กระบี่จงมา 439.3 ใจคนเหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 439.3 ใจคนเหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าวว่า “บอกตามตรง ก็แค่สตรีครึ่งคนครึ่งผีของจวนจูเสียนเท่านั้น คืนนั้นหากหลิวเหล่าเฉิงฝืนบังคับชิงตัวไป หรือจะเปิดปากขอเอาจากข้าอย่างที่เจ้าทำ ข้าจะกล้าไม่ให้ได้หรือ? แต่เหตุใดหลิวเหล่าเฉิงถึงไม่ทำเช่นนั้น เจ้าเคยคิดหรือไม่?”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งเผชิญหน้าอยู่กับหลิวจื้อเม่าเงียบๆ ประหนึ่งพระพุทธรูปผุพังสีสันหลุดลอกในสถานที่ที่มีปราณวิญญาณบางเบา

หลิวจื้อเม่าถามอย่างประหลาดใจ “ความลับเรื่องนี้ แม้แต่นางเองยังถูกปิดหูปิดตา ต่อให้เป็นหม่าหย่วนจื้อผู้ฝึกตนผีของจวนจูเสียนก็ยังไม่รู้แน่ชัด แล้วเจ้าเดาออกได้อย่างไร?”

เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบัง “อันดับแรกคือความเป็นมาของชื่อจวนจูเสียนนี้ จากนั้นก็เป็นชื่อของสุราหนึ่งไห”

หลิวจื้อเม่ายิ่งไม่เข้าใจ เขาเรียกเฉินผิงอันว่าท่านเฉินด้วยความเคารพอีกครั้ง “ขอท่านเฉินโปรดไขข้อข้องใจให้ข้าด้วย”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “หม่าหย่วนจื้อผู้ฝึกตนผีที่มีชาติกำเนิดมาจากคนแบกอาหาร หลงรักหลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไช ข้าเคยได้ยินเขาเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังด้วยตัวเอง ตอนที่พูดถึงจวนจูเสียน เขาค่อนข้างจะภาคภูมิใจ แต่ไม่ยอมให้คำตอบ ข้าก็เลยไปที่เกาะจูไชมาครั้งหนึ่ง ลองใช้สามคำว่าจวนจูเสียนถามหยั่งเชิงหลิวจ้งรุ่น ผู้ฝึกตนหญิงคนนี้ก็อับอายจนพานเป็นความโกรธทันที แม้จะไม่ได้บอกความจริงให้รู้เช่นเดียวกัน แต่นางกลับด่าหม่าหย่วนจื้อว่าเป็นคนไร้ยางอาย ข้าก็เลยไปที่นครน้ำบ่อมารอบหนึ่ง ซื้อตำราโบราณจากถนนวานรร่ำไห้และสอบถามพวกเถ้าแก่ร้านหนังสืออยู่หลายร้าน ถึงได้รู้ว่าที่แท้บ้านเดิมของหลิวจ้งรุ่นกับหม่าหย่วนจื้อมีคำกลอนประโยคหนึ่งที่ค่อนข้างจะหาฟังได้ยาก คือประโยคว่า ‘จ้งรุ่นเสี่ยงจูเสียน’ ก็เลยไขปริศนาข้อนี้ได้ ความลำพองใจของหม่าหย่วนจื้อที่ตั้งชื่อจวนว่าจูเสียน ก็เพราะคิดจะใช้คำว่า ‘เสี่ยง’ ในบทกลอนที่แปลว่าเสียงดัง มาพ้องกับคำว่า ‘เสี่ยง’ ที่แปลว่าคิดถึง”

หลิวจื้อเม่าลูบหนวดยิ้ม “ประเสริฐ หากไม่ได้ท่านเฉินช่วยไขปริศนาให้ ข้าก็ไม่รู้เลยว่าที่แท้คนแบกอาหารชาติกำเนิดต่ำต้อยอย่างหม่าหย่วนจื้อยังมีความรู้ด้านการประพันธ์ที่สง่างามเช่นนี้อยู่ด้วย”

เฉินผิงอันกล่าว “เหล้าหวงเถิง ต้นหลิวกำแพงวัง (กงเฉียงหลิ่ว) เหล้าทางการของบ้านเกิดหงซู เกาะกงหลิ่วของทะเลสาบซูเจี่ยน รวมไปถึงปราณดุร้ายเข้มข้นที่ล้อมวนอยู่บนร่างของหงซู หากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นเศร้าอาลัย ไม่ต้องให้ข้าเปิดบันทึกลับในประวัติศาสตร์ของทะเลสาบซูเจี่ยนก็รู้ได้ ปีนั้นเรื่องราวความรักระหว่างหลิวเหล่าเฉิงกับผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นลูกศิษย์ที่ต้องตายจากกันทั้งที่ยังค้างคา ฝ่ายหลังตายอย่างกะทันหัน หลิวเหล่าเฉิงไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน นี่เป็นเรื่องที่คนทั้งโลกล้วนรับรู้ พอนำมาเชื่อมโยงกับความระมัดระวังของเจ้าหลิวจื้อเม่า ก็ต้องย่อมรู้ว่าศัตรูตัวฉกาจที่สุดที่ทะเลสาบซูเจี่ยนมีร่วมกัน ไม่ใช่สองเกาะชิงจ่งและเทียนหมู่ที่มีเกาะลี่ซู่เป็นตัวช่วยประสานภายในให้ระหว่างเจ้ากับต้าหลี แต่เป็นหลิวเหล่าเฉิงที่ไม่เคยเผยโฉมหน้า เจ้ากล้าช่วงชิงตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพนี้ นอกจากมีต้าหลีเป็นที่พึ่ง ช่วยให้เจ้ารวบรวมกองกำลังใหญ่แล้ว เจ้าเองก็ต้องมีวิธีการที่เหี้ยมโหดมากพอจะนำมาปกป้องตัวเอง เหลือทางถอยไว้ให้ตัวเอง เพื่อรับรองว่าอย่างน้อยเมื่อหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนย้อนกลับมาทะเลสาบซูเจี่ยนอีกครั้งก็จะไม่มีทางฆ่าเจ้า”

หลิวจื้อเม่าหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ

ช่างเป็นคนที่รู้ใจตนยิ่งนัก!

ต่อให้คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกเลยว่า ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่กว้างใหญ่ ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นคนหนุ่มต่างถิ่นผู้นี้ที่เป็นคนรู้ใจเขาหลิวจื้อเม่ามากที่สุด!

สีหน้าของเฉินผิงอันเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ข้ายื่นข้อเสนอกึ่งหนึ่งก่อนแล้วกัน เจ้าคงจะเล่นตุกติกกับบนร่างของมารดากู้ช่านอยู่กระมัง ถอนมันออกเสียเถอะ ตอนนี้กู้ช่านไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับเจ้าแล้ว อีกทั้งไฟที่ไหม้ขนคิ้วของเจ้าในเวลานี้ก็คือหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว และเรื่องที่ว่าจะรักษาตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพนี้ไว้ได้อย่างไร ทางฝั่งของต้าหลี ข้าจะลองช่วยเจ้าดูแล้วกัน อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เจ้ากลายเป็นหมากที่ถูกทอดทิ้ง เป็นได้แค่เส้นทางให้หลิวเหล่าเฉิงก้าวเดินขึ้นไปบนยอดเขาอย่างเดียวเท่านั้น”

หลิวจื้อเม่าขมวดคิ้ว “ความเป็นความตายของหงซูยังคงอยู่ในกำมือของข้า”

นักบัญชีหนุ่มที่แก้มตอบลงเล็กน้อยหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก ไออยู่สองสามทีก็กล่าวว่า “แล้วถ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดหนึ่งในหมื่นขึ้นล่ะ? ถ้าหากหลิวเหล่าเฉิงไม่ใช่เจ้าเกาะกงหลิ่วในปีนั้นอีกต่อไป ถ้าหากเกี่ยวพันกับการเดินหน้าไปบนมหามรรคาของเขา หงซูจะสำคัญขนาดนั้นจริงๆ หรือ? ปีนั้นวางไม่ลง แต่เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าตอนนี้จะยังคงวางไม่ลงอยู่เหมือนเดิม? ไม่แน่ว่าเมื่อ ‘หนึ่งในหมื่น’ นั้นมาถึงจริงๆ เขาอาจจะเลือกจบชีวิตของหงซูไปโดยตรง แล้วค่อยต่อยเจ้าที่บังอาจย้อนเกล็ดเขาหลิวเหล่าเฉิงให้ตายไปด้วยหมัดเดียว ดังนั้นหลิวจื้อเม่า เจ้าเลือกเองเถอะ ข้าก็แค่ป้องกันการเกิดขึ้นของจุดจบที่เลวร้ายที่สุดให้เจ้าเท่านั้น”

หลิวจื้อเม่าถามคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญ “ท่านเฉินมีความสามารถมาพอที่จะส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคนระดับสูงของต้าหลีจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีจริง แต่ก็มีจำกัด แต่ข้าสามารถบอกกับเจ้าได้ตามตรงเลยว่า ตอนนี้สกุลซ่งต้าหลียังติดค้างของบางอย่างข้าอยู่”

หลิวจื้อเม่ามองคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

ความคิดนับร้อยนับพันประดังประเดกันเข้ามา

หลิวจื้อเม่าเก็บถ้วยขาวใบนั้น ลุกขึ้นยืน “ภายในสามวัน ข้าจะให้คำตอบที่แน่ชัดแก่ท่านเฉิน”

เฉินผิงอันไม่ได้ลุกขึ้นยืน “หวังว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินความเป็นความตายและทิศทางการดำเนินไปของมหามรรคาตัวเอง เจินจวินจะแสวงหาความจริงได้อย่างแท้จริง”

มุมปากหลิวจื้อเม่ากระตุก “แน่นอน”

พอหลิวจื้อเม่าจากไป เฉินผิงอันก็ไอไม่หยุด

คืนนั้นที่ฝืนบังคับเจี้ยนเซียนเล่มนั้น

ทิ้งโรคร้ายไว้มากมายนับไม่ถ้วน

เดิมทีก็ทำลายช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตไปแล้วช่องหนึ่ง นี่จึงเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่นี่จะนับเป็นอะไรได้เล่า

เฉินผิงอันไม่เคยกลัวว่าวันใดตัวเองจะกลายเป็นคนจนที่เหลือแต่ตัวอีกครั้ง

แต่ว่า

เขาจะต้องค่อยๆ สูญเสียสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มากมายที่เขาไม่สนใจไป

หรืออาจถึงขั้นทำให้เฉินผิงอันไม่กล้าแม้แต่จะคิดดื่มเหล้า

เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง ผ่านประตูภูเขา ก้มเก็บก้อนหินมาส่วนหนึ่ง มานั่งยองอยู่ริมท่าเรือ แล้วขว้างหินลงไปในทะเลสาบทีละก้อน

กู้ช่าน สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่หนีชิวตัวนั้น ไม่ใช่มาตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นหลังจากที่เจ้าพูดประโยคนั้นในตรอกหนีผิง ข้าก็คงไม่จำเป็นต้องเห็นค่าในบุญคุณข้าวถ้วยหนึ่งของท่านอาหญิง

แต่ข้ารู้ว่าเป็นเพราะเจ้ารู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ เจ้าถึงได้พูดแบบนั้นออกมา เพราะเจ้าต้องการคำตอบที่ยืนยันแน่นอนจากปากของข้า ในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุด เจ้าถึงจะวางใจได้อย่างแท้จริง

นี่ก็คือความฉลาดของกู้ช่าน แล้วก็เป็นจุดที่กู้ช่านไม่ฉลาดมากพอด้วย

นี่ไม่ได้หมายความว่ากู้ช่านคิดจะทำอะไรกับเฉินผิงอัน ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันยังคงเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับกู้ช่าน ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ จะตบบ้องหูกู้ช่านสองทีหรือยี่สิบที กู้ช่านก็ไม่คิดจะเอาคืน

ความจริงนั้นง่ายดายมาก เฉินผิงอันยังคงเป็นเด็กหนุ่มรองเท้าเตะในตรอกหนีผิงตลอดมา และอันที่จริงกู้ช่านก็ยังคงเป็นเด็กน้อยที่มีขี้มูกยืดคนนั้น เพียงแต่ว่าเวลานั้นทั้งเด็กหนุ่มรองเท้าเตะและเด็กน้อยขี้มูกยืดได้แต่มีชีวิตพึ่งพาอาศัยกันและกัน อีกทั้งต่างคนก็ต่างไม่กระจ่างชัดในจิตดั้งเดิมของตัวเอง รวมถึงจิตดั้งเดิมของฝ่ายตรงข้าม เมื่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาค่อยๆ ไหลรินไปเบื้องหน้า คนมีทั้งพบและพราก จิตใจคนก็ย่อมมีทั้งใกล้ชิดและห่างเหิน

สิ่งที่เฉินผิงอันต้องการ มีเพียงแค่ประโยคคำถามง่ายๆ ที่จะออกจากปากของกู้ช่านหรือท่านอาหญิงก็ได้ เฉินผิงอัน เจ้าบาดเจ็บหนักหรือไม่ ยังสบายดีไหม?

เฉินผิงอันโยนก้อนหินที่อยู่ในมือทิ้งจนหมด

เขานั่งยองอยู่ตรงนั้น เงยหน้าขึ้นแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ช่วงอากาศหนาวเหน็บ ไอหมอกลอยขมุกขมัว

เฉินผิงอันห่อไหล่ ก้มหน้าลงแบมือสองข้าง เป่าลมใส่ฝ่ามือเบาๆ เพื่อหาความอบอุ่น

……

บนเกาะกงหลิ่วที่เป็นที่จับตามองของผู้คนเรือนหมื่น

หลิวเหล่าเฉิงได้ป่าวประกาศให้คนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนรับทราบแล้วว่า ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาใกล้เกาะในรัศมีพันจั้งโดยพลการ

แล้วก็ไม่มีใครกล้าล้ำเส้นจริงๆ

วันนี้หลังจากเกาเหมี่ยนที่ยังคงคออ่อนอยู่เหมือนเดิมดื่มเหล้าเมาหลับไป เหลือแค่สวินยวนกับหลิวเหล่าเฉิงแค่สองคนที่นั่งดื่มอยู่ด้วยกันในศาลาลมเย็นที่ผุพังหลังหนึ่ง

สำหรับเทพเซียนพสุธาในสายตาของมนุษย์ทั่วไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาสนใจคืออายุขัยที่ยืนยาวนับพันปี ไม่เคยสัมผัสได้ถึงอากาศร้อนหรือหนาวภายในหนึ่งปีเลยแม้แต่น้อย

คนทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันมากนัก

แต่แล้วจู่ๆ สวินยวนก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “น่าจะต้องกลับไปแล้วล่ะ”

 หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ “ใบถงทวีปขาดสวินเหล่าคอยเฝ้าพิทักษ์ไม่ได้”

สวินยวนส่ายหน้า “เกาเหมี่ยนไม่มีทางคิดอะไรให้มากความ เขารู้สึกว่าข้าเดินทางมาเที่ยวแจกันสมบัติทวีปครั้งนี้ก็เพราะตั้งใจมาหาเขา แต่ในความเป็นจริงแล้วถูกแค่ครึ่งเดียว เจ้ากลับไม่เหมือนกัน ตอนนี้ถือว่าเป็นคนของสำนักกุยหยกเราแล้ว ดังนั้นความลับบางอย่างก็ควรบอกกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมา”

หลิวเหล่าเฉิงที่เป็นดั่งราชาแห่งสรวงสวรรค์ในทะเลสาบซูเจี่ยนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มหนัก “สวินเหล่าโปรดพูด”

ตอนอยู่ในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า สวินยวนเคยมอบ ‘ตำราบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญต่อสู้กัน’ ให้กับจูเหลี่ยน ยามอยู่กับเกาเหมี่ยนก็พูดจาเสียงแผ่วเบานอบน้อมเหมือนเป็นลูกสมุนของเจ้าประมุขพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานอย่างไร้อย่างนั้น ตลอดทางที่ทำหน้าที่เป็นถุงเงินให้อีกฝ่าย สวินยวนมีความสุขและยินดีอย่างยิ่ง ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำหรือคาดหวังสิ่งใด

ทว่าเมื่ออยู่กับหลิวเหล่าเฉิง

เผชิญหน้าสวินยวน กลับเหมือนการแหงนหน้ามองภูเขาสูง

สวินยวนเอ่ยเบาๆ “อันที่จริงข้าน่ะมีโอกาสสูงมาก เพียงแต่ว่าไม่ค่อยอยากเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสาม พันธนาการเยอะเกินไป ไม่มีอิสระเสรีเหมือนขอบเขตเซียนเหรินอย่างในทุกวันนี้ เมื่อฟ้าถล่มลงมาคนสวมหมวกสูงก็ต้องต้านทานไว้ก่อนนี่นะ ยกตัวอย่างเช่นใบถงทวีปของพวกเรา เมื่อก่อนคือสำนักใบถง คือตู้เม่าผู้นั้น แต่ตอนนี้ต่อให้ข้าไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ ส่วนข้อที่ว่าทำไมไม่ก้าวเดินไปข้างหน้า เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน ตอนนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าผิดหรือถูก และวันหน้าเจ้าก็จะเข้าใจเอง”

สวินยวนหมุนจอกเหล้าในมือ “แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเจ้าประมุขสำนักกุยหยก ยังต้องคิดพิจารณาเพื่อคนของตัวเอง เมื่อตู้เม่าตาย มหามรรคาก็พังทลายแหลกสลาย เขาไม่ได้มีแค่เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสที่เจ้าหลิวเหล่าเฉิงแย่งมาได้เท่านั้น ยังมีของบางอย่างที่ไม่อาจเอ่ยถึงอยู่อีก ซึ่งก็คือโชควาสนาสำหรับคนฝึกตนอย่างพวกเรา ดังนั้นเจียงซ่างเจินจะสามารถดึงเอาโชควาสนาที่เดิมทีควรเป็นของข้าไปได้มากน้อยเท่าไหร่ และจะแย่งมาจากมือของผู้ฝึกตนสำนักใบถงได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องดูที่ความสามารถ ดูที่วาสนาของเขา”

“หากเจียงซ่างเจินไม่ได้อะไรมาเลยสักอย่าง แล้วถูกข้าไล่ให้มาอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ หลิวเหล่าเฉิงถึงเวลานั้นเจ้าก็ต้องเป็นคนเก่งที่ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น ช่วยเหลือเจ้าเศษสวะผู้นั้นให้มากหน่อย”

“หากเจียงซ่างเจินทำได้ไม่เลวก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เลือกสถานที่แห่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปมาเป็นที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยก ขณะเดียวกันคนสองคนต่างก็มีหวังว่าจะเป็นขอบเขตเซียนเหริน เชื่อว่าต่อให้เป็นเทียนจวินฉีเจิน สำนักกวานหูที่เป็นเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่สกุลซ่งต้าหลีก็คงไม่มีใครกล้าดูแคลนพวกเจ้า”

หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความจริง

ตัวหลิวเหล่าเฉิงเองที่ไม่ได้ก่อพรรคตั้งสำนักอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ไม่เพียงแค่เพราะหมดอาลัยตายอยากอย่างเดียวเท่านั้น ความวกวนอ้อมค้อม ความอันตรายอย่างใหญ่หลวงที่ซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งยังต้องคอยแบ่งสมาธิมารับมือกับผลกรรมที่หนาหนัก หากไม่ทันระวังก็จะกลายมาเป็นอุปสรรคในการเดินขึ้นสู่ยอดเขาของมหามรรคา และทุกครั้งที่เลื่อนขั้นขึ้นสูง ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตหรือตบะ ขอแค่เดินขึ้นสูงไปหนึ่งก้าว คนใกล้ชิดข้างกายจะคิดเช่นไรก็จะกลายมาเป็นความลำบากใจที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยบอกใครได้ หลิวเหล่าเฉิงเคยกล้ำกลืนความยากลำบากใหญ่หลวง เคยพลาดท่าสะดุดล้มหัวทิ่มมาก่อน ปีนั้นแม้แต่ชีวิตก็เกือบจะรักษาไว้ไม่อยู่

เหล้าหวงเถิงฝังอยู่ใต้ต้นหลิ่วริมกำแพงวัง

นั่นคือบัญชีเก่าแก่ บัญชีเลอะเลือนที่ผ่านมานานมากแล้ว

แม้แต่หลิวเหล่าเฉิงที่ใจไม้ไส้ระกำก็ยังไม่ยินดีหยิบยกเรื่องเก่ามาพูดใหม่

หากไม่เป็นเพราะคิดจนกระจ่างชัดแล้ว อีกทั้งที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกก็คือที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ เกรงว่าชีวิตนี้หลิวเหล่าเฉิงก็คงไม่มีทางหวนกลับคืนมายังสถานที่ของความเสียใจแห่งนี้

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 439.3 ใจคนเหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 439.3 ใจคนเหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าวว่า “บอกตามตรง ก็แค่สตรีครึ่งคนครึ่งผีของจวนจูเสียนเท่านั้น คืนนั้นหากหลิวเหล่าเฉิงฝืนบังคับชิงตัวไป หรือจะเปิดปากขอเอาจากข้าอย่างที่เจ้าทำ ข้าจะกล้าไม่ให้ได้หรือ? แต่เหตุใดหลิวเหล่าเฉิงถึงไม่ทำเช่นนั้น เจ้าเคยคิดหรือไม่?”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งเผชิญหน้าอยู่กับหลิวจื้อเม่าเงียบๆ ประหนึ่งพระพุทธรูปผุพังสีสันหลุดลอกในสถานที่ที่มีปราณวิญญาณบางเบา

หลิวจื้อเม่าถามอย่างประหลาดใจ “ความลับเรื่องนี้ แม้แต่นางเองยังถูกปิดหูปิดตา ต่อให้เป็นหม่าหย่วนจื้อผู้ฝึกตนผีของจวนจูเสียนก็ยังไม่รู้แน่ชัด แล้วเจ้าเดาออกได้อย่างไร?”

เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบัง “อันดับแรกคือความเป็นมาของชื่อจวนจูเสียนนี้ จากนั้นก็เป็นชื่อของสุราหนึ่งไห”

หลิวจื้อเม่ายิ่งไม่เข้าใจ เขาเรียกเฉินผิงอันว่าท่านเฉินด้วยความเคารพอีกครั้ง “ขอท่านเฉินโปรดไขข้อข้องใจให้ข้าด้วย”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “หม่าหย่วนจื้อผู้ฝึกตนผีที่มีชาติกำเนิดมาจากคนแบกอาหาร หลงรักหลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไช ข้าเคยได้ยินเขาเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังด้วยตัวเอง ตอนที่พูดถึงจวนจูเสียน เขาค่อนข้างจะภาคภูมิใจ แต่ไม่ยอมให้คำตอบ ข้าก็เลยไปที่เกาะจูไชมาครั้งหนึ่ง ลองใช้สามคำว่าจวนจูเสียนถามหยั่งเชิงหลิวจ้งรุ่น ผู้ฝึกตนหญิงคนนี้ก็อับอายจนพานเป็นความโกรธทันที แม้จะไม่ได้บอกความจริงให้รู้เช่นเดียวกัน แต่นางกลับด่าหม่าหย่วนจื้อว่าเป็นคนไร้ยางอาย ข้าก็เลยไปที่นครน้ำบ่อมารอบหนึ่ง ซื้อตำราโบราณจากถนนวานรร่ำไห้และสอบถามพวกเถ้าแก่ร้านหนังสืออยู่หลายร้าน ถึงได้รู้ว่าที่แท้บ้านเดิมของหลิวจ้งรุ่นกับหม่าหย่วนจื้อมีคำกลอนประโยคหนึ่งที่ค่อนข้างจะหาฟังได้ยาก คือประโยคว่า ‘จ้งรุ่นเสี่ยงจูเสียน’ ก็เลยไขปริศนาข้อนี้ได้ ความลำพองใจของหม่าหย่วนจื้อที่ตั้งชื่อจวนว่าจูเสียน ก็เพราะคิดจะใช้คำว่า ‘เสี่ยง’ ในบทกลอนที่แปลว่าเสียงดัง มาพ้องกับคำว่า ‘เสี่ยง’ ที่แปลว่าคิดถึง”

หลิวจื้อเม่าลูบหนวดยิ้ม “ประเสริฐ หากไม่ได้ท่านเฉินช่วยไขปริศนาให้ ข้าก็ไม่รู้เลยว่าที่แท้คนแบกอาหารชาติกำเนิดต่ำต้อยอย่างหม่าหย่วนจื้อยังมีความรู้ด้านการประพันธ์ที่สง่างามเช่นนี้อยู่ด้วย”

เฉินผิงอันกล่าว “เหล้าหวงเถิง ต้นหลิวกำแพงวัง (กงเฉียงหลิ่ว) เหล้าทางการของบ้านเกิดหงซู เกาะกงหลิ่วของทะเลสาบซูเจี่ยน รวมไปถึงปราณดุร้ายเข้มข้นที่ล้อมวนอยู่บนร่างของหงซู หากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นเศร้าอาลัย ไม่ต้องให้ข้าเปิดบันทึกลับในประวัติศาสตร์ของทะเลสาบซูเจี่ยนก็รู้ได้ ปีนั้นเรื่องราวความรักระหว่างหลิวเหล่าเฉิงกับผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นลูกศิษย์ที่ต้องตายจากกันทั้งที่ยังค้างคา ฝ่ายหลังตายอย่างกะทันหัน หลิวเหล่าเฉิงไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน นี่เป็นเรื่องที่คนทั้งโลกล้วนรับรู้ พอนำมาเชื่อมโยงกับความระมัดระวังของเจ้าหลิวจื้อเม่า ก็ต้องย่อมรู้ว่าศัตรูตัวฉกาจที่สุดที่ทะเลสาบซูเจี่ยนมีร่วมกัน ไม่ใช่สองเกาะชิงจ่งและเทียนหมู่ที่มีเกาะลี่ซู่เป็นตัวช่วยประสานภายในให้ระหว่างเจ้ากับต้าหลี แต่เป็นหลิวเหล่าเฉิงที่ไม่เคยเผยโฉมหน้า เจ้ากล้าช่วงชิงตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพนี้ นอกจากมีต้าหลีเป็นที่พึ่ง ช่วยให้เจ้ารวบรวมกองกำลังใหญ่แล้ว เจ้าเองก็ต้องมีวิธีการที่เหี้ยมโหดมากพอจะนำมาปกป้องตัวเอง เหลือทางถอยไว้ให้ตัวเอง เพื่อรับรองว่าอย่างน้อยเมื่อหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนย้อนกลับมาทะเลสาบซูเจี่ยนอีกครั้งก็จะไม่มีทางฆ่าเจ้า”

หลิวจื้อเม่าหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ

ช่างเป็นคนที่รู้ใจตนยิ่งนัก!

ต่อให้คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกเลยว่า ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่กว้างใหญ่ ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นคนหนุ่มต่างถิ่นผู้นี้ที่เป็นคนรู้ใจเขาหลิวจื้อเม่ามากที่สุด!

สีหน้าของเฉินผิงอันเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ข้ายื่นข้อเสนอกึ่งหนึ่งก่อนแล้วกัน เจ้าคงจะเล่นตุกติกกับบนร่างของมารดากู้ช่านอยู่กระมัง ถอนมันออกเสียเถอะ ตอนนี้กู้ช่านไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับเจ้าแล้ว อีกทั้งไฟที่ไหม้ขนคิ้วของเจ้าในเวลานี้ก็คือหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว และเรื่องที่ว่าจะรักษาตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพนี้ไว้ได้อย่างไร ทางฝั่งของต้าหลี ข้าจะลองช่วยเจ้าดูแล้วกัน อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เจ้ากลายเป็นหมากที่ถูกทอดทิ้ง เป็นได้แค่เส้นทางให้หลิวเหล่าเฉิงก้าวเดินขึ้นไปบนยอดเขาอย่างเดียวเท่านั้น”

หลิวจื้อเม่าขมวดคิ้ว “ความเป็นความตายของหงซูยังคงอยู่ในกำมือของข้า”

นักบัญชีหนุ่มที่แก้มตอบลงเล็กน้อยหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก ไออยู่สองสามทีก็กล่าวว่า “แล้วถ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดหนึ่งในหมื่นขึ้นล่ะ? ถ้าหากหลิวเหล่าเฉิงไม่ใช่เจ้าเกาะกงหลิ่วในปีนั้นอีกต่อไป ถ้าหากเกี่ยวพันกับการเดินหน้าไปบนมหามรรคาของเขา หงซูจะสำคัญขนาดนั้นจริงๆ หรือ? ปีนั้นวางไม่ลง แต่เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าตอนนี้จะยังคงวางไม่ลงอยู่เหมือนเดิม? ไม่แน่ว่าเมื่อ ‘หนึ่งในหมื่น’ นั้นมาถึงจริงๆ เขาอาจจะเลือกจบชีวิตของหงซูไปโดยตรง แล้วค่อยต่อยเจ้าที่บังอาจย้อนเกล็ดเขาหลิวเหล่าเฉิงให้ตายไปด้วยหมัดเดียว ดังนั้นหลิวจื้อเม่า เจ้าเลือกเองเถอะ ข้าก็แค่ป้องกันการเกิดขึ้นของจุดจบที่เลวร้ายที่สุดให้เจ้าเท่านั้น”

หลิวจื้อเม่าถามคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญ “ท่านเฉินมีความสามารถมาพอที่จะส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคนระดับสูงของต้าหลีจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีจริง แต่ก็มีจำกัด แต่ข้าสามารถบอกกับเจ้าได้ตามตรงเลยว่า ตอนนี้สกุลซ่งต้าหลียังติดค้างของบางอย่างข้าอยู่”

หลิวจื้อเม่ามองคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

ความคิดนับร้อยนับพันประดังประเดกันเข้ามา

หลิวจื้อเม่าเก็บถ้วยขาวใบนั้น ลุกขึ้นยืน “ภายในสามวัน ข้าจะให้คำตอบที่แน่ชัดแก่ท่านเฉิน”

เฉินผิงอันไม่ได้ลุกขึ้นยืน “หวังว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินความเป็นความตายและทิศทางการดำเนินไปของมหามรรคาตัวเอง เจินจวินจะแสวงหาความจริงได้อย่างแท้จริง”

มุมปากหลิวจื้อเม่ากระตุก “แน่นอน”

พอหลิวจื้อเม่าจากไป เฉินผิงอันก็ไอไม่หยุด

คืนนั้นที่ฝืนบังคับเจี้ยนเซียนเล่มนั้น

ทิ้งโรคร้ายไว้มากมายนับไม่ถ้วน

เดิมทีก็ทำลายช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตไปแล้วช่องหนึ่ง นี่จึงเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่นี่จะนับเป็นอะไรได้เล่า

เฉินผิงอันไม่เคยกลัวว่าวันใดตัวเองจะกลายเป็นคนจนที่เหลือแต่ตัวอีกครั้ง

แต่ว่า

เขาจะต้องค่อยๆ สูญเสียสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มากมายที่เขาไม่สนใจไป

หรืออาจถึงขั้นทำให้เฉินผิงอันไม่กล้าแม้แต่จะคิดดื่มเหล้า

เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง ผ่านประตูภูเขา ก้มเก็บก้อนหินมาส่วนหนึ่ง มานั่งยองอยู่ริมท่าเรือ แล้วขว้างหินลงไปในทะเลสาบทีละก้อน

กู้ช่าน สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่หนีชิวตัวนั้น ไม่ใช่มาตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นหลังจากที่เจ้าพูดประโยคนั้นในตรอกหนีผิง ข้าก็คงไม่จำเป็นต้องเห็นค่าในบุญคุณข้าวถ้วยหนึ่งของท่านอาหญิง

แต่ข้ารู้ว่าเป็นเพราะเจ้ารู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ เจ้าถึงได้พูดแบบนั้นออกมา เพราะเจ้าต้องการคำตอบที่ยืนยันแน่นอนจากปากของข้า ในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุด เจ้าถึงจะวางใจได้อย่างแท้จริง

นี่ก็คือความฉลาดของกู้ช่าน แล้วก็เป็นจุดที่กู้ช่านไม่ฉลาดมากพอด้วย

นี่ไม่ได้หมายความว่ากู้ช่านคิดจะทำอะไรกับเฉินผิงอัน ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันยังคงเป็นคนที่สำคัญมากสำหรับกู้ช่าน ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ จะตบบ้องหูกู้ช่านสองทีหรือยี่สิบที กู้ช่านก็ไม่คิดจะเอาคืน

ความจริงนั้นง่ายดายมาก เฉินผิงอันยังคงเป็นเด็กหนุ่มรองเท้าเตะในตรอกหนีผิงตลอดมา และอันที่จริงกู้ช่านก็ยังคงเป็นเด็กน้อยที่มีขี้มูกยืดคนนั้น เพียงแต่ว่าเวลานั้นทั้งเด็กหนุ่มรองเท้าเตะและเด็กน้อยขี้มูกยืดได้แต่มีชีวิตพึ่งพาอาศัยกันและกัน อีกทั้งต่างคนก็ต่างไม่กระจ่างชัดในจิตดั้งเดิมของตัวเอง รวมถึงจิตดั้งเดิมของฝ่ายตรงข้าม เมื่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาค่อยๆ ไหลรินไปเบื้องหน้า คนมีทั้งพบและพราก จิตใจคนก็ย่อมมีทั้งใกล้ชิดและห่างเหิน

สิ่งที่เฉินผิงอันต้องการ มีเพียงแค่ประโยคคำถามง่ายๆ ที่จะออกจากปากของกู้ช่านหรือท่านอาหญิงก็ได้ เฉินผิงอัน เจ้าบาดเจ็บหนักหรือไม่ ยังสบายดีไหม?

เฉินผิงอันโยนก้อนหินที่อยู่ในมือทิ้งจนหมด

เขานั่งยองอยู่ตรงนั้น เงยหน้าขึ้นแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ช่วงอากาศหนาวเหน็บ ไอหมอกลอยขมุกขมัว

เฉินผิงอันห่อไหล่ ก้มหน้าลงแบมือสองข้าง เป่าลมใส่ฝ่ามือเบาๆ เพื่อหาความอบอุ่น

……

บนเกาะกงหลิ่วที่เป็นที่จับตามองของผู้คนเรือนหมื่น

หลิวเหล่าเฉิงได้ป่าวประกาศให้คนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนรับทราบแล้วว่า ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาใกล้เกาะในรัศมีพันจั้งโดยพลการ

แล้วก็ไม่มีใครกล้าล้ำเส้นจริงๆ

วันนี้หลังจากเกาเหมี่ยนที่ยังคงคออ่อนอยู่เหมือนเดิมดื่มเหล้าเมาหลับไป เหลือแค่สวินยวนกับหลิวเหล่าเฉิงแค่สองคนที่นั่งดื่มอยู่ด้วยกันในศาลาลมเย็นที่ผุพังหลังหนึ่ง

สำหรับเทพเซียนพสุธาในสายตาของมนุษย์ทั่วไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาสนใจคืออายุขัยที่ยืนยาวนับพันปี ไม่เคยสัมผัสได้ถึงอากาศร้อนหรือหนาวภายในหนึ่งปีเลยแม้แต่น้อย

คนทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันมากนัก

แต่แล้วจู่ๆ สวินยวนก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “น่าจะต้องกลับไปแล้วล่ะ”

 หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ “ใบถงทวีปขาดสวินเหล่าคอยเฝ้าพิทักษ์ไม่ได้”

สวินยวนส่ายหน้า “เกาเหมี่ยนไม่มีทางคิดอะไรให้มากความ เขารู้สึกว่าข้าเดินทางมาเที่ยวแจกันสมบัติทวีปครั้งนี้ก็เพราะตั้งใจมาหาเขา แต่ในความเป็นจริงแล้วถูกแค่ครึ่งเดียว เจ้ากลับไม่เหมือนกัน ตอนนี้ถือว่าเป็นคนของสำนักกุยหยกเราแล้ว ดังนั้นความลับบางอย่างก็ควรบอกกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมา”

หลิวเหล่าเฉิงที่เป็นดั่งราชาแห่งสรวงสวรรค์ในทะเลสาบซูเจี่ยนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มหนัก “สวินเหล่าโปรดพูด”

ตอนอยู่ในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า สวินยวนเคยมอบ ‘ตำราบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญต่อสู้กัน’ ให้กับจูเหลี่ยน ยามอยู่กับเกาเหมี่ยนก็พูดจาเสียงแผ่วเบานอบน้อมเหมือนเป็นลูกสมุนของเจ้าประมุขพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานอย่างไร้อย่างนั้น ตลอดทางที่ทำหน้าที่เป็นถุงเงินให้อีกฝ่าย สวินยวนมีความสุขและยินดีอย่างยิ่ง ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำหรือคาดหวังสิ่งใด

ทว่าเมื่ออยู่กับหลิวเหล่าเฉิง

เผชิญหน้าสวินยวน กลับเหมือนการแหงนหน้ามองภูเขาสูง

สวินยวนเอ่ยเบาๆ “อันที่จริงข้าน่ะมีโอกาสสูงมาก เพียงแต่ว่าไม่ค่อยอยากเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสาม พันธนาการเยอะเกินไป ไม่มีอิสระเสรีเหมือนขอบเขตเซียนเหรินอย่างในทุกวันนี้ เมื่อฟ้าถล่มลงมาคนสวมหมวกสูงก็ต้องต้านทานไว้ก่อนนี่นะ ยกตัวอย่างเช่นใบถงทวีปของพวกเรา เมื่อก่อนคือสำนักใบถง คือตู้เม่าผู้นั้น แต่ตอนนี้ต่อให้ข้าไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับ ส่วนข้อที่ว่าทำไมไม่ก้าวเดินไปข้างหน้า เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน ตอนนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าผิดหรือถูก และวันหน้าเจ้าก็จะเข้าใจเอง”

สวินยวนหมุนจอกเหล้าในมือ “แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเจ้าประมุขสำนักกุยหยก ยังต้องคิดพิจารณาเพื่อคนของตัวเอง เมื่อตู้เม่าตาย มหามรรคาก็พังทลายแหลกสลาย เขาไม่ได้มีแค่เศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสที่เจ้าหลิวเหล่าเฉิงแย่งมาได้เท่านั้น ยังมีของบางอย่างที่ไม่อาจเอ่ยถึงอยู่อีก ซึ่งก็คือโชควาสนาสำหรับคนฝึกตนอย่างพวกเรา ดังนั้นเจียงซ่างเจินจะสามารถดึงเอาโชควาสนาที่เดิมทีควรเป็นของข้าไปได้มากน้อยเท่าไหร่ และจะแย่งมาจากมือของผู้ฝึกตนสำนักใบถงได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องดูที่ความสามารถ ดูที่วาสนาของเขา”

“หากเจียงซ่างเจินไม่ได้อะไรมาเลยสักอย่าง แล้วถูกข้าไล่ให้มาอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ หลิวเหล่าเฉิงถึงเวลานั้นเจ้าก็ต้องเป็นคนเก่งที่ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น ช่วยเหลือเจ้าเศษสวะผู้นั้นให้มากหน่อย”

“หากเจียงซ่างเจินทำได้ไม่เลวก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เลือกสถานที่แห่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปมาเป็นที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยก ขณะเดียวกันคนสองคนต่างก็มีหวังว่าจะเป็นขอบเขตเซียนเหริน เชื่อว่าต่อให้เป็นเทียนจวินฉีเจิน สำนักกวานหูที่เป็นเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่สกุลซ่งต้าหลีก็คงไม่มีใครกล้าดูแคลนพวกเจ้า”

หลิวเหล่าเฉิงพยักหน้ารับ

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความจริง

ตัวหลิวเหล่าเฉิงเองที่ไม่ได้ก่อพรรคตั้งสำนักอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ไม่เพียงแค่เพราะหมดอาลัยตายอยากอย่างเดียวเท่านั้น ความวกวนอ้อมค้อม ความอันตรายอย่างใหญ่หลวงที่ซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งยังต้องคอยแบ่งสมาธิมารับมือกับผลกรรมที่หนาหนัก หากไม่ทันระวังก็จะกลายมาเป็นอุปสรรคในการเดินขึ้นสู่ยอดเขาของมหามรรคา และทุกครั้งที่เลื่อนขั้นขึ้นสูง ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตหรือตบะ ขอแค่เดินขึ้นสูงไปหนึ่งก้าว คนใกล้ชิดข้างกายจะคิดเช่นไรก็จะกลายมาเป็นความลำบากใจที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยบอกใครได้ หลิวเหล่าเฉิงเคยกล้ำกลืนความยากลำบากใหญ่หลวง เคยพลาดท่าสะดุดล้มหัวทิ่มมาก่อน ปีนั้นแม้แต่ชีวิตก็เกือบจะรักษาไว้ไม่อยู่

เหล้าหวงเถิงฝังอยู่ใต้ต้นหลิ่วริมกำแพงวัง

นั่นคือบัญชีเก่าแก่ บัญชีเลอะเลือนที่ผ่านมานานมากแล้ว

แม้แต่หลิวเหล่าเฉิงที่ใจไม้ไส้ระกำก็ยังไม่ยินดีหยิบยกเรื่องเก่ามาพูดใหม่

หากไม่เป็นเพราะคิดจนกระจ่างชัดแล้ว อีกทั้งที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกก็คือที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ เกรงว่าชีวิตนี้หลิวเหล่าเฉิงก็คงไม่มีทางหวนกลับคืนมายังสถานที่ของความเสียใจแห่งนี้

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+