กระบี่จงมา 429.2 ช่วงล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง เชิญท่านลงโอ่ง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 429.2 ช่วงล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง เชิญท่านลงโอ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บุรุษคนหนึ่งที่หายตัวไปจากเมืองเล็กหลายปีได้ปรากฏตัวอีกครั้ง เจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตูผู้นั้น นอกจากจะเปลี่ยนเป็นคนหลังค่อมแล้วก็ยังไม่ได้พาภรรยากลับมาด้วย แล้วก็ไม่ได้พกเงินถุงเงินถังกลับมาจากต่างถิ่นเช่นกัน แม้ว่าเจิ้งต้าเฟิงจะไม่ใช่ลูกจ้างของร้าน แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขากลับยกม้านั่งมานั่งอยู่หน้าประตูใหญ่ของร้านยาเป็นประจำ ไม่ขัดขวางใคร เอาแต่ดูเรื่องสนุกอย่างเดียว ยังคงมีท่าทีเอ้อระเหยลอยชายเหมือนในอดีต สายตาคอยลอบไล่มองไปตั้งแต่ลำคอ หน้าอกจนถึงก้นของสตรีแต่งงานแล้ว นี่ยิ่งทำให้เหล่าสตรีในเมืองเล็กดูแคลนเขามากขึ้น

หลังจากที่เจิ้งต้าเฟิงกลับมาถึงเมืองเล็ก นอกจากจะได้ชมเรื่องสนุกครั้งนี้แล้ว ยังได้เห็นคนหลายคนที่ร่ำรวยเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน พวกเขาจับกลุ่มกันไปเล่นการพนันออกเช้ากลับค่ำ บ้างก็ไปมั่วสุมอยู่ในหอโคมเขียวแห่งใหม่ๆ ที่เพิ่งสร้างขึ้น ตอนเข้าไปยืดอกตั้ง ตอนกลับออกมาแข้งขาอ่อนเปลี้ย

และยังมีพวกที่เงินในกระเป๋ามีมากจนนับไม่หวาดไม่ไหว เอวจึงเหยียดตรงแข็งยิ่งกว่าลำต้นของต้นไหวโบราณในอดีตเสียอีก พวกบุรุษและหนุ่มโสดที่เมื่อก่อนยามเดินผ่านถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ยังไม่กล้าหายใจดัง ตอนนี้กลับเริ่มชักชวนพวกพ่อบ้านผู้ดูแลในตระกูลเหล่านั้นให้มาร่วมดื่มเหล้า ปรึกษาว่าจะเป็นไปได้หรือไม่หากจะขอซื้อตัวสาวใช้ที่ท่าทางสุภาพเรียบร้อยสักคนสองคน ทางที่ดีที่สุดควรต้องรู้หนังสือ อ่านออกเขียนได้ หากเป็นดรุณีน้อยเยาว์วัยก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เหล่าสตรีที่มีกลิ่นอายของตำราติดตัวซึ่งเมื่อก่อนไม่กล้าแม้แต่จะฝันว่าได้อยู่เหนือร่างของพวกนางบนเตียง หากได้มาครอบครอง ชีวิตนี้จึงจะถือว่าไม่ขาดทุน! เมื่อก่อนเงินหนึ่งถุงคือท่านปู่ มาตอนนี้เงินกลับกลายเป็นหลานของพวกเราแล้ว เงินทองอะไรนั่นจะนับเป็นผายลมอะไรได้!

เงินไหลหายไปดุจสายน้ำที่พรั่งพรูเปลี่ยนผ่านมือของคนมากมาย

ใจคนก็เช่นกัน

หลังจากเข้าฤดูใบไม้ร่วงมา เจิ้งต้าเฟิงก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย

นั่งตากแสงแดดอันอบอุ่นของฤดูใบไม้ร่วง ก้มหน้าลงมองกางเกงของตัวเอง เจิ้งต้าเฟิงก็ยิ่งกลุ้มเข้าไปใหญ่ ด้วยมักจะรู้สึกผิดต่อน้องชายผู้นี้เสมอ หรือว่าเขาจะต้องเปลี่ยนจากหนุ่มโสดผู้หล่อเหลาสง่างามไปเป็นตาแก่ขึ้นคานจริงๆ?

อยู่ดีๆ ก็นึกถึงสตรีที่ชอบมาเดินอยู่บนถนนนอกร้านยาฮุยเฉินซึ่งสุดท้ายยอมบอกว่าตัวเองแซ่เจียง น้ำหนักของนางน่าจะเท่ากับเจิ้งต้าเฟิงสองคนรวมกัน เจิ้งต้าเฟิงสะดุ้งโหยง นางเป็นสตรีที่ดี แต่เรื่องบางอย่างใช่ว่าแค่ปิดไฟแล้วจะผ่านมันไปได้จริงๆ แม่นางที่ตัวใหญ่โตปานนั้น ต่อให้นิสัยดีแค่ไหน ยินยอมพร้อมใจจะเป็นสหายเท่าไหร่ เจิ้งต้าเฟิงก็ขอยอมผิดต่อน้องชาย แต่จะไม่ยอมผิดต่อตัวเองเด็ดขาด!

ในขณะที่เจิ้งต้าเฟิงกำลังรู้สึกผิดที่ตัวเองมีความคิดเช่นนี้ต่อแม่นางแซ่เจียงนั้นเอง วันนี้จู่ๆ หร่วนฉงก็มาปรากฏตัวที่เรือนด้านหลังของร้านยา หยางเหล่าโถวไม่ได้สูบยาอย่างที่หาได้ยาก เขาที่กำลังนั่งตากแดดงีบหลับเปิดเปลือกตาขึ้นเหลือบมองหร่วนฉง “แขกที่หาได้ยาก”

หร่วนฉงที่หิ้วกาเหล้ามาสองใบชูมือขึ้นสูง

หยางเหล่าโถวส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”

หร่วนฉงยกม้านั่งตัวยาวมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องหลัก มีลานบ้านที่หลังคาเหลี่ยมเปิดโล่งขวางกั้นระหว่างเขากับหยางเหล่าโถว

หยางเหล่าโถวถาม “หาได้ยากที่จิตใจของอริยะหร่วนจะไม่สงบ ทำไม เป็นห่วงหร่วนซิ่วหรือ?”

หร่วนฉงพยักหน้ารับ

หยางเหล่าโถวเอ่ยหยอกล้ออย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “รับเฉินผิงอันเป็นลูกเขย มันยากขนาดนั้นเลยหรือ?”

หร่วนฉงดื่มเหล้าหนึ่งอึก “เฉินผิงอันนิสัยไม่เลว แม้ข้าจะไม่ยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์ แต่ใช่ว่าจะไม่ยอมรับในนิสัยใจคอของเขา หากหร่วนซิ่วไม่ใช่หร่วนซิ่ว แต่เป็นสตรีทั่วๆ ไป นางอยากทำอะไรก็ตามใจนางเถอะ ไม่แน่ว่า…ข้าอาจจะดื่มเหล้ากับลูกเขยคนนี้เป็นประจำด้วยซ้ำ คิดดูแล้วชีวิตแบบนั้นก็ไม่เลว อีกอย่างยังไม่ต้องกังวลว่าลูกสาวตัวเองจะได้รับความไม่เป็นธรรม มีแต่จะต้องกลัวว่าลูกสาวของตนจะทำตัวดุร้ายเกินไปจนลูกเขยหนี แต่บุตรสาวของข้า คือซิ่วซิ่ว”

หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ “เรื่องบางอย่างหากดีมากเกินไปก็น่าเป็นกังวล ข้าเข้าใจได้”

หร่วนฉงดื่มเหล้าดับทุกข์อย่างแท้จริง หลังจากดื่มเหล้าอึกใหญ่ลงท้องไปแล้วก็เช็ดปาก กล่าวอย่างอัดอั้นว่า “เพราะก่อนหน้านี้เคยพูดคุยกับเสินจวินผู้เฒ่ามาก่อน ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงพอจะเดาแผนการของชุนฉานได้คร่าวๆ เพียงแต่ว่ารายละเอียดในแผนการที่ว่ามีอันตรายอย่างไร ร้อยเรียงกันเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไร วางแผนไว้อย่างตั้งใจแค่ไหน ข้ากลับเดาไม่ออก เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่เรื่องถนัดของข้าอยู่แล้ว และข้าก็คร้านจะคิดให้มากความ แต่การฝึกตนมีข้อห้ามใหญ่ที่สุดก็คือการอืดอาดชักช้า หากหร่วนซิ่วของข้ายิ่งจมดิ่งลึกลงไปทุกที ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องเกิดเรื่อง ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงยอมให้หร่วนซิ่วไปทะเลสาบซูเจี่ยน”

หยางเหล่าโถวกล่าว “เจ้ายอมมอบลูกท้อไปให้ ชุยฉานเป็นคนฉลาดถึงปานนั้นย่อมต้องส่งลูกหลีกลับคืนมา วางใจเถอะ ทุกเรื่องจะต้องออกมางดงาม ไร้ช่องโหว่ อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นกลับตาลปัตร”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หยางเหล่าโถวก็ยิ้มบางๆ คล้ายนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ท่านมอบลูกท้อแก่เรา เราตอบแทนท่านด้วยลูกหลี หลีตายแทนท้อ อืม ล้วนมีส่วนให้ต้องขบคิด ส่วนข้อที่ว่าจะขบคิดออกมาได้รสชาติขมปร่าเหมือนหวงเหลียน หรือหวานล้ำเหมือนน้ำตาล ก็ต้องดูที่คนแล้ว”

หร่วนฉงไม่คิดจะจมจ่อมอยู่กับปริศนานี้ อย่าว่าแต่เขาเลย เกรงว่านอกจากฉีจิ้งชุนแล้ว บุคคลของสามลัทธิที่ได้มานั่งพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจูคงไม่มีใครเดาความคิดความต้องการของเสินจวินผู้เฒ่าคนนี้ออก หร่วนฉงไม่เคยยึดติดเสียเวลากับเรื่องที่ไม่จำเป็น เวลาส่วนใหญ่ของเขาแค่ใช้ไปกับการหลอมกระบี่ก็ยุ่งวุ่นวายมากพอแล้ว ยังต้องคอยกังวลเรื่องอนาคตของซิ่วซิ่วอีก ไหนเลยจะมีเวลาเหลือมาเล่นปริศนาทายคำกับผู้อื่น

เดิมทีหยางเหล่าโถวก็พูดประโยคนั้นขึ้นมาลอยๆ อยู่แล้ว ตอนนี้จึงย้อนกลับมาพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน “เจ้าอยากจะทำให้เด็ดขาด อาศัยกู้ช่านจากตรอกหนีผิง แล้วก็อาศัยแผนการที่ไม่มีใครทราบของซิ่วหู่มาทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างหร่วนซิ่วกับเฉินผิงอัน ทั้งสองคนนี้ ยิ่งมองเห็นสภาพจิตใจทะลุปรุโปร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบมุ่งมั่นดึงดันมากเท่านั้น ข้อบกพร่องที่เล็กเท่าเมล็ดงาจะเปลี่ยนมาเป็นใหญ่เทียมฟ้า ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ห้ามไม่ให้หร่วนซิ่วออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียน นี่ก็เป็นความรู้สึกทั่วไปของคนที่เป็นบิดาอย่างเจ้าหร่วนฉงเช่นกัน”

อยู่ดีๆ หร่วนฉงก็พูดขึ้นมาอย่างสะท้อนใจ “ชุยฉานผู้นี้ร้ายกาจจริงๆ”

เขาหร่วนฉงหวังให้บุตรสาวหร่วนซิ่วเลิกเอาตัวไปพัวพันกับเรื่องความรักระหว่างชายหญิง ตั้งใจฝึกตน เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนในเร็ววัน อย่างน้อยก็ให้มีความสามารถในการปกป้องตัวเองเสียก่อน

คิดจะนอนหลับก็มีคนส่งหมอนมาให้

หร่วนฉงไม่เคยมีการติดต่อใดๆ กับชุยฉาน ชุยฉานก็ยิ่งไม่เคยบอกเป็นนัยอะไรแก่เขา

ทุกอย่างล้วนเป็นหร่วนฉงที่เต็มใจพาตัวเข้าไปอยู่ในกระดานหมากเอง ยอมรับหน้าที่เป็นหนึ่งในหมากบนกระดานของชุยฉานพร้อมกับบุตรสาวหร่วนซิ่ว

นี่คือการวางแผนที่แม่นยำและการคาดการณ์ที่ถูกต้องเกี่ยวกับด้านจิตใจคนของชุยฉาน นี่ต่างหากจึงจะเป็นฝีมือการเล่นหมากล้อมนอกกระดานของนักเล่นระดับแคว้นคนหนึ่ง

หยางเหล่าโถวยิ้มกล่าว “อย่าได้ไม่เห็นอดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งอยู่ในสายตา ศึกตรีจตุที่ตัดสินทิศทางการเดินไปของสายบุ๋นทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลครานั้น กฎกติกาครึ่งหนึ่ง เท่ากับว่าชุยฉานเป็นคนกำหนด แล้วเขาจะไม่ร้ายกาจได้หรือ? เพียงแต่ว่าตอนนั้นชุยฉานเป็นดั่งนกหวาดคันธนู อีกทั้งยังรู้สึกระแวงเหมือนวัวสันหลังหวะ หลบไปหลบมา ลำบากอย่างมาก ให้ตายก็ไม่กล้าปรากฏตัว ดังนั้นถึงได้สูญเสียโอกาสสุดท้ายในการแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ แน่นอนว่านี่ก็เป็นการปกป้องที่เหวินเซิ่งมีต่อชุยฉานอย่างที่มองไม่เห็นแบบหนึ่ง เจ้าเห็นหรือไม่ว่าลูกศิษย์ใหญ่ของข้าหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนเช่นนี้แล้ว มีชีวิตเหมือนสุนัขไร้บ้านยิ่งกว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ในปีนั้นเสียอีก สายหย่าเซิ่งของพวกเจ้ายังมีหน้ามาตอแยเขาไม่เลิกอีกหรือ? พวกเจ้าพูดกันเองไม่ใช่หรือว่าต้องรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถ้าอย่างนั้นก็เห็นชุยฉานเป็นดั่งผายลมซะสิ ดังนั้นชุยฉานจึงหนีมาที่แจกันสมบัติทวีปของพวกเราได้อย่างปลอดภัย หร่วนฉง อย่าใช้สายตาแบบนี้มองข้า เรื่องไร้ยางอายประเภทนี้ เหวินเซิ่งทำได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในบรรดาอริยะมากมายที่ถูกตั้งบูชา ข้าถึงได้ถูกชะตากับอาจารย์ท่านนี้มากกว่าใคร”

หร่วนฉงกระตุกมุมปาก “ความอ้อมค้อมวกวนของจิตใจบัณฑิต คาดว่าคงจะอ้อมไกลยิ่งกว่าเส้นทางภูเขาทั้งหมดในใต้หล้าไพศาลเสียอีก”

หยางเหล่าโถวหัวเราะหึหึ “บวกกับใต้หล้ามืดสลัวของลัทธิเต๋า ใต้หล้าบงกชของลัทธิพุทธและใต้หล้าเปลี่ยวร้างของเผ่าปีศาจแล้ว ก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดี”

นี่เป็นครั้งแรกที่หร่วนฉงรู้สึกว่าการพูดคุยขณะดื่มสุรากับเสินจวินผู้เฒ่าคนนี้ดีกว่าที่จินตนาการไว้ไม่น้อย วันหน้าคงจะมาบ่อยๆ ได้กระมัง? ถึงอย่างไรเมื่อบุตรสาวเติบใหญ่ก็รั้งตัวไว้ไม่ได้ ต่อให้อยู่ข้างกาย นางก็ไม่ค่อยเก็บบิดาอย่างเขาไปใส่ใจสักเท่าไหร่ หร่วนฉงนึกอยากจะเปิดร้านเหล้าในเมืองเล็กด้วยตัวเองเสียเลย ทุกครั้งเวลาไปซื้อเหล้าที่ร้านจะได้ไม่ต้องถูกพวกสตรีในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดหยอกเย้าและพูดจาแทะโลม

หลังจากหร่วนฉงจากไป เจิ้งต้าเฟิงก็เดินเข้ามาในลานบ้านด้านหลัง

ในฐานะลูกศิษย์ เรื่องแรกที่เจิ้งต้าเฟิงทำหลังจากที่กลับมาถึงเมืองเล็ก แน่นอนว่าคือการมาเยี่ยมเยียนอาจารย์

การพบหน้ากันครั้งนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจิ้งต้าเฟิงกล้ามองสบตาหยางเหล่าโถวตรงๆ และเอ่ยถ้อยคำดั่งคนอกตัญญูด้วยจิตใจที่นิ่งสงบ ยกตัวอย่างประโยคที่ว่าต่อให้ชีวิตนี้จะไม่มีทางได้ดิบได้ดี วันหน้าหากไม่ต้องไปอยู่จุดพักม้าทำงานหาเลี้ยงชีพไปวันๆ ก็คงต้องไปเป็นคนเฝ้าประตูให้กับภูเขาลั่วพั่วของเฉินผิงอัน แต่เขาเจิ้งต้าเฟิงกลับไม่รู้สึกว่าน่าอายแม้แต่น้อย มีชีวิตอย่างมั่นคงสงบสุขก็ดีจะตายไป

หยางเหล่าโถวนั่งพ่นควันโขมงอยู่ตรงนั้น ทั้งไม่พูดว่าดี แล้วก็ไม่ได้เอ่ยตำหนิ

เจิ้งต้าเฟิงพูดความในใจจบก็ออกมาจากลานด้านหลังของร้านยา แม้ว่าจะรู้สึกใจฝ่ออยู่บ้าง แต่กลับผ่อนคลายสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

จากนั้นก็รู้สึกตลกเล็กน้อย ก่อนหน้านี้จะดีจะชั่วก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด แต่กลับไม่เคยกล้าพูดจาแบบนี้กับอาจารย์สักครั้ง ทุกครั้งที่พูดคุยกัน ถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากอาจารย์ไม่เคยเกินสิบตัวอักษร เจิ้งต้าเฟิงกลัวว่าอาจารย์จะเข้าใจผิดคิดว่าตนเห็นว่าไหแตกก็เลยทุ่มให้มันแหลกไปเสียเลย แล้วจะยิ่งดูถูกตน เพียงแต่คิดไปคิดมา เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ ทุกๆ สามวันห้าวันก็ไปหาผู้เฒ่าที่ร้านยาทีหนึ่ง ใครจะสนว่าผู้เฒ่าเห็นตนแล้วจะรำคาญใจหรือไม่

เจิ้งต้าเฟิงเข้ามาในเรือนด้านหลัง นั่งลงบนม้านั่ง ไม่ได้เอ่ยอะไร คิดว่าจะนั่งเป็นเพื่อนอาจารย์สักพักแล้วก็จะไป

แม้ว่าจะเก็บกลั้นคำพูดไว้เต็มท้อง แต่นิสัยของอาจารย์นั้น เจิ้งต้าเฟิงกระช่างชัดเจนดี ขอแค่อีกฝ่ายตัดสินใจไปแล้ว อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่หลี่เอ้อร์ หรือใครก็ตามในใต้หล้าก็ล้วนไม่อาจเปลี่ยนความคิดของอาจารย์ได้

หยางเหล่าโถวสูบยา พ่นควันออกมาเป็นวง เอ่ยเนิบช้า “ตอนที่กลับบ้าน เจ้าพกกระบอกยาสูบมาด้วยไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงทิ้งไปซะล่ะ? อายคนหรือไง?”

เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าจนร่างด้านนอกดำเกรียมด้านในอ่อนนุ่ม เรื่องแรกที่ทำก็คือนับนิ้วแล้วพูดอย่างตกตะลึงระคนดีใจ “อาจารย์ วันนี้คำพูดที่หลุดจากปากของท่านมีทั้งหมดยี่สิบสองคำ!”

หยางเหล่าโถวถาม “ลูกศิษย์คนหนึ่งที่แม้แต่จะมองสบตาอาจารย์ตรงๆ ก็ยังไม่กล้าทำ มีค่าพอให้อาจารย์พูดด้วยสักกี่คำ? เจ้าในอดีตคู่ควรหรือ?”

เจิ้งต้าเฟิงรีบนั่งตัวตรงอย่างสำรวม “เป็นศิษย์ที่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง”

คำพูดประโยคถัดมาของหยางเหล่าโถวยังคงโหดร้ายทิ่มแทงใจดั่งในอดีต “ก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว จะรู้สึกผิดหวังได้อย่างไร”

แปดคำ

นี่ต่างหากจึงจะเป็นการพูดคุยที่ปกติที่สุดระหว่างอาจารย์และศิษย์ก่อนหน้าที่เจิ้งต้าเฟิงจะไปจากบ้านเกิด

เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้รู้สึกน้อยใจ กลับกันยังอารมณ์ดีอย่างมาก บวกกับแปดคำนี้ วันนี้อาจารย์พูดสามสิบคำแล้ว วันหน้าเวลาพบเจอหลี่เอ้อร์ ตนต้องคุยอวดให้อีกฝ่ายฟังให้ได้!

หยางเหย่าโถวทำท่าขว้าง กระบอกยาสูบที่เจิ้งต้าเฟิงแอบทิ้งไว้นอกเมืองเล็กก็ลอยออกมา เจิ้งต้าเฟิงรับมาไว้ในมือ พบว่าแม้แต่เส้นยาสูบก็ยังถูกบรรจุไว้ด้านในแล้ว

หยางเหล่าโถวกล่าว “ข้าจะถามเจ้าแค่ประโยคเดียว คนอื่นๆ คู่ควรกับการถูกชุยฉานเล่นงานแบบนี้หรือไม่?”

เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ สองนิ้วถูเข้าด้วยกันง่ายๆ เส้นยาสูบก็ถูกจุดไฟ ความสามารถเล็กน้อยเท่านี้ ตอนนี้เขายังพอมีอยู่บ้าง

หยางเหล่าโถวกล่าว “หากเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันไม่ถูกทุบทำลายจนแหลกละเอียด เดิมทีเขาก็มีคุณสมบัติในการเป็นเซียนดิน ไม่ดีไม่เลว เพียงแต่ไม่ถือว่าโดดเด่น ตอนนี้จิตใจของเขาเฉินผิงอันก็ยิ่งแหลกสลาย อนาคตการเป็นผู้ฝึกลมปราณขาดสะบั้น ยังเหลือวิถีวรยุทธที่ยังเดินต่อไปได้ อย่างเลวร้ายที่สุดก็คือหมดอาลัยตายอยากอย่างสิ้นเชิง เป็นเศรษฐีที่ไม่มีอนาคตแต่กลับมีชีวิตอย่างสงบสุขอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว มีอะไรไม่ดีเล่า?”

อาจารย์และศิษย์สองคนต่างก็กำลังพ่นควันขโมง จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็กล่าวว่า “แบบนี้ไม่ดี?”

หยางเหล่าโถวหัวเราะหยัน “อ้อ?”

เจิ้งต้าเฟิงเงยหน้าขึ้น ปลุกความกล้าพูดว่า “เขาคือเฉินผิงอัน!”

หยางเหล่าโถวเอากระบอกสูบเคาะกับขั้นบันได พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “การที่เลือกเฉินผิงอัน กุญแจสำคัญที่แท้จริงก็เพราะประโยคหนึ่งของฉีจิ้งชุนไปทำให้บุคคลผู้นั้นหวั่นไหว จนเลือกที่จะลองเดิมพันกับหนึ่งนั้น เจ้าคิดว่าเป็นเพราะคุณสมบัติ นิสัยใจคอ พรสวรรค์และสภาพการณ์ที่เฉินผิงอันต้องเผชิญจริงๆ หรือ?”

เจิ้งต้าเฟิงตอกกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “ฉีจิ้งชุนจะเลือกเอาหม่าขู่เสวียนหรือเด็กคิ้วยาวตระกูลเซี่ยไปเกลี้ยกล่อมบุคคลผู้นั้นหรือ? ข้าว่าฉีจิ้งชุนอายที่จะพูดด้วยซ้ำ! หากอิงตามวิชาความรู้ของเฉินผิงอัน ถ้าอยากจะรู้ว่าผลลัพธ์ของเรื่องหนึ่งจะออกมาเป็นอย่างไรก็ต้องอนุมานกลับไปทีละก้าว ประโยคนั้นของฉีจิ้งชุนสำคัญมากก็จริง แต่จะมองข้ามคุณสมบัติ นิสัยใจคอ พรสวรรค์และสภาพการณ์ที่เฉินผิงอันต้องเผชิญไปได้จริงๆ หรือ? เมื่อออกไปอยู่ภายนอก ข้าถึงได้ยิ่งเข้าใจว่า ที่แท้วิถีทางโลกภายนอกก็เชื่อในเรื่องของความทุกข์ยากบนโลกยิ่งกว่าชาวบ้านในเมืองเล็กเราเสียอีก ตราบใดที่ใครบางคนได้รับการตอบแทน ก็ไม่ต้องยากลำบากอีกต่อไป ที่แท้จิตใจของผู้คนที่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ท่ามกลางทุกข์เข็ญที่ต้องพบเจอมาอย่างยาวนานก็ล้วนเทียบไม่ได้กับหนึ่งขอบเขต หนึ่งสมบัติอาคม หนึ่งกระบี่บิน หรือหนึ่งโชควาสนาในสายตาของคนอย่างพวกเขาเลย”

หยางเหล่าโถวหัวเราะ สายตาเยียบเย็น “คนโง่พวกนี้ก็คู่ควรให้ข้ากับเจ้าเอามาพูดถึงด้วยหรือ? มดกลุ่มหนึ่งที่รุมทึ้งแย่งชิงเศษซากอาหารน้อยนิด เจ้าจะไปพูดกับพวกมันยังไง? นอนคว่ำกับพื้นเพื่อพูดกับพวกมันหรือ? ดูท่าการออกเดินทางไกลครั้งนี้ของเจ้า ยิ่งใช้ชีวิตก็ยิ่งถอยหลังลงคลองซะแล้ว”

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มหน้าเป็น รีบเปลี่ยนหัวข้อ “อาจารย์ลงเดิมพันไปกับตัวเฉินผิงอันไม่น้อย ไม่กังวลว่าจะขาดทุนป่นปี้หรือ?”

หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “ตัวเองสายตาแย่ ค้าขายขาดทุน ก็อย่าไปโทษฟ้าโทษดิน”

เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ

ตนทำอย่างสุดความสามารถแล้ว หากยังช่วยพูดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องให้กับเฉินผิงอัน เกรงว่าผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาในทางตรงกันข้าม

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 429.2 ช่วงล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง เชิญท่านลงโอ่ง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 429.2 ช่วงล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง เชิญท่านลงโอ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บุรุษคนหนึ่งที่หายตัวไปจากเมืองเล็กหลายปีได้ปรากฏตัวอีกครั้ง เจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตูผู้นั้น นอกจากจะเปลี่ยนเป็นคนหลังค่อมแล้วก็ยังไม่ได้พาภรรยากลับมาด้วย แล้วก็ไม่ได้พกเงินถุงเงินถังกลับมาจากต่างถิ่นเช่นกัน แม้ว่าเจิ้งต้าเฟิงจะไม่ใช่ลูกจ้างของร้าน แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขากลับยกม้านั่งมานั่งอยู่หน้าประตูใหญ่ของร้านยาเป็นประจำ ไม่ขัดขวางใคร เอาแต่ดูเรื่องสนุกอย่างเดียว ยังคงมีท่าทีเอ้อระเหยลอยชายเหมือนในอดีต สายตาคอยลอบไล่มองไปตั้งแต่ลำคอ หน้าอกจนถึงก้นของสตรีแต่งงานแล้ว นี่ยิ่งทำให้เหล่าสตรีในเมืองเล็กดูแคลนเขามากขึ้น

หลังจากที่เจิ้งต้าเฟิงกลับมาถึงเมืองเล็ก นอกจากจะได้ชมเรื่องสนุกครั้งนี้แล้ว ยังได้เห็นคนหลายคนที่ร่ำรวยเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน พวกเขาจับกลุ่มกันไปเล่นการพนันออกเช้ากลับค่ำ บ้างก็ไปมั่วสุมอยู่ในหอโคมเขียวแห่งใหม่ๆ ที่เพิ่งสร้างขึ้น ตอนเข้าไปยืดอกตั้ง ตอนกลับออกมาแข้งขาอ่อนเปลี้ย

และยังมีพวกที่เงินในกระเป๋ามีมากจนนับไม่หวาดไม่ไหว เอวจึงเหยียดตรงแข็งยิ่งกว่าลำต้นของต้นไหวโบราณในอดีตเสียอีก พวกบุรุษและหนุ่มโสดที่เมื่อก่อนยามเดินผ่านถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ยังไม่กล้าหายใจดัง ตอนนี้กลับเริ่มชักชวนพวกพ่อบ้านผู้ดูแลในตระกูลเหล่านั้นให้มาร่วมดื่มเหล้า ปรึกษาว่าจะเป็นไปได้หรือไม่หากจะขอซื้อตัวสาวใช้ที่ท่าทางสุภาพเรียบร้อยสักคนสองคน ทางที่ดีที่สุดควรต้องรู้หนังสือ อ่านออกเขียนได้ หากเป็นดรุณีน้อยเยาว์วัยก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เหล่าสตรีที่มีกลิ่นอายของตำราติดตัวซึ่งเมื่อก่อนไม่กล้าแม้แต่จะฝันว่าได้อยู่เหนือร่างของพวกนางบนเตียง หากได้มาครอบครอง ชีวิตนี้จึงจะถือว่าไม่ขาดทุน! เมื่อก่อนเงินหนึ่งถุงคือท่านปู่ มาตอนนี้เงินกลับกลายเป็นหลานของพวกเราแล้ว เงินทองอะไรนั่นจะนับเป็นผายลมอะไรได้!

เงินไหลหายไปดุจสายน้ำที่พรั่งพรูเปลี่ยนผ่านมือของคนมากมาย

ใจคนก็เช่นกัน

หลังจากเข้าฤดูใบไม้ร่วงมา เจิ้งต้าเฟิงก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย

นั่งตากแสงแดดอันอบอุ่นของฤดูใบไม้ร่วง ก้มหน้าลงมองกางเกงของตัวเอง เจิ้งต้าเฟิงก็ยิ่งกลุ้มเข้าไปใหญ่ ด้วยมักจะรู้สึกผิดต่อน้องชายผู้นี้เสมอ หรือว่าเขาจะต้องเปลี่ยนจากหนุ่มโสดผู้หล่อเหลาสง่างามไปเป็นตาแก่ขึ้นคานจริงๆ?

อยู่ดีๆ ก็นึกถึงสตรีที่ชอบมาเดินอยู่บนถนนนอกร้านยาฮุยเฉินซึ่งสุดท้ายยอมบอกว่าตัวเองแซ่เจียง น้ำหนักของนางน่าจะเท่ากับเจิ้งต้าเฟิงสองคนรวมกัน เจิ้งต้าเฟิงสะดุ้งโหยง นางเป็นสตรีที่ดี แต่เรื่องบางอย่างใช่ว่าแค่ปิดไฟแล้วจะผ่านมันไปได้จริงๆ แม่นางที่ตัวใหญ่โตปานนั้น ต่อให้นิสัยดีแค่ไหน ยินยอมพร้อมใจจะเป็นสหายเท่าไหร่ เจิ้งต้าเฟิงก็ขอยอมผิดต่อน้องชาย แต่จะไม่ยอมผิดต่อตัวเองเด็ดขาด!

ในขณะที่เจิ้งต้าเฟิงกำลังรู้สึกผิดที่ตัวเองมีความคิดเช่นนี้ต่อแม่นางแซ่เจียงนั้นเอง วันนี้จู่ๆ หร่วนฉงก็มาปรากฏตัวที่เรือนด้านหลังของร้านยา หยางเหล่าโถวไม่ได้สูบยาอย่างที่หาได้ยาก เขาที่กำลังนั่งตากแดดงีบหลับเปิดเปลือกตาขึ้นเหลือบมองหร่วนฉง “แขกที่หาได้ยาก”

หร่วนฉงที่หิ้วกาเหล้ามาสองใบชูมือขึ้นสูง

หยางเหล่าโถวส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”

หร่วนฉงยกม้านั่งตัวยาวมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องหลัก มีลานบ้านที่หลังคาเหลี่ยมเปิดโล่งขวางกั้นระหว่างเขากับหยางเหล่าโถว

หยางเหล่าโถวถาม “หาได้ยากที่จิตใจของอริยะหร่วนจะไม่สงบ ทำไม เป็นห่วงหร่วนซิ่วหรือ?”

หร่วนฉงพยักหน้ารับ

หยางเหล่าโถวเอ่ยหยอกล้ออย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “รับเฉินผิงอันเป็นลูกเขย มันยากขนาดนั้นเลยหรือ?”

หร่วนฉงดื่มเหล้าหนึ่งอึก “เฉินผิงอันนิสัยไม่เลว แม้ข้าจะไม่ยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์ แต่ใช่ว่าจะไม่ยอมรับในนิสัยใจคอของเขา หากหร่วนซิ่วไม่ใช่หร่วนซิ่ว แต่เป็นสตรีทั่วๆ ไป นางอยากทำอะไรก็ตามใจนางเถอะ ไม่แน่ว่า…ข้าอาจจะดื่มเหล้ากับลูกเขยคนนี้เป็นประจำด้วยซ้ำ คิดดูแล้วชีวิตแบบนั้นก็ไม่เลว อีกอย่างยังไม่ต้องกังวลว่าลูกสาวตัวเองจะได้รับความไม่เป็นธรรม มีแต่จะต้องกลัวว่าลูกสาวของตนจะทำตัวดุร้ายเกินไปจนลูกเขยหนี แต่บุตรสาวของข้า คือซิ่วซิ่ว”

หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ “เรื่องบางอย่างหากดีมากเกินไปก็น่าเป็นกังวล ข้าเข้าใจได้”

หร่วนฉงดื่มเหล้าดับทุกข์อย่างแท้จริง หลังจากดื่มเหล้าอึกใหญ่ลงท้องไปแล้วก็เช็ดปาก กล่าวอย่างอัดอั้นว่า “เพราะก่อนหน้านี้เคยพูดคุยกับเสินจวินผู้เฒ่ามาก่อน ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงพอจะเดาแผนการของชุนฉานได้คร่าวๆ เพียงแต่ว่ารายละเอียดในแผนการที่ว่ามีอันตรายอย่างไร ร้อยเรียงกันเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไร วางแผนไว้อย่างตั้งใจแค่ไหน ข้ากลับเดาไม่ออก เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่เรื่องถนัดของข้าอยู่แล้ว และข้าก็คร้านจะคิดให้มากความ แต่การฝึกตนมีข้อห้ามใหญ่ที่สุดก็คือการอืดอาดชักช้า หากหร่วนซิ่วของข้ายิ่งจมดิ่งลึกลงไปทุกที ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องเกิดเรื่อง ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงยอมให้หร่วนซิ่วไปทะเลสาบซูเจี่ยน”

หยางเหล่าโถวกล่าว “เจ้ายอมมอบลูกท้อไปให้ ชุยฉานเป็นคนฉลาดถึงปานนั้นย่อมต้องส่งลูกหลีกลับคืนมา วางใจเถอะ ทุกเรื่องจะต้องออกมางดงาม ไร้ช่องโหว่ อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นกลับตาลปัตร”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หยางเหล่าโถวก็ยิ้มบางๆ คล้ายนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ท่านมอบลูกท้อแก่เรา เราตอบแทนท่านด้วยลูกหลี หลีตายแทนท้อ อืม ล้วนมีส่วนให้ต้องขบคิด ส่วนข้อที่ว่าจะขบคิดออกมาได้รสชาติขมปร่าเหมือนหวงเหลียน หรือหวานล้ำเหมือนน้ำตาล ก็ต้องดูที่คนแล้ว”

หร่วนฉงไม่คิดจะจมจ่อมอยู่กับปริศนานี้ อย่าว่าแต่เขาเลย เกรงว่านอกจากฉีจิ้งชุนแล้ว บุคคลของสามลัทธิที่ได้มานั่งพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจูคงไม่มีใครเดาความคิดความต้องการของเสินจวินผู้เฒ่าคนนี้ออก หร่วนฉงไม่เคยยึดติดเสียเวลากับเรื่องที่ไม่จำเป็น เวลาส่วนใหญ่ของเขาแค่ใช้ไปกับการหลอมกระบี่ก็ยุ่งวุ่นวายมากพอแล้ว ยังต้องคอยกังวลเรื่องอนาคตของซิ่วซิ่วอีก ไหนเลยจะมีเวลาเหลือมาเล่นปริศนาทายคำกับผู้อื่น

เดิมทีหยางเหล่าโถวก็พูดประโยคนั้นขึ้นมาลอยๆ อยู่แล้ว ตอนนี้จึงย้อนกลับมาพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน “เจ้าอยากจะทำให้เด็ดขาด อาศัยกู้ช่านจากตรอกหนีผิง แล้วก็อาศัยแผนการที่ไม่มีใครทราบของซิ่วหู่มาทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างหร่วนซิ่วกับเฉินผิงอัน ทั้งสองคนนี้ ยิ่งมองเห็นสภาพจิตใจทะลุปรุโปร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบมุ่งมั่นดึงดันมากเท่านั้น ข้อบกพร่องที่เล็กเท่าเมล็ดงาจะเปลี่ยนมาเป็นใหญ่เทียมฟ้า ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ห้ามไม่ให้หร่วนซิ่วออกไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียน นี่ก็เป็นความรู้สึกทั่วไปของคนที่เป็นบิดาอย่างเจ้าหร่วนฉงเช่นกัน”

อยู่ดีๆ หร่วนฉงก็พูดขึ้นมาอย่างสะท้อนใจ “ชุยฉานผู้นี้ร้ายกาจจริงๆ”

เขาหร่วนฉงหวังให้บุตรสาวหร่วนซิ่วเลิกเอาตัวไปพัวพันกับเรื่องความรักระหว่างชายหญิง ตั้งใจฝึกตน เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนในเร็ววัน อย่างน้อยก็ให้มีความสามารถในการปกป้องตัวเองเสียก่อน

คิดจะนอนหลับก็มีคนส่งหมอนมาให้

หร่วนฉงไม่เคยมีการติดต่อใดๆ กับชุยฉาน ชุยฉานก็ยิ่งไม่เคยบอกเป็นนัยอะไรแก่เขา

ทุกอย่างล้วนเป็นหร่วนฉงที่เต็มใจพาตัวเข้าไปอยู่ในกระดานหมากเอง ยอมรับหน้าที่เป็นหนึ่งในหมากบนกระดานของชุยฉานพร้อมกับบุตรสาวหร่วนซิ่ว

นี่คือการวางแผนที่แม่นยำและการคาดการณ์ที่ถูกต้องเกี่ยวกับด้านจิตใจคนของชุยฉาน นี่ต่างหากจึงจะเป็นฝีมือการเล่นหมากล้อมนอกกระดานของนักเล่นระดับแคว้นคนหนึ่ง

หยางเหล่าโถวยิ้มกล่าว “อย่าได้ไม่เห็นอดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งอยู่ในสายตา ศึกตรีจตุที่ตัดสินทิศทางการเดินไปของสายบุ๋นทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลครานั้น กฎกติกาครึ่งหนึ่ง เท่ากับว่าชุยฉานเป็นคนกำหนด แล้วเขาจะไม่ร้ายกาจได้หรือ? เพียงแต่ว่าตอนนั้นชุยฉานเป็นดั่งนกหวาดคันธนู อีกทั้งยังรู้สึกระแวงเหมือนวัวสันหลังหวะ หลบไปหลบมา ลำบากอย่างมาก ให้ตายก็ไม่กล้าปรากฏตัว ดังนั้นถึงได้สูญเสียโอกาสสุดท้ายในการแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ แน่นอนว่านี่ก็เป็นการปกป้องที่เหวินเซิ่งมีต่อชุยฉานอย่างที่มองไม่เห็นแบบหนึ่ง เจ้าเห็นหรือไม่ว่าลูกศิษย์ใหญ่ของข้าหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนเช่นนี้แล้ว มีชีวิตเหมือนสุนัขไร้บ้านยิ่งกว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ในปีนั้นเสียอีก สายหย่าเซิ่งของพวกเจ้ายังมีหน้ามาตอแยเขาไม่เลิกอีกหรือ? พวกเจ้าพูดกันเองไม่ใช่หรือว่าต้องรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถ้าอย่างนั้นก็เห็นชุยฉานเป็นดั่งผายลมซะสิ ดังนั้นชุยฉานจึงหนีมาที่แจกันสมบัติทวีปของพวกเราได้อย่างปลอดภัย หร่วนฉง อย่าใช้สายตาแบบนี้มองข้า เรื่องไร้ยางอายประเภทนี้ เหวินเซิ่งทำได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในบรรดาอริยะมากมายที่ถูกตั้งบูชา ข้าถึงได้ถูกชะตากับอาจารย์ท่านนี้มากกว่าใคร”

หร่วนฉงกระตุกมุมปาก “ความอ้อมค้อมวกวนของจิตใจบัณฑิต คาดว่าคงจะอ้อมไกลยิ่งกว่าเส้นทางภูเขาทั้งหมดในใต้หล้าไพศาลเสียอีก”

หยางเหล่าโถวหัวเราะหึหึ “บวกกับใต้หล้ามืดสลัวของลัทธิเต๋า ใต้หล้าบงกชของลัทธิพุทธและใต้หล้าเปลี่ยวร้างของเผ่าปีศาจแล้ว ก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดี”

นี่เป็นครั้งแรกที่หร่วนฉงรู้สึกว่าการพูดคุยขณะดื่มสุรากับเสินจวินผู้เฒ่าคนนี้ดีกว่าที่จินตนาการไว้ไม่น้อย วันหน้าคงจะมาบ่อยๆ ได้กระมัง? ถึงอย่างไรเมื่อบุตรสาวเติบใหญ่ก็รั้งตัวไว้ไม่ได้ ต่อให้อยู่ข้างกาย นางก็ไม่ค่อยเก็บบิดาอย่างเขาไปใส่ใจสักเท่าไหร่ หร่วนฉงนึกอยากจะเปิดร้านเหล้าในเมืองเล็กด้วยตัวเองเสียเลย ทุกครั้งเวลาไปซื้อเหล้าที่ร้านจะได้ไม่ต้องถูกพวกสตรีในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดหยอกเย้าและพูดจาแทะโลม

หลังจากหร่วนฉงจากไป เจิ้งต้าเฟิงก็เดินเข้ามาในลานบ้านด้านหลัง

ในฐานะลูกศิษย์ เรื่องแรกที่เจิ้งต้าเฟิงทำหลังจากที่กลับมาถึงเมืองเล็ก แน่นอนว่าคือการมาเยี่ยมเยียนอาจารย์

การพบหน้ากันครั้งนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจิ้งต้าเฟิงกล้ามองสบตาหยางเหล่าโถวตรงๆ และเอ่ยถ้อยคำดั่งคนอกตัญญูด้วยจิตใจที่นิ่งสงบ ยกตัวอย่างประโยคที่ว่าต่อให้ชีวิตนี้จะไม่มีทางได้ดิบได้ดี วันหน้าหากไม่ต้องไปอยู่จุดพักม้าทำงานหาเลี้ยงชีพไปวันๆ ก็คงต้องไปเป็นคนเฝ้าประตูให้กับภูเขาลั่วพั่วของเฉินผิงอัน แต่เขาเจิ้งต้าเฟิงกลับไม่รู้สึกว่าน่าอายแม้แต่น้อย มีชีวิตอย่างมั่นคงสงบสุขก็ดีจะตายไป

หยางเหล่าโถวนั่งพ่นควันโขมงอยู่ตรงนั้น ทั้งไม่พูดว่าดี แล้วก็ไม่ได้เอ่ยตำหนิ

เจิ้งต้าเฟิงพูดความในใจจบก็ออกมาจากลานด้านหลังของร้านยา แม้ว่าจะรู้สึกใจฝ่ออยู่บ้าง แต่กลับผ่อนคลายสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

จากนั้นก็รู้สึกตลกเล็กน้อย ก่อนหน้านี้จะดีจะชั่วก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด แต่กลับไม่เคยกล้าพูดจาแบบนี้กับอาจารย์สักครั้ง ทุกครั้งที่พูดคุยกัน ถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากอาจารย์ไม่เคยเกินสิบตัวอักษร เจิ้งต้าเฟิงกลัวว่าอาจารย์จะเข้าใจผิดคิดว่าตนเห็นว่าไหแตกก็เลยทุ่มให้มันแหลกไปเสียเลย แล้วจะยิ่งดูถูกตน เพียงแต่คิดไปคิดมา เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ ทุกๆ สามวันห้าวันก็ไปหาผู้เฒ่าที่ร้านยาทีหนึ่ง ใครจะสนว่าผู้เฒ่าเห็นตนแล้วจะรำคาญใจหรือไม่

เจิ้งต้าเฟิงเข้ามาในเรือนด้านหลัง นั่งลงบนม้านั่ง ไม่ได้เอ่ยอะไร คิดว่าจะนั่งเป็นเพื่อนอาจารย์สักพักแล้วก็จะไป

แม้ว่าจะเก็บกลั้นคำพูดไว้เต็มท้อง แต่นิสัยของอาจารย์นั้น เจิ้งต้าเฟิงกระช่างชัดเจนดี ขอแค่อีกฝ่ายตัดสินใจไปแล้ว อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่หลี่เอ้อร์ หรือใครก็ตามในใต้หล้าก็ล้วนไม่อาจเปลี่ยนความคิดของอาจารย์ได้

หยางเหล่าโถวสูบยา พ่นควันออกมาเป็นวง เอ่ยเนิบช้า “ตอนที่กลับบ้าน เจ้าพกกระบอกยาสูบมาด้วยไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงทิ้งไปซะล่ะ? อายคนหรือไง?”

เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าจนร่างด้านนอกดำเกรียมด้านในอ่อนนุ่ม เรื่องแรกที่ทำก็คือนับนิ้วแล้วพูดอย่างตกตะลึงระคนดีใจ “อาจารย์ วันนี้คำพูดที่หลุดจากปากของท่านมีทั้งหมดยี่สิบสองคำ!”

หยางเหล่าโถวถาม “ลูกศิษย์คนหนึ่งที่แม้แต่จะมองสบตาอาจารย์ตรงๆ ก็ยังไม่กล้าทำ มีค่าพอให้อาจารย์พูดด้วยสักกี่คำ? เจ้าในอดีตคู่ควรหรือ?”

เจิ้งต้าเฟิงรีบนั่งตัวตรงอย่างสำรวม “เป็นศิษย์ที่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง”

คำพูดประโยคถัดมาของหยางเหล่าโถวยังคงโหดร้ายทิ่มแทงใจดั่งในอดีต “ก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว จะรู้สึกผิดหวังได้อย่างไร”

แปดคำ

นี่ต่างหากจึงจะเป็นการพูดคุยที่ปกติที่สุดระหว่างอาจารย์และศิษย์ก่อนหน้าที่เจิ้งต้าเฟิงจะไปจากบ้านเกิด

เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้รู้สึกน้อยใจ กลับกันยังอารมณ์ดีอย่างมาก บวกกับแปดคำนี้ วันนี้อาจารย์พูดสามสิบคำแล้ว วันหน้าเวลาพบเจอหลี่เอ้อร์ ตนต้องคุยอวดให้อีกฝ่ายฟังให้ได้!

หยางเหย่าโถวทำท่าขว้าง กระบอกยาสูบที่เจิ้งต้าเฟิงแอบทิ้งไว้นอกเมืองเล็กก็ลอยออกมา เจิ้งต้าเฟิงรับมาไว้ในมือ พบว่าแม้แต่เส้นยาสูบก็ยังถูกบรรจุไว้ด้านในแล้ว

หยางเหล่าโถวกล่าว “ข้าจะถามเจ้าแค่ประโยคเดียว คนอื่นๆ คู่ควรกับการถูกชุยฉานเล่นงานแบบนี้หรือไม่?”

เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ สองนิ้วถูเข้าด้วยกันง่ายๆ เส้นยาสูบก็ถูกจุดไฟ ความสามารถเล็กน้อยเท่านี้ ตอนนี้เขายังพอมีอยู่บ้าง

หยางเหล่าโถวกล่าว “หากเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันไม่ถูกทุบทำลายจนแหลกละเอียด เดิมทีเขาก็มีคุณสมบัติในการเป็นเซียนดิน ไม่ดีไม่เลว เพียงแต่ไม่ถือว่าโดดเด่น ตอนนี้จิตใจของเขาเฉินผิงอันก็ยิ่งแหลกสลาย อนาคตการเป็นผู้ฝึกลมปราณขาดสะบั้น ยังเหลือวิถีวรยุทธที่ยังเดินต่อไปได้ อย่างเลวร้ายที่สุดก็คือหมดอาลัยตายอยากอย่างสิ้นเชิง เป็นเศรษฐีที่ไม่มีอนาคตแต่กลับมีชีวิตอย่างสงบสุขอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว มีอะไรไม่ดีเล่า?”

อาจารย์และศิษย์สองคนต่างก็กำลังพ่นควันขโมง จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็กล่าวว่า “แบบนี้ไม่ดี?”

หยางเหล่าโถวหัวเราะหยัน “อ้อ?”

เจิ้งต้าเฟิงเงยหน้าขึ้น ปลุกความกล้าพูดว่า “เขาคือเฉินผิงอัน!”

หยางเหล่าโถวเอากระบอกสูบเคาะกับขั้นบันได พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “การที่เลือกเฉินผิงอัน กุญแจสำคัญที่แท้จริงก็เพราะประโยคหนึ่งของฉีจิ้งชุนไปทำให้บุคคลผู้นั้นหวั่นไหว จนเลือกที่จะลองเดิมพันกับหนึ่งนั้น เจ้าคิดว่าเป็นเพราะคุณสมบัติ นิสัยใจคอ พรสวรรค์และสภาพการณ์ที่เฉินผิงอันต้องเผชิญจริงๆ หรือ?”

เจิ้งต้าเฟิงตอกกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “ฉีจิ้งชุนจะเลือกเอาหม่าขู่เสวียนหรือเด็กคิ้วยาวตระกูลเซี่ยไปเกลี้ยกล่อมบุคคลผู้นั้นหรือ? ข้าว่าฉีจิ้งชุนอายที่จะพูดด้วยซ้ำ! หากอิงตามวิชาความรู้ของเฉินผิงอัน ถ้าอยากจะรู้ว่าผลลัพธ์ของเรื่องหนึ่งจะออกมาเป็นอย่างไรก็ต้องอนุมานกลับไปทีละก้าว ประโยคนั้นของฉีจิ้งชุนสำคัญมากก็จริง แต่จะมองข้ามคุณสมบัติ นิสัยใจคอ พรสวรรค์และสภาพการณ์ที่เฉินผิงอันต้องเผชิญไปได้จริงๆ หรือ? เมื่อออกไปอยู่ภายนอก ข้าถึงได้ยิ่งเข้าใจว่า ที่แท้วิถีทางโลกภายนอกก็เชื่อในเรื่องของความทุกข์ยากบนโลกยิ่งกว่าชาวบ้านในเมืองเล็กเราเสียอีก ตราบใดที่ใครบางคนได้รับการตอบแทน ก็ไม่ต้องยากลำบากอีกต่อไป ที่แท้จิตใจของผู้คนที่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ท่ามกลางทุกข์เข็ญที่ต้องพบเจอมาอย่างยาวนานก็ล้วนเทียบไม่ได้กับหนึ่งขอบเขต หนึ่งสมบัติอาคม หนึ่งกระบี่บิน หรือหนึ่งโชควาสนาในสายตาของคนอย่างพวกเขาเลย”

หยางเหล่าโถวหัวเราะ สายตาเยียบเย็น “คนโง่พวกนี้ก็คู่ควรให้ข้ากับเจ้าเอามาพูดถึงด้วยหรือ? มดกลุ่มหนึ่งที่รุมทึ้งแย่งชิงเศษซากอาหารน้อยนิด เจ้าจะไปพูดกับพวกมันยังไง? นอนคว่ำกับพื้นเพื่อพูดกับพวกมันหรือ? ดูท่าการออกเดินทางไกลครั้งนี้ของเจ้า ยิ่งใช้ชีวิตก็ยิ่งถอยหลังลงคลองซะแล้ว”

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มหน้าเป็น รีบเปลี่ยนหัวข้อ “อาจารย์ลงเดิมพันไปกับตัวเฉินผิงอันไม่น้อย ไม่กังวลว่าจะขาดทุนป่นปี้หรือ?”

หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “ตัวเองสายตาแย่ ค้าขายขาดทุน ก็อย่าไปโทษฟ้าโทษดิน”

เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ

ตนทำอย่างสุดความสามารถแล้ว หากยังช่วยพูดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องให้กับเฉินผิงอัน เกรงว่าผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาในทางตรงกันข้าม

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+