กระบี่จงมา 425.1 ขี่กระบี่ไปเยือนทะเลเมฆ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 425.1 ขี่กระบี่ไปเยือนทะเลเมฆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ยามฟ้าสาง พวกเฉินผิงอันก็เก็บสัมภาระเตรียมออกจากจวนจื่อหยาง

หวงฉู่เจ้าประมุขและเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองสองคนมาส่งด้วยตัวเอง ส่งจนกระทั่งถึงริมตลิ่งลำคลองเถี่ยเชวี่ยน เทพลำคลองของศาลจีเซียงเตรียมเรือลำหนึ่งไว้ให้เรียบร้อยแล้ว จะเดินทางทางน้ำเลียบลำคลองไปร้อยกว่าลี้ก่อน แล้วค่อยขึ้นฝั่งที่ท่าเรือแห่งหนึ่งเพื่อเดินทางไปยังชายแดนแคว้นหวงถิงต่ออีกครั้ง

เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณหวงฉู่ หวงฉู่หยิบกล่องไม้ใบเล็กที่ทำจากไม้จื่อถานส่งกลิ่นหอมสดชื่นใบหนึ่งออกมา คือ ‘แท่นน้ำค้างหวาน’ สิ่งของตกแต่งชนิดหนึ่งที่มีชื่อเสียงของแคว้นหวงถิง บอกว่าเป็นน้ำใจจากบรรพจารย์

เผยเฉียนตีหน้าเคร่ง แสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่สนใจ

เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ยังรับกล่องที่บรรจุสมบัติสี่ชิ้นในหอเก็บสมบัติมาไว้ กล่าวว่า “วันหน้าหากเจ้าประมุขหวงเดินทางผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียนจะต้องไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วให้ได้”

จากนั้นเฉินผิงอันก็ทำท่ายกกล่องล้ำค่าใบนั้นขึ้น พูดสัพยอกว่า “ไม่มีของขวัญล้ำค่าเช่นนี้มอบให้ แล้วก็ไม่มีสุราเจียวเฒ่าน้ำลายสออย่างในงานเลี้ยงโถงเซวี่ยหมางให้ดื่ม มีเพียงอาหารพื้นบ้านธรรมดาๆ ข้าคาดว่าต่อให้เจ้าประมุขหวงเดินทางผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียนก็คงไม่ค่อยอยากจะแวะไปเยี่ยมหาข้าเท่าไหร่กระมัง”

หวงฉู่ยิ้มบางๆ “ขอแค่มีโอกาสได้ไปเยือนต้าหลี ต่อให้ไม่ผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียน ข้าก็จะต้องหาโอกาสอ้อมไปรบกวนคุณชายเฉินให้จงได้”

พูดคุยกันอย่างถูกคอไปตลอดทาง จนกระทั่งหวงฉู่พาพวกเฉินผิงอันไปส่งถึงเรือข้ามฟาก เดิมทีคิดว่าจะขึ้นเรือไปส่งถึงท่าเรือของลำคลองเถี่ยเชวี่ยน แต่เฉินผิงอันยืนกรานว่าไม่ต้อง หวงฉู่จึงต้องยอมล้มเลิกความคิด

ขึ้นเรือมาแล้ว เฉินผิงอันก็มายืนอยู่ตรงหัวเรือ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่บรรจุเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอซึ่งเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณไว้จนเต็ม เรือข้ามฟากขับเคลื่อนลงสู่ตอนล่างของลำคลองอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะไปทางตำหนักจื่อชี่

บนหลังคาหอเก็บสมบัติ ผู้ฝึกตนหญิงร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งร่ายใช้เวทอำพรางตา นางก็คืออู๋อี้ต้งหลิงเจินจวิน พอนางเห็นภาพนี้ก็คลี่ยิ้ม “เชิญเทพเจ้ามาง่าย แต่ส่งเทพเจ้ากลับไปก็ไม่เห็นจะยากสักเท่าไหร่นี่นา”

อารมณ์ของนางนับว่าไม่เลว

อู๋อี้ได้เล่าประสบการณ์ของสองวันที่ผ่านมานี้อย่างละเอียด แล้วให้กระบี่บินส่งไปยังภูเขาพีอวิ๋นเขตการปกครองหลงเฉวียน รายงานให้บิดาฟังอย่างไม่มีตกหล่นบกพร่อง

เชื่อว่าต่อให้ไม่ได้รับรางวัล อย่างน้อยก็คงไม่ถูกลงโทษ

ในสายตาของอู๋อี้ เรือข้ามฟากลำนั้นค่อยๆ เคลื่อนไปไกลจนเล็กเท่าเมล็ดงาเมล็ดหนึ่ง

หัวใจของอู๋อี้พลันหดเกร็ง ไม่กล้าขยับเขยื้อน

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้างกายของนางมีผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อท่าทางสุภาพอ่อนโยนมาปรากฏตัว เขาทำลายค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำของจวนจื่อหยางได้อย่างง่ายดาย มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายอู๋อี้อย่างเงียบเชียบเช่นนี้

อู๋อี้ทำจิตใจให้สงบ เอ่ยเบาๆ ว่า “บุตรอกตัญญูคารวะบิดา”

ที่แท้แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็คืออดีตรองเจ้ากรมการคลังของแคว้นหวงถิง รองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋นในปัจจุบัน ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานของชีวิต ไม่รู้ว่าเจียวเฒ่าตัวนี้เปลี่ยนนามแฝงมาแล้วกี่ครั้ง

ผู้เฒ่ามองอู๋อี้แล้วก็คลี่ยิ้มให้นางอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “เจ้ายิงธนูดอกเดียว แต่ได้นกถึงสามตัว ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้ามีไหวพริบเช่นนี้?”

อู๋อี้หวาดหวั่นไม่เป็นสุข ด้วยรู้สึกว่าบิดากำลังเหน็บแนม พูดจาแฝงความนัย เกรงว่านาทีถัดมาตนคงต้องประสบหายนะ จึงเกิดความคิดที่จะเผ่นหนีไปให้ไกลแล้ว

ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือมาวางบนราวระเบียง เอ่ยเนิบช้าว่า “เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นเอาความสามารถที่ไหนมาสร้างหายนะให้แก่เซียวหลวนแม่น้ำป๋ายกู่ การเดินทางไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างเอิกเกริกคราวนั้น ก็แค่ไปดื่มเหล้ากับงูน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น กว่าที่เด็กชายชุดเขียวแห่งภูเขาลั่วพั่วที่ตบหน้าตัวเองให้กลายเป็นคนอ้วน (เปรียบเปรยถึงคนที่หน้าใหญ่ใจโต/ไม่ประมาณตน) ผู้นั้นจะขอแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งมาให้สหายได้สำเร็จ ตอนนั้นก็ต้องวิ่งชนตอไปทั่วทิศ เหนื่อยยากเปลืองแรงอยู่มาก ในความเป็นจริงแล้วก็แค่เซียวหลวนกังวลจนเสียกระบวนไปเอง เหมือนคนเป็นโรคร้ายที่หาหมอส่งเดช ถึงได้ยอมลดศักดิ์ศรีของตัวเองมาสวามิภักดิ์ต่อจวนจื่อหยางของพวกเจ้า แต่การที่เซียวหลวนตัดใจละทิ้งความสัมพันธ์ควันธูปกับสกุลหงได้ก็นับว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง อุทิศตนเพื่อจวนจื่อหยาง นางมีแต่จะได้รับผลประโยชน์ ส่วนเจ้าก็สามารถนอนนับเงิน ต่างคนต่างก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน นี่คือข้อแรก”

ผู้เฒ่าแบฝ่ามือ ก้มหน้าลงมองแล้วส่ายหน้า จากนั้นจึงไพล่สองมือไว้ด้านหลัง เอ่ยต่อว่า “วิธีการที่เจ้าใช้ประจบเอาใจเฉินผิงอันเป็นวิธีชั้นต่ำเกินไป แข็งทื่อเกินไป โดยเฉพาะในงานเลี้ยงโถงเซวี่ยหมางที่ถึงขั้นคิดจะข่มเฉินผิงอัน แต่กลับเหมือนการเข้าผิดออกผิดบนกระดานหมากล้อมที่กลับกลายเป็นว่าล้ำเลิศ ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกดีต่อเจ้าขึ้นอีกไม่น้อย เพราะหากเจ้าเอาแต่แสดงออกว่ามีจิตใจที่ลึกล้ำ เฉินผิงอันก็มีแต่จะยิ่งระแวงเจ้ามากขึ้น รู้สึกกริ่งเกรงและคอยป้องกันเจ้ากับจวนจื่อหยางอยู่ตลอดเวลา ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจผูกความสัมพันธ์ในยุทธภพอะไรกันได้เลย จุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่ที่สายฝนซึ่งเดิมทีเจ้าคิดจะช่วยอำพรางตัวเซียวหลวน สร้างภาพลวงตาว่าเทพแห่งสายน้ำเกิดความรักผลิบาน คาดไม่ถึงว่าจะกลับกลายเป็นการมอบโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุดให้แก่เฉินผิงอัน หากไม่เป็นเพราะข้าจงใจระงับเอาไว้ เกรงว่าปรากฎการณ์ประหลาดของฟ้าดินต้องเอิกเกริกกว่านี้มากนัก ไม่เพียงแต่จวนจื่อหยาง แต่ทั้งลำคลองเถี่ยเชวี่ยน หรือแม้แต่ภูตผีปีศาจและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแม่น้ำป๋ายกู่ก็ล้วนเกิดใจขานรับ ได้รับผลบุญกันถ้วนหน้า คำกล่าวที่ว่าอริยะชอบภูเขาแต่ใกล้ชิดกับสายน้ำมากกว่ามีความรู้ยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ ดังนั้นการกระทำของเจ้าทำให้พ่อประหลาดใจอย่างมาก เป็นความประหลาดใจที่แฝงไว้ด้วยความยินดี นี่ก็คือข้อที่สอง”

ผู้เฒ่าหันหน้ามายิ้มให้ “ส่วนข้อสุดท้าย ครั้งนี้ที่บอกให้เจ้าเชิญเฉินผิงอันมาเป็นแขกในจวนจื่อหยาง เป็นแผนการของใต้เท้าราชครู ราชครูชุยบอกกับข้าอย่างชัดเจนว่าจะต้องทำให้การเดินทางกลับบ้านเกิดของเฉินผิงอันช้าลงกว่าเดิม ส่วนสิ่งที่ราชครูต้องการ เขาย่อมไม่เอามาพูดกับคนนอกอย่างข้า แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากรู้ มามีส่วนร่วมกับเรื่องพวกนี้ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าทั้งเจ้าและข้าจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรด้วย แต่คราวนี้เจ้าช่วยพ่อทำเรื่องนี้สำเร็จก็เท่ากับว่าพ่อช่วยเหลือราชครูชุยไปเล็กน้อย วันหน้าจวนจื่อหยางจะต้องได้รับรางวัลจากต้าหลีแน่นอน เจ้าก็รอฟังข่าวดีเถอะ”

นี่เป็นข่าวดีที่ใหญ่เทียมฟ้า เพียงแต่อู๋อี้อดรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวไม่ได้ ให้ตายนางก็นึกไม่ถึงว่าบิดาจะเฝ้ามองเรื่องตลกครั้งนี้มาตั้งแต่ต้นจนจบ

อู๋อี้ที่เวลานี้เผชิญหน้ากับเจียวเฒ่าในระเบียงของหอสูงคงจะรู้สึกพอๆ กับตอนที่ฮูหยินเซียวหลวนเผชิญหน้ากับอู๋อี้ในเรือนเล็กกระมัง

เจียวเฒ่าที่แต่งกายไม่ต่างจากปราชญ์ผู้รอบรู้แห่งโลกมนุษย์แบมือออกอีกครั้ง หัวคิ้วขมวดแน่น “นี่จะมองอะไรออกกันนะ?”

อู๋อี้แอบชำเลืองตามองมา

เห็นเพียงว่าบิดาใช้วิชาอภินิหารรวบรวมแก่นไอน้ำไอหมอกที่อยู่ท่ามกลางปราณวิญญาณฟ้าดินให้กลายเป็นหยดน้ำหลายเม็ดกลางฝ่ามือ คล้ายหยดน้ำที่ยังค้างอยู่บนใบบัวหลังจากฝนตก จากนั้นหยดน้ำทั้งหลายก็ระเบิดแตกอยู่กลางฝ่ามือของบิดาไปพร้อมๆ กัน กลายเป็นน้ำฝนหนึ่งกอง บิดาจ้องมองมันนิ่งๆ อยู่นาน ยังคงทำท่าทางฉงนไม่เข้าใจ ก่อนจะร่ายหยดน้ำหลายเม็ดขึ้นมาอีกครั้ง ในสายตาของอู๋อี้ ดูเหมือนว่าบิดาที่ความรู้ไม่เป็นรองอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อจะลังเลอยู่เล็กน้อย เขายื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมา เทหยดน้ำที่อยู่ในมือข้างเดิมลงไปยังมือข้างที่เพิ่งยื่นมา ทันใดนั้นอู๋อี้ก็เห็นว่ากลางฝ่ามือของบิดามีแสงทองเปล่งวาบหนึ่งครั้ง ไม่รอให้อู๋อี้เพ่งสายตามองให้ชัดๆ บิดาก็หุบมือกำเป็นหมัดอย่างว่องไว อู๋อี้จึงมองไม่เห็นภาพปรากฎการณ์กลางฝ่ามือของบิดาอีก

ผู้เฒ่าใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ พอคืนสติกลับมาก็ยิ้มกล่าวกับอู๋อี้ว่า “ไม่มีอะไรน่าดูหรอก”

อู๋อี้ย่อมไม่กล้าซักไซ้ไล่เรียงอยู่แล้ว

ผู้เฒ่าถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดสรรพชีวิตบนโลกถึงพากันแสวงหาเนื้อหนังมังสาของมนุษย์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย? ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าร่างกายของมนุษย์อ่อนแอถึงเพียงนั้น แม้แต่การกินอาหารเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดก็ยังกลายมาเป็นอุปสรรคในการฝึกตน ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณจึงพิถีพิถันเรื่องการหลีกเลี่ยงธัญพืชทั้งห้า ป้องกันไม่ให้กลิ่นเหม็นไปรบกวนจิตวิญญาณ ทำให้ลมปราณในครรภ์กระจัดกระจายจนไม่อาจเปลี่ยนจากคนแก่กลับคืนมาเป็นทารกที่เพิ่งก่อกำเนิดได้อีกครั้ง? หันกลับมามองเผ่าพันธุ์เจียวหลงอย่างพวกเราที่ได้รับความรักความเมตตาจากสวรรค์ ไม่เพียงแต่เกิดมาก็มีร่างกายและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง สติปัญญาก็ไม่ด้อยไปว่ามนุษย์เลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมเจ้าและข้าต่างก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยรูปลักษณ์ของมนุษย์?”

อู๋อี้รู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าเปิดปากพูดง่ายๆ เพราะเรื่องที่เกี่ยวกับช่องโพรงลมปราณของมนุษย์ หรือแม้แต่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลต่างก็กลายเป็นความรู้ทั่วไปของผู้ฝึกตนบนภูเขาและภูตผีปีศาจทั้งหมดมานานแล้ว ทว่าบิดาไม่มีทางพูดเรื่องไร้ประโยชน์เหล่านี้กับตนแน่นอน ถ้าเช่นนั้นความลี้ลับอยู่ที่ตรงใด?

ผู้เฒ่าไม่ได้ทำให้อู๋อี้ที่เป็นหนึ่งในทายาทซึ่งเหลืออยู่อีกไม่มากลำบากใจนานนัก “ความมหัศจรรย์นั้นอยู่ที่คำคำเดียว กลับคืน”

ผู้เฒ่ายื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดวงกลมหนึ่งวงกลางอากาศ

อู๋อี้จมสู่ภวังค์ของการครุ่นคิด

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เจ้าอายุยังน้อย มีประสบการณ์ทางโลกไม่มาก อย่าว่าแต่ทัศนียภาพของเมื่อสามพันปีก่อนเลย แม้แต่เมื่อหมื่นปีก่อน หากพ่อไม่เล่าให้เจ้าฟัง เจ้าจะไปหาคำตอบมาจากที่ไหน”

อู๋อี้สีหน้าเคร่งเครียด รู้ว่าบิดากำลังมอบโอกาสในการบรรลุมรรคาให้แก่ตน!

ขอบเขตโอสถทองของนางหยุดนิ่งไม่ขยับเคลื่อนมาสามร้อยกว่าปีแล้ว วิชานอกรีตที่สามารถทำให้ผู้ฝึกตนเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดได้นั้น ในฐานะที่นางเป็นทายาทของเผ่าพันธุ์เจียวหลง เมื่อฝึกฝนมันขึ้นมา ไม่เพียงแต่ไม่เหนื่อยน้อยได้ผลสำเร็จมาก กลับกันยังมีแต่อุปสรรคติดขัด กว่าจะอาศัยความพยายามมุมานะจนเลื่อนเป็นโอสถทองขั้นสูงสุดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าร้อยกว่าปีหลังจากครั้งนั้นเป็นต้นมา คอขวดของโอสถทองที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยก็ทำให้นางสิ้นหวังยิ่งนัก

ผู้เฒ่าเงยหน้ามองม่านฟ้า “เจ้าไม่สงสัยบ้างเลยหรือว่าคนธรรมดามากมายที่อยู่ในสามลัทธิ เมธีร้อยสำนักและสามใต้หล้าของทุกวันนี้ มาจากที่ไหน? แล้วทำไมถึงต้องมา? สุดท้ายกลายมาเป็นเจ้าของใต้หล้าได้อย่างไร? อืม ข้อสุดท้ายนี่ในป่าเขามีข่าวลืออยู่มากมาย บ้างก็อยู่ใกล้ความจริง บ้างก็อยู่ไกลห่างออกไป เจ้าอาจจะพอเข้าใจเรื่องวงในส่วนหนึ่งได้คร่าวๆ”

อู๋อี้พยักหน้ารับ

เมื่อสามพันปีก่อน มังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายของโลกหนีออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อาศัยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่สามารถควบคุมชะตาน้ำในตอนนั้นเลือกไปขึ้นฝั่งที่นครมังกรเฒ่าทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป ระหว่างนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงร่วงลงไปยังใต้ผืนแผ่นดินใหญ่ ลอดทะลุทะลวงอยู่ใต้ดินจนเกิดเป็นเส้นทางมังกรเดินสายหนึ่ง จนกระทั่งถูกผู้ฝึกตนใหญ่ไม่ทราบชื่อแซ่คนหนึ่งใช้วิชาสยบขุนเขาซึ่งในปัจจุบันหายสาบสูญไปแล้วกำราบ จำต้องแหวกทะลุดินออกมา ก่อนจะตาย มังกรที่แท้จริงตัวนั้นเลือกทิ้งกายลงใกล้กับบริเวณของถ้ำสวรรค์หลีจูที่ปรากฎในภายหลัง แล้วก็ตายไปทั้งอย่างนั้น ผู้ฝึกตนใหญ่ใช้เวทลับสร้างถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้นขึ้นมา มันจึงเป็นดั่งไข่มุกเม็ดหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือราชวงศ์ต้าหลี

ผู้เฒ่าถอนหายใจ “ความสามารถในการตื่นรู้ของเจ้านี้ ช่างย่ำแย่ซะจริง”

อู๋อี้รู้สึกน้อยใจนิดๆ

ผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เปลี่ยนจวนจื่อหยางให้กลายเป็นฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งในฉับพลัน แล้วจึงหยิบเอาเรือตระกูลเซียนลำเล็กที่ปีนั้นเขาเคยล่องเรือไปเยือนม่านฟ้าดาวดารดาษออกมา ก้าวขึ้นไปในเรือไม้ก่อน บอกเป็นนัยให้อู๋อี้ก้าวตามมา แล้วถึงกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเคยปรากฏขึ้นในโลก คืออะไร?”

อู๋อี้กล่าวอย่างขลาดๆ “บรรพจารย์ของสามลัทธิ? แล้วก็ยังมีเหล่าผู้อาวุโสใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่ไม่ยินดีเผยกายบนโลก? ฝ่ายแรกขอแค่อยู่ในฟ้าดินของตัวเองก็จะไม่ต่างจากเทพเทวดาบนสรรค์ ส่วนฝ่ายหลัง ถึงอย่างไรก็หลุดพ้นจากขอบเขตของการแบ่งแยกระดับสูงต่ำทั้งหลายไปแล้ว และก็มีวิชาเซียนอภินิหารอันน่าเหลือเชื่อ…”

ผู้เฒ่าไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เขาชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่งของลำคลองเถี่ยเชวี่ยนอย่างไม่ใส่ใจ ยิ้มกล่าวว่า “ศาลจีเซียง ศาลเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่ห่างไป ขยับไปไกลอีกนิดก็คือจวนแม่น้ำหันสือของน้องชายเจ้า รวมไปถึงศาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาที่อยู่รอบด้าน มีอะไรที่เหมือนกัน? ช่างเถิด ข้าพูดตรงๆ เลยดีกว่า ด้วยสมองนี้ของเจ้า กว่าเจ้าจะได้คำตอบก็คงต้องสิ้นเปลืองปราญวิญญาณที่ข้าสะสมมาอย่างเสียเปล่า ข้อที่เหมือนกันก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาในสายตาของคนบนโลกเหล่านี้ ขอแค่มีศาลแล้วก็ต้องสร้างร่างทอง ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่คุณสมบัติในการฝึกตนของเจ้าจะย่ำแย่แค่ไหน หากกลายมาเป็นองค์เทพที่มีร่างทองได้ นั่นก็เรียกว่าเดินขึ้นสวรรค์ในก้าวเดียว หลังจากนั้นยังต้องฝึกตนอีกไหม? ก็แค่กินควันธูปเท่านั้น ยิ่งกินมากเท่าไหร่ตบะก็ยิ่งสูง ความเร็วในการเสื่อมสภาพของร่างทองก็ยิ่งช้าลง วิธีนี้กับการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณคือเส้นทางใหญ่สองเส้น ดังนั้นนี่จึงเรียกว่าเทพเซียนมีความต่าง เมื่อทำได้แล้วค่อยหันกลับมาพูดถึงคำว่ากลับคืนอีกครั้ง เข้าใจแล้วหรือยัง?”

อู๋อี้ส่ายหน้า “ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างสะท้อนใจ “หากวันใดที่เจ้าหายเข้ากลีบเมฆไปก็คงเพราะโง่จนตายแน่ๆ รู้หรือไม่ว่าเหตุใดเพื่อเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดเหมือนกันแล้ว น้องชายของเจ้าถึงได้อำมหิตต่อตัวเองมากกว่าเจ้า ยอมสละวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตมากมายของเผ่าพันธ์เจียวหลง ทำให้ตัวเองกลายเป็นเทพวารีของแม่น้ำสายหนึ่งที่ถูกพันธนาการมือเท้า?”

ดวงตาอู๋อี้เป็นประกาย “หากพวกเราอยาก ‘กลับคืน’ สู่ทารกก่อกำเนิด ก็ต้องกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์?”

ผู้เฒ่าใช้สายตาเวทนามองบุตรสาวคนนี้ เขาเริ่มรู้สึกหมดอารมณ์จะพูดคุย สมกับเป็นไม้ผุที่มิอาจแกะสลักจริงๆ “ทิศทางของน้องชายเจ้านั้นถูกต้องแล้ว เพียงแต่ว่าสุดโต่งเกินไป กลายเป็นว่าตัดขาดมหามรรคาของเผ่าพันธ์เจียวหลงไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นข้าจึงหมดหวังกับเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางมาพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า เจ้าตั้งใจศึกษาวิชานอกรีต ยืมหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยก ก็ถือว่าทำถูกเหมือนกัน เพียงแต่ยังไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เดินยังไม่ไกลมากพอ แต่จะดีจะชั่วเจ้าก็ยังพอมีโอกาสเหลืออีกเสี้ยวหนึ่ง”

ผู้เฒ่ายื่นนิ้วมือข้างหนึ่งออกมาเคาะราวระเบียง “ไม่ใช่สองฝั่ง แต่อยู่ตรงนี้ อยู่ระหว่างเทพและคน นี่จึงจะเป็นรากฐานมหามรรคาที่สอดคล้องกับเผ่าพันธ์เจียวหลงมากที่สุด นี่ก็คือขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของบรรพบุรุษพวกเราเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ช่วงเวลานั้นเจียวหลงปกครองห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรในใต้หล้า ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ลำคลอง ลำธาร ทุกสถานที่ที่มีน้ำล้วนเป็นอาณาเขตของพวกเรา เพียงแต่น้องชายของเจ้าฉลาดเกินจนเสียรู้ เข้าใจผิดคิดว่าการ ‘แต่งตั้ง’ ตามระบบที่ถูกต้องของวิถีเทพไม่แตกต่างจากการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ของราชสำนักในทุกวันนี้ คิดอย่างนั้นก็คือไร้ทางเยียวยาแล้ว นี่ทำให้เขาเดินไปบนทางแยกสายนั้น เพียงแต่ทุกวันนี้กฎเกณฑ์ของฟ้าดินเปลี่ยนไป ส่งผลกระทบต่อพวกเรามาก เพราะหายนะนองเลือดของปีนั้น พวกเราจึงถูกมหามรรคาที่มองไม่เห็นรังเกียจเดียดฉันท์ ดังนั้นการเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดจึงลำบากแสนเข็ญ…”

ในที่สุดอู๋อี้ก็อดไม่ไหวถามว่า “ท่านพ่อ ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าควรจะฝึกตนอย่างไรถึงจะเป็นก่อกำเนิดได้ ท่านพูดกับลูกมาตรงๆ เถอะ!”

ผู้เฒ่าหัวเราะ ย้อนถามว่า “เจ้ากับข้าคือพ่อลูกกัน เจ้าก็เลยรู้สึกว่าเจ้าฝึกตน ข้าถ่ายทอดวิชา เป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว?”

อู๋อี้รู้สึกเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ รู้สึกว่าอีกเดี๋ยวตนต้องเจ็บตัวแน่

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 425.1 ขี่กระบี่ไปเยือนทะเลเมฆ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 425.1 ขี่กระบี่ไปเยือนทะเลเมฆ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ยามฟ้าสาง พวกเฉินผิงอันก็เก็บสัมภาระเตรียมออกจากจวนจื่อหยาง

หวงฉู่เจ้าประมุขและเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองสองคนมาส่งด้วยตัวเอง ส่งจนกระทั่งถึงริมตลิ่งลำคลองเถี่ยเชวี่ยน เทพลำคลองของศาลจีเซียงเตรียมเรือลำหนึ่งไว้ให้เรียบร้อยแล้ว จะเดินทางทางน้ำเลียบลำคลองไปร้อยกว่าลี้ก่อน แล้วค่อยขึ้นฝั่งที่ท่าเรือแห่งหนึ่งเพื่อเดินทางไปยังชายแดนแคว้นหวงถิงต่ออีกครั้ง

เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณหวงฉู่ หวงฉู่หยิบกล่องไม้ใบเล็กที่ทำจากไม้จื่อถานส่งกลิ่นหอมสดชื่นใบหนึ่งออกมา คือ ‘แท่นน้ำค้างหวาน’ สิ่งของตกแต่งชนิดหนึ่งที่มีชื่อเสียงของแคว้นหวงถิง บอกว่าเป็นน้ำใจจากบรรพจารย์

เผยเฉียนตีหน้าเคร่ง แสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่สนใจ

เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ยังรับกล่องที่บรรจุสมบัติสี่ชิ้นในหอเก็บสมบัติมาไว้ กล่าวว่า “วันหน้าหากเจ้าประมุขหวงเดินทางผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียนจะต้องไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วให้ได้”

จากนั้นเฉินผิงอันก็ทำท่ายกกล่องล้ำค่าใบนั้นขึ้น พูดสัพยอกว่า “ไม่มีของขวัญล้ำค่าเช่นนี้มอบให้ แล้วก็ไม่มีสุราเจียวเฒ่าน้ำลายสออย่างในงานเลี้ยงโถงเซวี่ยหมางให้ดื่ม มีเพียงอาหารพื้นบ้านธรรมดาๆ ข้าคาดว่าต่อให้เจ้าประมุขหวงเดินทางผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียนก็คงไม่ค่อยอยากจะแวะไปเยี่ยมหาข้าเท่าไหร่กระมัง”

หวงฉู่ยิ้มบางๆ “ขอแค่มีโอกาสได้ไปเยือนต้าหลี ต่อให้ไม่ผ่านเขตการปกครองหลงเฉวียน ข้าก็จะต้องหาโอกาสอ้อมไปรบกวนคุณชายเฉินให้จงได้”

พูดคุยกันอย่างถูกคอไปตลอดทาง จนกระทั่งหวงฉู่พาพวกเฉินผิงอันไปส่งถึงเรือข้ามฟาก เดิมทีคิดว่าจะขึ้นเรือไปส่งถึงท่าเรือของลำคลองเถี่ยเชวี่ยน แต่เฉินผิงอันยืนกรานว่าไม่ต้อง หวงฉู่จึงต้องยอมล้มเลิกความคิด

ขึ้นเรือมาแล้ว เฉินผิงอันก็มายืนอยู่ตรงหัวเรือ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่บรรจุเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอซึ่งเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณไว้จนเต็ม เรือข้ามฟากขับเคลื่อนลงสู่ตอนล่างของลำคลองอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะไปทางตำหนักจื่อชี่

บนหลังคาหอเก็บสมบัติ ผู้ฝึกตนหญิงร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งร่ายใช้เวทอำพรางตา นางก็คืออู๋อี้ต้งหลิงเจินจวิน พอนางเห็นภาพนี้ก็คลี่ยิ้ม “เชิญเทพเจ้ามาง่าย แต่ส่งเทพเจ้ากลับไปก็ไม่เห็นจะยากสักเท่าไหร่นี่นา”

อารมณ์ของนางนับว่าไม่เลว

อู๋อี้ได้เล่าประสบการณ์ของสองวันที่ผ่านมานี้อย่างละเอียด แล้วให้กระบี่บินส่งไปยังภูเขาพีอวิ๋นเขตการปกครองหลงเฉวียน รายงานให้บิดาฟังอย่างไม่มีตกหล่นบกพร่อง

เชื่อว่าต่อให้ไม่ได้รับรางวัล อย่างน้อยก็คงไม่ถูกลงโทษ

ในสายตาของอู๋อี้ เรือข้ามฟากลำนั้นค่อยๆ เคลื่อนไปไกลจนเล็กเท่าเมล็ดงาเมล็ดหนึ่ง

หัวใจของอู๋อี้พลันหดเกร็ง ไม่กล้าขยับเขยื้อน

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้างกายของนางมีผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อท่าทางสุภาพอ่อนโยนมาปรากฏตัว เขาทำลายค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำของจวนจื่อหยางได้อย่างง่ายดาย มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายอู๋อี้อย่างเงียบเชียบเช่นนี้

อู๋อี้ทำจิตใจให้สงบ เอ่ยเบาๆ ว่า “บุตรอกตัญญูคารวะบิดา”

ที่แท้แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็คืออดีตรองเจ้ากรมการคลังของแคว้นหวงถิง รองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋นในปัจจุบัน ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานของชีวิต ไม่รู้ว่าเจียวเฒ่าตัวนี้เปลี่ยนนามแฝงมาแล้วกี่ครั้ง

ผู้เฒ่ามองอู๋อี้แล้วก็คลี่ยิ้มให้นางอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “เจ้ายิงธนูดอกเดียว แต่ได้นกถึงสามตัว ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้ามีไหวพริบเช่นนี้?”

อู๋อี้หวาดหวั่นไม่เป็นสุข ด้วยรู้สึกว่าบิดากำลังเหน็บแนม พูดจาแฝงความนัย เกรงว่านาทีถัดมาตนคงต้องประสบหายนะ จึงเกิดความคิดที่จะเผ่นหนีไปให้ไกลแล้ว

ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือมาวางบนราวระเบียง เอ่ยเนิบช้าว่า “เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นเอาความสามารถที่ไหนมาสร้างหายนะให้แก่เซียวหลวนแม่น้ำป๋ายกู่ การเดินทางไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างเอิกเกริกคราวนั้น ก็แค่ไปดื่มเหล้ากับงูน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น กว่าที่เด็กชายชุดเขียวแห่งภูเขาลั่วพั่วที่ตบหน้าตัวเองให้กลายเป็นคนอ้วน (เปรียบเปรยถึงคนที่หน้าใหญ่ใจโต/ไม่ประมาณตน) ผู้นั้นจะขอแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยแผ่นหนึ่งมาให้สหายได้สำเร็จ ตอนนั้นก็ต้องวิ่งชนตอไปทั่วทิศ เหนื่อยยากเปลืองแรงอยู่มาก ในความเป็นจริงแล้วก็แค่เซียวหลวนกังวลจนเสียกระบวนไปเอง เหมือนคนเป็นโรคร้ายที่หาหมอส่งเดช ถึงได้ยอมลดศักดิ์ศรีของตัวเองมาสวามิภักดิ์ต่อจวนจื่อหยางของพวกเจ้า แต่การที่เซียวหลวนตัดใจละทิ้งความสัมพันธ์ควันธูปกับสกุลหงได้ก็นับว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง อุทิศตนเพื่อจวนจื่อหยาง นางมีแต่จะได้รับผลประโยชน์ ส่วนเจ้าก็สามารถนอนนับเงิน ต่างคนต่างก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน นี่คือข้อแรก”

ผู้เฒ่าแบฝ่ามือ ก้มหน้าลงมองแล้วส่ายหน้า จากนั้นจึงไพล่สองมือไว้ด้านหลัง เอ่ยต่อว่า “วิธีการที่เจ้าใช้ประจบเอาใจเฉินผิงอันเป็นวิธีชั้นต่ำเกินไป แข็งทื่อเกินไป โดยเฉพาะในงานเลี้ยงโถงเซวี่ยหมางที่ถึงขั้นคิดจะข่มเฉินผิงอัน แต่กลับเหมือนการเข้าผิดออกผิดบนกระดานหมากล้อมที่กลับกลายเป็นว่าล้ำเลิศ ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกดีต่อเจ้าขึ้นอีกไม่น้อย เพราะหากเจ้าเอาแต่แสดงออกว่ามีจิตใจที่ลึกล้ำ เฉินผิงอันก็มีแต่จะยิ่งระแวงเจ้ามากขึ้น รู้สึกกริ่งเกรงและคอยป้องกันเจ้ากับจวนจื่อหยางอยู่ตลอดเวลา ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจผูกความสัมพันธ์ในยุทธภพอะไรกันได้เลย จุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่ที่สายฝนซึ่งเดิมทีเจ้าคิดจะช่วยอำพรางตัวเซียวหลวน สร้างภาพลวงตาว่าเทพแห่งสายน้ำเกิดความรักผลิบาน คาดไม่ถึงว่าจะกลับกลายเป็นการมอบโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุดให้แก่เฉินผิงอัน หากไม่เป็นเพราะข้าจงใจระงับเอาไว้ เกรงว่าปรากฎการณ์ประหลาดของฟ้าดินต้องเอิกเกริกกว่านี้มากนัก ไม่เพียงแต่จวนจื่อหยาง แต่ทั้งลำคลองเถี่ยเชวี่ยน หรือแม้แต่ภูตผีปีศาจและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแม่น้ำป๋ายกู่ก็ล้วนเกิดใจขานรับ ได้รับผลบุญกันถ้วนหน้า คำกล่าวที่ว่าอริยะชอบภูเขาแต่ใกล้ชิดกับสายน้ำมากกว่ามีความรู้ยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ ดังนั้นการกระทำของเจ้าทำให้พ่อประหลาดใจอย่างมาก เป็นความประหลาดใจที่แฝงไว้ด้วยความยินดี นี่ก็คือข้อที่สอง”

ผู้เฒ่าหันหน้ามายิ้มให้ “ส่วนข้อสุดท้าย ครั้งนี้ที่บอกให้เจ้าเชิญเฉินผิงอันมาเป็นแขกในจวนจื่อหยาง เป็นแผนการของใต้เท้าราชครู ราชครูชุยบอกกับข้าอย่างชัดเจนว่าจะต้องทำให้การเดินทางกลับบ้านเกิดของเฉินผิงอันช้าลงกว่าเดิม ส่วนสิ่งที่ราชครูต้องการ เขาย่อมไม่เอามาพูดกับคนนอกอย่างข้า แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่อยากรู้ มามีส่วนร่วมกับเรื่องพวกนี้ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าทั้งเจ้าและข้าจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรด้วย แต่คราวนี้เจ้าช่วยพ่อทำเรื่องนี้สำเร็จก็เท่ากับว่าพ่อช่วยเหลือราชครูชุยไปเล็กน้อย วันหน้าจวนจื่อหยางจะต้องได้รับรางวัลจากต้าหลีแน่นอน เจ้าก็รอฟังข่าวดีเถอะ”

นี่เป็นข่าวดีที่ใหญ่เทียมฟ้า เพียงแต่อู๋อี้อดรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวไม่ได้ ให้ตายนางก็นึกไม่ถึงว่าบิดาจะเฝ้ามองเรื่องตลกครั้งนี้มาตั้งแต่ต้นจนจบ

อู๋อี้ที่เวลานี้เผชิญหน้ากับเจียวเฒ่าในระเบียงของหอสูงคงจะรู้สึกพอๆ กับตอนที่ฮูหยินเซียวหลวนเผชิญหน้ากับอู๋อี้ในเรือนเล็กกระมัง

เจียวเฒ่าที่แต่งกายไม่ต่างจากปราชญ์ผู้รอบรู้แห่งโลกมนุษย์แบมือออกอีกครั้ง หัวคิ้วขมวดแน่น “นี่จะมองอะไรออกกันนะ?”

อู๋อี้แอบชำเลืองตามองมา

เห็นเพียงว่าบิดาใช้วิชาอภินิหารรวบรวมแก่นไอน้ำไอหมอกที่อยู่ท่ามกลางปราณวิญญาณฟ้าดินให้กลายเป็นหยดน้ำหลายเม็ดกลางฝ่ามือ คล้ายหยดน้ำที่ยังค้างอยู่บนใบบัวหลังจากฝนตก จากนั้นหยดน้ำทั้งหลายก็ระเบิดแตกอยู่กลางฝ่ามือของบิดาไปพร้อมๆ กัน กลายเป็นน้ำฝนหนึ่งกอง บิดาจ้องมองมันนิ่งๆ อยู่นาน ยังคงทำท่าทางฉงนไม่เข้าใจ ก่อนจะร่ายหยดน้ำหลายเม็ดขึ้นมาอีกครั้ง ในสายตาของอู๋อี้ ดูเหมือนว่าบิดาที่ความรู้ไม่เป็นรองอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อจะลังเลอยู่เล็กน้อย เขายื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมา เทหยดน้ำที่อยู่ในมือข้างเดิมลงไปยังมือข้างที่เพิ่งยื่นมา ทันใดนั้นอู๋อี้ก็เห็นว่ากลางฝ่ามือของบิดามีแสงทองเปล่งวาบหนึ่งครั้ง ไม่รอให้อู๋อี้เพ่งสายตามองให้ชัดๆ บิดาก็หุบมือกำเป็นหมัดอย่างว่องไว อู๋อี้จึงมองไม่เห็นภาพปรากฎการณ์กลางฝ่ามือของบิดาอีก

ผู้เฒ่าใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ พอคืนสติกลับมาก็ยิ้มกล่าวกับอู๋อี้ว่า “ไม่มีอะไรน่าดูหรอก”

อู๋อี้ย่อมไม่กล้าซักไซ้ไล่เรียงอยู่แล้ว

ผู้เฒ่าถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดสรรพชีวิตบนโลกถึงพากันแสวงหาเนื้อหนังมังสาของมนุษย์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย? ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าร่างกายของมนุษย์อ่อนแอถึงเพียงนั้น แม้แต่การกินอาหารเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดก็ยังกลายมาเป็นอุปสรรคในการฝึกตน ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณจึงพิถีพิถันเรื่องการหลีกเลี่ยงธัญพืชทั้งห้า ป้องกันไม่ให้กลิ่นเหม็นไปรบกวนจิตวิญญาณ ทำให้ลมปราณในครรภ์กระจัดกระจายจนไม่อาจเปลี่ยนจากคนแก่กลับคืนมาเป็นทารกที่เพิ่งก่อกำเนิดได้อีกครั้ง? หันกลับมามองเผ่าพันธุ์เจียวหลงอย่างพวกเราที่ได้รับความรักความเมตตาจากสวรรค์ ไม่เพียงแต่เกิดมาก็มีร่างกายและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง สติปัญญาก็ไม่ด้อยไปว่ามนุษย์เลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมเจ้าและข้าต่างก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยรูปลักษณ์ของมนุษย์?”

อู๋อี้รู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าเปิดปากพูดง่ายๆ เพราะเรื่องที่เกี่ยวกับช่องโพรงลมปราณของมนุษย์ หรือแม้แต่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลต่างก็กลายเป็นความรู้ทั่วไปของผู้ฝึกตนบนภูเขาและภูตผีปีศาจทั้งหมดมานานแล้ว ทว่าบิดาไม่มีทางพูดเรื่องไร้ประโยชน์เหล่านี้กับตนแน่นอน ถ้าเช่นนั้นความลี้ลับอยู่ที่ตรงใด?

ผู้เฒ่าไม่ได้ทำให้อู๋อี้ที่เป็นหนึ่งในทายาทซึ่งเหลืออยู่อีกไม่มากลำบากใจนานนัก “ความมหัศจรรย์นั้นอยู่ที่คำคำเดียว กลับคืน”

ผู้เฒ่ายื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดวงกลมหนึ่งวงกลางอากาศ

อู๋อี้จมสู่ภวังค์ของการครุ่นคิด

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เจ้าอายุยังน้อย มีประสบการณ์ทางโลกไม่มาก อย่าว่าแต่ทัศนียภาพของเมื่อสามพันปีก่อนเลย แม้แต่เมื่อหมื่นปีก่อน หากพ่อไม่เล่าให้เจ้าฟัง เจ้าจะไปหาคำตอบมาจากที่ไหน”

อู๋อี้สีหน้าเคร่งเครียด รู้ว่าบิดากำลังมอบโอกาสในการบรรลุมรรคาให้แก่ตน!

ขอบเขตโอสถทองของนางหยุดนิ่งไม่ขยับเคลื่อนมาสามร้อยกว่าปีแล้ว วิชานอกรีตที่สามารถทำให้ผู้ฝึกตนเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดได้นั้น ในฐานะที่นางเป็นทายาทของเผ่าพันธุ์เจียวหลง เมื่อฝึกฝนมันขึ้นมา ไม่เพียงแต่ไม่เหนื่อยน้อยได้ผลสำเร็จมาก กลับกันยังมีแต่อุปสรรคติดขัด กว่าจะอาศัยความพยายามมุมานะจนเลื่อนเป็นโอสถทองขั้นสูงสุดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าร้อยกว่าปีหลังจากครั้งนั้นเป็นต้นมา คอขวดของโอสถทองที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยก็ทำให้นางสิ้นหวังยิ่งนัก

ผู้เฒ่าเงยหน้ามองม่านฟ้า “เจ้าไม่สงสัยบ้างเลยหรือว่าคนธรรมดามากมายที่อยู่ในสามลัทธิ เมธีร้อยสำนักและสามใต้หล้าของทุกวันนี้ มาจากที่ไหน? แล้วทำไมถึงต้องมา? สุดท้ายกลายมาเป็นเจ้าของใต้หล้าได้อย่างไร? อืม ข้อสุดท้ายนี่ในป่าเขามีข่าวลืออยู่มากมาย บ้างก็อยู่ใกล้ความจริง บ้างก็อยู่ไกลห่างออกไป เจ้าอาจจะพอเข้าใจเรื่องวงในส่วนหนึ่งได้คร่าวๆ”

อู๋อี้พยักหน้ารับ

เมื่อสามพันปีก่อน มังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายของโลกหนีออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อาศัยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่สามารถควบคุมชะตาน้ำในตอนนั้นเลือกไปขึ้นฝั่งที่นครมังกรเฒ่าทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีป ระหว่างนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงร่วงลงไปยังใต้ผืนแผ่นดินใหญ่ ลอดทะลุทะลวงอยู่ใต้ดินจนเกิดเป็นเส้นทางมังกรเดินสายหนึ่ง จนกระทั่งถูกผู้ฝึกตนใหญ่ไม่ทราบชื่อแซ่คนหนึ่งใช้วิชาสยบขุนเขาซึ่งในปัจจุบันหายสาบสูญไปแล้วกำราบ จำต้องแหวกทะลุดินออกมา ก่อนจะตาย มังกรที่แท้จริงตัวนั้นเลือกทิ้งกายลงใกล้กับบริเวณของถ้ำสวรรค์หลีจูที่ปรากฎในภายหลัง แล้วก็ตายไปทั้งอย่างนั้น ผู้ฝึกตนใหญ่ใช้เวทลับสร้างถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนั้นขึ้นมา มันจึงเป็นดั่งไข่มุกเม็ดหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือราชวงศ์ต้าหลี

ผู้เฒ่าถอนหายใจ “ความสามารถในการตื่นรู้ของเจ้านี้ ช่างย่ำแย่ซะจริง”

อู๋อี้รู้สึกน้อยใจนิดๆ

ผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เปลี่ยนจวนจื่อหยางให้กลายเป็นฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งในฉับพลัน แล้วจึงหยิบเอาเรือตระกูลเซียนลำเล็กที่ปีนั้นเขาเคยล่องเรือไปเยือนม่านฟ้าดาวดารดาษออกมา ก้าวขึ้นไปในเรือไม้ก่อน บอกเป็นนัยให้อู๋อี้ก้าวตามมา แล้วถึงกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเคยปรากฏขึ้นในโลก คืออะไร?”

อู๋อี้กล่าวอย่างขลาดๆ “บรรพจารย์ของสามลัทธิ? แล้วก็ยังมีเหล่าผู้อาวุโสใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่ไม่ยินดีเผยกายบนโลก? ฝ่ายแรกขอแค่อยู่ในฟ้าดินของตัวเองก็จะไม่ต่างจากเทพเทวดาบนสรรค์ ส่วนฝ่ายหลัง ถึงอย่างไรก็หลุดพ้นจากขอบเขตของการแบ่งแยกระดับสูงต่ำทั้งหลายไปแล้ว และก็มีวิชาเซียนอภินิหารอันน่าเหลือเชื่อ…”

ผู้เฒ่าไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เขาชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่งของลำคลองเถี่ยเชวี่ยนอย่างไม่ใส่ใจ ยิ้มกล่าวว่า “ศาลจีเซียง ศาลเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่ห่างไป ขยับไปไกลอีกนิดก็คือจวนแม่น้ำหันสือของน้องชายเจ้า รวมไปถึงศาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาที่อยู่รอบด้าน มีอะไรที่เหมือนกัน? ช่างเถิด ข้าพูดตรงๆ เลยดีกว่า ด้วยสมองนี้ของเจ้า กว่าเจ้าจะได้คำตอบก็คงต้องสิ้นเปลืองปราญวิญญาณที่ข้าสะสมมาอย่างเสียเปล่า ข้อที่เหมือนกันก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาในสายตาของคนบนโลกเหล่านี้ ขอแค่มีศาลแล้วก็ต้องสร้างร่างทอง ต่อให้ตอนมีชีวิตอยู่คุณสมบัติในการฝึกตนของเจ้าจะย่ำแย่แค่ไหน หากกลายมาเป็นองค์เทพที่มีร่างทองได้ นั่นก็เรียกว่าเดินขึ้นสวรรค์ในก้าวเดียว หลังจากนั้นยังต้องฝึกตนอีกไหม? ก็แค่กินควันธูปเท่านั้น ยิ่งกินมากเท่าไหร่ตบะก็ยิ่งสูง ความเร็วในการเสื่อมสภาพของร่างทองก็ยิ่งช้าลง วิธีนี้กับการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณคือเส้นทางใหญ่สองเส้น ดังนั้นนี่จึงเรียกว่าเทพเซียนมีความต่าง เมื่อทำได้แล้วค่อยหันกลับมาพูดถึงคำว่ากลับคืนอีกครั้ง เข้าใจแล้วหรือยัง?”

อู๋อี้ส่ายหน้า “ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างสะท้อนใจ “หากวันใดที่เจ้าหายเข้ากลีบเมฆไปก็คงเพราะโง่จนตายแน่ๆ รู้หรือไม่ว่าเหตุใดเพื่อเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดเหมือนกันแล้ว น้องชายของเจ้าถึงได้อำมหิตต่อตัวเองมากกว่าเจ้า ยอมสละวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตมากมายของเผ่าพันธ์เจียวหลง ทำให้ตัวเองกลายเป็นเทพวารีของแม่น้ำสายหนึ่งที่ถูกพันธนาการมือเท้า?”

ดวงตาอู๋อี้เป็นประกาย “หากพวกเราอยาก ‘กลับคืน’ สู่ทารกก่อกำเนิด ก็ต้องกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์?”

ผู้เฒ่าใช้สายตาเวทนามองบุตรสาวคนนี้ เขาเริ่มรู้สึกหมดอารมณ์จะพูดคุย สมกับเป็นไม้ผุที่มิอาจแกะสลักจริงๆ “ทิศทางของน้องชายเจ้านั้นถูกต้องแล้ว เพียงแต่ว่าสุดโต่งเกินไป กลายเป็นว่าตัดขาดมหามรรคาของเผ่าพันธ์เจียวหลงไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นข้าจึงหมดหวังกับเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางมาพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า เจ้าตั้งใจศึกษาวิชานอกรีต ยืมหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยก ก็ถือว่าทำถูกเหมือนกัน เพียงแต่ยังไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เดินยังไม่ไกลมากพอ แต่จะดีจะชั่วเจ้าก็ยังพอมีโอกาสเหลืออีกเสี้ยวหนึ่ง”

ผู้เฒ่ายื่นนิ้วมือข้างหนึ่งออกมาเคาะราวระเบียง “ไม่ใช่สองฝั่ง แต่อยู่ตรงนี้ อยู่ระหว่างเทพและคน นี่จึงจะเป็นรากฐานมหามรรคาที่สอดคล้องกับเผ่าพันธ์เจียวหลงมากที่สุด นี่ก็คือขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของบรรพบุรุษพวกเราเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ช่วงเวลานั้นเจียวหลงปกครองห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรในใต้หล้า ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ลำคลอง ลำธาร ทุกสถานที่ที่มีน้ำล้วนเป็นอาณาเขตของพวกเรา เพียงแต่น้องชายของเจ้าฉลาดเกินจนเสียรู้ เข้าใจผิดคิดว่าการ ‘แต่งตั้ง’ ตามระบบที่ถูกต้องของวิถีเทพไม่แตกต่างจากการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ของราชสำนักในทุกวันนี้ คิดอย่างนั้นก็คือไร้ทางเยียวยาแล้ว นี่ทำให้เขาเดินไปบนทางแยกสายนั้น เพียงแต่ทุกวันนี้กฎเกณฑ์ของฟ้าดินเปลี่ยนไป ส่งผลกระทบต่อพวกเรามาก เพราะหายนะนองเลือดของปีนั้น พวกเราจึงถูกมหามรรคาที่มองไม่เห็นรังเกียจเดียดฉันท์ ดังนั้นการเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดจึงลำบากแสนเข็ญ…”

ในที่สุดอู๋อี้ก็อดไม่ไหวถามว่า “ท่านพ่อ ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าควรจะฝึกตนอย่างไรถึงจะเป็นก่อกำเนิดได้ ท่านพูดกับลูกมาตรงๆ เถอะ!”

ผู้เฒ่าหัวเราะ ย้อนถามว่า “เจ้ากับข้าคือพ่อลูกกัน เจ้าก็เลยรู้สึกว่าเจ้าฝึกตน ข้าถ่ายทอดวิชา เป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว?”

อู๋อี้รู้สึกเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ รู้สึกว่าอีกเดี๋ยวตนต้องเจ็บตัวแน่

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+