กระบี่จงมา 457.5 ทะเลสาบซูเจี่ยนที่น้ำลดหินผุด

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 457.5 ทะเลสาบซูเจี่ยนที่น้ำลดหินผุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โจวเฟิงลู่ส่ายหน้า “หลิวจื้อเม่า หวังว่าครั้งหน้าที่พบกัน รอให้ข้าได้เป็นเจ้าประมุขของสำนักเบื้องล่างแล้ว เจ้าจะยังพูดจาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างแบบนี้ได้อีก”

หลิวจื้อเม่ารีบกล่าวว่า “อย่ารีบร้อนๆ ต่อให้ได้เป็นเจ้าประมุขของสำนักเบื้องล่างแล้ว พวกเราก็ยังพูดคุยกันได้อยู่ดี ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเรา ความหยิ่งในศักดิ์ศรีจะนับเป็นผายลมอะไรได้ พวกเราชอบขับเรือตามกระแสลมที่สุดเลยล่ะ”

โจวเฟิงลู่ออกไปจากคุกน้ำอย่างเงียบเชียบ

ผู้ฝึกตนอิสระก่อกำเนิดของทะเลสาบซูเจี่ยนผู้นี้สมกับเป็นเนื้อหมาที่เอาขึ้นโต๊ะงานเลี้ยงไม่ได้จริงๆ ฆ่าก็ไม่ได้ กินก็ไม่ลง โจวเฟิงลู่ตัดสินใจแล้วว่าขอแค่วันใดที่ตนได้เป็นเจ้าประมุขของสำนักเบื้องล่าง วันนั้นก็จะสังหารหลิวจื้อเม่าทันที จะไม่เปลืองน้ำลายพูดกับผู้ฝึกตนอิสระคนนี้อีกแม้แต่ครึ่งคำ

หลังจากที่โจวเฟิงลู่กลับไปยังจวนของตัวเองแล้ว

เจ้าของเกาะกงหลิ่วที่แท้จริงอย่างหลิวเหล่าเฉิงก็เดินเข้ามาในชั้นล่างสุดของคุกน้ำ ผู้ฝึกตนสำนักกุยหยกตลอดทางที่เขาเดินผ่านมาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเขา ทั้งไม่ทักทาย แล้วก็ไม่ห้ามปราม

ทะเลสาบซูเจี่ยนมีสายน้ำสามเส้นที่เป็นรากฐาน โชคชะตาน้ำเข้มข้น สายน้ำเส้นอื่นๆ นั้นแตกออกไปอีกเป็นจำนวนมาก แต่กลับเล็กบาง กระจัดกระจายปะปนกันวุ่นวาย แล้วก็ถูกขั้วอำนาจบนเกาะพันกว่าเกาะแบ่งสันปันส่วนกันไปจนสิ้นแล้ว

หนึ่งในนั้นมีเส้นหนึ่งที่เกาะกงหลิ่วยึดครองไว้เพียงลำพัง ค่ายกลของคุกน้ำก็มีสายน้ำนี้เป็นรากฐาน

นี่ก็คือกุญแจสำคัญที่สามารถสยบหลิวจื้อเม่าไว้ได้อย่างสบายๆ

เกาะชิงเสียเองก็ขโมยสายน้ำไปกว่าครึ่งสาย จวนเหิงโปก็คือตาของค่ายกล น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้จวนเหิงโปพังครืนไปแล้ว โชคชะตาน้ำไหลซ่านเซ็น ได้ดีผู้ฝึกตนเซียนดินที่อยู่บนเกาะใต้อาณัติอย่างพวกเถียนหูจวิน อวี๋กุ้ยไปเปล่าๆ

ส่วนเกาะใหญ่สามเกาะอย่างเกาะชิงจ่ง เทียนหมู่และลี่ซู่ก็ร่วมกันแบ่งรากฐานสายน้ำเส้นสุดท้ายของทะเลสาบซูเจี่ยนไป

หลิวเหล่าเฉิงที่พอมาถึงชั้นล่างของคุกน้ำแล้วก็สร้างฟ้าดินขนาดเล็กตัดขาดโลกภายนอกทันที

หลิวจื้อเม่าเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วน้อยๆ

เขาไม่ได้หวาดเกรงโจวเฟิงลู่ผู้นั้นสักเท่าไหร่ แต่สำหรับผู้อาวุโสของทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างหลิวเหล่าเฉิงกลับกริ่งเกรงอย่างมาก

เพราะผู้ฝึกตนอิสระนั้นคุ้นเคยกับการรับมือกับผู้ฝึกตนอิสระดีที่สุด

กลับกลายเป็นว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลต่างหากที่กว่าจะคลำหาทางเจอก็ต้องใช้เวลาช่วงหนึ่ง

หลิวเหล่าเฉิงหยิบม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งออกมา สะบัดเบาๆ ม้วนภาพก็คลี่ออก บนม้วนภาพมีบุรุษคนหนึ่งที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มเดินออกมา

เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างกรงขัง เอาสองมือไพล่หลัง ค้อมเอวยิ้มตาหยีมองหลิวจื้อเม่าแล้วเอ่ยถามว่า “ได้ยินว่าเจ้ากับเฉินผิงอันเป็นทั้งมิตรทั้งศัตรู ความสัมพันธ์คลุมเครือไม่ชัดเจน ยังไม่ต้องพูดถึงเขา ข้าก็เคยได้ยินหลิวเหล่าเฉิงเล่าว่า พวกเจ้าต่างก็ยอมรับว่าตัวเองคือคนรู้ใจของอีกฝ่ายครึ่งตัว?”

คราวนี้กลายเป็นหลิวจื้อเม่าที่ต้องมึนงงบ้างแล้ว เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้น “เจ้าคือ…เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก?”

บุรุษผู้นั้นหัวเราะคิกคัก “เจ้าตอบคำถามของข้ามาก่อน แล้วข้าค่อยคิดดูว่าจะตอบคำถามของเจ้าหรือไม่ อย่างไรก็ควรพูดถึงกฎการมาก่อนมาหลังนี่นะ”

หลิวจื้อเม่าชำเลืองตามองหลิวเหล่าเฉิง กับโจวเฟิงลู่ หลิวจื้อเม่าเคยผ่านการ ‘ประมือ’ กับเขามาแล้วสองครั้ง จึงพอจะรู้เส้นขีดจำกัดของโจวเฟิงลู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถถ่วงเวลาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะเป็นเจียงซ่างเจินคนของสำนักกุยหยกตัวจริงเสียงจริงผู้นี้ อารมณ์ของหลิวจื้อเม่าพลันหนักอึ้ง ไม่กล้าพูดจาส่งเดช หลังจากใคร่ครวญดูแล้วก็พยักหน้ากล่าวว่า “ข้ากับเฉินผิงอันไม่อาจเป็นสหายกันได้ชั่วชีวิต ไม่ว่าข้าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน หรือในอนาคตเขามีความสามารถพอจะงัดข้อกับข้า ไม่แน่ว่าอาจจะยังต้องมีการประมือกันเกิดขึ้นหนึ่งครั้ง แต่สำหรับข้ากับเฉินผิงอันในตอนนี้ ถือเป็นคนรู้ใจกันครึ่งตัว ก่อนหน้านี้ก็เคยดื่มเหล้าร่วมกันสองสามครั้งเท่านั้น”

บุรุษผู้นั้นปรบมือ แผดเสียงหัวเราะดังลั่น “ลำพังเพียงแค่ข้อนี้ เสี่ยวหลิว บวกกับเหล่าหลิวที่อยู่ด้านหลังข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราสามคนก็ถือเป็นสหายตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกันแล้ว!”

หลิวจื้อเม่ามองไปทางหลิวเหล่าเฉิงอีกครั้ง ทั้งสีหน้าและสภาพจิตใจของฝ่ายหลังประหนึ่งบ่อน้ำโบราณที่ไร้คลื่น ไม่บอกกล่าวหรือให้คำเตือนใดๆ แก่หลิวจื้อเม่าแม้แต่น้อย

บุรุษยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าเดาไม่ผิด ข้าก็คือเจียงซ่างเจินผู้นั้น คือเจ้าประมุขของสำนักเบื้องล่างที่มาถึงอย่างล่าช้า”

บุรุษพลันลูบหน้าตัวเองแล้วบ่นพึมพำด้วยท่าทางเศร้ารันทดดุจสตรี “ในใจข้ามีความยากลำบากนี่นะ เจ้าโจวเฟิงลู่หน้าไม่อายผู้นั้นเกือบจะทำลายเรื่องดีๆ ของข้าเสียแล้ว หากไม่เป็นเพราะหลี่ฝูฉวีฉลาดมากพอ ตอนนี้ต่อให้ข้าต้องทุ่มสุดชีวิตก็คงต้องฆ่าโจวเฟิงลู่ผู้นั้นให้ตายให้จงได้ จากนั้นค่อยหิ้วหัวโจรเฒ่าผู้นั้นไปค้อมเอวก้มหัวขออภัยผู้อื่น! พอคิดถึงเรื่องนี้ ข้าก็นึกอยากจะวิ่งไปโขกหัวให้หลี่ฝูฉวีดีๆ สักครั้งแล้ว ให้รับนางเป็นแม่บุญธรรมจะเป็นไรไป”

เจียงซ่างเจินทุบหัวใจตัวเองเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดขมขื่น แต่ปากกลับผรุสวาทถ้อยคำหยาบคาย “ข้าเจียงซ่างเจินไม่ได้มาเช็ดตูดให้ใครที่ทะเลสาบซูเจี่ยนสักหน่อย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คงต้องไปพบเจอกับเฉินผิงอันเพื่อพูดคุยเรื่องในวันวานกันเสียแล้ว ส่วนตอนนี้ พูดคุยอย่างครื้นเครงกะผายลมอะไรกัน ตาแก่ที่ความสามารถทำงานให้สำเร็จมีไม่พอ แต่ความสามารถในการสร้างหายนะกลับเหลือเฟืออย่างโจวเฟิงลู่ผู้นี้ ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย ข้าก็จัดงานเลี้ยงที่สำนักใบถงไปแล้วนี่นา และตอนนี้ก็เป็นคนกันเองแล้ว เขากลับยังผลักข้าลงหลุมได้ลงคอ จิตใจชั่วร้ายต่ำทราม สมควรตาย สมควรตายจริงๆ …”

หลิวจื้อเม่าปากอ้าตาค้าง

หลิวเหล่าเฉิงเองก็หนังตากระตุกเบาๆ เห็นได้ชัดว่าเคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้จากเจียงซ่างเจินมาก่อน อาการจึงดีกว่าหลิวจื้อเม่าที่ทำท่าราวกับถูกฟ้าผ่าเล็กน้อย

เจียงซ่างเจินพลันหยุดพูดและเก็บรอยยิ้ม เงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นเบาๆ ว่า “หลิวจื้อเม่า ข้าจะถามเจ้าแทนโจวเฟิงลู่ประโยคหนึ่ง เจ้ายินดีจะเป็นผู้ถวายงานของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกหรือไม่?”

หลิวจื้อเม่าลังเลตัดสินใจไม่ได้

แล้วทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าหลิวเหล่าเฉิงพยักหน้าให้เขาเบาๆ

หลิวจื้อเม่าจึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผงกศีรษะ “ได้”

แล้วจากนั้นเขาก็พบว่ามีใบหลิวสีเขียวมรกตเปล่งปลั่งราวกับจะสามารถเค้นน้ำได้ใบหนึ่งหล่นลงกลางหว่างคิ้วของเขาอย่างพอดิบพอดี

เจียงซ่างเจินดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “ผู้ที่รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ หลิวจื้อเม่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือผู้ถวายงานลำดับสามของสำนักเบื้องล่างข้าแล้ว หลิวเหล่าเฉิง โจวเฟิงลู่ หลิวจื้อเม่า แต่ข้าหวังว่าหลังจากเจ้าเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนแล้วจะสามารถช่วยข้าสังหารโจวเฟิงลู่ผู้นั้นได้ ไม่ว่าใช้วิธีอะไรก็ได้ทั้งนั้น ตอนนี้ข้าสามารถรับปากกับเจ้าได้เลยว่า สมบัติพิทักษ์ภูเขาชิ้นสำคัญที่อยู่ในมือโจวเฟิงลู่ ทางสำนักเบื้องล่างสามารถให้เจ้ายืมใช้ได้หนึ่งร้อยปี ขอแค่หลังจากนี้มีคุณความชอบมากพอ จะยืมอีกร้อยปีก็ไม่ยาก แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ฆ่าคนไม่สำเร็จ แถมยังดันเป็นฝ่ายถูกฆ่าเสียเอง ถึงเวลานั้นก็อย่ามาโทษหากข้าไม่ช่วยเก็บศพให้เจ้า”

หลิวจื้อเม่าถาม “เรื่องเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน?”

เจียงซ่างเจินยื่นนิ้วโป้งข้างหนึ่งชี้ไปที่ตัวเอง “ข้าผู้อาวุโสมีอะไร? มีเงินเท่านั้น รอเจ้าสนิทกับข้าเมื่อไหร่คงอดสงสารข้าไม่ได้ มีเงินมากเกินไปก็น่ากลุ้มจริงๆ”

เจียงซ่างเจินทอดถอนใจหนึ่งที “อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนอิสระในแจกันสมบัติทวีปที่ยากจนจนไม่ได้ยินเสียงเหรียญกระทบกันเลย ต่อให้เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลห้าขอบเขตบนของใบถงทวีปอย่างพวกเราก็ยังไม่มีใครรู้ถึงความหงุดหงิดใจจากการที่มีเงินมากมายของข้า น่ารำคาญยิ่งนัก”

หลิวจื้อเม่ามองไปทางหลิวเหล่าเฉิงอีกครั้ง ร่วมมือกับคนประเภทนี้ไม่รู้สึกหวาดหวั่นบ้างหรือ? ลงเรือลำเดียวกับโจวเฟิงลู่จะไม่มั่นคงกว่าจริงๆ หรือไร?

สีหน้าหลิวเหล่าเฉิงไร้อารมณ์

ไม่รู้ว่าความคิดลึกล้ำยากเกินจะหยั่ง หรือกำลังด่ามารดาอีกฝ่ายอยู่ในใจ

เรื่องที่ต้องใช้เงินทอง เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนบนโลกเจ็บปวดใจที่สุดจริงๆ

……

ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ

ม่านราตรีมืดดำ มุมหนึ่งที่เปลี่ยวร้างของทะเลสาบซูเจี่ยน รอบด้านเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง

มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่ริมทะเลสาบ เขาโบกสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง แผ่นไม้ไผ่ทั้งยี่สิบสี่แผ่นก็ลอยออกมา ตัวอักษรที่สลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่ส่องประกายแสงสีทองพร่างพราว แสงนั้นประหนึ่งบทความคุณธรรมที่พันปีก็ไม่เสื่อมสลายของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ สามารถประชันแสงกับตะวันจันทราได้

แผ่นไม้ไผ่ร่วงลงสู่ทะเลสาบซูเจี่ยน

แผ่นไม้ไผ่ยี่สิบสี่แผ่น ยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาล

ตลอดทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนมีเพียงคนสามคนเท่านั้นที่จิตสัมผัสได้ถึง ทุกคนล้วนหวาดผวาพรั่นพรึง

เจียงซ่างเจิน หลิวเหล่าเฉิง โจวเฟิงลู่

ทว่าต่อให้พวกเขาพุ่งขึ้นมากลางอากาศแทบจะเวลาเดียวกัน กวาดตามองไปรอบด้าน ก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงเบาะแสใดๆ แม้แต่น้อย

แต่อันที่จริงอาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นกลับยืนอยู่ใต้เปลือกตาของพวกเขาพอดี ก็แค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทั้งสามท่านไม่อาจมองเห็นก็เท่านั้น

กลับเป็นหลิวจื้อเม่าที่ถูกขังอยู่ในเกาะกงหลิ่วยังไม่ได้ออกมา ที่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา

ช่วงแรกเริ่มสุดทะเลสาบซูเจี่ยนเคยเป็นสถานที่ธรรมดาแห่งหนึ่งที่มีปราณวิญญาณเบาบาง เคยมีอริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งจากแผ่นดินกลางเดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ แล้วได้บรรลุมหามรรคา เกิดการขานรับกับฟ้าดิน ภาพปรากฎการณ์งดงามหลากหลายพลันบังเกิด ทะเลสาบจึงได้ชื่อว่าซูเจี่ยน (จดหมาย เจี่ยนในชื่อนี้ใช้คำเดียวกับ จู๋เจี่ยน หรือแผ่นไม้ไผ่ของเฉินผิงอัน) ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น หล่อเลี้ยงและมีพระคุณแก่คนรุ่นหลัง

อาจารย์ผู้เฒ่ายืนอยู่ข้างทะเลสาบ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คนบนโลกต่างก็รู้สึกว่าที่นี่คือหลุมอาจมหลุมหนึ่ง แต่กลับมีคนบอกว่าพวกเจ้าคือกลิ่นอายของความองอาจหาญกล้าที่ค้ำฟ้ายันดิน ต่อให้ผ่านไปอีกกี่ยุคสมัยก็ยังน่าเกรงขาม ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”

น้ำในทะเลสาบเกิดริ้วน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก ปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ยาวนานนับพันปีแผ่ซ่านออกไป

อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าอย่างข้าไม่ได้ต้องการให้พวกเจ้าซาบซึ้งในพระคุณของจอมปราชญ์น้อยผู้นั้น คนเขาไม่ต้องการ และบัณฑิตก็มักจะทำอะไรเช่นนี้เสมอ ไม่ได้ทำเหมือนคนค้าขาย ดังนั้นข้าจึงต้องการให้พวกเจ้าสละชีวิตเพื่อความชอบธรรม ในอนาคตต้องตายร่วมกับข้าอีกครั้ง อย่าได้ผิดต่อวิถีทางโลกที่ยังมีทางให้เยียวยานี้”

อาจารย์ผู้เฒ่าแบมือ บนฝ่ามือของเขายังเหลือแผ่นไม้ไผ่อีกสี่แผ่น เขาพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาอีกว่า “แน่นอนว่าคนหนุ่มผู้นั้นก็บอกแล้วว่า ตอนนี้เขายังไม่ใช่บัณฑิต เป็นแค่นักบัญชีคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้พวกเราควรจะทำอย่างไรก็คงจะยังสามารถปรึกษากันได้ล่ะนะ”

……

ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป

พอเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของปีนี้ คนหนุ่มที่สวมชุดเขียวคนหนึ่งก็จูงม้าเดินมาหยุดอยู่ที่นี่

อายุสิบเจ็ดปี ไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน พักอาศัยอยู่ในห้องหน้าประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย ผ่านพ้นคืนส่งท้ายปีใหม่มาเพียงลำพัง

หลังจากนั้นก็เป็นคืนส่งท้ายปีใหม่ของอีกปี เขาอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง นั่งล้อมกองไฟเฝ้าคืนอยู่กับเจิงเย่และหม่าตู่อี๋

ผ่านไปอีกปี อยู่บนหลังม้าที่เคลื่อนโขยก เดินทางไปรวมตัวกับเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ เขาก็ได้ผ่านคืนส่งท้ายปีเพียงลำพังอย่างอิสระเสรี

อีกหนึ่งปีผ่านพ้น ไปเยือนกลุ่มเทือกเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ระหว่างที่เดินทางกลับ ในที่สุดก็ได้กินอาหารส่งท้ายปีเก่าที่พอจะถือว่าครบครันร่วมกับกู้ช่าน เจิงเย่และหม่าตู่อี๋สักที

ปีนี้ เวลานี้ หลังจากจูงม้าขึ้นไปบนเรือข้ามฟากด้วยกันแล้ว เฉินผิงอันก็ยกมือขึ้นลูบปิ่นหยกบนมวยผมของตัวเอง ที่แท้โดยไม่ทันรู้ตัว ตนก็ถึงวัยสวมกวานของลัทธิขงจื๊อแล้ว (การสวมกวานจะทำตอนที่ผู้ชายอายุครบยี่สิบปี เป็นพิธีที่แสดงให้รู้ถึงการเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มเป็นผู้ใหญ่)

หลังจากนั้นวันที่ห้าเดือนห้าของปีนี้ เดิมทีเฉินผิงอันคิดจะขอให้ทางเรือข้ามฟากตระกูลเซียนจัดอาหารมาเต็มโต๊ะเพื่อฉลองสักมื้อ เพียงแต่ว่าเขาเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน ยังคงหยิบเอาอาหารแห้งมากินกับสุรา ยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองไปยังทะเลเมฆ ถือเป็นการฉลองวันเกิดให้กับตัวเองแล้ว ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่พิธีสวมกวานก็ยังทำอย่างลวกๆ พอให้ผ่านๆ ไป เพราะถึงอย่างไรเขาก็เหลือตัวคนเดียว ไม่มีผู้อาวุโสแล้วก็ไม่มีศาลบรรพบุรุษ ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันกับพิธีการที่ยิบย่อยเหล่านั้น

เพียงแต่ว่าหลังจากกินอาหารคำสุดท้ายและดื่มเหล้าตามไปหนึ่งอึก เฉินผิงอันที่เพิ่งจะส่งเสียงเรอ เขาที่เก็บดาบและกระบี่ไม้ไผ่ลงไปนานแล้วก็พลันรู้สึกว่าเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่บนหลังพลันหนักอึ้ง ราวกับว่าวัตถุที่เดิมทีหนักแค่ไม่กี่จิน เปลี่ยนมาเป็นหนักนับร้อยนับพันจิน เป็นเหตุให้เฉินผิงอันเซถอยหลัง ทั้งคนและกระบี่พากันล้มลงบนพื้น

ทว่าชั่วพริบตาเดียวเจี้ยนเซียนที่อยู่ในฝักก็กลับคืนมาเป็นวัตถุไร้ชีวิตดังเดิม ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เฉินผิงอันทดลองขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ

เฉินผิงอันอัดอั้นตันใจเล็กน้อย กลัวว่าตัวเองจะเจอกับแผนการหรือความลี้ลับอะไร เขานั่งอยู่ข้างโต๊ะ ชักเจี้ยนเซียนออกจากฝัก เอามามองประเมินอยู่นานก็ยังไม่เห็นความประหลาดใดๆ

เฉินผิงอันจึงคิดว่าเป็นเจี้ยนเซียนเล่มนี้ที่ก่อกวนเขา เพราะถึงอย่างไรครึ่งปีมานี้ก็มีช่วงเวลาที่มันเกเรเอาแต่ใจอยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่นมีครั้งหนึ่งที่เขาเลียนแบบเซียนกระบี่ลอง ‘ขี่กระบี่’ ไปชื่นชมพระอาทิตย์ตกดินบนทะเลเมฆ มันกลับเผ่นหนีมาก่อนเสียได้ ทำให้เฉินผิงอันร่วงลงสู่ทะเลเมฆ หากไม่เป็นเพราะยังมีชูอีกับสืออู่ เขาคงต้องเจ็บตัวไม่น้อย เพียงแต่ว่าเขาจะอธิบายหลักการเหตุผลกับอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งได้อย่างไร หลังจากนั้นมาเฉินผิงอันก็ไม่ค่อยกล้าไปชมทัศนียภาพของทะเลเมฆอีกเลย

เวลานี้กระบี่เจี้ยนเซียนออกจากฝักที่แข็งแกร่งแน่นหนาซึ่งอยู่ด้านหลังของเฉินผิงอัน เป็นเหตุให้ตลอดทั้งเรือข้ามฟากตระกูลเซียนเกิดส่ายไหวเล็กน้อย ส่วนมันก็ลอยอยู่เหนือพื้นกระดานเรือมาหนึ่งฉื่อ

ราวกับกำลังเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เฉินผิงอันขึ้นไปเหยียบด้านบนด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง พูดอย่างปรึกษาหารือ “ไม่แกล้งข้าแน่นะ?”

เจี้ยนเซียนลอยนิ่งไม่เคลื่อนไหว

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อรองว่า “หากเจ้าทิ้งข้าไว้กลางทาง ข้าอาจจะตามเรือข้ามฟากลำนี้ไม่ทัน เจ้าก็ต้องชดใช้เงินเทพเซียนก้อนนี้ให้ข้านะ?”

เจี้ยนเซียนบินสวบกลับเข้าไปในฝักที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน

แล้วก็ไม่สนใจเฉินผิงอันอีก

เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง พอนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ถูกอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งหลอกเอาแผ่นไม้ไผ่เกือบสามสิบแผ่นไปบนยอดเขา เขาก็พยักหน้าพูดกับตัวเอง “เกือบจะหลงกลอีกแล้ว! ข้าไม่ได้อยู่ในยุทธภพมาอย่างเสียเปล่าจริงๆ!”

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 457.5 ทะเลสาบซูเจี่ยนที่น้ำลดหินผุด

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 457.5 ทะเลสาบซูเจี่ยนที่น้ำลดหินผุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โจวเฟิงลู่ส่ายหน้า “หลิวจื้อเม่า หวังว่าครั้งหน้าที่พบกัน รอให้ข้าได้เป็นเจ้าประมุขของสำนักเบื้องล่างแล้ว เจ้าจะยังพูดจาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างแบบนี้ได้อีก”

หลิวจื้อเม่ารีบกล่าวว่า “อย่ารีบร้อนๆ ต่อให้ได้เป็นเจ้าประมุขของสำนักเบื้องล่างแล้ว พวกเราก็ยังพูดคุยกันได้อยู่ดี ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเรา ความหยิ่งในศักดิ์ศรีจะนับเป็นผายลมอะไรได้ พวกเราชอบขับเรือตามกระแสลมที่สุดเลยล่ะ”

โจวเฟิงลู่ออกไปจากคุกน้ำอย่างเงียบเชียบ

ผู้ฝึกตนอิสระก่อกำเนิดของทะเลสาบซูเจี่ยนผู้นี้สมกับเป็นเนื้อหมาที่เอาขึ้นโต๊ะงานเลี้ยงไม่ได้จริงๆ ฆ่าก็ไม่ได้ กินก็ไม่ลง โจวเฟิงลู่ตัดสินใจแล้วว่าขอแค่วันใดที่ตนได้เป็นเจ้าประมุขของสำนักเบื้องล่าง วันนั้นก็จะสังหารหลิวจื้อเม่าทันที จะไม่เปลืองน้ำลายพูดกับผู้ฝึกตนอิสระคนนี้อีกแม้แต่ครึ่งคำ

หลังจากที่โจวเฟิงลู่กลับไปยังจวนของตัวเองแล้ว

เจ้าของเกาะกงหลิ่วที่แท้จริงอย่างหลิวเหล่าเฉิงก็เดินเข้ามาในชั้นล่างสุดของคุกน้ำ ผู้ฝึกตนสำนักกุยหยกตลอดทางที่เขาเดินผ่านมาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเขา ทั้งไม่ทักทาย แล้วก็ไม่ห้ามปราม

ทะเลสาบซูเจี่ยนมีสายน้ำสามเส้นที่เป็นรากฐาน โชคชะตาน้ำเข้มข้น สายน้ำเส้นอื่นๆ นั้นแตกออกไปอีกเป็นจำนวนมาก แต่กลับเล็กบาง กระจัดกระจายปะปนกันวุ่นวาย แล้วก็ถูกขั้วอำนาจบนเกาะพันกว่าเกาะแบ่งสันปันส่วนกันไปจนสิ้นแล้ว

หนึ่งในนั้นมีเส้นหนึ่งที่เกาะกงหลิ่วยึดครองไว้เพียงลำพัง ค่ายกลของคุกน้ำก็มีสายน้ำนี้เป็นรากฐาน

นี่ก็คือกุญแจสำคัญที่สามารถสยบหลิวจื้อเม่าไว้ได้อย่างสบายๆ

เกาะชิงเสียเองก็ขโมยสายน้ำไปกว่าครึ่งสาย จวนเหิงโปก็คือตาของค่ายกล น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้จวนเหิงโปพังครืนไปแล้ว โชคชะตาน้ำไหลซ่านเซ็น ได้ดีผู้ฝึกตนเซียนดินที่อยู่บนเกาะใต้อาณัติอย่างพวกเถียนหูจวิน อวี๋กุ้ยไปเปล่าๆ

ส่วนเกาะใหญ่สามเกาะอย่างเกาะชิงจ่ง เทียนหมู่และลี่ซู่ก็ร่วมกันแบ่งรากฐานสายน้ำเส้นสุดท้ายของทะเลสาบซูเจี่ยนไป

หลิวเหล่าเฉิงที่พอมาถึงชั้นล่างของคุกน้ำแล้วก็สร้างฟ้าดินขนาดเล็กตัดขาดโลกภายนอกทันที

หลิวจื้อเม่าเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วน้อยๆ

เขาไม่ได้หวาดเกรงโจวเฟิงลู่ผู้นั้นสักเท่าไหร่ แต่สำหรับผู้อาวุโสของทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างหลิวเหล่าเฉิงกลับกริ่งเกรงอย่างมาก

เพราะผู้ฝึกตนอิสระนั้นคุ้นเคยกับการรับมือกับผู้ฝึกตนอิสระดีที่สุด

กลับกลายเป็นว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลต่างหากที่กว่าจะคลำหาทางเจอก็ต้องใช้เวลาช่วงหนึ่ง

หลิวเหล่าเฉิงหยิบม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งออกมา สะบัดเบาๆ ม้วนภาพก็คลี่ออก บนม้วนภาพมีบุรุษคนหนึ่งที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มเดินออกมา

เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างกรงขัง เอาสองมือไพล่หลัง ค้อมเอวยิ้มตาหยีมองหลิวจื้อเม่าแล้วเอ่ยถามว่า “ได้ยินว่าเจ้ากับเฉินผิงอันเป็นทั้งมิตรทั้งศัตรู ความสัมพันธ์คลุมเครือไม่ชัดเจน ยังไม่ต้องพูดถึงเขา ข้าก็เคยได้ยินหลิวเหล่าเฉิงเล่าว่า พวกเจ้าต่างก็ยอมรับว่าตัวเองคือคนรู้ใจของอีกฝ่ายครึ่งตัว?”

คราวนี้กลายเป็นหลิวจื้อเม่าที่ต้องมึนงงบ้างแล้ว เขาไม่ได้ตอบคำถามนั้น “เจ้าคือ…เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก?”

บุรุษผู้นั้นหัวเราะคิกคัก “เจ้าตอบคำถามของข้ามาก่อน แล้วข้าค่อยคิดดูว่าจะตอบคำถามของเจ้าหรือไม่ อย่างไรก็ควรพูดถึงกฎการมาก่อนมาหลังนี่นะ”

หลิวจื้อเม่าชำเลืองตามองหลิวเหล่าเฉิง กับโจวเฟิงลู่ หลิวจื้อเม่าเคยผ่านการ ‘ประมือ’ กับเขามาแล้วสองครั้ง จึงพอจะรู้เส้นขีดจำกัดของโจวเฟิงลู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถถ่วงเวลาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะเป็นเจียงซ่างเจินคนของสำนักกุยหยกตัวจริงเสียงจริงผู้นี้ อารมณ์ของหลิวจื้อเม่าพลันหนักอึ้ง ไม่กล้าพูดจาส่งเดช หลังจากใคร่ครวญดูแล้วก็พยักหน้ากล่าวว่า “ข้ากับเฉินผิงอันไม่อาจเป็นสหายกันได้ชั่วชีวิต ไม่ว่าข้าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน หรือในอนาคตเขามีความสามารถพอจะงัดข้อกับข้า ไม่แน่ว่าอาจจะยังต้องมีการประมือกันเกิดขึ้นหนึ่งครั้ง แต่สำหรับข้ากับเฉินผิงอันในตอนนี้ ถือเป็นคนรู้ใจกันครึ่งตัว ก่อนหน้านี้ก็เคยดื่มเหล้าร่วมกันสองสามครั้งเท่านั้น”

บุรุษผู้นั้นปรบมือ แผดเสียงหัวเราะดังลั่น “ลำพังเพียงแค่ข้อนี้ เสี่ยวหลิว บวกกับเหล่าหลิวที่อยู่ด้านหลังข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราสามคนก็ถือเป็นสหายตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกันแล้ว!”

หลิวจื้อเม่ามองไปทางหลิวเหล่าเฉิงอีกครั้ง ทั้งสีหน้าและสภาพจิตใจของฝ่ายหลังประหนึ่งบ่อน้ำโบราณที่ไร้คลื่น ไม่บอกกล่าวหรือให้คำเตือนใดๆ แก่หลิวจื้อเม่าแม้แต่น้อย

บุรุษยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าเดาไม่ผิด ข้าก็คือเจียงซ่างเจินผู้นั้น คือเจ้าประมุขของสำนักเบื้องล่างที่มาถึงอย่างล่าช้า”

บุรุษพลันลูบหน้าตัวเองแล้วบ่นพึมพำด้วยท่าทางเศร้ารันทดดุจสตรี “ในใจข้ามีความยากลำบากนี่นะ เจ้าโจวเฟิงลู่หน้าไม่อายผู้นั้นเกือบจะทำลายเรื่องดีๆ ของข้าเสียแล้ว หากไม่เป็นเพราะหลี่ฝูฉวีฉลาดมากพอ ตอนนี้ต่อให้ข้าต้องทุ่มสุดชีวิตก็คงต้องฆ่าโจวเฟิงลู่ผู้นั้นให้ตายให้จงได้ จากนั้นค่อยหิ้วหัวโจรเฒ่าผู้นั้นไปค้อมเอวก้มหัวขออภัยผู้อื่น! พอคิดถึงเรื่องนี้ ข้าก็นึกอยากจะวิ่งไปโขกหัวให้หลี่ฝูฉวีดีๆ สักครั้งแล้ว ให้รับนางเป็นแม่บุญธรรมจะเป็นไรไป”

เจียงซ่างเจินทุบหัวใจตัวเองเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดขมขื่น แต่ปากกลับผรุสวาทถ้อยคำหยาบคาย “ข้าเจียงซ่างเจินไม่ได้มาเช็ดตูดให้ใครที่ทะเลสาบซูเจี่ยนสักหน่อย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คงต้องไปพบเจอกับเฉินผิงอันเพื่อพูดคุยเรื่องในวันวานกันเสียแล้ว ส่วนตอนนี้ พูดคุยอย่างครื้นเครงกะผายลมอะไรกัน ตาแก่ที่ความสามารถทำงานให้สำเร็จมีไม่พอ แต่ความสามารถในการสร้างหายนะกลับเหลือเฟืออย่างโจวเฟิงลู่ผู้นี้ ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย ข้าก็จัดงานเลี้ยงที่สำนักใบถงไปแล้วนี่นา และตอนนี้ก็เป็นคนกันเองแล้ว เขากลับยังผลักข้าลงหลุมได้ลงคอ จิตใจชั่วร้ายต่ำทราม สมควรตาย สมควรตายจริงๆ …”

หลิวจื้อเม่าปากอ้าตาค้าง

หลิวเหล่าเฉิงเองก็หนังตากระตุกเบาๆ เห็นได้ชัดว่าเคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้จากเจียงซ่างเจินมาก่อน อาการจึงดีกว่าหลิวจื้อเม่าที่ทำท่าราวกับถูกฟ้าผ่าเล็กน้อย

เจียงซ่างเจินพลันหยุดพูดและเก็บรอยยิ้ม เงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นเบาๆ ว่า “หลิวจื้อเม่า ข้าจะถามเจ้าแทนโจวเฟิงลู่ประโยคหนึ่ง เจ้ายินดีจะเป็นผู้ถวายงานของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกหรือไม่?”

หลิวจื้อเม่าลังเลตัดสินใจไม่ได้

แล้วทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าหลิวเหล่าเฉิงพยักหน้าให้เขาเบาๆ

หลิวจื้อเม่าจึงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผงกศีรษะ “ได้”

แล้วจากนั้นเขาก็พบว่ามีใบหลิวสีเขียวมรกตเปล่งปลั่งราวกับจะสามารถเค้นน้ำได้ใบหนึ่งหล่นลงกลางหว่างคิ้วของเขาอย่างพอดิบพอดี

เจียงซ่างเจินดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “ผู้ที่รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ หลิวจื้อเม่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือผู้ถวายงานลำดับสามของสำนักเบื้องล่างข้าแล้ว หลิวเหล่าเฉิง โจวเฟิงลู่ หลิวจื้อเม่า แต่ข้าหวังว่าหลังจากเจ้าเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนแล้วจะสามารถช่วยข้าสังหารโจวเฟิงลู่ผู้นั้นได้ ไม่ว่าใช้วิธีอะไรก็ได้ทั้งนั้น ตอนนี้ข้าสามารถรับปากกับเจ้าได้เลยว่า สมบัติพิทักษ์ภูเขาชิ้นสำคัญที่อยู่ในมือโจวเฟิงลู่ ทางสำนักเบื้องล่างสามารถให้เจ้ายืมใช้ได้หนึ่งร้อยปี ขอแค่หลังจากนี้มีคุณความชอบมากพอ จะยืมอีกร้อยปีก็ไม่ยาก แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ฆ่าคนไม่สำเร็จ แถมยังดันเป็นฝ่ายถูกฆ่าเสียเอง ถึงเวลานั้นก็อย่ามาโทษหากข้าไม่ช่วยเก็บศพให้เจ้า”

หลิวจื้อเม่าถาม “เรื่องเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน?”

เจียงซ่างเจินยื่นนิ้วโป้งข้างหนึ่งชี้ไปที่ตัวเอง “ข้าผู้อาวุโสมีอะไร? มีเงินเท่านั้น รอเจ้าสนิทกับข้าเมื่อไหร่คงอดสงสารข้าไม่ได้ มีเงินมากเกินไปก็น่ากลุ้มจริงๆ”

เจียงซ่างเจินทอดถอนใจหนึ่งที “อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนอิสระในแจกันสมบัติทวีปที่ยากจนจนไม่ได้ยินเสียงเหรียญกระทบกันเลย ต่อให้เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลห้าขอบเขตบนของใบถงทวีปอย่างพวกเราก็ยังไม่มีใครรู้ถึงความหงุดหงิดใจจากการที่มีเงินมากมายของข้า น่ารำคาญยิ่งนัก”

หลิวจื้อเม่ามองไปทางหลิวเหล่าเฉิงอีกครั้ง ร่วมมือกับคนประเภทนี้ไม่รู้สึกหวาดหวั่นบ้างหรือ? ลงเรือลำเดียวกับโจวเฟิงลู่จะไม่มั่นคงกว่าจริงๆ หรือไร?

สีหน้าหลิวเหล่าเฉิงไร้อารมณ์

ไม่รู้ว่าความคิดลึกล้ำยากเกินจะหยั่ง หรือกำลังด่ามารดาอีกฝ่ายอยู่ในใจ

เรื่องที่ต้องใช้เงินทอง เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนบนโลกเจ็บปวดใจที่สุดจริงๆ

……

ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ

ม่านราตรีมืดดำ มุมหนึ่งที่เปลี่ยวร้างของทะเลสาบซูเจี่ยน รอบด้านเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง

มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่ริมทะเลสาบ เขาโบกสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง แผ่นไม้ไผ่ทั้งยี่สิบสี่แผ่นก็ลอยออกมา ตัวอักษรที่สลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่ส่องประกายแสงสีทองพร่างพราว แสงนั้นประหนึ่งบทความคุณธรรมที่พันปีก็ไม่เสื่อมสลายของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ สามารถประชันแสงกับตะวันจันทราได้

แผ่นไม้ไผ่ร่วงลงสู่ทะเลสาบซูเจี่ยน

แผ่นไม้ไผ่ยี่สิบสี่แผ่น ยี่สิบสี่ช่วงฤดูกาล

ตลอดทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนมีเพียงคนสามคนเท่านั้นที่จิตสัมผัสได้ถึง ทุกคนล้วนหวาดผวาพรั่นพรึง

เจียงซ่างเจิน หลิวเหล่าเฉิง โจวเฟิงลู่

ทว่าต่อให้พวกเขาพุ่งขึ้นมากลางอากาศแทบจะเวลาเดียวกัน กวาดตามองไปรอบด้าน ก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงเบาะแสใดๆ แม้แต่น้อย

แต่อันที่จริงอาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นกลับยืนอยู่ใต้เปลือกตาของพวกเขาพอดี ก็แค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทั้งสามท่านไม่อาจมองเห็นก็เท่านั้น

กลับเป็นหลิวจื้อเม่าที่ถูกขังอยู่ในเกาะกงหลิ่วยังไม่ได้ออกมา ที่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา

ช่วงแรกเริ่มสุดทะเลสาบซูเจี่ยนเคยเป็นสถานที่ธรรมดาแห่งหนึ่งที่มีปราณวิญญาณเบาบาง เคยมีอริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งจากแผ่นดินกลางเดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ แล้วได้บรรลุมหามรรคา เกิดการขานรับกับฟ้าดิน ภาพปรากฎการณ์งดงามหลากหลายพลันบังเกิด ทะเลสาบจึงได้ชื่อว่าซูเจี่ยน (จดหมาย เจี่ยนในชื่อนี้ใช้คำเดียวกับ จู๋เจี่ยน หรือแผ่นไม้ไผ่ของเฉินผิงอัน) ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น หล่อเลี้ยงและมีพระคุณแก่คนรุ่นหลัง

อาจารย์ผู้เฒ่ายืนอยู่ข้างทะเลสาบ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คนบนโลกต่างก็รู้สึกว่าที่นี่คือหลุมอาจมหลุมหนึ่ง แต่กลับมีคนบอกว่าพวกเจ้าคือกลิ่นอายของความองอาจหาญกล้าที่ค้ำฟ้ายันดิน ต่อให้ผ่านไปอีกกี่ยุคสมัยก็ยังน่าเกรงขาม ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”

น้ำในทะเลสาบเกิดริ้วน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก ปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ยาวนานนับพันปีแผ่ซ่านออกไป

อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าอย่างข้าไม่ได้ต้องการให้พวกเจ้าซาบซึ้งในพระคุณของจอมปราชญ์น้อยผู้นั้น คนเขาไม่ต้องการ และบัณฑิตก็มักจะทำอะไรเช่นนี้เสมอ ไม่ได้ทำเหมือนคนค้าขาย ดังนั้นข้าจึงต้องการให้พวกเจ้าสละชีวิตเพื่อความชอบธรรม ในอนาคตต้องตายร่วมกับข้าอีกครั้ง อย่าได้ผิดต่อวิถีทางโลกที่ยังมีทางให้เยียวยานี้”

อาจารย์ผู้เฒ่าแบมือ บนฝ่ามือของเขายังเหลือแผ่นไม้ไผ่อีกสี่แผ่น เขาพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาอีกว่า “แน่นอนว่าคนหนุ่มผู้นั้นก็บอกแล้วว่า ตอนนี้เขายังไม่ใช่บัณฑิต เป็นแค่นักบัญชีคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้พวกเราควรจะทำอย่างไรก็คงจะยังสามารถปรึกษากันได้ล่ะนะ”

……

ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป

พอเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของปีนี้ คนหนุ่มที่สวมชุดเขียวคนหนึ่งก็จูงม้าเดินมาหยุดอยู่ที่นี่

อายุสิบเจ็ดปี ไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน พักอาศัยอยู่ในห้องหน้าประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย ผ่านพ้นคืนส่งท้ายปีใหม่มาเพียงลำพัง

หลังจากนั้นก็เป็นคืนส่งท้ายปีใหม่ของอีกปี เขาอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง นั่งล้อมกองไฟเฝ้าคืนอยู่กับเจิงเย่และหม่าตู่อี๋

ผ่านไปอีกปี อยู่บนหลังม้าที่เคลื่อนโขยก เดินทางไปรวมตัวกับเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ เขาก็ได้ผ่านคืนส่งท้ายปีเพียงลำพังอย่างอิสระเสรี

อีกหนึ่งปีผ่านพ้น ไปเยือนกลุ่มเทือกเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ระหว่างที่เดินทางกลับ ในที่สุดก็ได้กินอาหารส่งท้ายปีเก่าที่พอจะถือว่าครบครันร่วมกับกู้ช่าน เจิงเย่และหม่าตู่อี๋สักที

ปีนี้ เวลานี้ หลังจากจูงม้าขึ้นไปบนเรือข้ามฟากด้วยกันแล้ว เฉินผิงอันก็ยกมือขึ้นลูบปิ่นหยกบนมวยผมของตัวเอง ที่แท้โดยไม่ทันรู้ตัว ตนก็ถึงวัยสวมกวานของลัทธิขงจื๊อแล้ว (การสวมกวานจะทำตอนที่ผู้ชายอายุครบยี่สิบปี เป็นพิธีที่แสดงให้รู้ถึงการเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มเป็นผู้ใหญ่)

หลังจากนั้นวันที่ห้าเดือนห้าของปีนี้ เดิมทีเฉินผิงอันคิดจะขอให้ทางเรือข้ามฟากตระกูลเซียนจัดอาหารมาเต็มโต๊ะเพื่อฉลองสักมื้อ เพียงแต่ว่าเขาเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน ยังคงหยิบเอาอาหารแห้งมากินกับสุรา ยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองไปยังทะเลเมฆ ถือเป็นการฉลองวันเกิดให้กับตัวเองแล้ว ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่พิธีสวมกวานก็ยังทำอย่างลวกๆ พอให้ผ่านๆ ไป เพราะถึงอย่างไรเขาก็เหลือตัวคนเดียว ไม่มีผู้อาวุโสแล้วก็ไม่มีศาลบรรพบุรุษ ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันกับพิธีการที่ยิบย่อยเหล่านั้น

เพียงแต่ว่าหลังจากกินอาหารคำสุดท้ายและดื่มเหล้าตามไปหนึ่งอึก เฉินผิงอันที่เพิ่งจะส่งเสียงเรอ เขาที่เก็บดาบและกระบี่ไม้ไผ่ลงไปนานแล้วก็พลันรู้สึกว่าเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่บนหลังพลันหนักอึ้ง ราวกับว่าวัตถุที่เดิมทีหนักแค่ไม่กี่จิน เปลี่ยนมาเป็นหนักนับร้อยนับพันจิน เป็นเหตุให้เฉินผิงอันเซถอยหลัง ทั้งคนและกระบี่พากันล้มลงบนพื้น

ทว่าชั่วพริบตาเดียวเจี้ยนเซียนที่อยู่ในฝักก็กลับคืนมาเป็นวัตถุไร้ชีวิตดังเดิม ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เฉินผิงอันทดลองขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ

เฉินผิงอันอัดอั้นตันใจเล็กน้อย กลัวว่าตัวเองจะเจอกับแผนการหรือความลี้ลับอะไร เขานั่งอยู่ข้างโต๊ะ ชักเจี้ยนเซียนออกจากฝัก เอามามองประเมินอยู่นานก็ยังไม่เห็นความประหลาดใดๆ

เฉินผิงอันจึงคิดว่าเป็นเจี้ยนเซียนเล่มนี้ที่ก่อกวนเขา เพราะถึงอย่างไรครึ่งปีมานี้ก็มีช่วงเวลาที่มันเกเรเอาแต่ใจอยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่นมีครั้งหนึ่งที่เขาเลียนแบบเซียนกระบี่ลอง ‘ขี่กระบี่’ ไปชื่นชมพระอาทิตย์ตกดินบนทะเลเมฆ มันกลับเผ่นหนีมาก่อนเสียได้ ทำให้เฉินผิงอันร่วงลงสู่ทะเลเมฆ หากไม่เป็นเพราะยังมีชูอีกับสืออู่ เขาคงต้องเจ็บตัวไม่น้อย เพียงแต่ว่าเขาจะอธิบายหลักการเหตุผลกับอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งได้อย่างไร หลังจากนั้นมาเฉินผิงอันก็ไม่ค่อยกล้าไปชมทัศนียภาพของทะเลเมฆอีกเลย

เวลานี้กระบี่เจี้ยนเซียนออกจากฝักที่แข็งแกร่งแน่นหนาซึ่งอยู่ด้านหลังของเฉินผิงอัน เป็นเหตุให้ตลอดทั้งเรือข้ามฟากตระกูลเซียนเกิดส่ายไหวเล็กน้อย ส่วนมันก็ลอยอยู่เหนือพื้นกระดานเรือมาหนึ่งฉื่อ

ราวกับกำลังเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้เฉินผิงอันขึ้นไปเหยียบด้านบนด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง พูดอย่างปรึกษาหารือ “ไม่แกล้งข้าแน่นะ?”

เจี้ยนเซียนลอยนิ่งไม่เคลื่อนไหว

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อรองว่า “หากเจ้าทิ้งข้าไว้กลางทาง ข้าอาจจะตามเรือข้ามฟากลำนี้ไม่ทัน เจ้าก็ต้องชดใช้เงินเทพเซียนก้อนนี้ให้ข้านะ?”

เจี้ยนเซียนบินสวบกลับเข้าไปในฝักที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน

แล้วก็ไม่สนใจเฉินผิงอันอีก

เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง พอนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ถูกอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งหลอกเอาแผ่นไม้ไผ่เกือบสามสิบแผ่นไปบนยอดเขา เขาก็พยักหน้าพูดกับตัวเอง “เกือบจะหลงกลอีกแล้ว! ข้าไม่ได้อยู่ในยุทธภพมาอย่างเสียเปล่าจริงๆ!”

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+