ไปยังไงแล้ว”

หยวนเหยียนซู่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย

เรื่องอย่างการแต่งงานนี้ นางก็เคยเล่นเป็นพ่อแม่ลูกกับคนวัยเดียวกันมากก่อน ทุกครั้งจะต้องหาผ้าต่วนสีแดงมาชิ้นหนึ่ง แล้วคลุมลงบนศีรษะเป็น ‘เจ้าสาว’ หาก ‘สามี’ คือหนอนหนังสือตัวน้อยที่อยู่ในตระกูลหลิวจวนติดกันผู้นั้น นางจะยิ้มมากหน่อย แต่หากเป็นเจ้าอ้วนน้อยของจวนหม่า นางกลับไม่เต็มใจจะยิ้มแล้ว

เหวยเลี่ยงยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมา “เห็นแก่ที่เจ้าเฉลียวฉลาดและรู้ความ จงจำไว้เรื่องหนึ่ง รอจนเจ้าเติบใหญ่แล้ว หากเจอกับด่านยากใหญ่เทียมฟ้าที่เจ้ารู้สึกว่าคนในตระกูลไม่อาจรับมือได้ จำไว้ว่าจงไปที่จวนผู้บัญชาการใหญ่ทางทิศใต้ของเมืองหลวง ไปหาคนที่ชื่อเหวยเลี่ยง อืม หากเป็นเรื่องเร่งด่วน แค่ส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปก็พอ”

หยวนเหยียนซู่กล่าวอย่างขลาดกลัว “อาจารย์ นั่นเป็นเรื่องอีกตั้งกี่ปีให้หลัง ช่างมันดีกว่าไหม?”

เหวยเลี่ยงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “จะคิดแบบนี้ไม่ได้ วันเวลาผ่านไปดุจสายน้ำไหล เพียงชั่วพริบตาเจ้าก็เติบใหญ่แล้ว และอีกชั่วพริบตา…”

ก็อาจจะแก่และตายไปแล้ว

เพียงแต่ว่าคำพูดที่ไม่ถูกกาลเทศะเช่นนี้ เหวยเลี่ยงไม่ได้พูดมันออกมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด