กระบี่จงมา 457.4 ทะเลสาบซูเจี่ยนที่น้ำลดหินผุด

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 457.4 ทะเลสาบซูเจี่ยนที่น้ำลดหินผุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เรือหอเรือนจอดเทียบท่าที่เกาะชิงเสีย กู้ช่านไม่ได้บอกว่าจะไปที่จวนชุนถิง แต่เอ่ยว่าตนสามารถพักอยู่ในเรือนตรงหน้าประตูภูเขา เป็นเพื่อนบ้านกับสหายอย่างเจิงเย่ได้

ผลกลับกลายเป็นว่าหม่าตู่อี๋ยึดครองห้องที่เป็นของเฉินผิงอันไปเพียงลำพัง ไล่ให้กู้ช่านไปอยู่กับเจิงเย่

กู้ช่านไม่คิดอะไรมาก

ตลอดทางที่อยู่ร่วมกันมา สำหรับหม่าตู่อี๋ที่ปากคมเป็นมีดแต่ใจอ่อนดุจเต้าหู้ กู้ช่านไม่ได้รู้สึกรังเกียจนาง อยู่ด้วยกันนานวันเข้ากลับยังรู้สึกว่านางเป็นอย่างนี้ก็ดีมากเหมือนกัน

เฉินผิงอันอาจรู้สึกว่าตัวเองได้นำหลักการเหตุผลของทั้งชีวิตมาใช้ในทะเลสาบซูเจี่ยนจนหมดสิ้นแล้ว

แต่กู้ช่านกลับรู้สึกว่าชีวิตนี้ของตน ถ้อยคำประจบเยินยอที่คนอื่นเอ่ยให้ฟัง เขาล้วนฟังมาหมดสิ้นในช่วงเวลาตลอดหลายปีที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว

หลังจากนั้นกู้ช่านก็ไปดูซากปรักของจวนเหิงโป อีกทั้งยังไปยืนอยู่นอกจวนชุนถิงครู่หนึ่ง

แสงแดดของฤดูใบไม้ผลิในวันนี้งดงามแจ่มใส กู้ช่านกับเจิงเย่และหม่าตู่อี๋จึงนั่งอาบแดดเรียงกันอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก

มีสตรีเรือนกายสูงโปร่งแต่งกายด้วยชุดขาววังคนหนึ่งลงเรือที่ท่าเรือ แล้วเดินนวยนาดมา

หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไช

กู้ช่านรู้แค่ว่าเฉินผิงอันรู้สึกผิดต่อเจ้าเกาะผู้นี้เล็กน้อย บอกว่าติดค้างเงินเทพเซียนบางส่วนกับนาง ดังนั้นการเดินทางกลับทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนี้ ต่อให้หลิวจ้งรุ่นไม่มาเยือนเกาะชิงเสีย กู้ช่านก็จะไปเยือนเกาะจูไชด้วยตัวเองเพื่อพูดคุยเรื่องบางอย่างกับหลิวจ้งรุ่น หลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าเกาะหลิวที่หน้าตางดงามบุคลิกดีเลิศผู้นี้เข้าใจผิดคิดว่าเฉินผิงอันชักดาบหนีหนี้ไปแล้ว หลิวจ้งรุ่นในเวลานี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือต่อให้หลิวจ้งรุ่นแสดงตบะที่แท้จริงอย่างขอบเขตเซียนดินโอสถทองออกมา จนกระทั่งบุกฝ่าเส้นทางสายเลือดไปได้รับแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยที่ระดับขั้นเข้าขั้นของต้าหลีมาครองแผ่นหนึ่งท่ามกลางความอิจฉาตาร้อนของเจ้าเกาะแต่ละแห่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังเกิดการคาดเดามากมายเกี่ยวกับตัวนาง ยกตัวอย่างเช่นเป็นเพราะซูเกาซานหมายตาในความงามของหลิวจ้งรุ่นหรือไม่? หรือว่าเป็นคนหนุ่มอย่างกวนอี้หรานที่กุมอำนาจใหญ่ผู้นั้นที่มีรสนิยมชื่นชอบสตรีอายุมากกว่า? เพราะถึงอย่างไรปีนั้นหลิวจ้งรุ่นก็เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ที่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่เชื้อพระวงศ์จูอิ๋งเฝ้าคิดถึงคะนึงหา

แน่นอนว่ากู้ช่านรู้ดีว่าไม่มีเรื่องราวสวยหรูแต่แฝงไปด้วยมลพิษสกปรกเหล่านั้นอยู่ เพราะเฉินผิงอันเคยเปิดเผยความลับบอกว่า ในฐานะที่หลิวจ้งรุ่นคือองค์หญิงของแคว้นใหญ่ที่ล่มสลาย นางจึงนำวิชาลับของตำราวารีที่จนถึงทุกวันนี้ราชวงศ์จูอิ๋งก็ยังขุดหาไม่เจอมาแลกด้วยการปกป้องจากป้ายปลอดภัยแผ่นนั้น นี่ไม่เพียงแต่ต้องคุ้มครองทรัพย์สินทั้งหมดบนเกาะจูไช นางยังเหมือนเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว กลายเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนถวายงานของต้าหลี

ส่วนในเรื่องนี้มีเฉินผิงอันคอยช่วยสานความสัมพันธ์ให้หรือไม่ เขาไม่ได้พูด

หลิวจ้งรุ่นเห็นกู้ช่านลุกขึ้นยืนต้อนรับตัวเองก็ยิ้มถามว่า “ท่านเฉินจะกลับทะเลสาบซูเจี่ยนเมื่อไหร่?”

กู้ช่านส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่ว่าช่วงนี้คงไม่กลับมา”

หลิวจ้งรุ่นพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเป็นปกติ แล้วก็ทำท่าจะจากไปทั้งอย่างนั้น

กู้ช่านที่ลุกขึ้นยืนรีบเดินตามเจ้าเกาะหลิวท่านนี้ไป พูดคุยถึงเรื่องที่เฉินผิงอันมอบหมายให้เขานำมาบอกนาง

หลิวจ้งรุ่นไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรที่แสดงถึงการตัดสินใจ เพียงแค่จากไปเท่านั้น

กู้ช่านกลับไปที่ม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็ก

ผลกลับกลายเป็นว่ามีผู้ฝึกตนผีจวนจูเสียนคนหนึ่งมาปรากฏตัวที่ท่าเรือ

หลิวจ้งรุ่นลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังหยุดเดิน ถอนหายใจเอ่ยว่า “หม่าหย่วนจื้อ เจ้าตามตื้อข้ามานานหลายปีขนาดนี้ ไม่เบื่อหรือไร? หากเจ้ามีใจเช่นนี้จริง เหตุใดไม่ตั้งใจฝึกตนให้ดี เพื่อจะได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินในเร็ววัน?”

ผู้ฝึกตนผีที่จงใจเปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวเรียบง่ายแต่ดูสง่างามแสยะมุมปากยกยิ้ม “องค์หญิงใหญ่ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเฉินผิงอันไม่อยู่เกาะชิงเสีย แต่ท่านก็ยังมาเยือนที่นี่ ข้ารู้ดีว่าท่านคิดอย่างไร”

หลิวจ้งรุ่นเริ่มมีโทสะ “ไสหัวไป”

หม่าหย่วนจื้อไม่กล้าขัดขวาง เขายอมหลีกทางให้แต่โดยดี ปล่อยให้หลิวจ้งรุ่นเดินตรงไปขึ้นเรือข้ามฟากของเกาะจูไช

เพียงแต่ว่าเขาไม่สามารถควบคุมดวงตาสุนัขของตัวเองที่แอบชำเลืองมองแผ่นหลังขององค์หญิงใหญ่อยู่หลายทีได้ ช่างบำรุงร่างกายตัวเองได้ดีจริงๆ

หลิวจ้งรุ่นหยุดเดินแล้วหันกลับมา

เพราะสัมผัสได้ถึงสายตาที่ชั่วร้ายของหม่าหย่วนจื้อ

นางจึงตวาดกร้าว “เจ้ารนหาที่ตายงั้นรึ?!”

หม่าหย่วนจื้อกลืนน้ำลาย กล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ก็ข้าเป็นห่วง กลัวว่าหลังจากที่องค์หญิงใหญ่ผ่านคลื่นมรสุมครั้งนี้มาจะผอมลงหรือไม่ ตอนนี้ในที่สุดก็วางใจได้แล้ว”

หม่าหย่วนจื้อฉวยโอกาสนี้ชำเลืองตามองไปทางหน้าอกของนางอีกแวบหนึ่ง เนินเขาสลับขึ้นลง งดงามจนแทบละสายตาไม่ได้

หลิวจ้งรุ่นกล่าวอย่างมีโทสะ “เจ้าสุนัขไม่เปลี่ยนนิสัยกินอาจม!”

หม่าหย่วนจื้อเอ่ยอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก “ข้าไม่อนุญาตให้องค์หญิงใหญ่เหยียบย่ำตัวเองเช่นนี้ ต่อให้องค์หญิงใหญ่จะเหยียบข้าไว้ใต้ฝ่าเท้า ข้าก็จะไม่บ่นแม้แต่คำเดียว แต่องค์หญิงใหญ่พูดถึงตัวเองเช่นนี้ ข้าไม่ยอม ในใจของข้า องค์หญิงใหญ่จะเป็นสตรีมหัศจรรย์ไร้มลทินที่งดงามที่สุดในโลกตลอดไป…”

หลิวจ้งรุ่นถึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองกล่าวผิดไป ด้วยความอับอายที่พานมาเป็นความโกรธ นางจึงสะบัดชายแขนเสื้อตบให้ผู้ฝึกตนผีปลิวกระเด็นออกไปจากท่าเรือ

หม่าหย่วนจื้อที่รั้งร่างกายให้หยุดนิ่งและทำจิตใจให้มั่นคงได้แล้ว ความรู้สึกนับร้อยพลันประดังประเดกันเข้ามา น้ำตาร้อนๆ เอ่อคลอนัยน์ตา เขาเช็ดหน้า รู้สึกเพียงว่าในที่สุดความน้อยเนื้อต่ำใจและความทุกข์ยากนับพันประการที่เผชิญมาตลอดหลายปีก็ได้รับการชดเชยเสียที เขาพึมพำว่า “องค์หญิงใหญ่ สตรีล้วนหน้าบาง ไม่กล้าจะพูดจากระหนุงกระหนิงกับข้าก็ไม่เป็นไร การตีการด่าก็แสดงว่ารักได้เหมือนกัน เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี”

หลิวจ้งรุ่นขึ้นเรือมาแล้วก็ใช้วิชาตระกูลเซียนบังคับเรือจากไปไกลอย่างรวดเร็ว

เป็นเพราะนางรำคาญเจ้าคนแบกอาหารที่สมองมีรูผู้นั้นเต็มทีแล้ว

หม่าหย่วนจื้อผงกศีรษะ คลี่ยิ้มเจิดจ้า ทำสีหน้าท่าทางลับๆ ล่อๆ มากกว่าเดิม “องค์หญิงใหญ่เขินขนาดนี้ คือเรื่องหายากที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้ง ดูท่าคงคิดจะเปิดใจให้ข้าจริงๆ แล้ว น่าสนุกล่ะ ต้องน่าสนุกแน่! เฉินผิงอัน เจ้ารอดื่มสุรามงคลเถอะ! ช่างเป็นพี่น้องที่ดีจริงๆ! หากเจ้าไม่บอกกับข้าว่า เวลาคบค้าสมาคมกับสตรีต้องใคร่ครวญถึงความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดของพวกนางให้มากแล้วล่ะก็ ข้าหรือจะเข้าใจความปรารถนาดีขององค์หญิงใหญ่? นางต้องการให้ข้าเลื่อนเป็นเซียนดินโอสถทองในเร็ววัน นั่นก็ไม่ได้เป็นการบอกข้าเป็นนัยๆ ว่าชายชาตรีอย่างข้าไม่ควรรั้งท้ายตามหลังนางมากนักหรือไร? ไม่ใช่เพราะกังวลว่าในใจข้าจะเกิดความอึดอัดเพราะองค์หญิงได้เป็นโอสถทองแล้วหรือไร? หากองค์หญิงไม่มีใจเป็นห่วงเป็นใยข้า จะต้องเปลืองแรงมาพูดเรื่องพวกนี้หรือ? เฉินผิงอัน ท่านเฉิน พี่น้องเฉิน! เจ้าช่างเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ของข้าจริงๆ!”

หลังจากที่ผู้ฝึกตนผีเดินอาดๆ จากไปด้วยความปิติยินดี

ฝั่งเจิงเย่ที่ไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกตนผีกับเจ้าเกาะจูไชผู้นั้นเท่าไหร่นักก็ถามขึ้นมาเบาๆ ว่า “ผู้ฝึกตนผีอาวุโสท่านนี้เข้าใจอะไรผิดหรือไม่?”

หม่าตู่อี๋แทะเมล็ดแตง พูดอย่างให้ข้อสรุปว่า “หากข้าเป็นเจ้าเกาะหลิวผู้นั้นจะตบเขาให้ตายไปด้วยฝ่ามือเดียวเสียเลย เวลาเจอหน้ากันจะได้ไม่ต้องคอยถูกดวงตาสุนัขคู่นั้นของเขาแทะโลม”

กู้ช่านยิ้มถาม “พวกเจ้าคิดว่าเจ้าเกาะหลิวจะชอบเฉินผิงอันหรือไม่?”

เจิงเย่คิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง นางกับท่านเฉินอายุห่างกันตั้งมากขนาดนั้น อีกทั้งยังไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน ถึงอย่างไรเจ้าเกาะหลิวก็เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองที่มีจิตแห่งเต๋ามั่นคง ต่อให้ท่านเฉินจะเป็นคนดีมาก แต่ข้าก็ไม่คิดว่านางจะชอบเขา”

หม่าตู่อี๋หลุดหัวเราะพรืด “หลิวจ้งรุ่นชอบท่านเฉินจะแปลกตรงไหน? แต่ข้าว่านะ ท่านเฉินของพวกเราไม่มีทางชอบหญิงแก่คนหนึ่งหรอก”

กู้ช่านที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

หม่าตู่อี๋ขว้างเมล็ดแตงกำหนึ่งใส่เขา กู้ช่านเบี่ยงตัวหลบ เมล็ดแตงทั้งหมดจึงโดนหัวเจิงเย่แทน นี่ยังไม่นับว่าเป็นอะไร เจิงเย่ยังก้มตัวไปเก็บพวกมันขึ้นมาแทะต่อด้วย ถึงอย่างไรอยู่กับท่านเฉินมานานขนาดนั้น คิดจะไม่เป็นคนหลงใหลในทรัพย์สิน ไม่เป็นคนขี้งกก็คงจะยากอยู่มาก

……

เกาะกงหลิ่ว

ในคุกน้ำ

นักโทษชั้นเลวที่สวมชุดผ้าป่านสีขาวคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางห้องขังที่นับว่าค่อนข้างกว้างขวางด้วยสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ

นอกห้องขังมีผู้ฝึกตนเฒ่าห้าขอบเขตบนคนหนึ่งที่มาจากใบถงทวีป เขาก็คืออดีตบุรพาจารย์สำนักใบถงที่ปีนั้นออกทะเลไปสังหารปีศาจใหญ่ร่วมกับเจ้าสำนักภูเขาไท่ผิงและเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาย้ายมาอยู่สำนักกุยหยกแล้ว และยังถือโอกาสนำสมบัติพิทักษ์ขุนเขาที่สำคัญมากชิ้นหนึ่งในศาลบรรพาจารย์ของสำนักใบถงมาด้วย ด้วยสาเหตุนี้ทำให้สำนักใบถงกับสำนักกุยหยกเกือบจะเปิดศึกกันแล้ว ยังดีที่สวินยวนเจ้าประมุขผู้เฒ่าของสำนักกุยหยกไปเยือนสำนักใบถงด้วยตัวเอง แล้วนั่งลงพูดคุยกับเจ้าสำนักใบถงที่เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดดีๆ หลังจากคุยกันจบ สำนักใบถงก็ไม่คิดจะซักไซ้เอาความต่อ คิดดูแล้วสำนักกุยหยกก็น่าจะมีการชดเชยให้พวกเขา

ผู้ฝึกตนเฒ่ามีนามว่าโจวเฟิงลู่ และยิ่งเป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจในการเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างของสำนักกุยหยกในครั้งนี้ ส่วนเขาจะใช่ทหารม้าทัพหน้าที่น่าสงสารหรือไม่ ประเด็นสำคัญคือยังต้องดูที่ตัวเลือกของคนที่จะมาเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างในท้ายที่สุด ว่าจะเป็นเขาที่มีคุณความเหนื่อยยากสูง หรือจะเป็นเจ้าตะพาบเจียงซ่างเจินที่ในมือกุมพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาไว้อยู่แล้ว

การที่โจวเฟิงลู่ไม่ได้สังหารหลิวจื้อเม่าผู้นี้ในทันทีก็เพราะคิดจะฉกฉวยคุณความชอบที่มากกว่าเดิม เพื่อให้พวกตาเฒ่ากลุ่มเล็กที่กุมอำนาจสูงอยู่ในสำนักกุยหยกซึ่งให้การสนับสนุนตนอย่างลับๆ สามารถพูดเกลี้ยกล่อมพวกคนแก่ดื้อดึงในศาลบรรพจารย์ที่ลำเอียงไปทางเจียงซ่างเจินได้ดีขึ้น แน่นอนว่าฝ่ายในของสำนักกุยหยกไม่ใช่กระดานเหล็ก สำหรับเจียงซ่างเจินเด็กรุ่นหลังที่มีหน้ามีตาชีวิตรุ่งโรจน์ตลอดพันปีที่ผ่านมาแล้ว ก็มีผู้เฒ่าไม่น้อยที่เห็นเขาขวางหูขวางตามานานแล้ว

นี่ก็คือโอกาสของโจวเฟิงลู่

หากได้กลายเป็นเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่าง นั่นก็คือขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาลำดับหนึ่งของสำนักกุยหยก สามารถได้ครอบครองพื้นที่หนึ่งในศาลบรรพจารย์บนภูเขาดั้งเดิมของสำนักกุยหยกโดยตรง อีกทั้งตำแหน่งที่นั่งยังอยู่ด้านหน้าอีกด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะได้นั่งติดอยู่กับเจียงซ่างเจิน เชื่อว่าตาแก่หลายคนที่ไม่ยินดีให้เจียงซ่างเจินกุมอำนาจใหญ่เพียงลำพังย่อมยินดีจะให้เป็นเช่นนี้ ทั้งสามารถสยบความโอหังอวดดีของสกุลเจียงเอาไว้ได้ แล้วยังทำให้เจียงซ่างเจินสะอิดสะเอียนได้ด้วย

โจวเฟิงลู่สีหน้าไม่สบอารมณ์ “หลิวจื้อเม่า นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ข้ามาหาเจ้า เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

หลิวจื้อเม่าเหล่ตามองเขา “ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเราที่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างพวกเจ้าไม่เห็นอยู่ในสายตา ทำตัวเป็นหมาเร่ร่อนที่ขุดดินหาอาหารจนชินแล้ว ไม่อาจทำตัวเป็นหมาที่ถูกเลี้ยงในบ้านได้”

โจวเฟิงลู่แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “เป็นฝ่ายร่วมมือกับถานหยวนอี้สวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่งต้าหลี ก็ต้องเป็นหมาเฝ้าบ้านให้คนอื่นเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

หลิวจื้อเม่าหัวเราะหึหึ “ขายชีวิตให้ต้าหลี นั่นก็คือการถูกเลี้ยงแบบปล่อย ดีกว่าถูกเลี้ยงแบบล้อมกรอบมากนัก อีกอย่างในชีวิตนี้สิ่งที่ข้าผู้อาวุโสไม่ชอบมากที่สุดก็คือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เย่อหยิ่งหัวสูงอย่างพวกเจ้านี่แหละ”

สีหน้าของโจวเฟิงลู่มืดทะมึน “หลิวจื้อเม่า เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ หรือ? เซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่ง อยู่ในสถานที่คับแคบอย่างแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าย่อมร้ายกาจมาก แต่อยู่ในใบถงทวีปของพวกเรากลับไม่อาจนับเป็นอะไรได้ ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนล้มหายตายจากไปมีไม่น้อย ทุกๆ ระยะเวลาหนึ่งร้อยปี หากไม่มีก่อกำเนิดตายไปสักสองสามคน ใบถงทวีปก็ถึงกับรู้สึกไม่ดีที่จะไปคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกตนใหญ่ของทวีปอื่นแล้ว แต่แจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าเล่า ทำได้หรือ?”

หลิวจื้อเม่าหัวเราะเสียงดัง “นี่เจ้าขู่ข้าหรือ?”

โจวเฟิงลู่ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ขู่เจ้า ความอดทนของคนผู้หนึ่งย่อมมีขีดจำกัดเสมอ”

หลิวจื้อเม่ากระตุกมุมปาก “เจ้าไม่รู้หรือว่าหมาเร่ร่อนอย่างพวกเรา ทั้งชีวิตที่ฝึกตนมาต้องถูกคนข่มขู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องตกใจกลัวอยู่หลายต่อหลายครั้ง หากไม่ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อก็เป็นอย่างข้าที่ต่อให้ผีมาเคาะประตูกลางดึก ข้าก็ยังต้องถามว่ามาทำการค้ากับข้าหรือไม่ ทำไม เจ้าเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างกุยหยกแล้วก็เลยสามารถตัดสินความเป็นความตายของข้าด้วยประโยคเดียว? ถอยไปพูดอีกก้าว ต่อให้เจ้าได้เป็นเจ้าสำนักจริงๆ เจ้าก็ไม่ยิ่งควรต้องชั่งน้ำหนักให้ดีหรือว่า ควรจะใช้งานผู้ฝึกตนอิสระก่อกำเนิดคนหนึ่งให้คุ้มค่าอย่างไร? หากวันใดจู่ๆ ข้าสติปัญญาเปิดกว้างขึ้นมา ยอมรับปากจะเป็นผู้ถวายงานให้เจ้าล่ะ? เจ้าจะไม่เสียเปรียบครั้งใหญ่หรอกหรือ? เจ้ากักขังข้า ค่ายกลหนึ่งแห่งเผาผลาญเงินเทพเซียนไปกี่เหรียญ? บัญชีก้อนนี้ก็ยังคิดได้ไม่กระจ่าง? แล้วยังจะเป็นเจ้าสำนักได้อย่างไร?”

ช่องโพรงทั่วร่างของหลิวจื้อเม่าล้วนถูกเส้นสายทั้งหลายในคุกน้ำรัดพันกักขังเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องโพรงสำคัญที่หล่อเลี้ยงบำรุงวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ยิ่งถูกสายน้ำของเกาะกงหลิ่วสกัดกั้นขวางทาง เขาอ้าปากหาว “นึกจริงๆ หรือว่าคนต่างถิ่นอย่างพวกเจ้าจะทำทุกอย่างได้สมใจปรารถนาในแจกันสมบัติทวีป? แค่ดูจากความสามารถน้อยนิดนี้ของเจ้า ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าคงนั่งอยู่บนตำแหน่งประมุขของสำนักได้ไม่มั่นคงนัก ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีสภาพอนาถยิ่งกว่าข้าที่เป็นเจ้าแห่งยุทธภพของทะเลสาบซูเจี่ยนเสียอีก เก้าอี้ยังนั่งได้ไม่ทันร้อนก็ต้องรีบลุกขึ้น ยอมยกที่นั่งให้คนอื่นแต่โดยดี น้ำที่อุดมสมบูรณ์ไม่ไหลเข้าผืนนาคนอื่น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าสำนักกุยหยกจะยอมตัดใจเอาเนื้อติดมันชิ้นโตขนาดนี้มอบให้คนที่เป็นคนนอกครึ่งตัวได้จริงๆ”

หลิวจื้อเม่าถึงขั้นเริ่มพูดอบรมสั่งสอนผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีพลังการต่อสู้น่าตะลึง อีกทั้งยังกุมสมบัติชิ้นสำคัญไว้ในมือผู้นี้ “ข้าไม่ได้ตำหนิเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างพวกเจ้าหรอกนะ พวกเจ้าน่ะ หากพูดกันถึงแค่ความแข็งแกร่งมั่นคงของจิตใจ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเทียบกับผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเราได้ พวกเจ้าก็แค่อาศัยมรรคกถาชั้นสูงและการสืบทอดของสำนักถึงเดินไปบนมหามรรคาได้อย่างราบรื่นไม่ใช่หรือ? หากมอบมรรคกถาเหล่านั้นให้พวกเรา แล้วมาลองเริ่มนับกันที่ขอบเขตเซียนดินเป็นจุดเริ่มต้น สองฝ่ายใช้เวลาเท่ากัน ข้ารับรองว่าผู้ฝึกตนอิสระต้องสามารถซ้อมให้พวกเจ้าอึราดได้แน่นอน ไม่เชื่อหรือ? งั้นก็ลองดูกันไหม? ถึงอย่างไรเจ้าก็ทรยศออกจากสำนักใบถงอยู่แล้ว กฎเกณฑ์เส็งเคร็งในศาลบรรพจารย์อะไรนั่นจะนับเป็นผายลมอะไรได้ ไม่สู้ถ่ายทอดวิชาตระกูลเซียนห้าขอบเขตบนของสำนักใบถงให้ข้าดีไหมล่ะ? แต่เจ้าจะกล้าหรือ?”

หลิวจื้อเม่าที่อยู่ในกรงขังแผดเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจ

พูดไปหัวเราะไป

แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของบุรุษผู้กล้า แน่นอนว่าก็แฝงความอันธพาลไว้ด้วย

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 457.4 ทะเลสาบซูเจี่ยนที่น้ำลดหินผุด

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 457.4 ทะเลสาบซูเจี่ยนที่น้ำลดหินผุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เรือหอเรือนจอดเทียบท่าที่เกาะชิงเสีย กู้ช่านไม่ได้บอกว่าจะไปที่จวนชุนถิง แต่เอ่ยว่าตนสามารถพักอยู่ในเรือนตรงหน้าประตูภูเขา เป็นเพื่อนบ้านกับสหายอย่างเจิงเย่ได้

ผลกลับกลายเป็นว่าหม่าตู่อี๋ยึดครองห้องที่เป็นของเฉินผิงอันไปเพียงลำพัง ไล่ให้กู้ช่านไปอยู่กับเจิงเย่

กู้ช่านไม่คิดอะไรมาก

ตลอดทางที่อยู่ร่วมกันมา สำหรับหม่าตู่อี๋ที่ปากคมเป็นมีดแต่ใจอ่อนดุจเต้าหู้ กู้ช่านไม่ได้รู้สึกรังเกียจนาง อยู่ด้วยกันนานวันเข้ากลับยังรู้สึกว่านางเป็นอย่างนี้ก็ดีมากเหมือนกัน

เฉินผิงอันอาจรู้สึกว่าตัวเองได้นำหลักการเหตุผลของทั้งชีวิตมาใช้ในทะเลสาบซูเจี่ยนจนหมดสิ้นแล้ว

แต่กู้ช่านกลับรู้สึกว่าชีวิตนี้ของตน ถ้อยคำประจบเยินยอที่คนอื่นเอ่ยให้ฟัง เขาล้วนฟังมาหมดสิ้นในช่วงเวลาตลอดหลายปีที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว

หลังจากนั้นกู้ช่านก็ไปดูซากปรักของจวนเหิงโป อีกทั้งยังไปยืนอยู่นอกจวนชุนถิงครู่หนึ่ง

แสงแดดของฤดูใบไม้ผลิในวันนี้งดงามแจ่มใส กู้ช่านกับเจิงเย่และหม่าตู่อี๋จึงนั่งอาบแดดเรียงกันอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก

มีสตรีเรือนกายสูงโปร่งแต่งกายด้วยชุดขาววังคนหนึ่งลงเรือที่ท่าเรือ แล้วเดินนวยนาดมา

หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไช

กู้ช่านรู้แค่ว่าเฉินผิงอันรู้สึกผิดต่อเจ้าเกาะผู้นี้เล็กน้อย บอกว่าติดค้างเงินเทพเซียนบางส่วนกับนาง ดังนั้นการเดินทางกลับทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนี้ ต่อให้หลิวจ้งรุ่นไม่มาเยือนเกาะชิงเสีย กู้ช่านก็จะไปเยือนเกาะจูไชด้วยตัวเองเพื่อพูดคุยเรื่องบางอย่างกับหลิวจ้งรุ่น หลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าเกาะหลิวที่หน้าตางดงามบุคลิกดีเลิศผู้นี้เข้าใจผิดคิดว่าเฉินผิงอันชักดาบหนีหนี้ไปแล้ว หลิวจ้งรุ่นในเวลานี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง ที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือต่อให้หลิวจ้งรุ่นแสดงตบะที่แท้จริงอย่างขอบเขตเซียนดินโอสถทองออกมา จนกระทั่งบุกฝ่าเส้นทางสายเลือดไปได้รับแผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยที่ระดับขั้นเข้าขั้นของต้าหลีมาครองแผ่นหนึ่งท่ามกลางความอิจฉาตาร้อนของเจ้าเกาะแต่ละแห่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังเกิดการคาดเดามากมายเกี่ยวกับตัวนาง ยกตัวอย่างเช่นเป็นเพราะซูเกาซานหมายตาในความงามของหลิวจ้งรุ่นหรือไม่? หรือว่าเป็นคนหนุ่มอย่างกวนอี้หรานที่กุมอำนาจใหญ่ผู้นั้นที่มีรสนิยมชื่นชอบสตรีอายุมากกว่า? เพราะถึงอย่างไรปีนั้นหลิวจ้งรุ่นก็เป็นถึงองค์หญิงใหญ่ที่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่เชื้อพระวงศ์จูอิ๋งเฝ้าคิดถึงคะนึงหา

แน่นอนว่ากู้ช่านรู้ดีว่าไม่มีเรื่องราวสวยหรูแต่แฝงไปด้วยมลพิษสกปรกเหล่านั้นอยู่ เพราะเฉินผิงอันเคยเปิดเผยความลับบอกว่า ในฐานะที่หลิวจ้งรุ่นคือองค์หญิงของแคว้นใหญ่ที่ล่มสลาย นางจึงนำวิชาลับของตำราวารีที่จนถึงทุกวันนี้ราชวงศ์จูอิ๋งก็ยังขุดหาไม่เจอมาแลกด้วยการปกป้องจากป้ายปลอดภัยแผ่นนั้น นี่ไม่เพียงแต่ต้องคุ้มครองทรัพย์สินทั้งหมดบนเกาะจูไช นางยังเหมือนเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว กลายเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนถวายงานของต้าหลี

ส่วนในเรื่องนี้มีเฉินผิงอันคอยช่วยสานความสัมพันธ์ให้หรือไม่ เขาไม่ได้พูด

หลิวจ้งรุ่นเห็นกู้ช่านลุกขึ้นยืนต้อนรับตัวเองก็ยิ้มถามว่า “ท่านเฉินจะกลับทะเลสาบซูเจี่ยนเมื่อไหร่?”

กู้ช่านส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่ว่าช่วงนี้คงไม่กลับมา”

หลิวจ้งรุ่นพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเป็นปกติ แล้วก็ทำท่าจะจากไปทั้งอย่างนั้น

กู้ช่านที่ลุกขึ้นยืนรีบเดินตามเจ้าเกาะหลิวท่านนี้ไป พูดคุยถึงเรื่องที่เฉินผิงอันมอบหมายให้เขานำมาบอกนาง

หลิวจ้งรุ่นไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรที่แสดงถึงการตัดสินใจ เพียงแค่จากไปเท่านั้น

กู้ช่านกลับไปที่ม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็ก

ผลกลับกลายเป็นว่ามีผู้ฝึกตนผีจวนจูเสียนคนหนึ่งมาปรากฏตัวที่ท่าเรือ

หลิวจ้งรุ่นลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังหยุดเดิน ถอนหายใจเอ่ยว่า “หม่าหย่วนจื้อ เจ้าตามตื้อข้ามานานหลายปีขนาดนี้ ไม่เบื่อหรือไร? หากเจ้ามีใจเช่นนี้จริง เหตุใดไม่ตั้งใจฝึกตนให้ดี เพื่อจะได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินในเร็ววัน?”

ผู้ฝึกตนผีที่จงใจเปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวเรียบง่ายแต่ดูสง่างามแสยะมุมปากยกยิ้ม “องค์หญิงใหญ่ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเฉินผิงอันไม่อยู่เกาะชิงเสีย แต่ท่านก็ยังมาเยือนที่นี่ ข้ารู้ดีว่าท่านคิดอย่างไร”

หลิวจ้งรุ่นเริ่มมีโทสะ “ไสหัวไป”

หม่าหย่วนจื้อไม่กล้าขัดขวาง เขายอมหลีกทางให้แต่โดยดี ปล่อยให้หลิวจ้งรุ่นเดินตรงไปขึ้นเรือข้ามฟากของเกาะจูไช

เพียงแต่ว่าเขาไม่สามารถควบคุมดวงตาสุนัขของตัวเองที่แอบชำเลืองมองแผ่นหลังขององค์หญิงใหญ่อยู่หลายทีได้ ช่างบำรุงร่างกายตัวเองได้ดีจริงๆ

หลิวจ้งรุ่นหยุดเดินแล้วหันกลับมา

เพราะสัมผัสได้ถึงสายตาที่ชั่วร้ายของหม่าหย่วนจื้อ

นางจึงตวาดกร้าว “เจ้ารนหาที่ตายงั้นรึ?!”

หม่าหย่วนจื้อกลืนน้ำลาย กล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ก็ข้าเป็นห่วง กลัวว่าหลังจากที่องค์หญิงใหญ่ผ่านคลื่นมรสุมครั้งนี้มาจะผอมลงหรือไม่ ตอนนี้ในที่สุดก็วางใจได้แล้ว”

หม่าหย่วนจื้อฉวยโอกาสนี้ชำเลืองตามองไปทางหน้าอกของนางอีกแวบหนึ่ง เนินเขาสลับขึ้นลง งดงามจนแทบละสายตาไม่ได้

หลิวจ้งรุ่นกล่าวอย่างมีโทสะ “เจ้าสุนัขไม่เปลี่ยนนิสัยกินอาจม!”

หม่าหย่วนจื้อเอ่ยอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก “ข้าไม่อนุญาตให้องค์หญิงใหญ่เหยียบย่ำตัวเองเช่นนี้ ต่อให้องค์หญิงใหญ่จะเหยียบข้าไว้ใต้ฝ่าเท้า ข้าก็จะไม่บ่นแม้แต่คำเดียว แต่องค์หญิงใหญ่พูดถึงตัวเองเช่นนี้ ข้าไม่ยอม ในใจของข้า องค์หญิงใหญ่จะเป็นสตรีมหัศจรรย์ไร้มลทินที่งดงามที่สุดในโลกตลอดไป…”

หลิวจ้งรุ่นถึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองกล่าวผิดไป ด้วยความอับอายที่พานมาเป็นความโกรธ นางจึงสะบัดชายแขนเสื้อตบให้ผู้ฝึกตนผีปลิวกระเด็นออกไปจากท่าเรือ

หม่าหย่วนจื้อที่รั้งร่างกายให้หยุดนิ่งและทำจิตใจให้มั่นคงได้แล้ว ความรู้สึกนับร้อยพลันประดังประเดกันเข้ามา น้ำตาร้อนๆ เอ่อคลอนัยน์ตา เขาเช็ดหน้า รู้สึกเพียงว่าในที่สุดความน้อยเนื้อต่ำใจและความทุกข์ยากนับพันประการที่เผชิญมาตลอดหลายปีก็ได้รับการชดเชยเสียที เขาพึมพำว่า “องค์หญิงใหญ่ สตรีล้วนหน้าบาง ไม่กล้าจะพูดจากระหนุงกระหนิงกับข้าก็ไม่เป็นไร การตีการด่าก็แสดงว่ารักได้เหมือนกัน เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี”

หลิวจ้งรุ่นขึ้นเรือมาแล้วก็ใช้วิชาตระกูลเซียนบังคับเรือจากไปไกลอย่างรวดเร็ว

เป็นเพราะนางรำคาญเจ้าคนแบกอาหารที่สมองมีรูผู้นั้นเต็มทีแล้ว

หม่าหย่วนจื้อผงกศีรษะ คลี่ยิ้มเจิดจ้า ทำสีหน้าท่าทางลับๆ ล่อๆ มากกว่าเดิม “องค์หญิงใหญ่เขินขนาดนี้ คือเรื่องหายากที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้ง ดูท่าคงคิดจะเปิดใจให้ข้าจริงๆ แล้ว น่าสนุกล่ะ ต้องน่าสนุกแน่! เฉินผิงอัน เจ้ารอดื่มสุรามงคลเถอะ! ช่างเป็นพี่น้องที่ดีจริงๆ! หากเจ้าไม่บอกกับข้าว่า เวลาคบค้าสมาคมกับสตรีต้องใคร่ครวญถึงความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดของพวกนางให้มากแล้วล่ะก็ ข้าหรือจะเข้าใจความปรารถนาดีขององค์หญิงใหญ่? นางต้องการให้ข้าเลื่อนเป็นเซียนดินโอสถทองในเร็ววัน นั่นก็ไม่ได้เป็นการบอกข้าเป็นนัยๆ ว่าชายชาตรีอย่างข้าไม่ควรรั้งท้ายตามหลังนางมากนักหรือไร? ไม่ใช่เพราะกังวลว่าในใจข้าจะเกิดความอึดอัดเพราะองค์หญิงได้เป็นโอสถทองแล้วหรือไร? หากองค์หญิงไม่มีใจเป็นห่วงเป็นใยข้า จะต้องเปลืองแรงมาพูดเรื่องพวกนี้หรือ? เฉินผิงอัน ท่านเฉิน พี่น้องเฉิน! เจ้าช่างเป็นผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ของข้าจริงๆ!”

หลังจากที่ผู้ฝึกตนผีเดินอาดๆ จากไปด้วยความปิติยินดี

ฝั่งเจิงเย่ที่ไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกตนผีกับเจ้าเกาะจูไชผู้นั้นเท่าไหร่นักก็ถามขึ้นมาเบาๆ ว่า “ผู้ฝึกตนผีอาวุโสท่านนี้เข้าใจอะไรผิดหรือไม่?”

หม่าตู่อี๋แทะเมล็ดแตง พูดอย่างให้ข้อสรุปว่า “หากข้าเป็นเจ้าเกาะหลิวผู้นั้นจะตบเขาให้ตายไปด้วยฝ่ามือเดียวเสียเลย เวลาเจอหน้ากันจะได้ไม่ต้องคอยถูกดวงตาสุนัขคู่นั้นของเขาแทะโลม”

กู้ช่านยิ้มถาม “พวกเจ้าคิดว่าเจ้าเกาะหลิวจะชอบเฉินผิงอันหรือไม่?”

เจิงเย่คิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง นางกับท่านเฉินอายุห่างกันตั้งมากขนาดนั้น อีกทั้งยังไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน ถึงอย่างไรเจ้าเกาะหลิวก็เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองที่มีจิตแห่งเต๋ามั่นคง ต่อให้ท่านเฉินจะเป็นคนดีมาก แต่ข้าก็ไม่คิดว่านางจะชอบเขา”

หม่าตู่อี๋หลุดหัวเราะพรืด “หลิวจ้งรุ่นชอบท่านเฉินจะแปลกตรงไหน? แต่ข้าว่านะ ท่านเฉินของพวกเราไม่มีทางชอบหญิงแก่คนหนึ่งหรอก”

กู้ช่านที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

หม่าตู่อี๋ขว้างเมล็ดแตงกำหนึ่งใส่เขา กู้ช่านเบี่ยงตัวหลบ เมล็ดแตงทั้งหมดจึงโดนหัวเจิงเย่แทน นี่ยังไม่นับว่าเป็นอะไร เจิงเย่ยังก้มตัวไปเก็บพวกมันขึ้นมาแทะต่อด้วย ถึงอย่างไรอยู่กับท่านเฉินมานานขนาดนั้น คิดจะไม่เป็นคนหลงใหลในทรัพย์สิน ไม่เป็นคนขี้งกก็คงจะยากอยู่มาก

……

เกาะกงหลิ่ว

ในคุกน้ำ

นักโทษชั้นเลวที่สวมชุดผ้าป่านสีขาวคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางห้องขังที่นับว่าค่อนข้างกว้างขวางด้วยสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ

นอกห้องขังมีผู้ฝึกตนเฒ่าห้าขอบเขตบนคนหนึ่งที่มาจากใบถงทวีป เขาก็คืออดีตบุรพาจารย์สำนักใบถงที่ปีนั้นออกทะเลไปสังหารปีศาจใหญ่ร่วมกับเจ้าสำนักภูเขาไท่ผิงและเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาย้ายมาอยู่สำนักกุยหยกแล้ว และยังถือโอกาสนำสมบัติพิทักษ์ขุนเขาที่สำคัญมากชิ้นหนึ่งในศาลบรรพาจารย์ของสำนักใบถงมาด้วย ด้วยสาเหตุนี้ทำให้สำนักใบถงกับสำนักกุยหยกเกือบจะเปิดศึกกันแล้ว ยังดีที่สวินยวนเจ้าประมุขผู้เฒ่าของสำนักกุยหยกไปเยือนสำนักใบถงด้วยตัวเอง แล้วนั่งลงพูดคุยกับเจ้าสำนักใบถงที่เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตสิบเอ็ดดีๆ หลังจากคุยกันจบ สำนักใบถงก็ไม่คิดจะซักไซ้เอาความต่อ คิดดูแล้วสำนักกุยหยกก็น่าจะมีการชดเชยให้พวกเขา

ผู้ฝึกตนเฒ่ามีนามว่าโจวเฟิงลู่ และยิ่งเป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจในการเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างของสำนักกุยหยกในครั้งนี้ ส่วนเขาจะใช่ทหารม้าทัพหน้าที่น่าสงสารหรือไม่ ประเด็นสำคัญคือยังต้องดูที่ตัวเลือกของคนที่จะมาเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างในท้ายที่สุด ว่าจะเป็นเขาที่มีคุณความเหนื่อยยากสูง หรือจะเป็นเจ้าตะพาบเจียงซ่างเจินที่ในมือกุมพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาไว้อยู่แล้ว

การที่โจวเฟิงลู่ไม่ได้สังหารหลิวจื้อเม่าผู้นี้ในทันทีก็เพราะคิดจะฉกฉวยคุณความชอบที่มากกว่าเดิม เพื่อให้พวกตาเฒ่ากลุ่มเล็กที่กุมอำนาจสูงอยู่ในสำนักกุยหยกซึ่งให้การสนับสนุนตนอย่างลับๆ สามารถพูดเกลี้ยกล่อมพวกคนแก่ดื้อดึงในศาลบรรพจารย์ที่ลำเอียงไปทางเจียงซ่างเจินได้ดีขึ้น แน่นอนว่าฝ่ายในของสำนักกุยหยกไม่ใช่กระดานเหล็ก สำหรับเจียงซ่างเจินเด็กรุ่นหลังที่มีหน้ามีตาชีวิตรุ่งโรจน์ตลอดพันปีที่ผ่านมาแล้ว ก็มีผู้เฒ่าไม่น้อยที่เห็นเขาขวางหูขวางตามานานแล้ว

นี่ก็คือโอกาสของโจวเฟิงลู่

หากได้กลายเป็นเจ้าสำนักคนแรกของสำนักเบื้องล่าง นั่นก็คือขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาลำดับหนึ่งของสำนักกุยหยก สามารถได้ครอบครองพื้นที่หนึ่งในศาลบรรพจารย์บนภูเขาดั้งเดิมของสำนักกุยหยกโดยตรง อีกทั้งตำแหน่งที่นั่งยังอยู่ด้านหน้าอีกด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะได้นั่งติดอยู่กับเจียงซ่างเจิน เชื่อว่าตาแก่หลายคนที่ไม่ยินดีให้เจียงซ่างเจินกุมอำนาจใหญ่เพียงลำพังย่อมยินดีจะให้เป็นเช่นนี้ ทั้งสามารถสยบความโอหังอวดดีของสกุลเจียงเอาไว้ได้ แล้วยังทำให้เจียงซ่างเจินสะอิดสะเอียนได้ด้วย

โจวเฟิงลู่สีหน้าไม่สบอารมณ์ “หลิวจื้อเม่า นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ข้ามาหาเจ้า เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

หลิวจื้อเม่าเหล่ตามองเขา “ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเราที่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างพวกเจ้าไม่เห็นอยู่ในสายตา ทำตัวเป็นหมาเร่ร่อนที่ขุดดินหาอาหารจนชินแล้ว ไม่อาจทำตัวเป็นหมาที่ถูกเลี้ยงในบ้านได้”

โจวเฟิงลู่แค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “เป็นฝ่ายร่วมมือกับถานหยวนอี้สวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่งต้าหลี ก็ต้องเป็นหมาเฝ้าบ้านให้คนอื่นเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

หลิวจื้อเม่าหัวเราะหึหึ “ขายชีวิตให้ต้าหลี นั่นก็คือการถูกเลี้ยงแบบปล่อย ดีกว่าถูกเลี้ยงแบบล้อมกรอบมากนัก อีกอย่างในชีวิตนี้สิ่งที่ข้าผู้อาวุโสไม่ชอบมากที่สุดก็คือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เย่อหยิ่งหัวสูงอย่างพวกเจ้านี่แหละ”

สีหน้าของโจวเฟิงลู่มืดทะมึน “หลิวจื้อเม่า เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ หรือ? เซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่ง อยู่ในสถานที่คับแคบอย่างแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าย่อมร้ายกาจมาก แต่อยู่ในใบถงทวีปของพวกเรากลับไม่อาจนับเป็นอะไรได้ ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนล้มหายตายจากไปมีไม่น้อย ทุกๆ ระยะเวลาหนึ่งร้อยปี หากไม่มีก่อกำเนิดตายไปสักสองสามคน ใบถงทวีปก็ถึงกับรู้สึกไม่ดีที่จะไปคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกตนใหญ่ของทวีปอื่นแล้ว แต่แจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าเล่า ทำได้หรือ?”

หลิวจื้อเม่าหัวเราะเสียงดัง “นี่เจ้าขู่ข้าหรือ?”

โจวเฟิงลู่ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ขู่เจ้า ความอดทนของคนผู้หนึ่งย่อมมีขีดจำกัดเสมอ”

หลิวจื้อเม่ากระตุกมุมปาก “เจ้าไม่รู้หรือว่าหมาเร่ร่อนอย่างพวกเรา ทั้งชีวิตที่ฝึกตนมาต้องถูกคนข่มขู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องตกใจกลัวอยู่หลายต่อหลายครั้ง หากไม่ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อก็เป็นอย่างข้าที่ต่อให้ผีมาเคาะประตูกลางดึก ข้าก็ยังต้องถามว่ามาทำการค้ากับข้าหรือไม่ ทำไม เจ้าเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างกุยหยกแล้วก็เลยสามารถตัดสินความเป็นความตายของข้าด้วยประโยคเดียว? ถอยไปพูดอีกก้าว ต่อให้เจ้าได้เป็นเจ้าสำนักจริงๆ เจ้าก็ไม่ยิ่งควรต้องชั่งน้ำหนักให้ดีหรือว่า ควรจะใช้งานผู้ฝึกตนอิสระก่อกำเนิดคนหนึ่งให้คุ้มค่าอย่างไร? หากวันใดจู่ๆ ข้าสติปัญญาเปิดกว้างขึ้นมา ยอมรับปากจะเป็นผู้ถวายงานให้เจ้าล่ะ? เจ้าจะไม่เสียเปรียบครั้งใหญ่หรอกหรือ? เจ้ากักขังข้า ค่ายกลหนึ่งแห่งเผาผลาญเงินเทพเซียนไปกี่เหรียญ? บัญชีก้อนนี้ก็ยังคิดได้ไม่กระจ่าง? แล้วยังจะเป็นเจ้าสำนักได้อย่างไร?”

ช่องโพรงทั่วร่างของหลิวจื้อเม่าล้วนถูกเส้นสายทั้งหลายในคุกน้ำรัดพันกักขังเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องโพรงสำคัญที่หล่อเลี้ยงบำรุงวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ยิ่งถูกสายน้ำของเกาะกงหลิ่วสกัดกั้นขวางทาง เขาอ้าปากหาว “นึกจริงๆ หรือว่าคนต่างถิ่นอย่างพวกเจ้าจะทำทุกอย่างได้สมใจปรารถนาในแจกันสมบัติทวีป? แค่ดูจากความสามารถน้อยนิดนี้ของเจ้า ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าคงนั่งอยู่บนตำแหน่งประมุขของสำนักได้ไม่มั่นคงนัก ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีสภาพอนาถยิ่งกว่าข้าที่เป็นเจ้าแห่งยุทธภพของทะเลสาบซูเจี่ยนเสียอีก เก้าอี้ยังนั่งได้ไม่ทันร้อนก็ต้องรีบลุกขึ้น ยอมยกที่นั่งให้คนอื่นแต่โดยดี น้ำที่อุดมสมบูรณ์ไม่ไหลเข้าผืนนาคนอื่น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าสำนักกุยหยกจะยอมตัดใจเอาเนื้อติดมันชิ้นโตขนาดนี้มอบให้คนที่เป็นคนนอกครึ่งตัวได้จริงๆ”

หลิวจื้อเม่าถึงขั้นเริ่มพูดอบรมสั่งสอนผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีพลังการต่อสู้น่าตะลึง อีกทั้งยังกุมสมบัติชิ้นสำคัญไว้ในมือผู้นี้ “ข้าไม่ได้ตำหนิเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างพวกเจ้าหรอกนะ พวกเจ้าน่ะ หากพูดกันถึงแค่ความแข็งแกร่งมั่นคงของจิตใจ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเทียบกับผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเราได้ พวกเจ้าก็แค่อาศัยมรรคกถาชั้นสูงและการสืบทอดของสำนักถึงเดินไปบนมหามรรคาได้อย่างราบรื่นไม่ใช่หรือ? หากมอบมรรคกถาเหล่านั้นให้พวกเรา แล้วมาลองเริ่มนับกันที่ขอบเขตเซียนดินเป็นจุดเริ่มต้น สองฝ่ายใช้เวลาเท่ากัน ข้ารับรองว่าผู้ฝึกตนอิสระต้องสามารถซ้อมให้พวกเจ้าอึราดได้แน่นอน ไม่เชื่อหรือ? งั้นก็ลองดูกันไหม? ถึงอย่างไรเจ้าก็ทรยศออกจากสำนักใบถงอยู่แล้ว กฎเกณฑ์เส็งเคร็งในศาลบรรพจารย์อะไรนั่นจะนับเป็นผายลมอะไรได้ ไม่สู้ถ่ายทอดวิชาตระกูลเซียนห้าขอบเขตบนของสำนักใบถงให้ข้าดีไหมล่ะ? แต่เจ้าจะกล้าหรือ?”

หลิวจื้อเม่าที่อยู่ในกรงขังแผดเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจ

พูดไปหัวเราะไป

แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของบุรุษผู้กล้า แน่นอนว่าก็แฝงความอันธพาลไว้ด้วย

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+