กระบี่จงมา 445.2 เรื่องราวและคนบนโลกล้วนเล็กเท่าเมล็ดงา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 445.2 เรื่องราวและคนบนโลกล้วนเล็กเท่าเมล็ดงา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คนทั้งสองยืนพิงราวระเบียงชมทิวทัศน์ด้วยกัน

ชุยตงซานกระโดดทีเดียวก็พลิ้วกายขึ้นไปนั่งอยู่บนราวระเบียง แล้วเริ่มพูด ‘ถ้อยคำจากใจจริง’ ที่ตอนนั้นทำให้ฟ่านเหยี่ยนรู้สึกอกสั่นขวัญผวา เพียงแต่ว่าฟ่านเหยี่ยนหรือจะกล้าบอกให้คนผู้นั้นหุบปาก เขาก็ได้แต่ฟังไปเท่านั้น

ชุยตงซานกล่าวว่า “การไม่รู้คือสภาพการณ์หนึ่งที่ทำให้สบายใจและมีความสุขอย่างมาก เมื่อคนคนหนึ่งเดินขึ้นไปได้สูงอีกนิดก็จะคิดว่า นี่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิมแล้ว เพราะไม่เคยเข้าใจถึงสาเหตุของความโชคดีและความโชคร้าย แค่รับมันไปก็พอ เมื่อผ่านพ้นไปได้ก็ยังคงเป็นชายชาตรีอยู่เหมือนเดิม หากผ่านไปไม่ได้ก็ด่าสวรรค์ ข้าไม่ได้บอกว่าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ถึงขั้นที่ว่าข้าเองก็ยังรู้สึกอิจฉาคนที่อยู่ในสภาพการณ์สองอย่างนี้”

“ข้าเคยออกเดินทางท่องไปทั่วสารทิศพร้อมกับอาจารย์คนแรกของตัวเอง มีครั้งหนึ่งเข้าไปในร้านหนังสือข้างทาง เจอเข้ากับบัณฑิตสามคนที่อายุไม่มาก คนหนึ่งมาจากชนชั้นสูงของพื้นที่ คนหนึ่งชาติกำเนิดยากจน อีกคนหนึ่งที่แม้จะสวมชุดธรรมดาเรียบง่าย แต่มองดูแล้วกลับมีความสุภาพสง่างาม คนทั้งสามต่างก็เป็นบัณฑิตที่เข้าร่วมการสอบระดับท้องถิ่นของเมือง ตอนนั้นมีดรุณีน้อยคนหนึ่งกำลังหาหนังสืออยู่ในร้าน”

“บัณฑิตคนที่มีเงินอยากจะดึงดูดความสนใจจากสาวงามจึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาแล้วเริ่มพูดวิจารณ์หนังสือเล่มนั้น บัณฑิตที่ไม่มีเงินคอยพยักหน้ารับคำ รู้สึกเลื่อมใสอีกฝ่ายอย่างแท้จริง เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยากจน ก่อนที่จะโชคดีได้เป็นเศรษฐี เขาก็เคยอ่านหนังสือมาแค่ไม่กี่เล่ม”

“เถ้าแก่ร้านหนังสือเป็นปัญญาชนที่ตกอับคนหนึ่ง เขาอดทนฟังอยู่นาน สุดท้ายทนไม่ไหวจริงๆ จึงเอ่ยสองสามประโยคที่ถือว่ามีหลักฐานมีเหตุผลน่าเชื่อถือ”

“ผลกลับกลายเป็นว่าถูกบัณฑิตที่มีเงินชี้หน้าด่า บอกว่าข้ามาจากตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงของเมือง คนทั้งตระกูลต่างได้รับการศึกษา และข้าเองก็มีอาจารย์คอยให้ความรู้มาตั้งแต่เด็ก ความรู้ของเมธีร้อยสำนักในตำราทั้งหลายข้าล้วนเคยอ่านมาจนครบหมดแล้ว ยังต้องให้เจ้ามาสอนหลักการการวางตัวกับข้าด้วยหรือไง? เจ้าจะนับเป็นอะไรได้?”

“อาจารย์ที่ยากจนของข้าจึงทำหน้าที่เป็นคนไกล่เกลี่ย ช่วยไม่ได้ ชีวิตนี้ของเขาชอบสอดมือเข้ายุ่งกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากที่สุด เพราะมักจะรู้สึกว่าทุกคนไม่ได้ผิดมากขนาดนั้น ต่อให้มีความผิดก็สามารถแก้ไขได้ เขาจึงพูดโน้มน้าวไม่ให้เถ้าแก่โมโห บอกว่าหลักการเหตุผลมีมากมาย ทุกคนล้วนมีกันทั้งนั้น จากนั้นก็ยื่นมือไปกดนิ้วที่บัณฑิตยื่นชี้ออกมา บอกว่าพูดจากับคนอื่นด้วยท่าทางเช่นนี้ไม่เหมาะสม ต่อให้มีเหตุผลก็จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลได้อยู่ดี”

“บัณฑิตผู้นั้นเป็นคนอารมณ์ร้ายไม่น้อย เขาตบมืออาจารย์ของข้าทิ้ง แผดเสียงด่าว่าไอ้แก่เจ้าจะไปไหนก็ไป”

“อาจารย์ข้าย่อมไม่โกรธอยู่แล้ว และจากนั้นคนหนุ่มที่มองดูมีมาดของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ มองดูแล้วสุภาพอ่อนน้อมมากที่สุดคนนั้นก็ยิ้มตาหยีเอ่ยประโยคสามประโยค ประโยคแรกก็คือ ‘ที่นี่คือร้านขายหนังสือ พวกเราคือบัณฑิตที่มาซื้อหนังสือ ระวังว่านอกจากจะไม่ได้ซื้อหนังสือที่ถูกใจกลับไปแล้ว ยังต้องถูกคนไล่ไปด้วย’ ฟ่านเหยี่ยน เจ้ารู้หรือไม่ว่าประโยคนี้ยอดเยี่ยมที่ตรงไหน? เจ้าต้องรู้แน่นอน ยอดเยี่ยมตรงที่เอาก่อนและหลังมาปนกันมั่วซั่ว ไม่พูดถึงการเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามก่อน กลับกันยังเริ่มตั้งสมมติฐานส่งเดช ร้านหนังสือเป็นของเถ้าแก่ หากไล่ลูกค้าถูกออกไป เขาก็ ‘มีเหตุผล’ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขามีเหตุผลจริงๆ น่ะหรือ? หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นคงไม่รู้สึกอย่างนั้นกระมัง ดังนั้นตามหลักแล้วไม่ควรพูดถึงเส้นสายของความถูกผิด เพราะหากอนุมานย้อนกลับไป เจ้าของร้านจะกลายเป็นคนไร้เหตุผลในทันที นี่น่าสนใจมากเลยใช่ไหม? หากคนอื่นไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เพียงแค่ได้ยินประโยคนี้ หรือเจอกับฉากที่เถ้าแก่ร้านไล่คน ยังจะยินดีแยกแยะถูกผิดอีกหรือไม่? คงไม่กระมัง ชีวิตคนยุ่งวุ่นวาย ใครเล่าจะยินดีสืบเสาะหาต้นตอของเรื่องนี้ แค่ชมเรื่องสนุกก็พอแล้ว ดังนั้นตอนที่ได้ยินประโยคนี้ข้าจึงรู้สึกว่าตลกมาก และรู้สึกว่าคนผู้นี้ฉลาดไม่น้อย”

“ประโยคที่สอง ‘ท่านผู้เฒ่าคงเจอหาหนังสือที่อยากซื้อเจอแล้วกระมัง แต่ก็อย่าเข้าข้างเถ้าแก่เพราะเหตุผลนี้เลย หากเป็นเช่นนี้จริงจะดูผิดต่อหลักมารยาทแล้ว ข้าเห็นว่าท่านผู้เฒ่าก็น่าจะเป็นบัณฑิตเหมือนกัน เหตุใดถึงไม่มีมาดของบัณฑิตเสียเลย? ชอบประจบเอาใจคนขายหนังสือขนาดนี้เชียวหรือ?’ รู้สึกว่ายิ่งน่าขบคิดใช่ไหม? ขอแค่มีคนนอกอยู่ในร้านหนังสือแล้วช่วยพูดแทนเถ้าแก่ ก็จะกลายเป็นพวกขี้ประจบสอพลอไปทันที พวกคนที่มามุงดูซึ่งไม่อยากจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ต่อให้ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลข้อนี้ แต่ก็ต้องอดใจกระตุกกันไม่มากก็น้อยแล้วใช่ไหม?”

“ประโยคที่สาม ‘หากเถ้าแก่ท่านนี้มีความรู้ที่ดีและสูงจริง เหตุใดต้องมาขายหนังสือหาเงินเลี้ยงชีพอยู่ที่นี่? เหตุใดไม่ไปมีตำแหน่งสูงอยู่ในราชสำนักหรือสร้างผลงานที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกแล้ว?’ เป็นอย่างไร? นี่เป็นการทำร้ายจิตใจกันแล้วใช่ไหม? อันที่จริงนี่คือการตั้งสมมติฐานเพิ่มมาอีกสองข้อ อย่างแรกก็คือหลักการเหตุผลบนโลกใบนี้ล้วนจำเป็นต้องอาศัยชื่อเสียงและสถานะมาช่วยประคับประคอง เถ้าแก่ร้านขายหนังสืออย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์มาพูดถึงหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์เลย ข้อที่สองก็คือมีเพียงประสบความสำเร็จเท่านั้นถึงจะถือว่ามีเหตุผล เหตุผลอยู่แค่บนตำราของอริยะปราชญ์ อยู่แค่ในราชสำนักเท่านั้น ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดที่ไก่บินหมากระโดด ในร้านหนังสือที่มีกลิ่นหอมของหมึกอบอวลไม่ได้มีเหตุผลเลยแม้แต่ข้อเดียว”

“เจ้าลองเดาดูสิว่าผลสรุปเป็นอย่างไร อาจารย์ของข้าฟาดฝ่ามือออกไป แล้วเริ่มผรุสวาทด่าทอบัณฑิตที่ฉลาดที่สุดคนนั้น ข้าเป็นลูกศิษย์เขามานานขนาดนี้ นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นอาจารย์คนดีของตนที่ไม่เพียงแต่โกรธ ยังด่าและตีคนอื่นด้วย ซิ่วไฉเฒ่าด่าเจ้าคนน่าสงสารผู้นั้นว่า ‘จากพ่อแม่มาจนถึงอาจารย์ในโรงเรียน แล้วมาจนถึงตำราอริยะปราชญ์แต่ละเล่ม ควรต้องมีเหตุผลสักข้อสองข้อที่สอนเจ้าได้ แต่มารดาเจ้าเถอะ ผลกลับกลายเป็นว่าลูกตาของเจ้ามันถูกทาด้วยขี้ไก่ ในท้องก็ถูกอัดแน่นด้วยขี้หมางั้นรึ?!’”

“คราวนี้หลังจากตีและด่าเจ้าคนโง่ตาไร้แววผู้นั้นแล้ว เจ้าเดาดูสิว่าหลังจากนั้นเหตุการณ์เป็นยังไง? คนที่ถูกตี ไม่เหลือความกล้าอีกแม้แต่นิดเดียว มีเพียงความเกลียดแค้นฝังกระดูกที่ฉายอยู่ในดวงตา ในใจกำลังวางแผนชั่วร้าย กลับกลายเป็นบัณฑิตมีเงินและบัณฑิตนิสัยซื่อๆ คนนั้นที่พากันม้วนชายแขนเสื้อหมายจะตีอาจารย์ของข้า อาจารย์ของข้ายังจะทำอะไรได้อีก ก็หนีน่ะสิ แล้วข้าจะทำอะไรได้ ก็วิ่งหนีตามไปน่ะสิ”

“วิ่งออกไปไกลมากแล้ว พวกเราถึงได้หยุด อาจารย์ของข้าหันไปเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตามมาก็หัวเราะร่าเสียงดัง แต่หัวเราะไปหัวเราะมา เสียงหัวเราะก็หายไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นอาจารย์ของตนเผยความผิดหวังต่อเรื่องเรื่องหนึ่งมากขนาดนี้”

“ระหว่างทางที่พวกเรากลับไป อาจารย์เงียบไปนานมาก สุดท้ายหาร้านเหล้าข้างทางร้านหนึ่ง สั่งเหล้ามาหนึ่งจิน นั่งดื่มอย่างอารมณ์ดีพลางพูดเรื่องที่ตัวเองกลัดกลุ้มออกมาด้วย เขาบอกว่าการแข่งขันด้านความรู้ระหว่างบัณฑิตด้วยกัน การทะเลาะเบาะแว้งทั่วไปในหมู่ชาวบ้าน การถกเถียงปัญหาระหว่างคนกับคน ท่าทีในการใช้เหตุผลเป็นอย่างไร หากท่าทีดีก็ย่อมดีที่สุด แต่หากไม่ดีก็จะไม่ได้ยินคำพูดของคนอื่นแม้แต่น้อย แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะเมื่อยิ่งเกิดการโต้เถียง วิถีทางโลกก็จะยิ่งต้องชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้ทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดงก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ดังนั้นตอนที่อยู่ในร้านหนังสือ คนหนุ่มผู้นั้นนิสัยแย่ไปหน่อย แต่เขาผิดอะไร ต่อให้เขากับเถ้าแก่ร้านหนังสือจะเป็นเหมือนไก่ที่คุยกับเป็ด แต่ถึงอย่างไรต่างคนก็ต่างพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกมา คนที่สอนหนังสืออย่างข้ารับฟังเหตุผลของพวกเขา ไม่ว่าความตั้งใจเดิมจะเป็นอย่างไร นิสัยจะเป็นอย่างไร แต่ข้าก็ยังคงยินดีที่จะฟัง มีเพียงเจ้าคนสุดท้ายที่เปิดปากพูดผู้นั้นที่ปากเสียที่สุด จิตใจก็เลวร้ายที่สุด!”

“อาจารย์ของข้าที่น้อยครั้งนักจะให้ข้อสรุปกับนิสัยหรือพฤติกรรมของใครตบโต๊ะแล้วบอกว่า เจ้าคนผู้นั้นนิสัยมีปัญหา! คนผู้นี้ห่มคลุมหนังนอกกายเป็นบัณฑิตผู้สุภาพ ทว่าดีแต่จะวางแผนคิดทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ยิ่งเรียนหนังสือมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างหายนะได้มากเท่านั้น ขอแค่เจอเรื่อง เขาก็จะชอบหลบอยู่ในมุมมืดแล้วคอยพูดจาเสียดสีทิ่มแทงให้คนรู้สึกย่ำแย่มากที่สุด เขาจะคิดทำทุกวิถีทางเพื่อชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย หรือไม่ก็เก่งกล้ากับแค่บางคนเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเขาทำเรื่องเลวร้ายลงไปจริงๆ จึงจะได้รับผลประโยชน์มากกว่าใคร คนแบบนี้ หากปล่อยให้เขาปีนป่ายสู่ที่สูงได้อย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ ซึมซับอิทธิพลไปอย่างไม่รู้ตัวปีแล้วปีเล่า ไม่ต้องให้เขาพูดอะไร ก็จะส่งอิทธิพลต่อลูกหลาน ต่อคนทั้งตระกูล ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อการทำงานในที่ว่าการวงการขุนนาง ต่อขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่น หรือแม้แต่โชคชะตาบุ๋นของแคว้นก็อาจจะต้องเจอกับหายนะไปด้วย”

“คนที่ยังยินดีใช้เหตุผลและรับฟังเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่หรือดีเลว อันที่จริงล้วนยังสามารถสั่งสอนได้ ยังเยียวยาแก้ไขได้ แต่หากไม่ได้จริงๆ คนที่เป็นนักปราชญ์วิญญูชน โดยเฉพาะคนที่เหยียบโชคดีขี้หมาอย่างพวกเราที่ต้องกินหัวหมูเย็นๆ ก็ได้แต่ทำตัวเป็นคนมีความสามารถมากที่ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น ลำบากกว่าคนอื่นในการช่วยซ่อมแซมแก้ไขวิถีทางโลกใบนี้”

  “หากใต้หล้าล้วนมีแต่คนอย่างบัณฑิตคนที่สามที่เปิดปากมาก็พูดจาเสียดสีเหน็บแนมคนอื่น ข้าว่าตอนนั้นที่ตาเฒ่าถูกมรรคาจารย์เต๋าด่าจนไม่เหลือชิ้นดี แสดงว่ามรรคาจารย์เต๋าด่าได้ถูกต้องแล้ว ตาเฒ่าไม่ได้ถูกใส่ร้ายเลยแม้แต่นิดเดียว ตาเฒ่าเจ้าไม่ควรพูดหลักการเหตุผลเหล่านั้นออกจากมาปาก เขียนลงในหนังสือและสอนแก่ผู้คนบนโลกเลย!”

“ต้องโทษที่ลัทธิขงจื๊อของพวกเรามีหลักการเหตุผลมากเกินไป อีกทั้งยังพูดเองเออเอง หลักการเหตุผลข้อนี้ในหนังสือเล่มนี้ถูกหนังสืออีกเล่มปฏิเสธ หลักการเหตุผลในหนังสือเล่มนั้นก็ถูกหนังสือเล่มอื่นบอกว่าไม่มีค่าพอให้พูดถึง นี่จะทำให้ชาวบ้านไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติตามใคร ดังนั้นข้าจึงสนับสนุนข้อหนึ่งมาโดยตลอด นั่นคือไม่ว่าจะทะเลาะกับใคร ห้ามรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่มีเหตุผลถูกต้องที่สุดเด็ดขาด ฝ่ายตรงข้ามพูดได้ดี ต่อให้เป็นการช่วงชิงกันระหว่างสามลัทธิ ข้าก็ยังตั้งใจรับฟังแนวความคิดของลัทธิพุทธและลัทธิเต๋า เมื่อฟังถึงส่วนที่ถูกใจก็จะยิ้ม เพราะข้าได้ยินหลักการเหตุผลที่ดีขนาดนี้ ข้าก็ไม่ควรดีใจหรอกหรือ น่าอายหรือไม่? ไม่น่าอายเลย!”

“หลักการเหตุผลสูงเกินไปจะทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิดคิดว่ามีแค่บัณฑิตเท่านั้นที่ถึงจะพูดหลักการและเหตุผลได้ อันที่จริงหลักการเหตุผลไม่ได้อยู่แค่ในตำราเท่านั้น ต่อให้เป็นเด็กอายุไม่กี่ขวบก็ยังพูดเหตุผลที่ดีมากออกมาได้ ต่อให้เป็นชาวบ้านที่อยู่บ้านนอกบ้านนาไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อนก็สามารถทำในสิ่งที่มีเหตุผลที่สุดได้เช่นกัน ต่อให้เป็นเถ้าแก่ร้านหนังสือที่ไม่เคยสอบติดได้ตำแหน่งก็ยังสามารถพูดถึงสิ่งที่ผิดของหลักการเหตุผลในตอนนั้นได้ เพราะไม่แน่ว่าหากเอาไปพูดในเวลาอื่น แล้วตาเฒ่าหรือหลี่เซิ่งได้ยินโดยบังเอิญ มันก็อาจจะกลายมาเป็นเหตุผลที่ถูกใจจนทำให้พวกเขายิ้มได้เหมือนกัน”

ชุยตงซานพูดมาถึงตรงนี้ด้วยท่าทางเรียบง่ายผ่อนคลาย

ฟ่านเหยี่ยนฟังมาถึงตรงนี้ด้วยความคิดเดียวว่า ตนตายแน่แล้ว

เมื่อแน่ใจว่าชุยตงซานจะไม่เล่า ‘เรื่องในอดีตของคนในอดีต’ อีกแล้ว ฟ่านเหยี่ยนก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

ชุยตงซานหันหน้ากลับมา เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วช่างหล่อเหลาและทรงเสน่ห์อย่างแท้จริง

เขายิ้มเอ่ย “ทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้าไม่ใช่แค่อาศัยความสะใจของตัวเอง ขอแค่ข้ามีเหตุผลที่สามารถโน้มน้าวตัวเองให้เชื่อได้ ข้าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย อีกทั้งข้ายังมีหมัดที่แข็งมากพอ ข้าคิดอยากฆ่าใครก็ฆ่าได้หรอกหรือ? นี่มีอะไรยากตรงไหนกัน? ใต้หล้านี้เป็นคนดีนั้นยาก แต่เป็นคนเลวยังจะยากอีกหรือ? เด็กน้อยที่สวมกางเกงเปิดเป้ายังทำได้ ที่ยากหน่อยก็แค่ว่าต้องเป็นคนเลวที่มีมันสมองเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นข้าถามเจ้า อีกเดี๋ยวเจ้าจะต้องถูกข้าที่อยากจะสาแก่ใจเลียนแบบทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้าฆ่าตายเหมือนมดที่ถูกบี้ ตอนนี้ เจ้าสาแก่ใจหรือไม่?”

ฟ่านเหยี่ยนฟุบตัวลงกับพื้น พูดเสียงสั่น “ขอใต้เท้าราชครูใช้วิชาลับตระกูลเซียนลบความทรงจำช่วงนี้ของข้าน้อยไป อีกทั้งขอแค่ท่านราชครูยินยอมเปลืองแรงสักหน่อย ข้าก็ยินดีเอาทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของสกุลฟ่านมามอบให้ท่าน”

ชุยตงซานกระโดดลงมาจากระเบียง “เจ้าฉลาดมากจริงๆ ข้าถึงขนาดตัดใจสังหารเจ้าไม่ลงแล้ว ไม่ว่าอย่างไร หากทะเลสาบซูเจี่ยนมีเจ้าฟ่านเหยี่ยนช่วยจับตามองให้ก็เป็นเรื่องดี ฟ่านเหยี่ยน เจ้าน่ะ วันหน้าอย่าเป็นคนอีกเลย มาเป็นสุนัขของต้าหลีเถอะ แล้วจะได้มีชีวิตอยู่ต่อ”

ฟ่านเหยี่ยนรีบโขกหัวคำนับเสียงดังปึงๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองไปยัง ‘เด็กหนุ่ม’ ผู้สูงส่งเหนือใครด้วยความซาบซึ้ง ความซาบซึ้งใจนี้ ฟ่านเหยี่ยนแสดงออกมาจากใจจริงจนแทบจะกลายเป็นความจริงใจที่ทำให้ฟ้าสะเทือนได้แล้ว

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 445.2 เรื่องราวและคนบนโลกล้วนเล็กเท่าเมล็ดงา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 445.2 เรื่องราวและคนบนโลกล้วนเล็กเท่าเมล็ดงา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คนทั้งสองยืนพิงราวระเบียงชมทิวทัศน์ด้วยกัน

ชุยตงซานกระโดดทีเดียวก็พลิ้วกายขึ้นไปนั่งอยู่บนราวระเบียง แล้วเริ่มพูด ‘ถ้อยคำจากใจจริง’ ที่ตอนนั้นทำให้ฟ่านเหยี่ยนรู้สึกอกสั่นขวัญผวา เพียงแต่ว่าฟ่านเหยี่ยนหรือจะกล้าบอกให้คนผู้นั้นหุบปาก เขาก็ได้แต่ฟังไปเท่านั้น

ชุยตงซานกล่าวว่า “การไม่รู้คือสภาพการณ์หนึ่งที่ทำให้สบายใจและมีความสุขอย่างมาก เมื่อคนคนหนึ่งเดินขึ้นไปได้สูงอีกนิดก็จะคิดว่า นี่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิมแล้ว เพราะไม่เคยเข้าใจถึงสาเหตุของความโชคดีและความโชคร้าย แค่รับมันไปก็พอ เมื่อผ่านพ้นไปได้ก็ยังคงเป็นชายชาตรีอยู่เหมือนเดิม หากผ่านไปไม่ได้ก็ด่าสวรรค์ ข้าไม่ได้บอกว่าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ถึงขั้นที่ว่าข้าเองก็ยังรู้สึกอิจฉาคนที่อยู่ในสภาพการณ์สองอย่างนี้”

“ข้าเคยออกเดินทางท่องไปทั่วสารทิศพร้อมกับอาจารย์คนแรกของตัวเอง มีครั้งหนึ่งเข้าไปในร้านหนังสือข้างทาง เจอเข้ากับบัณฑิตสามคนที่อายุไม่มาก คนหนึ่งมาจากชนชั้นสูงของพื้นที่ คนหนึ่งชาติกำเนิดยากจน อีกคนหนึ่งที่แม้จะสวมชุดธรรมดาเรียบง่าย แต่มองดูแล้วกลับมีความสุภาพสง่างาม คนทั้งสามต่างก็เป็นบัณฑิตที่เข้าร่วมการสอบระดับท้องถิ่นของเมือง ตอนนั้นมีดรุณีน้อยคนหนึ่งกำลังหาหนังสืออยู่ในร้าน”

“บัณฑิตคนที่มีเงินอยากจะดึงดูดความสนใจจากสาวงามจึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาแล้วเริ่มพูดวิจารณ์หนังสือเล่มนั้น บัณฑิตที่ไม่มีเงินคอยพยักหน้ารับคำ รู้สึกเลื่อมใสอีกฝ่ายอย่างแท้จริง เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยากจน ก่อนที่จะโชคดีได้เป็นเศรษฐี เขาก็เคยอ่านหนังสือมาแค่ไม่กี่เล่ม”

“เถ้าแก่ร้านหนังสือเป็นปัญญาชนที่ตกอับคนหนึ่ง เขาอดทนฟังอยู่นาน สุดท้ายทนไม่ไหวจริงๆ จึงเอ่ยสองสามประโยคที่ถือว่ามีหลักฐานมีเหตุผลน่าเชื่อถือ”

“ผลกลับกลายเป็นว่าถูกบัณฑิตที่มีเงินชี้หน้าด่า บอกว่าข้ามาจากตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงของเมือง คนทั้งตระกูลต่างได้รับการศึกษา และข้าเองก็มีอาจารย์คอยให้ความรู้มาตั้งแต่เด็ก ความรู้ของเมธีร้อยสำนักในตำราทั้งหลายข้าล้วนเคยอ่านมาจนครบหมดแล้ว ยังต้องให้เจ้ามาสอนหลักการการวางตัวกับข้าด้วยหรือไง? เจ้าจะนับเป็นอะไรได้?”

“อาจารย์ที่ยากจนของข้าจึงทำหน้าที่เป็นคนไกล่เกลี่ย ช่วยไม่ได้ ชีวิตนี้ของเขาชอบสอดมือเข้ายุ่งกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากที่สุด เพราะมักจะรู้สึกว่าทุกคนไม่ได้ผิดมากขนาดนั้น ต่อให้มีความผิดก็สามารถแก้ไขได้ เขาจึงพูดโน้มน้าวไม่ให้เถ้าแก่โมโห บอกว่าหลักการเหตุผลมีมากมาย ทุกคนล้วนมีกันทั้งนั้น จากนั้นก็ยื่นมือไปกดนิ้วที่บัณฑิตยื่นชี้ออกมา บอกว่าพูดจากับคนอื่นด้วยท่าทางเช่นนี้ไม่เหมาะสม ต่อให้มีเหตุผลก็จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลได้อยู่ดี”

“บัณฑิตผู้นั้นเป็นคนอารมณ์ร้ายไม่น้อย เขาตบมืออาจารย์ของข้าทิ้ง แผดเสียงด่าว่าไอ้แก่เจ้าจะไปไหนก็ไป”

“อาจารย์ข้าย่อมไม่โกรธอยู่แล้ว และจากนั้นคนหนุ่มที่มองดูมีมาดของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ มองดูแล้วสุภาพอ่อนน้อมมากที่สุดคนนั้นก็ยิ้มตาหยีเอ่ยประโยคสามประโยค ประโยคแรกก็คือ ‘ที่นี่คือร้านขายหนังสือ พวกเราคือบัณฑิตที่มาซื้อหนังสือ ระวังว่านอกจากจะไม่ได้ซื้อหนังสือที่ถูกใจกลับไปแล้ว ยังต้องถูกคนไล่ไปด้วย’ ฟ่านเหยี่ยน เจ้ารู้หรือไม่ว่าประโยคนี้ยอดเยี่ยมที่ตรงไหน? เจ้าต้องรู้แน่นอน ยอดเยี่ยมตรงที่เอาก่อนและหลังมาปนกันมั่วซั่ว ไม่พูดถึงการเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามก่อน กลับกันยังเริ่มตั้งสมมติฐานส่งเดช ร้านหนังสือเป็นของเถ้าแก่ หากไล่ลูกค้าถูกออกไป เขาก็ ‘มีเหตุผล’ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขามีเหตุผลจริงๆ น่ะหรือ? หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นคงไม่รู้สึกอย่างนั้นกระมัง ดังนั้นตามหลักแล้วไม่ควรพูดถึงเส้นสายของความถูกผิด เพราะหากอนุมานย้อนกลับไป เจ้าของร้านจะกลายเป็นคนไร้เหตุผลในทันที นี่น่าสนใจมากเลยใช่ไหม? หากคนอื่นไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เพียงแค่ได้ยินประโยคนี้ หรือเจอกับฉากที่เถ้าแก่ร้านไล่คน ยังจะยินดีแยกแยะถูกผิดอีกหรือไม่? คงไม่กระมัง ชีวิตคนยุ่งวุ่นวาย ใครเล่าจะยินดีสืบเสาะหาต้นตอของเรื่องนี้ แค่ชมเรื่องสนุกก็พอแล้ว ดังนั้นตอนที่ได้ยินประโยคนี้ข้าจึงรู้สึกว่าตลกมาก และรู้สึกว่าคนผู้นี้ฉลาดไม่น้อย”

“ประโยคที่สอง ‘ท่านผู้เฒ่าคงเจอหาหนังสือที่อยากซื้อเจอแล้วกระมัง แต่ก็อย่าเข้าข้างเถ้าแก่เพราะเหตุผลนี้เลย หากเป็นเช่นนี้จริงจะดูผิดต่อหลักมารยาทแล้ว ข้าเห็นว่าท่านผู้เฒ่าก็น่าจะเป็นบัณฑิตเหมือนกัน เหตุใดถึงไม่มีมาดของบัณฑิตเสียเลย? ชอบประจบเอาใจคนขายหนังสือขนาดนี้เชียวหรือ?’ รู้สึกว่ายิ่งน่าขบคิดใช่ไหม? ขอแค่มีคนนอกอยู่ในร้านหนังสือแล้วช่วยพูดแทนเถ้าแก่ ก็จะกลายเป็นพวกขี้ประจบสอพลอไปทันที พวกคนที่มามุงดูซึ่งไม่อยากจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ต่อให้ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลข้อนี้ แต่ก็ต้องอดใจกระตุกกันไม่มากก็น้อยแล้วใช่ไหม?”

“ประโยคที่สาม ‘หากเถ้าแก่ท่านนี้มีความรู้ที่ดีและสูงจริง เหตุใดต้องมาขายหนังสือหาเงินเลี้ยงชีพอยู่ที่นี่? เหตุใดไม่ไปมีตำแหน่งสูงอยู่ในราชสำนักหรือสร้างผลงานที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกแล้ว?’ เป็นอย่างไร? นี่เป็นการทำร้ายจิตใจกันแล้วใช่ไหม? อันที่จริงนี่คือการตั้งสมมติฐานเพิ่มมาอีกสองข้อ อย่างแรกก็คือหลักการเหตุผลบนโลกใบนี้ล้วนจำเป็นต้องอาศัยชื่อเสียงและสถานะมาช่วยประคับประคอง เถ้าแก่ร้านขายหนังสืออย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์มาพูดถึงหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์เลย ข้อที่สองก็คือมีเพียงประสบความสำเร็จเท่านั้นถึงจะถือว่ามีเหตุผล เหตุผลอยู่แค่บนตำราของอริยะปราชญ์ อยู่แค่ในราชสำนักเท่านั้น ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดที่ไก่บินหมากระโดด ในร้านหนังสือที่มีกลิ่นหอมของหมึกอบอวลไม่ได้มีเหตุผลเลยแม้แต่ข้อเดียว”

“เจ้าลองเดาดูสิว่าผลสรุปเป็นอย่างไร อาจารย์ของข้าฟาดฝ่ามือออกไป แล้วเริ่มผรุสวาทด่าทอบัณฑิตที่ฉลาดที่สุดคนนั้น ข้าเป็นลูกศิษย์เขามานานขนาดนี้ นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นอาจารย์คนดีของตนที่ไม่เพียงแต่โกรธ ยังด่าและตีคนอื่นด้วย ซิ่วไฉเฒ่าด่าเจ้าคนน่าสงสารผู้นั้นว่า ‘จากพ่อแม่มาจนถึงอาจารย์ในโรงเรียน แล้วมาจนถึงตำราอริยะปราชญ์แต่ละเล่ม ควรต้องมีเหตุผลสักข้อสองข้อที่สอนเจ้าได้ แต่มารดาเจ้าเถอะ ผลกลับกลายเป็นว่าลูกตาของเจ้ามันถูกทาด้วยขี้ไก่ ในท้องก็ถูกอัดแน่นด้วยขี้หมางั้นรึ?!’”

“คราวนี้หลังจากตีและด่าเจ้าคนโง่ตาไร้แววผู้นั้นแล้ว เจ้าเดาดูสิว่าหลังจากนั้นเหตุการณ์เป็นยังไง? คนที่ถูกตี ไม่เหลือความกล้าอีกแม้แต่นิดเดียว มีเพียงความเกลียดแค้นฝังกระดูกที่ฉายอยู่ในดวงตา ในใจกำลังวางแผนชั่วร้าย กลับกลายเป็นบัณฑิตมีเงินและบัณฑิตนิสัยซื่อๆ คนนั้นที่พากันม้วนชายแขนเสื้อหมายจะตีอาจารย์ของข้า อาจารย์ของข้ายังจะทำอะไรได้อีก ก็หนีน่ะสิ แล้วข้าจะทำอะไรได้ ก็วิ่งหนีตามไปน่ะสิ”

“วิ่งออกไปไกลมากแล้ว พวกเราถึงได้หยุด อาจารย์ของข้าหันไปเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตามมาก็หัวเราะร่าเสียงดัง แต่หัวเราะไปหัวเราะมา เสียงหัวเราะก็หายไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นอาจารย์ของตนเผยความผิดหวังต่อเรื่องเรื่องหนึ่งมากขนาดนี้”

“ระหว่างทางที่พวกเรากลับไป อาจารย์เงียบไปนานมาก สุดท้ายหาร้านเหล้าข้างทางร้านหนึ่ง สั่งเหล้ามาหนึ่งจิน นั่งดื่มอย่างอารมณ์ดีพลางพูดเรื่องที่ตัวเองกลัดกลุ้มออกมาด้วย เขาบอกว่าการแข่งขันด้านความรู้ระหว่างบัณฑิตด้วยกัน การทะเลาะเบาะแว้งทั่วไปในหมู่ชาวบ้าน การถกเถียงปัญหาระหว่างคนกับคน ท่าทีในการใช้เหตุผลเป็นอย่างไร หากท่าทีดีก็ย่อมดีที่สุด แต่หากไม่ดีก็จะไม่ได้ยินคำพูดของคนอื่นแม้แต่น้อย แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะเมื่อยิ่งเกิดการโต้เถียง วิถีทางโลกก็จะยิ่งต้องชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้ทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดงก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ดังนั้นตอนที่อยู่ในร้านหนังสือ คนหนุ่มผู้นั้นนิสัยแย่ไปหน่อย แต่เขาผิดอะไร ต่อให้เขากับเถ้าแก่ร้านหนังสือจะเป็นเหมือนไก่ที่คุยกับเป็ด แต่ถึงอย่างไรต่างคนก็ต่างพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกมา คนที่สอนหนังสืออย่างข้ารับฟังเหตุผลของพวกเขา ไม่ว่าความตั้งใจเดิมจะเป็นอย่างไร นิสัยจะเป็นอย่างไร แต่ข้าก็ยังคงยินดีที่จะฟัง มีเพียงเจ้าคนสุดท้ายที่เปิดปากพูดผู้นั้นที่ปากเสียที่สุด จิตใจก็เลวร้ายที่สุด!”

“อาจารย์ของข้าที่น้อยครั้งนักจะให้ข้อสรุปกับนิสัยหรือพฤติกรรมของใครตบโต๊ะแล้วบอกว่า เจ้าคนผู้นั้นนิสัยมีปัญหา! คนผู้นี้ห่มคลุมหนังนอกกายเป็นบัณฑิตผู้สุภาพ ทว่าดีแต่จะวางแผนคิดทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ยิ่งเรียนหนังสือมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างหายนะได้มากเท่านั้น ขอแค่เจอเรื่อง เขาก็จะชอบหลบอยู่ในมุมมืดแล้วคอยพูดจาเสียดสีทิ่มแทงให้คนรู้สึกย่ำแย่มากที่สุด เขาจะคิดทำทุกวิถีทางเพื่อชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย หรือไม่ก็เก่งกล้ากับแค่บางคนเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเขาทำเรื่องเลวร้ายลงไปจริงๆ จึงจะได้รับผลประโยชน์มากกว่าใคร คนแบบนี้ หากปล่อยให้เขาปีนป่ายสู่ที่สูงได้อย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ ซึมซับอิทธิพลไปอย่างไม่รู้ตัวปีแล้วปีเล่า ไม่ต้องให้เขาพูดอะไร ก็จะส่งอิทธิพลต่อลูกหลาน ต่อคนทั้งตระกูล ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อการทำงานในที่ว่าการวงการขุนนาง ต่อขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่น หรือแม้แต่โชคชะตาบุ๋นของแคว้นก็อาจจะต้องเจอกับหายนะไปด้วย”

“คนที่ยังยินดีใช้เหตุผลและรับฟังเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่หรือดีเลว อันที่จริงล้วนยังสามารถสั่งสอนได้ ยังเยียวยาแก้ไขได้ แต่หากไม่ได้จริงๆ คนที่เป็นนักปราชญ์วิญญูชน โดยเฉพาะคนที่เหยียบโชคดีขี้หมาอย่างพวกเราที่ต้องกินหัวหมูเย็นๆ ก็ได้แต่ทำตัวเป็นคนมีความสามารถมากที่ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น ลำบากกว่าคนอื่นในการช่วยซ่อมแซมแก้ไขวิถีทางโลกใบนี้”

  “หากใต้หล้าล้วนมีแต่คนอย่างบัณฑิตคนที่สามที่เปิดปากมาก็พูดจาเสียดสีเหน็บแนมคนอื่น ข้าว่าตอนนั้นที่ตาเฒ่าถูกมรรคาจารย์เต๋าด่าจนไม่เหลือชิ้นดี แสดงว่ามรรคาจารย์เต๋าด่าได้ถูกต้องแล้ว ตาเฒ่าไม่ได้ถูกใส่ร้ายเลยแม้แต่นิดเดียว ตาเฒ่าเจ้าไม่ควรพูดหลักการเหตุผลเหล่านั้นออกจากมาปาก เขียนลงในหนังสือและสอนแก่ผู้คนบนโลกเลย!”

“ต้องโทษที่ลัทธิขงจื๊อของพวกเรามีหลักการเหตุผลมากเกินไป อีกทั้งยังพูดเองเออเอง หลักการเหตุผลข้อนี้ในหนังสือเล่มนี้ถูกหนังสืออีกเล่มปฏิเสธ หลักการเหตุผลในหนังสือเล่มนั้นก็ถูกหนังสือเล่มอื่นบอกว่าไม่มีค่าพอให้พูดถึง นี่จะทำให้ชาวบ้านไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติตามใคร ดังนั้นข้าจึงสนับสนุนข้อหนึ่งมาโดยตลอด นั่นคือไม่ว่าจะทะเลาะกับใคร ห้ามรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่มีเหตุผลถูกต้องที่สุดเด็ดขาด ฝ่ายตรงข้ามพูดได้ดี ต่อให้เป็นการช่วงชิงกันระหว่างสามลัทธิ ข้าก็ยังตั้งใจรับฟังแนวความคิดของลัทธิพุทธและลัทธิเต๋า เมื่อฟังถึงส่วนที่ถูกใจก็จะยิ้ม เพราะข้าได้ยินหลักการเหตุผลที่ดีขนาดนี้ ข้าก็ไม่ควรดีใจหรอกหรือ น่าอายหรือไม่? ไม่น่าอายเลย!”

“หลักการเหตุผลสูงเกินไปจะทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิดคิดว่ามีแค่บัณฑิตเท่านั้นที่ถึงจะพูดหลักการและเหตุผลได้ อันที่จริงหลักการเหตุผลไม่ได้อยู่แค่ในตำราเท่านั้น ต่อให้เป็นเด็กอายุไม่กี่ขวบก็ยังพูดเหตุผลที่ดีมากออกมาได้ ต่อให้เป็นชาวบ้านที่อยู่บ้านนอกบ้านนาไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อนก็สามารถทำในสิ่งที่มีเหตุผลที่สุดได้เช่นกัน ต่อให้เป็นเถ้าแก่ร้านหนังสือที่ไม่เคยสอบติดได้ตำแหน่งก็ยังสามารถพูดถึงสิ่งที่ผิดของหลักการเหตุผลในตอนนั้นได้ เพราะไม่แน่ว่าหากเอาไปพูดในเวลาอื่น แล้วตาเฒ่าหรือหลี่เซิ่งได้ยินโดยบังเอิญ มันก็อาจจะกลายมาเป็นเหตุผลที่ถูกใจจนทำให้พวกเขายิ้มได้เหมือนกัน”

ชุยตงซานพูดมาถึงตรงนี้ด้วยท่าทางเรียบง่ายผ่อนคลาย

ฟ่านเหยี่ยนฟังมาถึงตรงนี้ด้วยความคิดเดียวว่า ตนตายแน่แล้ว

เมื่อแน่ใจว่าชุยตงซานจะไม่เล่า ‘เรื่องในอดีตของคนในอดีต’ อีกแล้ว ฟ่านเหยี่ยนก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

ชุยตงซานหันหน้ากลับมา เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วช่างหล่อเหลาและทรงเสน่ห์อย่างแท้จริง

เขายิ้มเอ่ย “ทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้าไม่ใช่แค่อาศัยความสะใจของตัวเอง ขอแค่ข้ามีเหตุผลที่สามารถโน้มน้าวตัวเองให้เชื่อได้ ข้าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย อีกทั้งข้ายังมีหมัดที่แข็งมากพอ ข้าคิดอยากฆ่าใครก็ฆ่าได้หรอกหรือ? นี่มีอะไรยากตรงไหนกัน? ใต้หล้านี้เป็นคนดีนั้นยาก แต่เป็นคนเลวยังจะยากอีกหรือ? เด็กน้อยที่สวมกางเกงเปิดเป้ายังทำได้ ที่ยากหน่อยก็แค่ว่าต้องเป็นคนเลวที่มีมันสมองเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นข้าถามเจ้า อีกเดี๋ยวเจ้าจะต้องถูกข้าที่อยากจะสาแก่ใจเลียนแบบทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเจ้าฆ่าตายเหมือนมดที่ถูกบี้ ตอนนี้ เจ้าสาแก่ใจหรือไม่?”

ฟ่านเหยี่ยนฟุบตัวลงกับพื้น พูดเสียงสั่น “ขอใต้เท้าราชครูใช้วิชาลับตระกูลเซียนลบความทรงจำช่วงนี้ของข้าน้อยไป อีกทั้งขอแค่ท่านราชครูยินยอมเปลืองแรงสักหน่อย ข้าก็ยินดีเอาทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของสกุลฟ่านมามอบให้ท่าน”

ชุยตงซานกระโดดลงมาจากระเบียง “เจ้าฉลาดมากจริงๆ ข้าถึงขนาดตัดใจสังหารเจ้าไม่ลงแล้ว ไม่ว่าอย่างไร หากทะเลสาบซูเจี่ยนมีเจ้าฟ่านเหยี่ยนช่วยจับตามองให้ก็เป็นเรื่องดี ฟ่านเหยี่ยน เจ้าน่ะ วันหน้าอย่าเป็นคนอีกเลย มาเป็นสุนัขของต้าหลีเถอะ แล้วจะได้มีชีวิตอยู่ต่อ”

ฟ่านเหยี่ยนรีบโขกหัวคำนับเสียงดังปึงๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองไปยัง ‘เด็กหนุ่ม’ ผู้สูงส่งเหนือใครด้วยความซาบซึ้ง ความซาบซึ้งใจนี้ ฟ่านเหยี่ยนแสดงออกมาจากใจจริงจนแทบจะกลายเป็นความจริงใจที่ทำให้ฟ้าสะเทือนได้แล้ว

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+