กระบี่จงมา 432.3 นักบัญชีท่านหนึ่งมาเยือนที่เกาะ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 432.3 นักบัญชีท่านหนึ่งมาเยือนที่เกาะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันตั้งใจฟังกู้ช่านจนจบ เขาไม่ได้บอกว่าผิดหรือถูก เพียงแค่ถามต่อไปว่า “แล้วหลังจากนั้น เมื่อเจ้าสามารถปกป้องตัวเองอยู่บนเกาะชิงเสียได้แล้ว ทำไมถึงยังจงใจปล่อยนักฆ่าคนหนึ่งไป จงใจให้พวกเขากลับมาลอบฆ่าเจ้าต่ออีกครั้ง?”

กู้ช่านกล่าว “นี่ก็เป็นวิธีที่ใช้สยบคนชั่วเหมือนกันนี่นา ต้องฆ่าให้พวกเขารู้สึกอกสั่นขวัญผวา หวาดกลัวจนตัวสั่น ถึงจะสะบั้นความคิดชั่วร้ายที่ถือกำเนิดขึ้นมาของศัตรูทุกคนได้อย่างเด็ดขาด นอกจากจะให้หนีชิวน้อยออกไปต่อสู้แล้ว ข้ากู้ช่านก็ต้องแสดงออกให้เห็นว่าชั่วร้ายกว่าพวกเขา ฉลาดกว่าพวกเขา ถึงจะได้! ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะกระเหี้ยนกระหือรือ รู้สึกว่ามีโอกาสให้ฉกฉวย นี่ไม่ใช่ว่าข้าพูดเหลวไหล เฉินผิงอันเจ้าเองก็เห็นแล้ว ข้าทำถึงขนาดนี้แล้ว ส่วนหนีชิวน้อยก็อำมหิตมากพอแล้วใช่ไหม? ทว่าจนกระทั่งถึงวันนี้ นักฆ่าของราชวงศ์จูอิ๋งก็ยังคงไม่ถอดใจ ยังจะมาสังหารข้าอีก ใช่ไหม? วันนี้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปด คราวหน้าต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าแน่”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ใช้นิ้วข้างหนึ่งวาดเส้นหนึ่งลงบนผิวโต๊ะ พูดพึมพำกับตัวเอง “ตามเส้นสายปลายเหตุเส้นนี้ของเจ้า ตอนนี้ข้าพอจะเข้าใจความคิดของเจ้าบ้างแล้ว อืม นี่คือเหตุผลของเจ้ากู้ช่าน อีกทั้งเมื่ออยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนยังเป็นเหตุผลที่ใช้ได้ แม้ว่าจะใช้ไม่ได้ผลเมื่ออยู่กับข้า แต่เส้นทางทุกสายในใต้หล้านี้ไม่ใช่ว่าข้าเฉินผิงอันจะยึดครองมาได้ทั้งหมด ยิ่งไม่ใช่ว่าเหตุผลของข้าจะเหมาะสมกับทุกคนและทุกสถานที่ ดังนั้นข้าจึงยังคงไม่ตัดสินว่าระหว่างพวกเราใครถูกใครผิด ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามเจ้าอีกหนึ่งคำถาม หากอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเจ้ากับท่านอาหญิงไม่มีทางถูกทำร้าย…ช่างเถิด หากเดินไปตามเส้นทางเส้นนี้ของเจ้ากับทะเลสาบซูเจี่ยน ยังไงก็เดินผ่านทะลุไปไม่ได้อยู่ดี”

กู้ช่านมึนงงไม่เข้าใจ เฉินผิงอันยังไม่ทันพูดความคิดของตัวเองจบก็ปฏิเสธความคิดของตัวเองแล้วหรือ?

ใต้หล้านี้มีคนที่พูดเหตุผลกับคนอื่นแบบนี้ด้วยหรือไร?

เวลาทะเลาะกับคนอื่น หรือควรจะเปลี่ยนมาพูดให้น่าฟังก็คือ เวลาใช้เหตุผลกับคนอื่น เพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายที่มีเหตุผล ไม่ยอมถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว ก็ไม่ควรพูดให้อีกฝ่ายตายไปเลยหรือไง? นี่ก็เหมือนกับเวลาที่ตีกับคนอื่นแล้วต้องตีให้ฝ่ายตรงข้ามตายรวดเดียวอย่างไรล่ะ

จากนั้นกู้ช่านก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ เพียงแต่พยายามขึงหน้าตัวเองให้ตึง หากเวลานี้เขากล้าหลุดเสียงหัวเราะออกไป เขากลัวว่าเฉินผิงอันจะสะบัดฝ่ามือใส่หน้าเขาอีกรอบ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขากู้ช่านจะเอาคืนได้หรือไง?

ก็ได้แต่ต้องทนรับไม่ใช่หรือ

อีกอย่างถูกเฉินผิงอันตบแค่ไม่กี่ที กู้ช่านไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย

ใต้หล้านี้แม้แต่ท่านแม่ก็ยังไม่ตีเขากู้ช่าน

มีเพียงเฉินผิงอันที่จะตี ไม่ใช่ว่าเกลียดเขากู้ช่าน แต่เป็นเพราะสงสารจริงๆ โมโหจริงๆ ผิดหวังจริงๆ ถึงได้ตีเขา

กู้ช่านรู้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ตรอกหนีผิงแล้ว

ทำไมในบรรดาสิบวีรบุรุษแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนผายลมสุนัขอะไรนั่น กู้ช่านถึงได้สนิทสนมกับเจ้าโง่ฟ่านเยี่ยนมากที่สุดอย่างแท้จริง?

นั่นเป็นเพราะมีเพียงคนโง่ที่เส้นประสาทในสมองขาดไปอย่างฟ่านเยี่ยนเท่านั้นถึงจะพูดประโยคโง่ๆ ทำนองว่า ‘ถูกท่านแม่ตีลงบนร่างเบาๆ ข้ากลับเจ็บปวดหัวใจ’

ตอนนี้บนใบหน้าของหนีชิวน้อยก็มีรอยยิ้มบางๆ

ไม่ว่าจะอย่างไร เฉินผิงอันก็ยังไม่เปลี่ยนไป

ต่อให้ข้ากู้ช่านจะเปลี่ยนไปมากมายขนาดนั้น เฉินผิงอันก็ยังคงเป็นเฉินผิงอันคนนั้น

เวลานี้เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนที่จะพูด

ก่อนหน้านั้นตอนอยู่ที่โต๊ะหนังสือ ขณะที่เตรียมจะยกพู่กันเขียนตัวอักษร เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเคยพูดเรื่องหนึ่งกับเผยเฉียน เกี่ยวกับปลาจี้เดือนสามและนกสามวสันต์ ตอนนั้นเฉินผิงอันอธิบายให้เผยฉียนฟังว่า นั่นคือความหวังดีที่ล้ำค่าซึ่งสามารถพูดกับคนที่มีข้าวให้กินอิ่ม มีเสื้อผ้าให้สวมอุ่นกาย แต่กลับไม่อาจนำประโยคที่มีเมตตากรุณาเหล่านี้ไปพูดกับคนที่ใกล้จะหิวตายได้ เพราะมันไร้เหตุผล ไม่ถูกไม่ควร การที่มนุษย์เป็นมนุษย์ ขนาดคนที่ใกล้จะตายก็ยังไม่สงสาร แต่กระโดดไปสงสารนก สงสารกบ อิงตามทฤษฎีลำดับขั้นตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสอนเฉินผิงอัน นี่ก็คือไม่ถูกแล้ว

และเมื่อเฉินผิงอันนำประโยคที่ตัวเองเคยกล่าวไปนี้มาวางไว้ในทะเลสาบซูเจี่ยนและเกาะชิงเสีย ก็เป็นเช่นนี้

นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าทำดีหรือไม่ทำดี แต่นี่เป็นเรื่องที่ว่ากู้ช่านกับมารดาของเขาควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร

ดังนั้นเฉินผิงอันถึงได้เริ่มทบทวนตัวเอง

หลังจากแยกผิดถูกก่อนหลังแล้ว

ก็มาตัดสินว่าใหญ่หรือเล็ก

แล้วค่อยจำกัดความว่าดีหรือเลว

จะพูดเหตุผลของตัวเองกับกู้ช่านโดยกระโดดข้ามไปไม่ได้แม้แต่ขั้นตอนเดียว

หากตนยังคิดไม่ได้อย่างชัดเจน คิดไม่ได้กระจ่างแจ้งมากพอ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ล้วนผิดไปหมด ต่อให้เป็นเหตุผลที่ถูกแค่ไหนก็เป็นแค่หอเรือนกลางอากาศหลังหนึ่งเท่านั้น

นึกถึงเหตุผลที่ตนเคยพูดกับเผยเฉียน เขาก็ไพล่นึกไปถึงบ้านเกิดของเผยเฉียนอย่างพื้นที่มงคลดอกบัว เมื่อคิดถึงพื้นที่มงคลดอกบัวก็อดที่จะนึกถึงในอดีตที่พอจิตใจของตนไม่สงบก็จะไปที่วัดซินเซียงซึ่งอยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวน ไปพบภิกษุเฒ่าที่หน้าตาเมตตาปราณีในวัดคนนั้นไม่ได้ สุดท้ายนึกไปถึงประโยคก่อนตายที่ภิกษุเฒ่าผู้ซึ่งไม่ชอบเอ่ยพระธรรมเอ่ยกับตนว่า ‘ทุกเรื่องไม่ควรเดินไปบนเส้นทางที่สุดโต่ง เวลาที่ใช้เหตุผลกับคนอื่น กลัวการที่ ‘เหตุผลของข้ายึดครองความถูกต้องทั้งหมด’ มากที่สุด กลัวที่สุดว่าหากขัดแย้งกับใครก็จะมองไม่เห็นความดีของเขาอีก’

สุดท้ายเฉินผิงอันก็นึกถึงประโยคที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งพูดขึ้นหลังจากเมามาย เขากล่าวว่า ‘ต้องอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ถึงกล้าพูดว่าโลกใบนี้ ‘ก็เป็นแบบนี้’ เคยพบเห็นคนมามากน้อยแค่ไหนถึงกล้าพูดว่าชายหญิงล้วน ‘เป็นเช่นนี้’? เจ้าเคยเห็นความสงบสุขและความยากลำบากมากับตาตัวเองมากน้อยเท่าไหร่ถึงกล้าสรุปว่าคนอื่นดีหรือเลว?”

ดังนั้นก่อนที่กู้ช่านจะมาถึง เฉินผิงอันจึงเริ่มยกพู่กันเขียนตัวอักษรแล้ว บนกระดาษสองแผ่นเขาแยกกันเขียนเป็นคำว่า ‘แบ่งก่อนหลัง’ ‘ตัดสินเล็กใหญ่’

กระดาษสองแผ่นวางเรียงกัน แต่เขาไม่ได้หยิบกระดาษแผ่นที่สามมาเขียนคำว่า ‘จำกัดความดีเลว’

หลังจากเขียนคำว่า ‘แบ่งก่อนหลัง’ ลงบนกระดาษแผ่นแรกแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มเขียนชื่อเรียงติดกัน

กู้ช่าน ท่านอาหญิง หลิวจื้อเม่า ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสีย ศิษย์พี่ใหญ่ นักฆ่าโอสถทอง…สุดท้ายจึงเขียนว่า ‘เฉินผิงอัน’

หลังจากเขียนเสร็จ มองคำว่าผู้ถวายงาน ศิษย์พี่ใหญ่ นักฆ่า ฯลฯ ที่ไม่มีแม้แต่ชื่อแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มจมสู่ภวังค์การครุ่นคิด

จากนั้นกู้ช่านก็มา

จึงได้แต่วางพู่กันลง ลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะหนังสือ

เวลานี้กู้ช่านเห็นว่าเฉินผิงอันเริ่มเหม่อลอยอีกครั้ง

กู้ช่านจึงไม่ส่งเสียงดังรบกวนเขา ฟุบตัวลงบนโต๊ะ หนีชิวน้อยลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะปลุกความกล้าฟุบตัวลงบนร่างของกู้ช่าน

ศีรษะทั้งสองต่างก็จ้องมองเฉินผิงอันที่ขมวดคิ้วเป็นปม

อันที่จริงหนีชิวน้อยสงสัยใคร่รู้ในตัวของเฉินผิงอันที่เดิมทีควรจะเป็นเจ้านายของตนอย่างมาก

ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจกู้ช่านถึงกับมีความคิดที่น่าเหลือเชื่ออย่างหนึ่งดำรงอยู่ นั่นคือหากวันใดที่ตัวกู้ช่านเองมีความสามารถมากพอแล้ว เขาจะมอบมันคืนให้กับเฉินผิงอัน

ต้องรู้ว่าต่อให้เป็นสหายอย่างลวี่ไช่ซางที่กู้ช่านให้การยอมรับ อย่างมากสุดก็แค่วันใดหากลวี่ไช่ซางถูกคนฆ่าตาย เขากู้ช่านช่วยแก้แค้นให้ก็ถือว่ามีน้ำใจของคนเป็นสหายมากแล้ว

กู้ช่านที่ฟุบตัวนอนคว่ำอยู่ตรงนั้นถามว่า “เฉินผิงอัน ข้าวถ้วยนั้นที่ท่านแม่ข้ามอบให้เจ้าในปีนั้น ก็เป็นแค่ข้าวถ้วยเดียวไม่ใช่หรือ? เจ้าไปเคาะประตูบ้านของคนอื่น ขอร้องเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็คงไม่มีทางต้องหิวตายจริงๆ หรอกกระมัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ดังนั้นข้าถึงได้ยิ่งสำนึกในบุญคุณของท่านอาหญิง”

กู้ช่านถาม “เพราะประโยคนั้นน่ะหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า? ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังว่า ท่านแม่ข้าขอร้องข้าไว้ว่าตลอดชีวิตนี้อย่าทำสองเรื่อง เรื่องแรกคือเป็นขอทาน เรื่องที่สองคือไปเป็นช่างปั้นที่เตาเผามังกร”

กู้ช่านถอนหายใจ

กู้ช่านถามอีก “ตอนนี้มาลองย้อนนึกดูแล้ว ต่อให้ตอนนั้นข้าไม่ได้มอบตำราหมัดเก่าๆ เล่มนั้นให้เจ้า แม้จะไม่มีหมัดเขย่าขุนเขา ก็อาจจะมีหมัดเขย่าวารี หมัดเขย่านครอะไรกระมัง?”

เฉินผิงอันยังคงพยักหน้า แต่พูดว่า “แต่เหตุผลจะพูดกันอย่างนี้ไม่ได้”

วิถีทางโลกมอบความปรารถนาดีให้เจ้าหนึ่งส่วน แต่เมื่อวันหนึ่งวิถีทางโลกมอบความเลวร้ายให้เจ้า ต่อให้ความเลวร้ายนี้จะมากเหนือกว่าความปรารถนาดี ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะปฏิเสธโลกใบนี้ไปทั้งหมด ความปรารถนาดีนั้นยังคงอยู่ จงจำเอาไว้ คว้าเอาไว้ ระลึกถึงไว้ตลอดเวลา

นี่ก็คืออุปสรรคด้านขั้นตอนที่ชุยตงซานเคยพูดถึง ทุกๆ ความถูกความผิดล้วนดำรงอยู่เพียงลำพัง ก็เหมือนกับถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาที่มรรคาจารย์เต๋าใช้พิศมรรคา หากพูดให้เล็กหน่อย ก็คือความถูกความผิดในแต่ละครั้ง พูดให้ใหญ่หน่อยก็คือความรู้ทุกแขนงของเมธีร้อยสำนักที่เป็นดั่งดอกบัวทุกดอกที่โผล่มาพ้นผิวน้ำ แม้ว่าในดินโคลนใต้บ่อน้ำจะมีรากบัวที่สลับซับซ้อนรัดพันกัน แต่หากแม้แต่ดอกบัวใบบัวที่ชัดเจนขนาดนั้นก็ยังมองเห็นได้ไม่ชัด ยังจะไปมองความจริงใต้น้ำอีกได้อย่างไร

กู้ช่านยิ้มกล่าว “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงไม่เปลี่ยนไปเลยล่ะ?”

เฉินผิงอันครุ่นคิด “บางทีข้าอาจจะโชคดีกว่าเจ้า ในบางช่วงเวลาที่สำคัญมาก ข้าได้เจอกับคนที่ดี”

กู้ช่านส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ใช่สักหน่อย ข้าก็ได้พบเจ้าแล้วไงล่ะ ตอนนั้นข้ายังเด็กถึงเพียงนั้น”

กู้ช่านสูดจมูก “ตอนนั้นข้ายังมีขี้มูกไหลย้อยอยู่สองเส้นทุกวันเลยนะ”

เฉินผิงอันยู่หน้า คล้ายอยากจะหัวเราะ

กู้ช่านหาข้ออ้างพาหนีชิวน้อยจากไป

รอจนประตูห้องปิดลงแล้ว ฝีเท้าที่จากไปไกลแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ใบหน้าและท่าทางของเฉินผิงอันพลันห่อเหี่ยว เนิ่นนานต่อมา เขายกมือลูบหน้า ที่แท้ก็ไม่มีน้ำตา

เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เดินกลับไปที่ห้องหนังสือ นั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือ

แล้วก็ลุกขึ้นอีกครั้ง ปลดเจี้ยนเซียนเล่มนั้นลง น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็ปลดลง ล้วนถูกเขาวางไว้มุมหนึ่งของโต๊ะหนังสือ

เขาเขียนตัวอักษรสี่บรรทัดลงไปบนกระดาษแผ่นที่เขียนคำว่า ‘ตัดสินเล็กใหญ่’

ขนบธรรมเนียมของหนึ่งสถานที่

กฎหมายของหนึ่งแคว้น

มารยาทพิธีการของหนึ่งทวีป

คุณธรรมของใต้หล้า

หลังจากเฉินผิงอันเขียนเสร็จ เขาที่สีหน้าอ่อนระโหยก็หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก หวังช่วยให้ตัวเองกระปรี้กระเป่า

จากนั้นก็เขียนตัวอักษรสามคำว่าทะเลสาบซูเจี่ยนลงไปหลังคำว่าขนบธรรมเนียมของหนึ่งสถานที่

……

กู้ช่านกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง ด้านในมีแม่นางเปิดสาบเสื้ออยู่สามคน คนหนึ่งฟ่านเยี่ยนส่งมาจากนครน้ำบ่อ นางคือลูกสาวขุนนางที่ตกระกำลำบากของแคว้นสือหาว คนหนึ่งกู้ช่านบังคับชิงตัวมาหลังจากที่สำนักบนเกาะซู่หลินถูกเกาะชิงเสียกวาดล้างจนสิ้นซาก คนหนึ่งคือลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเกาะสู่คู นางเป็นคนเรียกร้องว่าจะมาเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อเอง

กู้ช่านนั่งลงข้างโต๊ะ ใช้มือเดียวเท้าคาง บอกให้แม่นางเปิดสาบเสื้อทั้งสามมาเข้าแถวกัน แล้วเขาก็ถามว่า “นายท่านอย่างข้าอยากจะถามพวกเจ้าสักหนึ่งคำถาม ขอแค่ตอบตามตรงก็จะได้รับรางวัลอย่างงาม แต่หากกล้าโกหกข้าก็จะต้องกลายมาเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยของหนีชิวน้อยในวันนี้ ส่วนข้อที่ว่าหลังจากตอบคำถามตามตรงแล้วจะทำให้นายท่านโมโหหรือไม่ อืม หากเป็นเมื่อก่อนก็บอกได้ยาก แต่วันนี้ไม่ใช่ วันนี้ขอแค่พวกเจ้าพูดมาตามตรง ข้าจะอารมณ์ดี”

แม่นางเปิดสาบเสื้อสามคนที่หน้าตางดงามโดดเด่นต่างกันไป แต่ที่เหมือนกันคือล้วนเย้ายวนมีเสน่ห์ เวลานี้ตัวสั่นงันงก ไม่รู้ว่าเจ้านายน้อยที่มีนิสัยประหลาดยากจะคาดเดาผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่

กู้ช่านถาม “พวกเจ้าคิดว่าหลังจากได้กลายเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อแล้ว เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย หากดี ดีแค่ไหน หากร้าย ร้ายแค่ไหน?”

แม่นางเปิดสาบเสื้อที่เป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเกาะสู่คูรีบตอบทันทีว่า “เรียนนายน้อย สำหรับบ่าวแล้ว นี่คือเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ตลอดทั้งเกาะสู่คู บ่าวไม่เพียงแต่มีชีวิตรอดมาได้ อีกทั้งยังไม่ต้องหวาดหวั่นขวัญผวาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่านายน้อยจะรังแกพวกเรา สังหารพวกเราตามแต่อารมณ์หรือไม่ นายน้อยท่านไม่รู้หรอกว่าตอนนี้มีผู้ฝึกตนหญิงของทะเลสาบซูเจี่ยนมากน้อยเท่าไหร่ที่อยากเป็นสาวใช้ข้างกายของนายน้อย”

หญิงสาวคนที่สองที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนางของแคว้นสือหาวลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “บ่าวรู้สึกว่าไม่ดีและไม่เลว ถึงอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนจากทายาทสายตรงของตระกูลมาเป็นสาวใช้ แต่เมื่อเทียบกับการไปเป็นราชินีบุปผาในหอโคมเขียว หรือไปเป็นของเล่นของพวกบุรุษหยาบกระด้างแล้ว กลับดีกว่ามาก”

แม่นางเปิดสาบเสื้อคนสุดท้ายคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าเกาะซู่หลิน นางพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าอยากจะแร่เนื้อเถือหนังนายน้อยเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น!”

กู้ช่านไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย ถามว่า “ไม่ว่าอย่างไรเกาะซู่หลินก็ต้องโดนกวาดล้าง บังอาจสมคบคิดกับเกาะใหญ่อีกแปดเกาะที่เหลืออย่างลับๆ พยายามจะลอบโจมตีเกาะชิงเสียของพวกเรา อาจารย์ของพวกเจ้าตายอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่? ตายอย่างโง่งม ในบรรดาเกาะใหญ่เก้าแห่งก็เป็นเกาะซู่หลินของพวกเจ้าที่อยู่ใกล้กับเกาะชิงเสียของพวกเรามากที่สุด แต่กลับยังทำอะไรข้ามหัวพวกเรา ศิษย์พี่ใหญ่คนนั้นของเจ้าเป็นผู้ถวายงานปลายแถวของเกาะชิงเสียได้อย่างไร? เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ? เจ้าจะมาเกลียดคนนอกอย่างข้าทำไม? เพียงแค่เพราะข้ากับหนีชิวน้อยฆ่าคนมากไปหน่อย? เจ้าจะเกลียดก็ได้ ทว่าจะดีจะชั่วก็ควรจะรู้สึกซาบซึ้งที่ข้าช่วยเจ้าไว้สักนิดไม่ใช่หรือ? ไม่อย่างนั้นเวลานี้เจ้าก็กลายเป็นของเล่นใต้หว่างขาของศิษย์พี่ใหญ่เจ้าไปแล้ว รสนิยมส่วนตัวบนเตียงของเขาที่เริ่มเปิดเผยออกมา ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยได้ยินสักหน่อย”

แม่นางเปิดสาบเสื้อผู้นั้นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “ซาบซึ้ง? ข้าอยากจะควักลูกตาคู่นี้ของเจ้ากู้ช่านมากินแกล้มเหล้าด้วยซ้ำ!”

กู้ช่านร้องหึหนึ่งที “เมื่อก่อนข้ามองเจ้าแล้วไม่ค่อยถูกชะตานัก แต่เวลานี้กลับรู้สึกว่าเจ้าน่าสนใจที่สุด ตบรางวัล ตบรางวัลอย่างงาม ในบรรดาคนทั้งสามนี้ เจ้าจะได้รางวัลสองเท่า”

กู้ช่านโบกมือ “ออกไปเถอะ ไปรับรางวัลของพวกเจ้าซะ”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 432.3 นักบัญชีท่านหนึ่งมาเยือนที่เกาะ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 432.3 นักบัญชีท่านหนึ่งมาเยือนที่เกาะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันตั้งใจฟังกู้ช่านจนจบ เขาไม่ได้บอกว่าผิดหรือถูก เพียงแค่ถามต่อไปว่า “แล้วหลังจากนั้น เมื่อเจ้าสามารถปกป้องตัวเองอยู่บนเกาะชิงเสียได้แล้ว ทำไมถึงยังจงใจปล่อยนักฆ่าคนหนึ่งไป จงใจให้พวกเขากลับมาลอบฆ่าเจ้าต่ออีกครั้ง?”

กู้ช่านกล่าว “นี่ก็เป็นวิธีที่ใช้สยบคนชั่วเหมือนกันนี่นา ต้องฆ่าให้พวกเขารู้สึกอกสั่นขวัญผวา หวาดกลัวจนตัวสั่น ถึงจะสะบั้นความคิดชั่วร้ายที่ถือกำเนิดขึ้นมาของศัตรูทุกคนได้อย่างเด็ดขาด นอกจากจะให้หนีชิวน้อยออกไปต่อสู้แล้ว ข้ากู้ช่านก็ต้องแสดงออกให้เห็นว่าชั่วร้ายกว่าพวกเขา ฉลาดกว่าพวกเขา ถึงจะได้! ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะกระเหี้ยนกระหือรือ รู้สึกว่ามีโอกาสให้ฉกฉวย นี่ไม่ใช่ว่าข้าพูดเหลวไหล เฉินผิงอันเจ้าเองก็เห็นแล้ว ข้าทำถึงขนาดนี้แล้ว ส่วนหนีชิวน้อยก็อำมหิตมากพอแล้วใช่ไหม? ทว่าจนกระทั่งถึงวันนี้ นักฆ่าของราชวงศ์จูอิ๋งก็ยังคงไม่ถอดใจ ยังจะมาสังหารข้าอีก ใช่ไหม? วันนี้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปด คราวหน้าต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้าแน่”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ใช้นิ้วข้างหนึ่งวาดเส้นหนึ่งลงบนผิวโต๊ะ พูดพึมพำกับตัวเอง “ตามเส้นสายปลายเหตุเส้นนี้ของเจ้า ตอนนี้ข้าพอจะเข้าใจความคิดของเจ้าบ้างแล้ว อืม นี่คือเหตุผลของเจ้ากู้ช่าน อีกทั้งเมื่ออยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนยังเป็นเหตุผลที่ใช้ได้ แม้ว่าจะใช้ไม่ได้ผลเมื่ออยู่กับข้า แต่เส้นทางทุกสายในใต้หล้านี้ไม่ใช่ว่าข้าเฉินผิงอันจะยึดครองมาได้ทั้งหมด ยิ่งไม่ใช่ว่าเหตุผลของข้าจะเหมาะสมกับทุกคนและทุกสถานที่ ดังนั้นข้าจึงยังคงไม่ตัดสินว่าระหว่างพวกเราใครถูกใครผิด ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามเจ้าอีกหนึ่งคำถาม หากอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเจ้ากับท่านอาหญิงไม่มีทางถูกทำร้าย…ช่างเถิด หากเดินไปตามเส้นทางเส้นนี้ของเจ้ากับทะเลสาบซูเจี่ยน ยังไงก็เดินผ่านทะลุไปไม่ได้อยู่ดี”

กู้ช่านมึนงงไม่เข้าใจ เฉินผิงอันยังไม่ทันพูดความคิดของตัวเองจบก็ปฏิเสธความคิดของตัวเองแล้วหรือ?

ใต้หล้านี้มีคนที่พูดเหตุผลกับคนอื่นแบบนี้ด้วยหรือไร?

เวลาทะเลาะกับคนอื่น หรือควรจะเปลี่ยนมาพูดให้น่าฟังก็คือ เวลาใช้เหตุผลกับคนอื่น เพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายที่มีเหตุผล ไม่ยอมถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว ก็ไม่ควรพูดให้อีกฝ่ายตายไปเลยหรือไง? นี่ก็เหมือนกับเวลาที่ตีกับคนอื่นแล้วต้องตีให้ฝ่ายตรงข้ามตายรวดเดียวอย่างไรล่ะ

จากนั้นกู้ช่านก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ เพียงแต่พยายามขึงหน้าตัวเองให้ตึง หากเวลานี้เขากล้าหลุดเสียงหัวเราะออกไป เขากลัวว่าเฉินผิงอันจะสะบัดฝ่ามือใส่หน้าเขาอีกรอบ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขากู้ช่านจะเอาคืนได้หรือไง?

ก็ได้แต่ต้องทนรับไม่ใช่หรือ

อีกอย่างถูกเฉินผิงอันตบแค่ไม่กี่ที กู้ช่านไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย

ใต้หล้านี้แม้แต่ท่านแม่ก็ยังไม่ตีเขากู้ช่าน

มีเพียงเฉินผิงอันที่จะตี ไม่ใช่ว่าเกลียดเขากู้ช่าน แต่เป็นเพราะสงสารจริงๆ โมโหจริงๆ ผิดหวังจริงๆ ถึงได้ตีเขา

กู้ช่านรู้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ตรอกหนีผิงแล้ว

ทำไมในบรรดาสิบวีรบุรุษแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนผายลมสุนัขอะไรนั่น กู้ช่านถึงได้สนิทสนมกับเจ้าโง่ฟ่านเยี่ยนมากที่สุดอย่างแท้จริง?

นั่นเป็นเพราะมีเพียงคนโง่ที่เส้นประสาทในสมองขาดไปอย่างฟ่านเยี่ยนเท่านั้นถึงจะพูดประโยคโง่ๆ ทำนองว่า ‘ถูกท่านแม่ตีลงบนร่างเบาๆ ข้ากลับเจ็บปวดหัวใจ’

ตอนนี้บนใบหน้าของหนีชิวน้อยก็มีรอยยิ้มบางๆ

ไม่ว่าจะอย่างไร เฉินผิงอันก็ยังไม่เปลี่ยนไป

ต่อให้ข้ากู้ช่านจะเปลี่ยนไปมากมายขนาดนั้น เฉินผิงอันก็ยังคงเป็นเฉินผิงอันคนนั้น

เวลานี้เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนที่จะพูด

ก่อนหน้านั้นตอนอยู่ที่โต๊ะหนังสือ ขณะที่เตรียมจะยกพู่กันเขียนตัวอักษร เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเคยพูดเรื่องหนึ่งกับเผยเฉียน เกี่ยวกับปลาจี้เดือนสามและนกสามวสันต์ ตอนนั้นเฉินผิงอันอธิบายให้เผยฉียนฟังว่า นั่นคือความหวังดีที่ล้ำค่าซึ่งสามารถพูดกับคนที่มีข้าวให้กินอิ่ม มีเสื้อผ้าให้สวมอุ่นกาย แต่กลับไม่อาจนำประโยคที่มีเมตตากรุณาเหล่านี้ไปพูดกับคนที่ใกล้จะหิวตายได้ เพราะมันไร้เหตุผล ไม่ถูกไม่ควร การที่มนุษย์เป็นมนุษย์ ขนาดคนที่ใกล้จะตายก็ยังไม่สงสาร แต่กระโดดไปสงสารนก สงสารกบ อิงตามทฤษฎีลำดับขั้นตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสอนเฉินผิงอัน นี่ก็คือไม่ถูกแล้ว

และเมื่อเฉินผิงอันนำประโยคที่ตัวเองเคยกล่าวไปนี้มาวางไว้ในทะเลสาบซูเจี่ยนและเกาะชิงเสีย ก็เป็นเช่นนี้

นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าทำดีหรือไม่ทำดี แต่นี่เป็นเรื่องที่ว่ากู้ช่านกับมารดาของเขาควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร

ดังนั้นเฉินผิงอันถึงได้เริ่มทบทวนตัวเอง

หลังจากแยกผิดถูกก่อนหลังแล้ว

ก็มาตัดสินว่าใหญ่หรือเล็ก

แล้วค่อยจำกัดความว่าดีหรือเลว

จะพูดเหตุผลของตัวเองกับกู้ช่านโดยกระโดดข้ามไปไม่ได้แม้แต่ขั้นตอนเดียว

หากตนยังคิดไม่ได้อย่างชัดเจน คิดไม่ได้กระจ่างแจ้งมากพอ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ล้วนผิดไปหมด ต่อให้เป็นเหตุผลที่ถูกแค่ไหนก็เป็นแค่หอเรือนกลางอากาศหลังหนึ่งเท่านั้น

นึกถึงเหตุผลที่ตนเคยพูดกับเผยเฉียน เขาก็ไพล่นึกไปถึงบ้านเกิดของเผยเฉียนอย่างพื้นที่มงคลดอกบัว เมื่อคิดถึงพื้นที่มงคลดอกบัวก็อดที่จะนึกถึงในอดีตที่พอจิตใจของตนไม่สงบก็จะไปที่วัดซินเซียงซึ่งอยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวน ไปพบภิกษุเฒ่าที่หน้าตาเมตตาปราณีในวัดคนนั้นไม่ได้ สุดท้ายนึกไปถึงประโยคก่อนตายที่ภิกษุเฒ่าผู้ซึ่งไม่ชอบเอ่ยพระธรรมเอ่ยกับตนว่า ‘ทุกเรื่องไม่ควรเดินไปบนเส้นทางที่สุดโต่ง เวลาที่ใช้เหตุผลกับคนอื่น กลัวการที่ ‘เหตุผลของข้ายึดครองความถูกต้องทั้งหมด’ มากที่สุด กลัวที่สุดว่าหากขัดแย้งกับใครก็จะมองไม่เห็นความดีของเขาอีก’

สุดท้ายเฉินผิงอันก็นึกถึงประโยคที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งพูดขึ้นหลังจากเมามาย เขากล่าวว่า ‘ต้องอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ถึงกล้าพูดว่าโลกใบนี้ ‘ก็เป็นแบบนี้’ เคยพบเห็นคนมามากน้อยแค่ไหนถึงกล้าพูดว่าชายหญิงล้วน ‘เป็นเช่นนี้’? เจ้าเคยเห็นความสงบสุขและความยากลำบากมากับตาตัวเองมากน้อยเท่าไหร่ถึงกล้าสรุปว่าคนอื่นดีหรือเลว?”

ดังนั้นก่อนที่กู้ช่านจะมาถึง เฉินผิงอันจึงเริ่มยกพู่กันเขียนตัวอักษรแล้ว บนกระดาษสองแผ่นเขาแยกกันเขียนเป็นคำว่า ‘แบ่งก่อนหลัง’ ‘ตัดสินเล็กใหญ่’

กระดาษสองแผ่นวางเรียงกัน แต่เขาไม่ได้หยิบกระดาษแผ่นที่สามมาเขียนคำว่า ‘จำกัดความดีเลว’

หลังจากเขียนคำว่า ‘แบ่งก่อนหลัง’ ลงบนกระดาษแผ่นแรกแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มเขียนชื่อเรียงติดกัน

กู้ช่าน ท่านอาหญิง หลิวจื้อเม่า ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสีย ศิษย์พี่ใหญ่ นักฆ่าโอสถทอง…สุดท้ายจึงเขียนว่า ‘เฉินผิงอัน’

หลังจากเขียนเสร็จ มองคำว่าผู้ถวายงาน ศิษย์พี่ใหญ่ นักฆ่า ฯลฯ ที่ไม่มีแม้แต่ชื่อแล้ว เฉินผิงอันก็เริ่มจมสู่ภวังค์การครุ่นคิด

จากนั้นกู้ช่านก็มา

จึงได้แต่วางพู่กันลง ลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะหนังสือ

เวลานี้กู้ช่านเห็นว่าเฉินผิงอันเริ่มเหม่อลอยอีกครั้ง

กู้ช่านจึงไม่ส่งเสียงดังรบกวนเขา ฟุบตัวลงบนโต๊ะ หนีชิวน้อยลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะปลุกความกล้าฟุบตัวลงบนร่างของกู้ช่าน

ศีรษะทั้งสองต่างก็จ้องมองเฉินผิงอันที่ขมวดคิ้วเป็นปม

อันที่จริงหนีชิวน้อยสงสัยใคร่รู้ในตัวของเฉินผิงอันที่เดิมทีควรจะเป็นเจ้านายของตนอย่างมาก

ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจกู้ช่านถึงกับมีความคิดที่น่าเหลือเชื่ออย่างหนึ่งดำรงอยู่ นั่นคือหากวันใดที่ตัวกู้ช่านเองมีความสามารถมากพอแล้ว เขาจะมอบมันคืนให้กับเฉินผิงอัน

ต้องรู้ว่าต่อให้เป็นสหายอย่างลวี่ไช่ซางที่กู้ช่านให้การยอมรับ อย่างมากสุดก็แค่วันใดหากลวี่ไช่ซางถูกคนฆ่าตาย เขากู้ช่านช่วยแก้แค้นให้ก็ถือว่ามีน้ำใจของคนเป็นสหายมากแล้ว

กู้ช่านที่ฟุบตัวนอนคว่ำอยู่ตรงนั้นถามว่า “เฉินผิงอัน ข้าวถ้วยนั้นที่ท่านแม่ข้ามอบให้เจ้าในปีนั้น ก็เป็นแค่ข้าวถ้วยเดียวไม่ใช่หรือ? เจ้าไปเคาะประตูบ้านของคนอื่น ขอร้องเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็คงไม่มีทางต้องหิวตายจริงๆ หรอกกระมัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ดังนั้นข้าถึงได้ยิ่งสำนึกในบุญคุณของท่านอาหญิง”

กู้ช่านถาม “เพราะประโยคนั้นน่ะหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า? ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังว่า ท่านแม่ข้าขอร้องข้าไว้ว่าตลอดชีวิตนี้อย่าทำสองเรื่อง เรื่องแรกคือเป็นขอทาน เรื่องที่สองคือไปเป็นช่างปั้นที่เตาเผามังกร”

กู้ช่านถอนหายใจ

กู้ช่านถามอีก “ตอนนี้มาลองย้อนนึกดูแล้ว ต่อให้ตอนนั้นข้าไม่ได้มอบตำราหมัดเก่าๆ เล่มนั้นให้เจ้า แม้จะไม่มีหมัดเขย่าขุนเขา ก็อาจจะมีหมัดเขย่าวารี หมัดเขย่านครอะไรกระมัง?”

เฉินผิงอันยังคงพยักหน้า แต่พูดว่า “แต่เหตุผลจะพูดกันอย่างนี้ไม่ได้”

วิถีทางโลกมอบความปรารถนาดีให้เจ้าหนึ่งส่วน แต่เมื่อวันหนึ่งวิถีทางโลกมอบความเลวร้ายให้เจ้า ต่อให้ความเลวร้ายนี้จะมากเหนือกว่าความปรารถนาดี ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะปฏิเสธโลกใบนี้ไปทั้งหมด ความปรารถนาดีนั้นยังคงอยู่ จงจำเอาไว้ คว้าเอาไว้ ระลึกถึงไว้ตลอดเวลา

นี่ก็คืออุปสรรคด้านขั้นตอนที่ชุยตงซานเคยพูดถึง ทุกๆ ความถูกความผิดล้วนดำรงอยู่เพียงลำพัง ก็เหมือนกับถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาที่มรรคาจารย์เต๋าใช้พิศมรรคา หากพูดให้เล็กหน่อย ก็คือความถูกความผิดในแต่ละครั้ง พูดให้ใหญ่หน่อยก็คือความรู้ทุกแขนงของเมธีร้อยสำนักที่เป็นดั่งดอกบัวทุกดอกที่โผล่มาพ้นผิวน้ำ แม้ว่าในดินโคลนใต้บ่อน้ำจะมีรากบัวที่สลับซับซ้อนรัดพันกัน แต่หากแม้แต่ดอกบัวใบบัวที่ชัดเจนขนาดนั้นก็ยังมองเห็นได้ไม่ชัด ยังจะไปมองความจริงใต้น้ำอีกได้อย่างไร

กู้ช่านยิ้มกล่าว “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงไม่เปลี่ยนไปเลยล่ะ?”

เฉินผิงอันครุ่นคิด “บางทีข้าอาจจะโชคดีกว่าเจ้า ในบางช่วงเวลาที่สำคัญมาก ข้าได้เจอกับคนที่ดี”

กู้ช่านส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ใช่สักหน่อย ข้าก็ได้พบเจ้าแล้วไงล่ะ ตอนนั้นข้ายังเด็กถึงเพียงนั้น”

กู้ช่านสูดจมูก “ตอนนั้นข้ายังมีขี้มูกไหลย้อยอยู่สองเส้นทุกวันเลยนะ”

เฉินผิงอันยู่หน้า คล้ายอยากจะหัวเราะ

กู้ช่านหาข้ออ้างพาหนีชิวน้อยจากไป

รอจนประตูห้องปิดลงแล้ว ฝีเท้าที่จากไปไกลแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ใบหน้าและท่าทางของเฉินผิงอันพลันห่อเหี่ยว เนิ่นนานต่อมา เขายกมือลูบหน้า ที่แท้ก็ไม่มีน้ำตา

เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เดินกลับไปที่ห้องหนังสือ นั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือ

แล้วก็ลุกขึ้นอีกครั้ง ปลดเจี้ยนเซียนเล่มนั้นลง น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็ปลดลง ล้วนถูกเขาวางไว้มุมหนึ่งของโต๊ะหนังสือ

เขาเขียนตัวอักษรสี่บรรทัดลงไปบนกระดาษแผ่นที่เขียนคำว่า ‘ตัดสินเล็กใหญ่’

ขนบธรรมเนียมของหนึ่งสถานที่

กฎหมายของหนึ่งแคว้น

มารยาทพิธีการของหนึ่งทวีป

คุณธรรมของใต้หล้า

หลังจากเฉินผิงอันเขียนเสร็จ เขาที่สีหน้าอ่อนระโหยก็หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก หวังช่วยให้ตัวเองกระปรี้กระเป่า

จากนั้นก็เขียนตัวอักษรสามคำว่าทะเลสาบซูเจี่ยนลงไปหลังคำว่าขนบธรรมเนียมของหนึ่งสถานที่

……

กู้ช่านกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง ด้านในมีแม่นางเปิดสาบเสื้ออยู่สามคน คนหนึ่งฟ่านเยี่ยนส่งมาจากนครน้ำบ่อ นางคือลูกสาวขุนนางที่ตกระกำลำบากของแคว้นสือหาว คนหนึ่งกู้ช่านบังคับชิงตัวมาหลังจากที่สำนักบนเกาะซู่หลินถูกเกาะชิงเสียกวาดล้างจนสิ้นซาก คนหนึ่งคือลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเกาะสู่คู นางเป็นคนเรียกร้องว่าจะมาเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อเอง

กู้ช่านนั่งลงข้างโต๊ะ ใช้มือเดียวเท้าคาง บอกให้แม่นางเปิดสาบเสื้อทั้งสามมาเข้าแถวกัน แล้วเขาก็ถามว่า “นายท่านอย่างข้าอยากจะถามพวกเจ้าสักหนึ่งคำถาม ขอแค่ตอบตามตรงก็จะได้รับรางวัลอย่างงาม แต่หากกล้าโกหกข้าก็จะต้องกลายมาเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยของหนีชิวน้อยในวันนี้ ส่วนข้อที่ว่าหลังจากตอบคำถามตามตรงแล้วจะทำให้นายท่านโมโหหรือไม่ อืม หากเป็นเมื่อก่อนก็บอกได้ยาก แต่วันนี้ไม่ใช่ วันนี้ขอแค่พวกเจ้าพูดมาตามตรง ข้าจะอารมณ์ดี”

แม่นางเปิดสาบเสื้อสามคนที่หน้าตางดงามโดดเด่นต่างกันไป แต่ที่เหมือนกันคือล้วนเย้ายวนมีเสน่ห์ เวลานี้ตัวสั่นงันงก ไม่รู้ว่าเจ้านายน้อยที่มีนิสัยประหลาดยากจะคาดเดาผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่

กู้ช่านถาม “พวกเจ้าคิดว่าหลังจากได้กลายเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อแล้ว เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย หากดี ดีแค่ไหน หากร้าย ร้ายแค่ไหน?”

แม่นางเปิดสาบเสื้อที่เป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกของเกาะสู่คูรีบตอบทันทีว่า “เรียนนายน้อย สำหรับบ่าวแล้ว นี่คือเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ตลอดทั้งเกาะสู่คู บ่าวไม่เพียงแต่มีชีวิตรอดมาได้ อีกทั้งยังไม่ต้องหวาดหวั่นขวัญผวาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่านายน้อยจะรังแกพวกเรา สังหารพวกเราตามแต่อารมณ์หรือไม่ นายน้อยท่านไม่รู้หรอกว่าตอนนี้มีผู้ฝึกตนหญิงของทะเลสาบซูเจี่ยนมากน้อยเท่าไหร่ที่อยากเป็นสาวใช้ข้างกายของนายน้อย”

หญิงสาวคนที่สองที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนางของแคว้นสือหาวลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “บ่าวรู้สึกว่าไม่ดีและไม่เลว ถึงอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนจากทายาทสายตรงของตระกูลมาเป็นสาวใช้ แต่เมื่อเทียบกับการไปเป็นราชินีบุปผาในหอโคมเขียว หรือไปเป็นของเล่นของพวกบุรุษหยาบกระด้างแล้ว กลับดีกว่ามาก”

แม่นางเปิดสาบเสื้อคนสุดท้ายคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าเกาะซู่หลิน นางพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าอยากจะแร่เนื้อเถือหนังนายน้อยเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น!”

กู้ช่านไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย ถามว่า “ไม่ว่าอย่างไรเกาะซู่หลินก็ต้องโดนกวาดล้าง บังอาจสมคบคิดกับเกาะใหญ่อีกแปดเกาะที่เหลืออย่างลับๆ พยายามจะลอบโจมตีเกาะชิงเสียของพวกเรา อาจารย์ของพวกเจ้าตายอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่? ตายอย่างโง่งม ในบรรดาเกาะใหญ่เก้าแห่งก็เป็นเกาะซู่หลินของพวกเจ้าที่อยู่ใกล้กับเกาะชิงเสียของพวกเรามากที่สุด แต่กลับยังทำอะไรข้ามหัวพวกเรา ศิษย์พี่ใหญ่คนนั้นของเจ้าเป็นผู้ถวายงานปลายแถวของเกาะชิงเสียได้อย่างไร? เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ? เจ้าจะมาเกลียดคนนอกอย่างข้าทำไม? เพียงแค่เพราะข้ากับหนีชิวน้อยฆ่าคนมากไปหน่อย? เจ้าจะเกลียดก็ได้ ทว่าจะดีจะชั่วก็ควรจะรู้สึกซาบซึ้งที่ข้าช่วยเจ้าไว้สักนิดไม่ใช่หรือ? ไม่อย่างนั้นเวลานี้เจ้าก็กลายเป็นของเล่นใต้หว่างขาของศิษย์พี่ใหญ่เจ้าไปแล้ว รสนิยมส่วนตัวบนเตียงของเขาที่เริ่มเปิดเผยออกมา ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยได้ยินสักหน่อย”

แม่นางเปิดสาบเสื้อผู้นั้นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “ซาบซึ้ง? ข้าอยากจะควักลูกตาคู่นี้ของเจ้ากู้ช่านมากินแกล้มเหล้าด้วยซ้ำ!”

กู้ช่านร้องหึหนึ่งที “เมื่อก่อนข้ามองเจ้าแล้วไม่ค่อยถูกชะตานัก แต่เวลานี้กลับรู้สึกว่าเจ้าน่าสนใจที่สุด ตบรางวัล ตบรางวัลอย่างงาม ในบรรดาคนทั้งสามนี้ เจ้าจะได้รางวัลสองเท่า”

กู้ช่านโบกมือ “ออกไปเถอะ ไปรับรางวัลของพวกเจ้าซะ”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+