กระบี่จงมา 441.5 ยามที่หิมะตกลงมาอีกปี

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 441.5 ยามที่หิมะตกลงมาอีกปี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลานี้เอง

วัตถุหยินเก้าตนที่ต้องตายอย่างอเนจอนาถ อีกทั้งเมื่อตายไปยังต้องเผชิญกับความทุกข์ตรมขมขื่น

มีทั้งความเดือดดาล ความกลัดกลุ้ม ความล่องลอย ความเศร้าโศก ความเคียดแค้น ความสงสัย ความตกตะลึงระคนดีใจ ความเย็นชา ความหวาดกลัว

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “พวกเจ้ามีความต้องการใดก่อนตายหรือไม่? มีเรื่องใดที่ยังทำไม่สำเร็จแต่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จหรือไม่? เพื่อตัวเอง เพื่อญาติ เพื่อสำนัก ล้วนสามารถพูดมาได้หมด ข้าจะพยายามช่วยทำตามความปรารถนาของพวกเจ้าให้เป็นจริง”

บนโต๊ะนอกจากสมุดบัญชีที่กองกันเป็นภูเขาแล้วยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เอาไว้ดื่มเหล้าให้กระปรี้กระเปร่า รวมไปถึงยันต์กระดาษ ‘สาวงามหนังจิ้งจอก’ หกแผ่นที่สกุลสวี่นครลมเย็นตั้งใจสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน สามารถให้วัตถุหยินมาพักพิงอยู่ภายใน เดินท่องอยู่ในโลกคนเป็นด้วยลักษณะของหญิงสาวได้อย่างไร้อุปสรรค

เฉินผิงอันหยุดชะงักไปชั่วครู่ “หากสืบสาวกันไปถึงต้นตอแล้ว ข้าติดค้างพวกเจ้าจริง เพราะหนีชิวน้อยตัวนั้นของกู้ช่าน เป็นข้าที่มอบให้เขา ดังนั้นข้าถึงได้ตามหาตัวพวกเจ้า มาพูดคุยกับพวกเจ้า แต่อันที่จริงก็เหมือนว่าข้าไม่ได้ติดค้างอะไรพวกเจ้าเลย เพราะตำแหน่งที่พวกเราสองฝ่ายอยู่ในเวลานี้ก็คือทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ พุทธศาสนามีเวรกรรม แน่นอนว่าข้าเองก็มี แต่กลับไม่มาก ชีวิตนี้ทุกข์ยากเพราะผลกรรมในอดีตชาติ นี่ก็คือคำเอ่ยดั้งเดิมของลัทธิพุทธ หากอิงตามหลักความรู้ของสำนักนิติธรรม นี่ก็ยิ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลย อิงตามวิธีการฝึกตนของลัทธิเต๋า ขอแค่ตัดขาดเรื่องทางโลก ออกห่างจากโลกีย์เพื่อแสวงหามรรคาอย่างเงียบสงบ ก็ยิ่งไม่ควรทำเช่นนี้ แต่ข้ากลับไม่รู้สึกว่าทำอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ดังนั้นข้าจึงจะพยายามอย่างเต็มที่”

ไม่มีใครเปิดปากพูดก่อน

ในห้อง ทั้งคนเป็นและคนตายพากันจมเข้าสู่ความเงียบอันยาวนาน

ไม่ว่าวัตถุหยินเหล่านั้นจะมีอารมณ์และความรู้สึกเช่นไร เมื่อพวกมันเห็นคนหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะผู้นั้น มองนักบัญชีในสายตาของพวกมันก็คล้ายว่าจะมองเห็นอารมณ์ที่แตกต่างไปจากเหล่าวัตถุหยินที่อยู่ข้างกาย

ประหนึ่งส่องกระจก

ทั้งสุขและทุกข์ผสมปนเปกัน

แม่นางเปิดสาบเสื้อคนหนึ่งพลันตวาดเสียงกร้าว “ข้าต้องการให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต เจ้าทำได้หรือไม่?!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “แน่นอนว่าทำไม่ได้”

นางหัวเราะเสียงเหี้ยม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะแสร้งทำเป็นคนดี เป็นวิญญูชนจอมปลอมไปไย?! เจ้ามันสมควรตาย สมควรตายไปพร้อมกับเจ้าเศษสวะกู้ช่านผู้นั้น ตายอย่างไร้ที่ฝัง เหลือเพียงเถ้าธุลี!”

เฉินผิงอันมองนาง

ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว ความโกรธแค้นถูกฝังลึกเข้าถึงกระดูก เพียงแต่ว่าขณะที่นางคิดจะพุ่งตัวออกไปจากแผ่นหินสีเขียวก็เหมือนชนเข้ากับกำแพง กระเด็นหวือกลับมาด้านหลังดังปัง นางที่ล้มลงพยายามจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่กำแพงไร้รูปลักษณ์นั่นอีกครั้ง กางนิ้วทั้งห้าออก ใช้เล็บกรีดครูดประตูที่มองไม่เห็นอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าท่าทางเหมือนคนเสียสติ “ข้าตายแล้ว เจ้าก็ต้องไม่ได้ตายดี เจ้ามาทำตัวเสแสร้งอยู่ตรงนี้ สมควรตายที่สุด สมควรตายยิ่งกว่ากู้ช่านผู้นั้นเสียอีก…”

สุดท้ายนางทรุดลงกับพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน วัตถุหยินอีกแปดตนที่เหลือบนแผ่นหินสีเขียวต่างก็พากันถอยหลังก้าวหนึ่งแทบจะพร้อมเพรียงกัน

เฉินผิงอันเดินอ้อมโต๊ะหนังสือมาหยุดอยู่นอกแผ่นหิน ทรุดตัวลงนั่งยอง

นางเงยหน้าขึ้น “ข้าก็แค่ไม่อยากตาย ข้าอยากมีชีวิตอยู่ ข้าผิดหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ผิด”

เฉินผิงอันนั่งลงขัดสมาธิ เอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าชื่อไป๋หลีฉ่าว ชื่อเดิมคือไป๋เหมยเอ๋อร์ ตอนมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกตนขอบเขตสาม มีชาติกำเนิดมาจากตรอกผิงจื่อของเขตการปกครองกูซูแคว้นสือหาว มีสัญญาหมั้นหมายมาตั้งแต่ยังเป็นทารก ปีที่เจ้าอายุสิบสี่ก็ถูกผู้ฝึกตนของห้องตกปลาเกาะชิงเสียค้นพบว่ามีคุณสมบัติในการฝึกตน จึงใช้เงินสามร้อยตำลึงซื้อตัวเจ้ามาจากพ่อแม่ สุดท้ายพ่อแม่ของเจ้าเปลี่ยนใจ ต้องการเงินเพิ่มอีกสามร้อยตำลึง ผลกลับถูกผู้ฝึกตนสังหารจนสิ้นต่อหน้าต่อตาเจ้า มาถึงเกาะชิงเสียก็ถูกผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหมายตา รับตัวไปเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อ เจ้ารังเกียจที่ชื่อไป๋เหมยเอ๋อร์นี้ไม่ไพเราะ จึงเปลี่ยนเป็นไป๋หลีฉ่าว ด้วยเรื่องนี้ยังจ่ายเงินเกล็ดหิมะสิบสองเหรียญเพื่อเปลี่ยนชื่อที่ห้องควันธูป สุดท้ายตายด้วยน้ำมือของผู้ใต้บังคับบัญชากู้ช่านอย่างหนีชิวตัวนั้น สภาพศพอเนจอนาถน่าสังเวช เจ้ายังเหลือทิฐิและความยึดติดสูง สามจิตหกวิญญาณจึงสามารถรักษาไว้ได้เกินครึ่ง อีกทั้งยังถูกผู้ฝึกตนผีหม่าหย่วนจื้อของจวนจูเสียนพาตัวไปกักขังอยู่ในบ่อน้ำ คิดจะเลี้ยงเจ้าให้เป็นทหารผีตนหนึ่ง สุดท้ายข้าพาเจ้าออกมาจากบ่อน้ำ เข้ามาอยู่ในตำหนักพญายมราช”

นางเช็ดน้ำตา “เจ้าสามารถจัดการข้าได้ตามใจชอบ แต่หากกู้ช่านไม่ตาย ข้าก็ตายตาไม่หลับ! ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ข้าก็จะจดจำเขากู้ช่านเอาไว้…”

สายตาของนางเด็ดเดี่ยว “ยังมีเจ้าอีกคน! เจ้ามีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่นักไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้าไม่ทำลายจิตวิญญาณของข้าให้แหลกสลายไปตรงๆ เสียเลยเล่า เมื่อตามองไม่เห็นจิตใจของเจ้าก็จะไม่ได้หงุดหงิด!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

ลุกขึ้นยืน

วัตถุหยินอายุน้อยที่มีสถานะเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อเช่นเดียวกันอีกตนหนึ่งเปิดปากเอ่ยขึ้นอย่างขลาดๆ “ต่อให้ต้องอยู่บนโลกด้วยร่างของวัตถุหยิน ข้าก็ยินดี อีกอย่างวันหน้าขอให้ไม่ต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานทางจิตวิญญาณอีกแล้วได้ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้สิ หากยังมีความปรารถนาอะไรอีก เมื่อคิดได้แล้วก็มาบอกข้า”

นางพลันลิงโลด นางที่รูปโฉมงดงามละมุนละไมยอบกายคารวะเฉินผิงอัน

สตรีวัตถุหยินตนหนึ่งที่เดิมทีมีสีหน้าเย็นชาชี้ไปยังตำหนักพญายมราชที่วางอยู่บนโต๊ะ “ข้าอยากไปเกิดใหม่ ไม่ต้องมาถูกกักขังอยู่ในสถานที่บ้าๆ แบบนี้อีก เจ้าทำได้ไหม?”

เฉินผิงอันกล่าว “ปล่อยให้เจ้าไปจุติใหม่ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องยาก แต่ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าเจ้าจะได้ไปเกิดเป็นคนอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติหน้าจะได้เสวยสุขหรือไม่ ข้าก็ยิ่งไม่อาจรับรองได้ ข้าได้แต่รับปากเจ้าว่า เมื่อถึงเวลานั้นจะประกอบพิธีกรรมใหญ่ของลัทธิพุทธและลัทธิเต๋าให้เจ้าพร้อมกับวัตถุหยินที่เลือกแบบเดียวกับเจ้า ช่วยขอพรให้แก่พวกเจ้า นอกจากนี้ข้ายังจะพยายามเพิ่มคุณความดีของพวกเจ้าตามกฎเกณฑ์ของบนภูเขา ยกตัวอย่างเช่นข้าจะใช้ชื่อของพวกเจ้าไปตั้งโรงทานแจกอาหารช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากไร้ของแคว้นสือหาวที่เวลานี้เต็มไปด้วยสงครามวุ่นวาย เรื่องที่ข้าสามารถทำได้มีไม่น้อย”

นางอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย แล้วก็คล้ายจะเปลี่ยนความคิด “ขอข้าคิดดูอีกหน่อย ได้ไหม?”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “แน่นอน”

นางพลันถามว่า “เจ้าก็รู้ด้วยหรือว่าข้าชื่ออะไร?”

เฉินผิงอันตอบเบาๆ “รู้ อีกอย่างข้ายังรู้ว่ากลอนคู่ปีใหม่ตามสถานที่ต่างๆ ที่ไม่ค่อยสำคัญในจวนสมัยก่อนล้วนเป็นลายมือของเจ้า ข้ายังตั้งใจไปหามาโดยเฉพาะ น่าเสียดายที่จวนซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นจวนชุนถิงแห่งนั้นล้วนเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว”

น้ำตานางไหลพรากทันที

เฉินผิงอันกล่าว “ขอโทษนะ”

นางไม่พูดไม่จา เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว

วัตถุหยินหนึ่งในนั้นที่ตอนแรกมีสีหน้าหวาดหวั่นมากที่สุดคือบุรุษวัยกลางคนที่ทำหน้าที่เป็นนักการซึ่งว่ากันว่าเคยชินที่จะค้อมเอวพูดกับคนอื่นมากที่สุด เขาเอ่ยเสียงสั่นว่า “ท่านผู้เฒ่าเทพเซียน ข้าชื่อเจี่ยเกา ท่านไม่รู้ชื่อของข้าน้อยก็ไม่เป็นไร แล้วก็ไม่จำเป็นต้องจดจำด้วย ข้าแค่อยากจะไปจุดธูปหน้าหลุมศพของพ่อแม่ข้า แต่ว่ามันค่อนข้างไกล ไม่ได้อยู่ที่แคว้นสือหาว แต่อยู่ที่แคว้นชุนหัวแคว้นเล็กใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋ง หากท่านเทพเซียนรังเกียจว่ายุ่งยากก็ช่างเถิด ข้าขอแค่ว่าหากท่านเทพเซียนสามารถจัดพิธีกรรมทางศาสนาได้จริงก็ช่วยสะสมบุญในปรโลกให้พวกเราสักหน่อย จะได้ไปเกิดใหม่อย่างราบรื่น แล้วข้าจะไม่คิดแค้นกู้ช่านอีก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้ารู้บ้านเกิดของเจ้า แล้วก็จะไปที่แคว้นชุนหัวด้วย ถึงเวลานั้นจะเชิญเจ้าออกมาอีกครั้ง”

เจี่ยเกาพลันร้องไห้ไม่เป็นเสียง ค้อมเอวเอ่ยขอบคุณ “ค่าใช้จ่ายในการไปจุดธูปคงต้องรบกวนให้ท่านเทพเซียนสิ้นเปลืองเงินทองแล้ว ขอแค่ชาติหน้ามีโอกาส ข้าจะต้องใช้คืนแน่”

เฉินผิงอันหมุนตัวไปหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้าอึกใหญ่ แล้วถึงได้เดินกลับไปยังจุดที่ห่างไปไกล “เพียงเท่านี้หรือ? มีแค่นี้เองหรือ?”

วัตถุหยินชายวัยกลางคนเช็ดหน้าลวกๆ “แค่นี้ก็พอแล้ว!”

ริมฝีปากของเฉินผิงอันสั่นระริก พยายามขึงหน้าให้นิ่งตึง ไม่เอ่ยอะไร

แล้วจู่ๆ วัตถุหยินตนหนึ่งก็ถูมือหัวเราะร่า เขาคือชายวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง เอ่ยประจบขึ้นว่า “ท่านเทพเซียน ข้าไม่ขอให้ได้ไปเกิดใหม่ แล้วก็ไม่กล้าให้ท่านเทพเซียนต้องไปทำเรื่องที่เปลืองแรงเช่นนั้น ข้ามีแค่ความปรารถนาเล็กๆ อย่างหนึ่ง ทั้งไม่เปลืองเงินเกล็ดหิมะของท่านเทพเซียนแม้แต่เหรียญเดียว แล้วก็ไม่ต้องให้ท่านเทพเซียนต้องเปลืองแรงใจด้วย”

เฉินผิงอันหรี่ตาลง พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “จ้าวสื่อ เจ้าลองว่ามาสิ”

ชายที่ตอนมีชีวิตอยู่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลน้อยของจวนชุนถิงชำเลืองตามองวัตถุหยินที่เป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อหลายตนข้างกาย แล้วยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ความปรารถนาเดียวของข้าน้อยก็คือได้อยู่ในจวนตระกูลเซียนหลังนั้นของท่านเทพเซียนตลอดเวลา จากนั้นก็สามารถทำเหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่ นั่นคือได้ดูแลแม่นางเปิดสาบเสื้อ เพียงแต่ว่าตอนนี้ต้องการมากกว่าเดิมเล็กน้อย นั่นคืออยากไปเยือนเรือนพักของพวกนางเพื่อทำเรื่องของ…บุรุษบ้าง ตอนที่มีชีวิตอยู่ได้แต่แอบมองไม่กี่ครั้ง ไม่กล้ามองให้นานกว่านั้น ตอนนี้ขอท่านเทพเซียนโปรดเมตตาข้าด้วยเถิด ได้หรือไม่? หากไม่ได้…ข้าก็คงตายตาไม่หลับจริงๆ”

แม่นางเปิดสาบเสื้อที่เปิดปากเป็นคนแรก เด็กสาวที่มีชื่อว่าไป๋หลีฉ่าวคลี่ยิ้มเย็นชา

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ กระตุกมุมปาก “ได้สิ เรื่องเล็กแค่นี้เอง”

บุรุษก้มหน้าค้อมเอว “ท่านเทพเซียนช่างปรีชา”

เฉินผิงอันไม่ต้องเปิดสมุดบัญชีเล่มนั้นก็เอ่ยเนิบช้าว่า “จ้าวสื่อ เจ้าเองก็เหมือนบรรพบุรุษที่ถือกำเนิดขึ้นในเกาะชิงเสีย เป็นผู้ดูแลระดับสองของจวนเติงฮวา นอกจากคอยดูแลเรื่องอาหารการกินที่อยู่อาศัยและเงินเดือนของแม่นางเปิดสาบเสื้อหลายสิบคนแล้ว ทุกปียังมีโอกาสออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนสองครั้ง ไปเยือนชายแดนรอบด้านซึ่งรวมถึงแคว้นสือหาว เพื่อค้นหาลูกศิษย์และนักการมาให้แก่จวนเติงฮวาของเกาะชิงเสีย จากบันทึกลับที่อยู่ในห้องควันธูป ประวัติในชีวิตของเจ้ามีเพียงแค่เรื่องเดียวที่ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้า นั่นก็คือเจ้าเคยเกิดความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนหญิงต่างถิ่นของนครอวิ๋นโหลว จึงอาศัยชื่อเสียงและเส้นสายของเกาะชิงเสียไปจ้างผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของนครอวิ๋นโหลวให้ไปรังแกย่ำยีนางจนตาย แล้วนำศพไปโยนทิ้งในทะเลสาบ”

บุรุษมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “ท่านเทพเซียนพูดล้อเล่นแล้ว”

เฉินผิงอันก้าวเข้าไปในแผ่นหินสีเขียว ก้าวเดียวก็คว้าลำคอของวัตถุหยินตนนี้ไว้ได้ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ล้อเล่น? ข้าว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นที่ไม่ตลกเลยแม้แต่น้อย”

ลำคอถูกห้านิ้วของเฉินผิงอันบีบแน่น บุรุษวัตถุหยินก็รู้สึกเหมือนถูกต้มอยู่ในกระทะน้ำมันเดือด ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด “เฉินผิงอัน! เจ้าไม่รักษาคำพูด! ข้าขอสาปแช่งให้เจ้า…”

เฉินผิงอันชูแขนขึ้นสูง ทำให้เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศ ไม่เปิดโอกาสให้วัตถุหยินที่ดิ้นรนก่อนตายตนนี้พูดได้แม้เพียงครึ่งคำ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “รักษาคำพูดสิ ชาติหน้าเจ้าก็อาศัยความสามารถเหมือนตอนที่รังแกผู้ฝึกตนหญิงที่มาเที่ยวนครอวิ๋นโหลวผู้นั้นไปเกิดในครรภ์ที่ดีก็แล้วกัน ส่วนหลังจากที่จิตวิญญาณของเจ้าแหลกสลายแล้ว เจ้าจะยังมีโอกาสนี้หรือไม่ ข้าก็คงไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้แล้ว ใช่แล้ว เจ้ายังจำชื่อของผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นได้ไหม? ข้าจำได้ นางชื่อเว่ยชิงอวี้”

วัตถุหยินในมือของเฉินผิงอันตนนั้นระเบิดดังปัง แล้วแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีที่กระจายไปสี่ทิศ

เฉินผิงอันเดินออกมาจากหินเขียว ไออยู่สองสามที พอเดินกลับไปยังหลังโต๊ะหนังสือแล้วก็มองมาทางแผ่นหินเขียวอีกครั้ง

มีหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่แรกเริ่มสุดคือวัตถุหยินสองตนที่มีสีหน้าลอบยินดีและกังขา ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้ถึงได้ลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวคำนับเขา

หนึ่งชั่วยามต่อมา

เฉินผิงอันเปิดประตูเดินออกจากห้อง

เจิงเย่มายืนอยู่หน้าประตูแล้ว พอมองเห็นเขาก็หันหน้ามาเอ่ยอย่างตกตะลึงระคนดีใจ “ท่านเฉิน หิมะตกแล้ว! หิมะใหญ่เท่าขนห่านเลย! นี่เป็นหิมะใหญ่ครั้งแรกในปีนี้ของทะเลสาบซูเจี่ยนเรา”

เพียงแต่ว่าไม่นานเจิงเย่ก็หุบปาก รู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อย

สำหรับผู้ฝึกตนใหญ่อย่างท่านเฉิน

มีหิมะตกลงมาในโลกมนุษย์ จะตกหนักหรือเบา มีความหมายอะไรด้วยหรือ?

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น

สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ

มองไปเห็นแต่หิมะสีขาวโพลน

ทว่าตอนที่หิมะละลาย นั่นต่างหากจึงจะเป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็นที่สุด หลังจากหิมะละลายแล้วก็จะยิ่งทำให้ทางเดินกลายเป็นดินโคลน

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 441.5 ยามที่หิมะตกลงมาอีกปี

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 441.5 ยามที่หิมะตกลงมาอีกปี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลานี้เอง

วัตถุหยินเก้าตนที่ต้องตายอย่างอเนจอนาถ อีกทั้งเมื่อตายไปยังต้องเผชิญกับความทุกข์ตรมขมขื่น

มีทั้งความเดือดดาล ความกลัดกลุ้ม ความล่องลอย ความเศร้าโศก ความเคียดแค้น ความสงสัย ความตกตะลึงระคนดีใจ ความเย็นชา ความหวาดกลัว

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “พวกเจ้ามีความต้องการใดก่อนตายหรือไม่? มีเรื่องใดที่ยังทำไม่สำเร็จแต่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จหรือไม่? เพื่อตัวเอง เพื่อญาติ เพื่อสำนัก ล้วนสามารถพูดมาได้หมด ข้าจะพยายามช่วยทำตามความปรารถนาของพวกเจ้าให้เป็นจริง”

บนโต๊ะนอกจากสมุดบัญชีที่กองกันเป็นภูเขาแล้วยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เอาไว้ดื่มเหล้าให้กระปรี้กระเปร่า รวมไปถึงยันต์กระดาษ ‘สาวงามหนังจิ้งจอก’ หกแผ่นที่สกุลสวี่นครลมเย็นตั้งใจสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน สามารถให้วัตถุหยินมาพักพิงอยู่ภายใน เดินท่องอยู่ในโลกคนเป็นด้วยลักษณะของหญิงสาวได้อย่างไร้อุปสรรค

เฉินผิงอันหยุดชะงักไปชั่วครู่ “หากสืบสาวกันไปถึงต้นตอแล้ว ข้าติดค้างพวกเจ้าจริง เพราะหนีชิวน้อยตัวนั้นของกู้ช่าน เป็นข้าที่มอบให้เขา ดังนั้นข้าถึงได้ตามหาตัวพวกเจ้า มาพูดคุยกับพวกเจ้า แต่อันที่จริงก็เหมือนว่าข้าไม่ได้ติดค้างอะไรพวกเจ้าเลย เพราะตำแหน่งที่พวกเราสองฝ่ายอยู่ในเวลานี้ก็คือทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ พุทธศาสนามีเวรกรรม แน่นอนว่าข้าเองก็มี แต่กลับไม่มาก ชีวิตนี้ทุกข์ยากเพราะผลกรรมในอดีตชาติ นี่ก็คือคำเอ่ยดั้งเดิมของลัทธิพุทธ หากอิงตามหลักความรู้ของสำนักนิติธรรม นี่ก็ยิ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลย อิงตามวิธีการฝึกตนของลัทธิเต๋า ขอแค่ตัดขาดเรื่องทางโลก ออกห่างจากโลกีย์เพื่อแสวงหามรรคาอย่างเงียบสงบ ก็ยิ่งไม่ควรทำเช่นนี้ แต่ข้ากลับไม่รู้สึกว่าทำอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ดังนั้นข้าจึงจะพยายามอย่างเต็มที่”

ไม่มีใครเปิดปากพูดก่อน

ในห้อง ทั้งคนเป็นและคนตายพากันจมเข้าสู่ความเงียบอันยาวนาน

ไม่ว่าวัตถุหยินเหล่านั้นจะมีอารมณ์และความรู้สึกเช่นไร เมื่อพวกมันเห็นคนหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะผู้นั้น มองนักบัญชีในสายตาของพวกมันก็คล้ายว่าจะมองเห็นอารมณ์ที่แตกต่างไปจากเหล่าวัตถุหยินที่อยู่ข้างกาย

ประหนึ่งส่องกระจก

ทั้งสุขและทุกข์ผสมปนเปกัน

แม่นางเปิดสาบเสื้อคนหนึ่งพลันตวาดเสียงกร้าว “ข้าต้องการให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต เจ้าทำได้หรือไม่?!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “แน่นอนว่าทำไม่ได้”

นางหัวเราะเสียงเหี้ยม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะแสร้งทำเป็นคนดี เป็นวิญญูชนจอมปลอมไปไย?! เจ้ามันสมควรตาย สมควรตายไปพร้อมกับเจ้าเศษสวะกู้ช่านผู้นั้น ตายอย่างไร้ที่ฝัง เหลือเพียงเถ้าธุลี!”

เฉินผิงอันมองนาง

ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว ความโกรธแค้นถูกฝังลึกเข้าถึงกระดูก เพียงแต่ว่าขณะที่นางคิดจะพุ่งตัวออกไปจากแผ่นหินสีเขียวก็เหมือนชนเข้ากับกำแพง กระเด็นหวือกลับมาด้านหลังดังปัง นางที่ล้มลงพยายามจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่กำแพงไร้รูปลักษณ์นั่นอีกครั้ง กางนิ้วทั้งห้าออก ใช้เล็บกรีดครูดประตูที่มองไม่เห็นอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าท่าทางเหมือนคนเสียสติ “ข้าตายแล้ว เจ้าก็ต้องไม่ได้ตายดี เจ้ามาทำตัวเสแสร้งอยู่ตรงนี้ สมควรตายที่สุด สมควรตายยิ่งกว่ากู้ช่านผู้นั้นเสียอีก…”

สุดท้ายนางทรุดลงกับพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน วัตถุหยินอีกแปดตนที่เหลือบนแผ่นหินสีเขียวต่างก็พากันถอยหลังก้าวหนึ่งแทบจะพร้อมเพรียงกัน

เฉินผิงอันเดินอ้อมโต๊ะหนังสือมาหยุดอยู่นอกแผ่นหิน ทรุดตัวลงนั่งยอง

นางเงยหน้าขึ้น “ข้าก็แค่ไม่อยากตาย ข้าอยากมีชีวิตอยู่ ข้าผิดหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ผิด”

เฉินผิงอันนั่งลงขัดสมาธิ เอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าชื่อไป๋หลีฉ่าว ชื่อเดิมคือไป๋เหมยเอ๋อร์ ตอนมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกตนขอบเขตสาม มีชาติกำเนิดมาจากตรอกผิงจื่อของเขตการปกครองกูซูแคว้นสือหาว มีสัญญาหมั้นหมายมาตั้งแต่ยังเป็นทารก ปีที่เจ้าอายุสิบสี่ก็ถูกผู้ฝึกตนของห้องตกปลาเกาะชิงเสียค้นพบว่ามีคุณสมบัติในการฝึกตน จึงใช้เงินสามร้อยตำลึงซื้อตัวเจ้ามาจากพ่อแม่ สุดท้ายพ่อแม่ของเจ้าเปลี่ยนใจ ต้องการเงินเพิ่มอีกสามร้อยตำลึง ผลกลับถูกผู้ฝึกตนสังหารจนสิ้นต่อหน้าต่อตาเจ้า มาถึงเกาะชิงเสียก็ถูกผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหมายตา รับตัวไปเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อ เจ้ารังเกียจที่ชื่อไป๋เหมยเอ๋อร์นี้ไม่ไพเราะ จึงเปลี่ยนเป็นไป๋หลีฉ่าว ด้วยเรื่องนี้ยังจ่ายเงินเกล็ดหิมะสิบสองเหรียญเพื่อเปลี่ยนชื่อที่ห้องควันธูป สุดท้ายตายด้วยน้ำมือของผู้ใต้บังคับบัญชากู้ช่านอย่างหนีชิวตัวนั้น สภาพศพอเนจอนาถน่าสังเวช เจ้ายังเหลือทิฐิและความยึดติดสูง สามจิตหกวิญญาณจึงสามารถรักษาไว้ได้เกินครึ่ง อีกทั้งยังถูกผู้ฝึกตนผีหม่าหย่วนจื้อของจวนจูเสียนพาตัวไปกักขังอยู่ในบ่อน้ำ คิดจะเลี้ยงเจ้าให้เป็นทหารผีตนหนึ่ง สุดท้ายข้าพาเจ้าออกมาจากบ่อน้ำ เข้ามาอยู่ในตำหนักพญายมราช”

นางเช็ดน้ำตา “เจ้าสามารถจัดการข้าได้ตามใจชอบ แต่หากกู้ช่านไม่ตาย ข้าก็ตายตาไม่หลับ! ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ข้าก็จะจดจำเขากู้ช่านเอาไว้…”

สายตาของนางเด็ดเดี่ยว “ยังมีเจ้าอีกคน! เจ้ามีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่นักไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้าไม่ทำลายจิตวิญญาณของข้าให้แหลกสลายไปตรงๆ เสียเลยเล่า เมื่อตามองไม่เห็นจิตใจของเจ้าก็จะไม่ได้หงุดหงิด!”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

ลุกขึ้นยืน

วัตถุหยินอายุน้อยที่มีสถานะเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อเช่นเดียวกันอีกตนหนึ่งเปิดปากเอ่ยขึ้นอย่างขลาดๆ “ต่อให้ต้องอยู่บนโลกด้วยร่างของวัตถุหยิน ข้าก็ยินดี อีกอย่างวันหน้าขอให้ไม่ต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานทางจิตวิญญาณอีกแล้วได้ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้สิ หากยังมีความปรารถนาอะไรอีก เมื่อคิดได้แล้วก็มาบอกข้า”

นางพลันลิงโลด นางที่รูปโฉมงดงามละมุนละไมยอบกายคารวะเฉินผิงอัน

สตรีวัตถุหยินตนหนึ่งที่เดิมทีมีสีหน้าเย็นชาชี้ไปยังตำหนักพญายมราชที่วางอยู่บนโต๊ะ “ข้าอยากไปเกิดใหม่ ไม่ต้องมาถูกกักขังอยู่ในสถานที่บ้าๆ แบบนี้อีก เจ้าทำได้ไหม?”

เฉินผิงอันกล่าว “ปล่อยให้เจ้าไปจุติใหม่ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องยาก แต่ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าเจ้าจะได้ไปเกิดเป็นคนอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติหน้าจะได้เสวยสุขหรือไม่ ข้าก็ยิ่งไม่อาจรับรองได้ ข้าได้แต่รับปากเจ้าว่า เมื่อถึงเวลานั้นจะประกอบพิธีกรรมใหญ่ของลัทธิพุทธและลัทธิเต๋าให้เจ้าพร้อมกับวัตถุหยินที่เลือกแบบเดียวกับเจ้า ช่วยขอพรให้แก่พวกเจ้า นอกจากนี้ข้ายังจะพยายามเพิ่มคุณความดีของพวกเจ้าตามกฎเกณฑ์ของบนภูเขา ยกตัวอย่างเช่นข้าจะใช้ชื่อของพวกเจ้าไปตั้งโรงทานแจกอาหารช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากไร้ของแคว้นสือหาวที่เวลานี้เต็มไปด้วยสงครามวุ่นวาย เรื่องที่ข้าสามารถทำได้มีไม่น้อย”

นางอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย แล้วก็คล้ายจะเปลี่ยนความคิด “ขอข้าคิดดูอีกหน่อย ได้ไหม?”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “แน่นอน”

นางพลันถามว่า “เจ้าก็รู้ด้วยหรือว่าข้าชื่ออะไร?”

เฉินผิงอันตอบเบาๆ “รู้ อีกอย่างข้ายังรู้ว่ากลอนคู่ปีใหม่ตามสถานที่ต่างๆ ที่ไม่ค่อยสำคัญในจวนสมัยก่อนล้วนเป็นลายมือของเจ้า ข้ายังตั้งใจไปหามาโดยเฉพาะ น่าเสียดายที่จวนซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นจวนชุนถิงแห่งนั้นล้วนเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว”

น้ำตานางไหลพรากทันที

เฉินผิงอันกล่าว “ขอโทษนะ”

นางไม่พูดไม่จา เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว

วัตถุหยินหนึ่งในนั้นที่ตอนแรกมีสีหน้าหวาดหวั่นมากที่สุดคือบุรุษวัยกลางคนที่ทำหน้าที่เป็นนักการซึ่งว่ากันว่าเคยชินที่จะค้อมเอวพูดกับคนอื่นมากที่สุด เขาเอ่ยเสียงสั่นว่า “ท่านผู้เฒ่าเทพเซียน ข้าชื่อเจี่ยเกา ท่านไม่รู้ชื่อของข้าน้อยก็ไม่เป็นไร แล้วก็ไม่จำเป็นต้องจดจำด้วย ข้าแค่อยากจะไปจุดธูปหน้าหลุมศพของพ่อแม่ข้า แต่ว่ามันค่อนข้างไกล ไม่ได้อยู่ที่แคว้นสือหาว แต่อยู่ที่แคว้นชุนหัวแคว้นเล็กใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋ง หากท่านเทพเซียนรังเกียจว่ายุ่งยากก็ช่างเถิด ข้าขอแค่ว่าหากท่านเทพเซียนสามารถจัดพิธีกรรมทางศาสนาได้จริงก็ช่วยสะสมบุญในปรโลกให้พวกเราสักหน่อย จะได้ไปเกิดใหม่อย่างราบรื่น แล้วข้าจะไม่คิดแค้นกู้ช่านอีก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้ารู้บ้านเกิดของเจ้า แล้วก็จะไปที่แคว้นชุนหัวด้วย ถึงเวลานั้นจะเชิญเจ้าออกมาอีกครั้ง”

เจี่ยเกาพลันร้องไห้ไม่เป็นเสียง ค้อมเอวเอ่ยขอบคุณ “ค่าใช้จ่ายในการไปจุดธูปคงต้องรบกวนให้ท่านเทพเซียนสิ้นเปลืองเงินทองแล้ว ขอแค่ชาติหน้ามีโอกาส ข้าจะต้องใช้คืนแน่”

เฉินผิงอันหมุนตัวไปหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้าอึกใหญ่ แล้วถึงได้เดินกลับไปยังจุดที่ห่างไปไกล “เพียงเท่านี้หรือ? มีแค่นี้เองหรือ?”

วัตถุหยินชายวัยกลางคนเช็ดหน้าลวกๆ “แค่นี้ก็พอแล้ว!”

ริมฝีปากของเฉินผิงอันสั่นระริก พยายามขึงหน้าให้นิ่งตึง ไม่เอ่ยอะไร

แล้วจู่ๆ วัตถุหยินตนหนึ่งก็ถูมือหัวเราะร่า เขาคือชายวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง เอ่ยประจบขึ้นว่า “ท่านเทพเซียน ข้าไม่ขอให้ได้ไปเกิดใหม่ แล้วก็ไม่กล้าให้ท่านเทพเซียนต้องไปทำเรื่องที่เปลืองแรงเช่นนั้น ข้ามีแค่ความปรารถนาเล็กๆ อย่างหนึ่ง ทั้งไม่เปลืองเงินเกล็ดหิมะของท่านเทพเซียนแม้แต่เหรียญเดียว แล้วก็ไม่ต้องให้ท่านเทพเซียนต้องเปลืองแรงใจด้วย”

เฉินผิงอันหรี่ตาลง พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “จ้าวสื่อ เจ้าลองว่ามาสิ”

ชายที่ตอนมีชีวิตอยู่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลน้อยของจวนชุนถิงชำเลืองตามองวัตถุหยินที่เป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อหลายตนข้างกาย แล้วยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ความปรารถนาเดียวของข้าน้อยก็คือได้อยู่ในจวนตระกูลเซียนหลังนั้นของท่านเทพเซียนตลอดเวลา จากนั้นก็สามารถทำเหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่ นั่นคือได้ดูแลแม่นางเปิดสาบเสื้อ เพียงแต่ว่าตอนนี้ต้องการมากกว่าเดิมเล็กน้อย นั่นคืออยากไปเยือนเรือนพักของพวกนางเพื่อทำเรื่องของ…บุรุษบ้าง ตอนที่มีชีวิตอยู่ได้แต่แอบมองไม่กี่ครั้ง ไม่กล้ามองให้นานกว่านั้น ตอนนี้ขอท่านเทพเซียนโปรดเมตตาข้าด้วยเถิด ได้หรือไม่? หากไม่ได้…ข้าก็คงตายตาไม่หลับจริงๆ”

แม่นางเปิดสาบเสื้อที่เปิดปากเป็นคนแรก เด็กสาวที่มีชื่อว่าไป๋หลีฉ่าวคลี่ยิ้มเย็นชา

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ กระตุกมุมปาก “ได้สิ เรื่องเล็กแค่นี้เอง”

บุรุษก้มหน้าค้อมเอว “ท่านเทพเซียนช่างปรีชา”

เฉินผิงอันไม่ต้องเปิดสมุดบัญชีเล่มนั้นก็เอ่ยเนิบช้าว่า “จ้าวสื่อ เจ้าเองก็เหมือนบรรพบุรุษที่ถือกำเนิดขึ้นในเกาะชิงเสีย เป็นผู้ดูแลระดับสองของจวนเติงฮวา นอกจากคอยดูแลเรื่องอาหารการกินที่อยู่อาศัยและเงินเดือนของแม่นางเปิดสาบเสื้อหลายสิบคนแล้ว ทุกปียังมีโอกาสออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนสองครั้ง ไปเยือนชายแดนรอบด้านซึ่งรวมถึงแคว้นสือหาว เพื่อค้นหาลูกศิษย์และนักการมาให้แก่จวนเติงฮวาของเกาะชิงเสีย จากบันทึกลับที่อยู่ในห้องควันธูป ประวัติในชีวิตของเจ้ามีเพียงแค่เรื่องเดียวที่ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้า นั่นก็คือเจ้าเคยเกิดความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนหญิงต่างถิ่นของนครอวิ๋นโหลว จึงอาศัยชื่อเสียงและเส้นสายของเกาะชิงเสียไปจ้างผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของนครอวิ๋นโหลวให้ไปรังแกย่ำยีนางจนตาย แล้วนำศพไปโยนทิ้งในทะเลสาบ”

บุรุษมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “ท่านเทพเซียนพูดล้อเล่นแล้ว”

เฉินผิงอันก้าวเข้าไปในแผ่นหินสีเขียว ก้าวเดียวก็คว้าลำคอของวัตถุหยินตนนี้ไว้ได้ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ล้อเล่น? ข้าว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นที่ไม่ตลกเลยแม้แต่น้อย”

ลำคอถูกห้านิ้วของเฉินผิงอันบีบแน่น บุรุษวัตถุหยินก็รู้สึกเหมือนถูกต้มอยู่ในกระทะน้ำมันเดือด ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด “เฉินผิงอัน! เจ้าไม่รักษาคำพูด! ข้าขอสาปแช่งให้เจ้า…”

เฉินผิงอันชูแขนขึ้นสูง ทำให้เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศ ไม่เปิดโอกาสให้วัตถุหยินที่ดิ้นรนก่อนตายตนนี้พูดได้แม้เพียงครึ่งคำ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “รักษาคำพูดสิ ชาติหน้าเจ้าก็อาศัยความสามารถเหมือนตอนที่รังแกผู้ฝึกตนหญิงที่มาเที่ยวนครอวิ๋นโหลวผู้นั้นไปเกิดในครรภ์ที่ดีก็แล้วกัน ส่วนหลังจากที่จิตวิญญาณของเจ้าแหลกสลายแล้ว เจ้าจะยังมีโอกาสนี้หรือไม่ ข้าก็คงไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้แล้ว ใช่แล้ว เจ้ายังจำชื่อของผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นได้ไหม? ข้าจำได้ นางชื่อเว่ยชิงอวี้”

วัตถุหยินในมือของเฉินผิงอันตนนั้นระเบิดดังปัง แล้วแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีที่กระจายไปสี่ทิศ

เฉินผิงอันเดินออกมาจากหินเขียว ไออยู่สองสามที พอเดินกลับไปยังหลังโต๊ะหนังสือแล้วก็มองมาทางแผ่นหินเขียวอีกครั้ง

มีหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่แรกเริ่มสุดคือวัตถุหยินสองตนที่มีสีหน้าลอบยินดีและกังขา ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้ถึงได้ลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวคำนับเขา

หนึ่งชั่วยามต่อมา

เฉินผิงอันเปิดประตูเดินออกจากห้อง

เจิงเย่มายืนอยู่หน้าประตูแล้ว พอมองเห็นเขาก็หันหน้ามาเอ่ยอย่างตกตะลึงระคนดีใจ “ท่านเฉิน หิมะตกแล้ว! หิมะใหญ่เท่าขนห่านเลย! นี่เป็นหิมะใหญ่ครั้งแรกในปีนี้ของทะเลสาบซูเจี่ยนเรา”

เพียงแต่ว่าไม่นานเจิงเย่ก็หุบปาก รู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อย

สำหรับผู้ฝึกตนใหญ่อย่างท่านเฉิน

มีหิมะตกลงมาในโลกมนุษย์ จะตกหนักหรือเบา มีความหมายอะไรด้วยหรือ?

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น

สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ

มองไปเห็นแต่หิมะสีขาวโพลน

ทว่าตอนที่หิมะละลาย นั่นต่างหากจึงจะเป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็นที่สุด หลังจากหิมะละลายแล้วก็จะยิ่งทำให้ทางเดินกลายเป็นดินโคลน

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+