กระบี่จงมา 418.2 สุขเศร้าโกรธดีใจเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 418.2 สุขเศร้าโกรธดีใจเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลินโส่วอีส่ายหน้า “ข้าคนนี้ค่อนข้างจะแข็งกระด้าง ไม่อยากคิดเรื่องมากมายให้วุ่นวาย ข้อนี้ข้าห่างชั้นกับเจ้าเฉินผิงอันหนึ่งแสนแปดพันลี้ ข้าไม่มีทางเดาถูกแน่นอน”

เฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจะแกล้งอุบเอาไว้ เขากล่าวว่า “เจ้าเคยบอกข้าว่า ใต้หล้านี้ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่เป็นเหมือนพ่อแม่ของข้าเฉินผิงอัน”

หลินโส่วอีรู้สึกมึนงงเล็กน้อย

เฉินผิงอันยื่นหมัดออกมาแล้วชูนิ้วหนึ่งนิ้ว ยิ้มพูดว่า “อันดับแรก ข้าดีใจมากที่เจ้าหลินโส่วอีเต็มใจเอ่ยคำพูดเช่นนี้ นี่หมายความว่าเจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อน ถึงอย่างไรตัวตนของเจ้าก็เป็นปมในใจที่ใหญ่ที่สุดของเจ้ามาโดยตลอด”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วที่สองออกมา “ประโยคนี้ฝังแน่นอยู่ในใจของข้า เป็นเหตุให้หลังจากการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่มงคลดอกบัวของข้ายุติลง ข้าถึงสามารถเดินทางร่วมกับเผยเฉียนจนมาถึงที่นี่ นี่ล้วนต้องยกคุณความชอบให้กับประโยคนี้ของเจ้า”

 แล้วเฉินผิงอันก็ชูนิ้วที่สาม “อีกทั้งพอได้ยินประโยคนี้แล้ว ข้าก็เหมือน…คนยากจนข้นแค้นคนหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็พลันค้นพบว่าที่แท้ตัวเองก็คือคนมีเงินที่ได้รับสืบทอดทรัพย์สมบัติก้อนโต! พอคิดถึงเรื่องนี้ ต่อให้ข้าได้เห็นคนวัยเดียวกันที่มีเงินมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นฟ่านเอ้อร์ที่กลายมาเป็นสหายกันในภายหลัง หรือไม่ก็หลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีปที่ไม่ได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน ยามอยู่กับพวกเขา ข้ากลับไม่เคยรู้สึกว่าการที่ตัวเองไม่มีเงินเป็นเรื่องน่าอายอะไร”

หลินโส่วอีหัวเราะ จากนั้นก็พูดประโยคหนึ่งที่เหมือนเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ “ข้าเดาว่าซ่งจี๋ซินคงเกลียดเจ้าในข้อนี้มากที่สุด”

เฉินผิงอันพยักหน้าเห็นด้วย

เฉินผิงอันมาหยุดเท้าอยู่ตรงหน้าหอเก็บตำรา เงยหน้ามองหอสูง “หลินโส่วอี น้ำใจอันน้อยนิดที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึงนั้นของข้า กลับถูกเจ้าเห็นความสำคัญและทะนุถนอมเช่นนี้ ข้าดีใจมาก ดีใจมากเป็นพิเศษ”

หลินโส่วอีกลับกล่าวว่า “บนโลกใบนี้ แม้แต่คนดีก็ยังชอบเรียกร้องคนดีด้วยกันเอง ดังนั้นเจ้าต้องเห็นค่าและทะนุถนอมเพื่อนอย่างข้าเอาไว้ให้ดี”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว!”

หลินโส่วอีเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามอบของให้ข้า ในอนาคตข้าจะมอบของขวัญกลับคืนหรือไม่ ก็คงไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยกันแล้วใช่ไหม?”

เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง โอบไหล่หลินโส่วอีเข้าหาตัว “ฝันไปเถอะ!”

หลินโส่วอีออกแรงเล็กน้อยดีดเฉินผิงอันออกห่าง จัดอาภรณ์ให้เป็นระเบียบ พูดบ่นว่า “หากให้สตรีในสำนักศึกษามาเห็นภาพนี้เข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจสูญเสียคนที่ชื่นชมเลื่อมใสไปหลายคน แน่นอนว่าข้าไม่มีทางชอบพวกนาง แต่ก็ไม่รังเกียจที่พวกนางจะชอบข้า”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าว่าหลายปีที่อยู่ในสำนักศึกษามานี้ อันที่จริงเป็นเจ้าหลินโส่วอีที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ต่างหากที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด”

หลินโส่วอีมองสบตาเฉินผิงอัน ทั้งคู่ต่างก็คิดถึงคนผู้หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานพร้อมกัน

นี่คงจะเป็นจิตที่สื่อถึงกันของคนเป็นสหายกระมัง

คนบ้านเดียวกันสองคนพูดคุยกันอย่างผ่อนคลายพลางเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในหอเก็บตำราด้วยกัน

หลักการเหตุผลนับไม่ถ้วนในตำรากำลังรอให้พวกเขาไปเปิดอ่านและรับเอาไป

……

ทางฝ่ายของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เด็กชายชุดเขียวเพิ่งจะกลับมาจากเหลาสุราในเมืองเล็กหลังจากดื่มเหล้าเลี้ยงอำลากับสหาย

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็ก สังเกตเห็นว่าเขาเหมือนจะอารมณ์ห่อเหี่ยวไม่ร่าเริงจึงถามว่า “ไม่ได้ดื่มเหล้ากับสหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงคนนั้นของเจ้าอย่างเต็มคราบหรือ? หรือว่าค่าเหล้าแพงเกินไป?”

เด็กชายชุดเขียวนั่งแปะลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ข้างกายนาง ยกสองมือเท้าคาง “เรื่องในยุทธภพ เจ้าไม่เข้าใจหรอก”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูยื่นมือออกมาเทเมล็ดแตงแบ่งให้เขาบางส่วน เด็กชายชุดเขียวไม่ได้ปฏิเสธ

ก่อนหน้านี้เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิงได้รับป้ายสงบสุขปลอดภัยที่มีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แผ่นหนึ่งไปครองอย่างราบรื่นโดยอาศัยความช่วยเหลือจากเด็กชายชุดเขียว

จากนั้นก็ได้รับอนุญาตจากกรมพิธีการราชสำนักแคว้นหวงถิงให้ออกมานอกอาณาเขต ผ่านด่านชายแดนของต้าหลีมาเยี่ยมเยือนที่ภูเขาลั่วพั่ว

เด็กชายชุดเขียวพาเพื่อนรักที่ดีที่สุดในยุทธภพท่านนั้นไปเดินเที่ยวตามที่ต่างๆ หลายแห่ง เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูคาดเดาเอาว่าเจ้าหมอนี่คงคุยโวโอ้อวดต่อเทพวารีไปไม่น้อย

เด็กชายชุดเขียวแทะเมล็ดแตงโมเสร็จแล้วก็คร่ำครวญด้วยความกลัดกลุ้ม เกาหูเกาแก้มอย่างงุ่นง่าน แต่เพียงชั่วพริบตาก็สงบนิ่ง สองขาเหยียดตรง ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร นอนตัวอ่อนพังพาบอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ พูดช้าๆ ว่า “องค์เทพแห่งลำคลองและแม่น้ำแบ่งออกเป็นสามหกเก้าระดับ ตอนที่ดื่มเหล้ากัน สหายคนนี้ของข้าบอกว่าได้พบกับเทพแม่น้ำที่ระดับขั้นสูงที่สุดของแม่น้ำเถี่ยฝูผู้นั้นแล้วก็ให้อิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยอยากให้ข้าช่วยพูดถึงเขากับราชสำนักต้าหลีด้วยถ้อยคำดีๆ สักสองสามคำ อยากให้ช่วยยกแม่น้ำลำคลองสายย่อยทั้งหลายให้ขึ้นตรงกับเขตการปกครองแม่น้ำอวี้เจียงของเขา”

“ถ้าอย่างนั้นเขาให้เงินเทพเซียนสำหรับช่วยสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าไหม?”

“ไม่”

สีหน้าของเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแปลกประหลาด

เด็กชายชุดเขียวถลึงตาใส่นาง พูดอย่างมีโทสะ “ไม่ใช่ว่าสหายคนนี้ของข้าขี้งก เขาพูดเองว่า ระหว่างสหายด้วยกัน พูดคุยเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้นไม่เหมาะไม่ควร ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผล ตอนนี้ข้าก็แค่กลุ้มว่าควรจะเข้าวัดไหนไปจุดธูปไหว้พระโพธิสัตว์องค์ใด เจ้าเองก็รู้ดีว่าเจ้าเว่ยป้อผู้นั้นไม่ชอบขี้หน้าข้ามาโดยตลอด คราวก่อนที่ไปไหว้วานให้เขาช่วย เขาไม่มีคุณธรรมและน้ำใจให้เลยสักนิด ส่วนคำพูดของเทพภูเขาบนยอดเขาของเราที่มีหัวเป็นสีทองผู้นั้นก็ยิ่งไร้ประโยชน์ เจ้าเมืองอู๋ยวน นายอำเภอแซ่หยวน ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยไปพบมาแล้วแต่ไม่เป็นผล กลับเป็นคนที่ชื่อสวี่รั่ว มือกระบี่ที่มอบป้ายสงบสุขปลอดภัยให้พวกเราคนละแผ่นน่ะ ข้ารู้สึกว่าน่าจะได้เรื่อง เพียงแต่ว่าข้าหาตัวเขาไม่พบ”

 เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแทะเมล็ดแตงพลางพูดเบาๆ ว่า “ต่อให้หาวัดเจอ แต่เจ้ามีเงินบูชาพระหรือ?”

เด็กชายชุดเขียวเริ่มรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ “สวี่รั่วผู้นั้นอาจจะไม่เก็บเงินข้าก็ได้ เจ้าก็เห็นว่าสวี่รั่วสนิทกับนายท่านของพวกเรามากขนาดนั้น เขาจะกล้าเก็บเงินข้าเชียวหรือ? หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็ติดไว้ก่อน วันหน้าค่อยยืมเงินจากนายท่านไปคืนให้สวี่รั่ว แบบนี้คงจะได้อยู่กระมัง?”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเกิดโทสะขุ่นเคืองอย่างที่หาได้ยาก “เจ้านี่มันเป็นยังไงนะ?! ทำไมถึงต้องคอยพะวงถึงเงินของนายท่านตลอดเวลา?”

เด็กชายชุดเขียวบ่นพึมพำ “เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้วีรบุรุษลำบากได้ มีอะไรน่าแปลกตรงไหน ใครเล่าไม่เคยมีช่วงเวลาที่ตกอับ อีกอย่างที่นี่ก็เรียกว่าภูเขาลั่วพั่ว (ตกอับ) ไม่ใช่หรือ ต้องโทษนายท่านนั่นแหละ ดันเลือกภูเขาที่ชื่อไม่เป็นมงคลแบบนี้”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูโมโหยิ่งกว่าเดิม “นี่ยังจะโทษนายท่านอีกหรือ?! มโนธรรมในใจเจ้าถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไง?!”

หากเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น นางกล้าพูดแบบนี้กับเขา ป่านนี้ไฟโทสะของเด็กชายชุดเขียวคงลุกโชนสามจั้งไปแล้ว แต่วันนี้แม้แต่นึกจะโกรธ เด็กชายชุดเขียวก็ยังไม่อยากโกรธ เขาไม่มีอารมณ์นั้นจริงๆ

และเวลานี้เอง เว่ยป้อที่ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามาเยือนภูเขาลั่วพั่วน้อยครั้งก็พลันปรากฏตัวอยู่บนทางเดิน เดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างเชื่องช้า

เด็กชายชุดเขียวกระโดดผลุงขึ้นแล้ววิ่งเต็มเหยียดเข้าหาอีกฝ่าย พยายามประจบเอาใจอย่างสุดฤทธิ์ “ท่านเทพใหญ่เว่ย เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลาว่างมาเป็นแขกที่บ้านพวกเราได้เล่า เดินเหนื่อยหรือไม่ อยากนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่หรือไม่ ให้ข้าทุบไหล่นวดขาให้ท่านผู้อาวุโสดีไหม?”

เว่ยป้อยื่นมือมาดันศีรษะของเด็กชายชุดเขียวออก “ไปไกลๆ เลยไป”

เด็กชายชุดเขียวยกสองมือกอดชายแขนเสื้อข้างหนึ่งของเว่ยป้อเอาไว้แน่น แต่กลับโดนเว่ยป้อเหวี่ยงลงบ่อน้ำที่อยู่ด้านหลังเรือนไม้ไผ่

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูส่ายหน้า เสียหน้านายท่านหมดแล้วจริงๆ

เว่ยป้อนั่งยองอยู่ข้างบ่อน้ำขนาดเล็กที่น้ำใสแจ๋วจนมองเห็นก้นบึ้ง เมล็ดพันธ์ของดอกบัวสีทองเริ่มแตกหน่อแล้ว

เด็กชายชุดเขียวนั่งยองอยู่ด้านข้าง “เทพเซียนผู้เฒ่าเว่ย ขอข้าปรึกษาท่านสักเรื่องได้ไหม?”

เว่ยป้อจ้องนิ่งไปยังเมล็ดพันธ์ที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งเมล็ดนั้น ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นหนึ่งใน ‘มรดกตกทอด’ ที่เจ้าลัทธิเต๋าลู่เฉินทิ้งไว้ในใต้หล้าแห่งนี้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดโชคชะตาของแคว้นเสินสุ่ยขาดสะบั้นไปตั้งนานแล้ว แต่กลับยังมีเส้นใยบางๆ เชื่อมโยงไว้ โชคชะตายังไม่สลายไปหมดสิ้น และยิ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเว่ยป้อคอยจับจ้องเทพแม่น้ำเถี่ยฝูหยางฮวาผู้นั้นไม่ให้คลาดสายตา ในฐานะองค์เทพที่หลงเหลืออยู่เพียงองค์เดียวของแคว้นเสินสุ่ย ท่ามกลางหายนะของปีนั้น เว่ยป้อสามารถหนีเอาชีวิตรอดจนอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งได้เลื่อนขั้นกลายเป็นองค์เทพขุนเขาเหนือของราชวงศ์ต้าหลี เป็นเพราะเจตนารมณ์สวรรค์ที่มองไม่เห็น แน่นอนว่าต้องมีความอดทนของตัวเว่ยป้อเองซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดด้วย คนที่ไม่ช่วยเหลือตัวเอง สวรรค์ย่อมไม่ช่วยเหลือ

เว่ยป้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เพียงแค่ประโยคเดียวก็สะบั้นความคิดที่หวังว่าตัวเองจะโชคดีของเด็กชายชุดเขียวไปจนสิ้น “เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นเห็นเจ้าเป็นคนโง่ แล้วเจ้าก็ดีใจที่ได้เป็นคนโง่ขนาดนี้เชียวหรือ?”

เด็กชายชุดเขียวลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นเคือง พอเดินไปได้สองสามก้าว หันกลับมาเห็นว่าเว่ยป้อนั่งหันหลังให้ตัวเอง จึงยืนอยู่ตรงที่เดิมแล้วสาวเท้าเตะออกหมัดต่อยสะเปะสะปะใส่แผ่นหลังที่เกะกะลูกตา แล้วถึงได้รีบวิ่งหนีไปไกล

สุดท้ายก่อนที่เว่ยป้อจะไปจากภูเขาลั่วพั่วก็ยิ้มพูดกับเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ว่า “อีกไม่นานนายท่านของพวกเจ้าก็จะกลับมาแล้ว”

แล้วเว่ยป้อก็ทะยานจากไปไกล

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูดีใจสุดประมาณ เพียงแต่พอหันหน้ามา ไม่รู้ว่าทำไมเด็กชายชุดเขียวที่เดิมทีควรปิติยินดีเช่นเดียวกับนางถึงได้นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่

นางถามเบาๆ ว่า “เป็นอะไรไป?”

เด็กชายชุดเขียวพึมพำตอบ “เจ้าโง่ขนาดนั้นแล้ว แต่นี่เว่ยป้อกลับดันมาพูดว่าข้าก็เป็นคนโง่ด้วย เจ้าว่าถ้านายท่านกลับมาเจอพวกเราคราวนี้จะผิดหวังมากหรือไม่”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นขึ้ง ไม่สนใจเจ้าคนที่ใจจืดใจดำผู้นี้อีกต่อไป นางไปตักน้ำมาหนึ่งถังพร้อมกับหยิบผ้ามาหนึ่งผืน แล้วจึงเริ่มเช็ดถูเรือนไม้ไผ่อย่างละเอียด

เด็กชายชุดเขียวค้อมตัวลง เอามือเท้าคาง เขาเคยวาดภาพหนึ่งไว้อย่างมีความหวัง นั่นก็คือตอนที่สหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว เขาจะสามารถนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้านข้าง มองดูเฉินผิงอันกับสหายของตัวเองเรียกขานกันเป็นพี่เป็นน้อง เจ็บใจที่พบเจอกันช้าไป ผลัดกันชนจอกเหล้าครั้งแล้วครั้งเล่า หากเป็นเช่นนั้น เขาคงภาคภูมิใจอย่างมาก หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา ตอนที่เขากลับมาภูเขาลั่วพั่วกับเฉินผิงอันก็จะได้คุยโวถึงประสบการณ์ในยุทธภพของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังว่าตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียงตนมีหน้ามีตาขนาดไหน

แต่เขาเพิ่งจะค้นพบว่าดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก

เด็กชายชุดเขียวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองเปลือกเมล็ดแตงบนพื้น ดูเหมือนว่ายังมีบางส่วนที่เป็นปลาหลุดลอดแหไป เด็กชายชุดเขียวที่เบื่อหน่ายสุดขีดจึงเก็บมันขึ้นมากิน คล้ายว่ารสชาติจะดีกว่าปกติเล็กน้อย?

 เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่กำลังเช็ดถูขั้นบันไดเรือนหันมาเห็นภาพนี้เข้าพอดีก็ถามอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าจนขนาดนี้แล้วหรือ? เจ้าคงไม่ได้เอาทรัพย์สินของตัวเองมอบให้สหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงไปหมดแล้วหรอกนะ?”

เด็กชายชุดเขียวอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว เขาหันมาเหลือกตามองบนใส่นาง “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย จะไม่คิดเก็บเงินไว้แต่งเมียบ้างเลยหรือ? ข้าไม่อยากเป็นคนโสดอย่างเหล่าชุยหรอกนะ! ตอนยังเยาว์ไม่รู้จักเก็บเงิน แก่ตัวไปก็ต้องยอมเป็นตาแก่ขึ้นคานแต่โดยดี หลักการนี้ รอให้นายท่านของพวกเรากลับบ้านมาเมื่อไหร่ ข้าต้องพูดให้เขาฟังสักหน่อย เขาจะได้ไม่ทำตัวเป็นกุมารแจกทรัพย์แบบนั้นอีก…”

เสียงปังดังสนั่น

ร่างทั้งร่างของเด็กชายชุดเขียวกระเด็นลิ่วออกไปนอกหน้าผา

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเห็นจนเคยชินเสียแล้ว จึงไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของเขา

งูยาวสีเขียวตัวหนึ่งพลันเผยร่าง ทะยานลมล้อเมฆ จากนั้นก็เลื้อยคลานขึ้นมาบนหน้าผาสูงชัน กลับคืนสภาพมาเป็นเด็กชายชุดเขียวอีกครั้ง เขาเดินอาดๆ กลับมาที่เรือนไม้ไผ่ “คำพูดจริงใจฟังแล้วระคายหูเสมอ มิน่าเล่านับแต่โบราณมา ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ภักดีถึงมีจุดจบที่ดีได้ยาก…”

แล้วเสียงปังก็ดังขึ้นอีกครั้ง

ร่างของเด็กชายชุดเขียวลอยหวือไปอีกรอบ

ครั้งที่สองที่เขาย้อนกลับมายังยอดเขาก็เห็นว่ามีผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อ แต่กลับเปลือยเท้าเปล่ายืนอยู่บนชั้นที่สองของเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวรีบตะโกนโหวกเหวกทันที “เหล่าชุย ครั้งนี้ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!”

แล้วก็โดนฟาดร่วงกลับลงไปในหุบเหวอีกครั้ง

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเดินขึ้นมาเช็ดราวระเบียงของชั้นสองแล้ว นางรู้สึกฉงนฉงายเล็กน้อย

ผู้เฒ่าแซ่ชุยยิ้มบางๆ กล่าวว่า “โดนฟาดให้เจ็บๆ คันๆ จะได้จำไว้เป็นบทเรียน”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูไม่อาจโต้ตอบกลับไปได้ จึงไม่คิดจะขอร้องแทนเด็กชายชุดเขียวอีก

บนเส้นทางภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว เด็กชายชุดเขียวผรุสวาทพลางวิ่งตะบึงไปตลอดทาง

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 418.2 สุขเศร้าโกรธดีใจเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 418.2 สุขเศร้าโกรธดีใจเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลินโส่วอีส่ายหน้า “ข้าคนนี้ค่อนข้างจะแข็งกระด้าง ไม่อยากคิดเรื่องมากมายให้วุ่นวาย ข้อนี้ข้าห่างชั้นกับเจ้าเฉินผิงอันหนึ่งแสนแปดพันลี้ ข้าไม่มีทางเดาถูกแน่นอน”

เฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจะแกล้งอุบเอาไว้ เขากล่าวว่า “เจ้าเคยบอกข้าว่า ใต้หล้านี้ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่เป็นเหมือนพ่อแม่ของข้าเฉินผิงอัน”

หลินโส่วอีรู้สึกมึนงงเล็กน้อย

เฉินผิงอันยื่นหมัดออกมาแล้วชูนิ้วหนึ่งนิ้ว ยิ้มพูดว่า “อันดับแรก ข้าดีใจมากที่เจ้าหลินโส่วอีเต็มใจเอ่ยคำพูดเช่นนี้ นี่หมายความว่าเจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อน ถึงอย่างไรตัวตนของเจ้าก็เป็นปมในใจที่ใหญ่ที่สุดของเจ้ามาโดยตลอด”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วที่สองออกมา “ประโยคนี้ฝังแน่นอยู่ในใจของข้า เป็นเหตุให้หลังจากการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่มงคลดอกบัวของข้ายุติลง ข้าถึงสามารถเดินทางร่วมกับเผยเฉียนจนมาถึงที่นี่ นี่ล้วนต้องยกคุณความชอบให้กับประโยคนี้ของเจ้า”

 แล้วเฉินผิงอันก็ชูนิ้วที่สาม “อีกทั้งพอได้ยินประโยคนี้แล้ว ข้าก็เหมือน…คนยากจนข้นแค้นคนหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็พลันค้นพบว่าที่แท้ตัวเองก็คือคนมีเงินที่ได้รับสืบทอดทรัพย์สมบัติก้อนโต! พอคิดถึงเรื่องนี้ ต่อให้ข้าได้เห็นคนวัยเดียวกันที่มีเงินมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นฟ่านเอ้อร์ที่กลายมาเป็นสหายกันในภายหลัง หรือไม่ก็หลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีปที่ไม่ได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน ยามอยู่กับพวกเขา ข้ากลับไม่เคยรู้สึกว่าการที่ตัวเองไม่มีเงินเป็นเรื่องน่าอายอะไร”

หลินโส่วอีหัวเราะ จากนั้นก็พูดประโยคหนึ่งที่เหมือนเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ “ข้าเดาว่าซ่งจี๋ซินคงเกลียดเจ้าในข้อนี้มากที่สุด”

เฉินผิงอันพยักหน้าเห็นด้วย

เฉินผิงอันมาหยุดเท้าอยู่ตรงหน้าหอเก็บตำรา เงยหน้ามองหอสูง “หลินโส่วอี น้ำใจอันน้อยนิดที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึงนั้นของข้า กลับถูกเจ้าเห็นความสำคัญและทะนุถนอมเช่นนี้ ข้าดีใจมาก ดีใจมากเป็นพิเศษ”

หลินโส่วอีกลับกล่าวว่า “บนโลกใบนี้ แม้แต่คนดีก็ยังชอบเรียกร้องคนดีด้วยกันเอง ดังนั้นเจ้าต้องเห็นค่าและทะนุถนอมเพื่อนอย่างข้าเอาไว้ให้ดี”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว!”

หลินโส่วอีเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามอบของให้ข้า ในอนาคตข้าจะมอบของขวัญกลับคืนหรือไม่ ก็คงไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยกันแล้วใช่ไหม?”

เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง โอบไหล่หลินโส่วอีเข้าหาตัว “ฝันไปเถอะ!”

หลินโส่วอีออกแรงเล็กน้อยดีดเฉินผิงอันออกห่าง จัดอาภรณ์ให้เป็นระเบียบ พูดบ่นว่า “หากให้สตรีในสำนักศึกษามาเห็นภาพนี้เข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจสูญเสียคนที่ชื่นชมเลื่อมใสไปหลายคน แน่นอนว่าข้าไม่มีทางชอบพวกนาง แต่ก็ไม่รังเกียจที่พวกนางจะชอบข้า”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าว่าหลายปีที่อยู่ในสำนักศึกษามานี้ อันที่จริงเป็นเจ้าหลินโส่วอีที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ต่างหากที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด”

หลินโส่วอีมองสบตาเฉินผิงอัน ทั้งคู่ต่างก็คิดถึงคนผู้หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานพร้อมกัน

นี่คงจะเป็นจิตที่สื่อถึงกันของคนเป็นสหายกระมัง

คนบ้านเดียวกันสองคนพูดคุยกันอย่างผ่อนคลายพลางเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในหอเก็บตำราด้วยกัน

หลักการเหตุผลนับไม่ถ้วนในตำรากำลังรอให้พวกเขาไปเปิดอ่านและรับเอาไป

……

ทางฝ่ายของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เด็กชายชุดเขียวเพิ่งจะกลับมาจากเหลาสุราในเมืองเล็กหลังจากดื่มเหล้าเลี้ยงอำลากับสหาย

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็ก สังเกตเห็นว่าเขาเหมือนจะอารมณ์ห่อเหี่ยวไม่ร่าเริงจึงถามว่า “ไม่ได้ดื่มเหล้ากับสหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงคนนั้นของเจ้าอย่างเต็มคราบหรือ? หรือว่าค่าเหล้าแพงเกินไป?”

เด็กชายชุดเขียวนั่งแปะลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ข้างกายนาง ยกสองมือเท้าคาง “เรื่องในยุทธภพ เจ้าไม่เข้าใจหรอก”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูยื่นมือออกมาเทเมล็ดแตงแบ่งให้เขาบางส่วน เด็กชายชุดเขียวไม่ได้ปฏิเสธ

ก่อนหน้านี้เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิงได้รับป้ายสงบสุขปลอดภัยที่มีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แผ่นหนึ่งไปครองอย่างราบรื่นโดยอาศัยความช่วยเหลือจากเด็กชายชุดเขียว

จากนั้นก็ได้รับอนุญาตจากกรมพิธีการราชสำนักแคว้นหวงถิงให้ออกมานอกอาณาเขต ผ่านด่านชายแดนของต้าหลีมาเยี่ยมเยือนที่ภูเขาลั่วพั่ว

เด็กชายชุดเขียวพาเพื่อนรักที่ดีที่สุดในยุทธภพท่านนั้นไปเดินเที่ยวตามที่ต่างๆ หลายแห่ง เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูคาดเดาเอาว่าเจ้าหมอนี่คงคุยโวโอ้อวดต่อเทพวารีไปไม่น้อย

เด็กชายชุดเขียวแทะเมล็ดแตงโมเสร็จแล้วก็คร่ำครวญด้วยความกลัดกลุ้ม เกาหูเกาแก้มอย่างงุ่นง่าน แต่เพียงชั่วพริบตาก็สงบนิ่ง สองขาเหยียดตรง ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร นอนตัวอ่อนพังพาบอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ พูดช้าๆ ว่า “องค์เทพแห่งลำคลองและแม่น้ำแบ่งออกเป็นสามหกเก้าระดับ ตอนที่ดื่มเหล้ากัน สหายคนนี้ของข้าบอกว่าได้พบกับเทพแม่น้ำที่ระดับขั้นสูงที่สุดของแม่น้ำเถี่ยฝูผู้นั้นแล้วก็ให้อิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยอยากให้ข้าช่วยพูดถึงเขากับราชสำนักต้าหลีด้วยถ้อยคำดีๆ สักสองสามคำ อยากให้ช่วยยกแม่น้ำลำคลองสายย่อยทั้งหลายให้ขึ้นตรงกับเขตการปกครองแม่น้ำอวี้เจียงของเขา”

“ถ้าอย่างนั้นเขาให้เงินเทพเซียนสำหรับช่วยสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าไหม?”

“ไม่”

สีหน้าของเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแปลกประหลาด

เด็กชายชุดเขียวถลึงตาใส่นาง พูดอย่างมีโทสะ “ไม่ใช่ว่าสหายคนนี้ของข้าขี้งก เขาพูดเองว่า ระหว่างสหายด้วยกัน พูดคุยเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้นไม่เหมาะไม่ควร ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผล ตอนนี้ข้าก็แค่กลุ้มว่าควรจะเข้าวัดไหนไปจุดธูปไหว้พระโพธิสัตว์องค์ใด เจ้าเองก็รู้ดีว่าเจ้าเว่ยป้อผู้นั้นไม่ชอบขี้หน้าข้ามาโดยตลอด คราวก่อนที่ไปไหว้วานให้เขาช่วย เขาไม่มีคุณธรรมและน้ำใจให้เลยสักนิด ส่วนคำพูดของเทพภูเขาบนยอดเขาของเราที่มีหัวเป็นสีทองผู้นั้นก็ยิ่งไร้ประโยชน์ เจ้าเมืองอู๋ยวน นายอำเภอแซ่หยวน ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยไปพบมาแล้วแต่ไม่เป็นผล กลับเป็นคนที่ชื่อสวี่รั่ว มือกระบี่ที่มอบป้ายสงบสุขปลอดภัยให้พวกเราคนละแผ่นน่ะ ข้ารู้สึกว่าน่าจะได้เรื่อง เพียงแต่ว่าข้าหาตัวเขาไม่พบ”

 เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแทะเมล็ดแตงพลางพูดเบาๆ ว่า “ต่อให้หาวัดเจอ แต่เจ้ามีเงินบูชาพระหรือ?”

เด็กชายชุดเขียวเริ่มรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ “สวี่รั่วผู้นั้นอาจจะไม่เก็บเงินข้าก็ได้ เจ้าก็เห็นว่าสวี่รั่วสนิทกับนายท่านของพวกเรามากขนาดนั้น เขาจะกล้าเก็บเงินข้าเชียวหรือ? หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็ติดไว้ก่อน วันหน้าค่อยยืมเงินจากนายท่านไปคืนให้สวี่รั่ว แบบนี้คงจะได้อยู่กระมัง?”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเกิดโทสะขุ่นเคืองอย่างที่หาได้ยาก “เจ้านี่มันเป็นยังไงนะ?! ทำไมถึงต้องคอยพะวงถึงเงินของนายท่านตลอดเวลา?”

เด็กชายชุดเขียวบ่นพึมพำ “เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้วีรบุรุษลำบากได้ มีอะไรน่าแปลกตรงไหน ใครเล่าไม่เคยมีช่วงเวลาที่ตกอับ อีกอย่างที่นี่ก็เรียกว่าภูเขาลั่วพั่ว (ตกอับ) ไม่ใช่หรือ ต้องโทษนายท่านนั่นแหละ ดันเลือกภูเขาที่ชื่อไม่เป็นมงคลแบบนี้”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูโมโหยิ่งกว่าเดิม “นี่ยังจะโทษนายท่านอีกหรือ?! มโนธรรมในใจเจ้าถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไง?!”

หากเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น นางกล้าพูดแบบนี้กับเขา ป่านนี้ไฟโทสะของเด็กชายชุดเขียวคงลุกโชนสามจั้งไปแล้ว แต่วันนี้แม้แต่นึกจะโกรธ เด็กชายชุดเขียวก็ยังไม่อยากโกรธ เขาไม่มีอารมณ์นั้นจริงๆ

และเวลานี้เอง เว่ยป้อที่ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามาเยือนภูเขาลั่วพั่วน้อยครั้งก็พลันปรากฏตัวอยู่บนทางเดิน เดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างเชื่องช้า

เด็กชายชุดเขียวกระโดดผลุงขึ้นแล้ววิ่งเต็มเหยียดเข้าหาอีกฝ่าย พยายามประจบเอาใจอย่างสุดฤทธิ์ “ท่านเทพใหญ่เว่ย เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลาว่างมาเป็นแขกที่บ้านพวกเราได้เล่า เดินเหนื่อยหรือไม่ อยากนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่หรือไม่ ให้ข้าทุบไหล่นวดขาให้ท่านผู้อาวุโสดีไหม?”

เว่ยป้อยื่นมือมาดันศีรษะของเด็กชายชุดเขียวออก “ไปไกลๆ เลยไป”

เด็กชายชุดเขียวยกสองมือกอดชายแขนเสื้อข้างหนึ่งของเว่ยป้อเอาไว้แน่น แต่กลับโดนเว่ยป้อเหวี่ยงลงบ่อน้ำที่อยู่ด้านหลังเรือนไม้ไผ่

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูส่ายหน้า เสียหน้านายท่านหมดแล้วจริงๆ

เว่ยป้อนั่งยองอยู่ข้างบ่อน้ำขนาดเล็กที่น้ำใสแจ๋วจนมองเห็นก้นบึ้ง เมล็ดพันธ์ของดอกบัวสีทองเริ่มแตกหน่อแล้ว

เด็กชายชุดเขียวนั่งยองอยู่ด้านข้าง “เทพเซียนผู้เฒ่าเว่ย ขอข้าปรึกษาท่านสักเรื่องได้ไหม?”

เว่ยป้อจ้องนิ่งไปยังเมล็ดพันธ์ที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งเมล็ดนั้น ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นหนึ่งใน ‘มรดกตกทอด’ ที่เจ้าลัทธิเต๋าลู่เฉินทิ้งไว้ในใต้หล้าแห่งนี้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดโชคชะตาของแคว้นเสินสุ่ยขาดสะบั้นไปตั้งนานแล้ว แต่กลับยังมีเส้นใยบางๆ เชื่อมโยงไว้ โชคชะตายังไม่สลายไปหมดสิ้น และยิ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเว่ยป้อคอยจับจ้องเทพแม่น้ำเถี่ยฝูหยางฮวาผู้นั้นไม่ให้คลาดสายตา ในฐานะองค์เทพที่หลงเหลืออยู่เพียงองค์เดียวของแคว้นเสินสุ่ย ท่ามกลางหายนะของปีนั้น เว่ยป้อสามารถหนีเอาชีวิตรอดจนอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งได้เลื่อนขั้นกลายเป็นองค์เทพขุนเขาเหนือของราชวงศ์ต้าหลี เป็นเพราะเจตนารมณ์สวรรค์ที่มองไม่เห็น แน่นอนว่าต้องมีความอดทนของตัวเว่ยป้อเองซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดด้วย คนที่ไม่ช่วยเหลือตัวเอง สวรรค์ย่อมไม่ช่วยเหลือ

เว่ยป้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เพียงแค่ประโยคเดียวก็สะบั้นความคิดที่หวังว่าตัวเองจะโชคดีของเด็กชายชุดเขียวไปจนสิ้น “เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นเห็นเจ้าเป็นคนโง่ แล้วเจ้าก็ดีใจที่ได้เป็นคนโง่ขนาดนี้เชียวหรือ?”

เด็กชายชุดเขียวลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นเคือง พอเดินไปได้สองสามก้าว หันกลับมาเห็นว่าเว่ยป้อนั่งหันหลังให้ตัวเอง จึงยืนอยู่ตรงที่เดิมแล้วสาวเท้าเตะออกหมัดต่อยสะเปะสะปะใส่แผ่นหลังที่เกะกะลูกตา แล้วถึงได้รีบวิ่งหนีไปไกล

สุดท้ายก่อนที่เว่ยป้อจะไปจากภูเขาลั่วพั่วก็ยิ้มพูดกับเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ว่า “อีกไม่นานนายท่านของพวกเจ้าก็จะกลับมาแล้ว”

แล้วเว่ยป้อก็ทะยานจากไปไกล

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูดีใจสุดประมาณ เพียงแต่พอหันหน้ามา ไม่รู้ว่าทำไมเด็กชายชุดเขียวที่เดิมทีควรปิติยินดีเช่นเดียวกับนางถึงได้นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่

นางถามเบาๆ ว่า “เป็นอะไรไป?”

เด็กชายชุดเขียวพึมพำตอบ “เจ้าโง่ขนาดนั้นแล้ว แต่นี่เว่ยป้อกลับดันมาพูดว่าข้าก็เป็นคนโง่ด้วย เจ้าว่าถ้านายท่านกลับมาเจอพวกเราคราวนี้จะผิดหวังมากหรือไม่”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นขึ้ง ไม่สนใจเจ้าคนที่ใจจืดใจดำผู้นี้อีกต่อไป นางไปตักน้ำมาหนึ่งถังพร้อมกับหยิบผ้ามาหนึ่งผืน แล้วจึงเริ่มเช็ดถูเรือนไม้ไผ่อย่างละเอียด

เด็กชายชุดเขียวค้อมตัวลง เอามือเท้าคาง เขาเคยวาดภาพหนึ่งไว้อย่างมีความหวัง นั่นก็คือตอนที่สหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว เขาจะสามารถนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้านข้าง มองดูเฉินผิงอันกับสหายของตัวเองเรียกขานกันเป็นพี่เป็นน้อง เจ็บใจที่พบเจอกันช้าไป ผลัดกันชนจอกเหล้าครั้งแล้วครั้งเล่า หากเป็นเช่นนั้น เขาคงภาคภูมิใจอย่างมาก หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา ตอนที่เขากลับมาภูเขาลั่วพั่วกับเฉินผิงอันก็จะได้คุยโวถึงประสบการณ์ในยุทธภพของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังว่าตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียงตนมีหน้ามีตาขนาดไหน

แต่เขาเพิ่งจะค้นพบว่าดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก

เด็กชายชุดเขียวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองเปลือกเมล็ดแตงบนพื้น ดูเหมือนว่ายังมีบางส่วนที่เป็นปลาหลุดลอดแหไป เด็กชายชุดเขียวที่เบื่อหน่ายสุดขีดจึงเก็บมันขึ้นมากิน คล้ายว่ารสชาติจะดีกว่าปกติเล็กน้อย?

 เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่กำลังเช็ดถูขั้นบันไดเรือนหันมาเห็นภาพนี้เข้าพอดีก็ถามอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าจนขนาดนี้แล้วหรือ? เจ้าคงไม่ได้เอาทรัพย์สินของตัวเองมอบให้สหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงไปหมดแล้วหรอกนะ?”

เด็กชายชุดเขียวอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว เขาหันมาเหลือกตามองบนใส่นาง “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย จะไม่คิดเก็บเงินไว้แต่งเมียบ้างเลยหรือ? ข้าไม่อยากเป็นคนโสดอย่างเหล่าชุยหรอกนะ! ตอนยังเยาว์ไม่รู้จักเก็บเงิน แก่ตัวไปก็ต้องยอมเป็นตาแก่ขึ้นคานแต่โดยดี หลักการนี้ รอให้นายท่านของพวกเรากลับบ้านมาเมื่อไหร่ ข้าต้องพูดให้เขาฟังสักหน่อย เขาจะได้ไม่ทำตัวเป็นกุมารแจกทรัพย์แบบนั้นอีก…”

เสียงปังดังสนั่น

ร่างทั้งร่างของเด็กชายชุดเขียวกระเด็นลิ่วออกไปนอกหน้าผา

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเห็นจนเคยชินเสียแล้ว จึงไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของเขา

งูยาวสีเขียวตัวหนึ่งพลันเผยร่าง ทะยานลมล้อเมฆ จากนั้นก็เลื้อยคลานขึ้นมาบนหน้าผาสูงชัน กลับคืนสภาพมาเป็นเด็กชายชุดเขียวอีกครั้ง เขาเดินอาดๆ กลับมาที่เรือนไม้ไผ่ “คำพูดจริงใจฟังแล้วระคายหูเสมอ มิน่าเล่านับแต่โบราณมา ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ภักดีถึงมีจุดจบที่ดีได้ยาก…”

แล้วเสียงปังก็ดังขึ้นอีกครั้ง

ร่างของเด็กชายชุดเขียวลอยหวือไปอีกรอบ

ครั้งที่สองที่เขาย้อนกลับมายังยอดเขาก็เห็นว่ามีผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อ แต่กลับเปลือยเท้าเปล่ายืนอยู่บนชั้นที่สองของเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวรีบตะโกนโหวกเหวกทันที “เหล่าชุย ครั้งนี้ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!”

แล้วก็โดนฟาดร่วงกลับลงไปในหุบเหวอีกครั้ง

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเดินขึ้นมาเช็ดราวระเบียงของชั้นสองแล้ว นางรู้สึกฉงนฉงายเล็กน้อย

ผู้เฒ่าแซ่ชุยยิ้มบางๆ กล่าวว่า “โดนฟาดให้เจ็บๆ คันๆ จะได้จำไว้เป็นบทเรียน”

เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูไม่อาจโต้ตอบกลับไปได้ จึงไม่คิดจะขอร้องแทนเด็กชายชุดเขียวอีก

บนเส้นทางภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว เด็กชายชุดเขียวผรุสวาทพลางวิ่งตะบึงไปตลอดทาง

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+