กระบี่จงมา 465.1 ออกหมัดไม่มีอะไรแตกต่าง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 465.1 ออกหมัดไม่มีอะไรแตกต่าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชั้นที่หนึ่งของเรือนไม้ไผ่ได้จัดวางชั้นโบราณเรียงไว้ชั้นหนึ่ง สีไม้เรียบง่ายแต่ประณีตงดงาม ช่องว่างเยอะ แต่สมบัติมีน้อย

เฉินผิงอันจึงคิดจะหยิบเอาสิ่งของที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อออกมาวางเติมให้ดูมีหน้ามีตาเสียหน่อย ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันต้องอึ้งตะลึง ตามหลักแล้วเฉินผิงอันออกเดินทางไกลมานานหลายปีขนาดนี้ ก็ถือว่าได้เห็นของดีๆ และได้จับผ่านมือมาแล้วไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่านอกจากสิ่งของที่ลู่ไถซื้อจากถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจีแล้วมอบให้กับเขา ของขวัญที่อู๋ยวนจวนจื่อหยางมอบให้ บวกกับภาพสตรีงดงามที่เฉินผิงอันซื้อมาจากถนนวานร่ำไห้ของนครน้ำบ่อ รวมไปถึงของชิ้นเล็กๆ ที่เถ้าแก่ร้านมอบให้เป็นของรางวัล ก็ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วจะเหลือสิ่งของอีกไม่มาก ทรัพย์สมบัติเหลือน้อยกว่าที่เฉินผิงอันคิดไว้ สมบัติแต่ละชิ้นเหมือนจอกแหนแต่ละใบที่หมุนวนอยู่กลางน้ำ นึกจะไปก็ไป นึกจะไม่มีก็ไม่มีเสียอย่างนั้น

อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็หวนนึกไปถึง ‘ด่านหลิวเซี่ย’ ซึ่งเป็นด่านที่ตั้งอยู่ชายแดนระหว่างแคว้นสือหาวกับแคว้นเหมยโย่วขึ้นมา มีชื่อว่าหลิวเซี่ย (รั้งไว้/อยู่ต่อ) แต่แท้จริงแล้วกลับรั้งอะไรไว้ไม่เคยได้เลย

บางอย่างก็ให้คนอื่นยืมไปชั่วคราว ยกตัวอย่างเช่น ‘ซีเยว่’ เสื้อเกราะรับน้ำค้างรุ่นบรรพบุรุษที่อยู่บนร่างของเว่ยเซี่ยน ดาบแคบหยุดหิมะที่พกตรงเอวหลูป๋ายเซี่ยง กระบี่ชือซินที่สะพายอยู่ด้านหลังสุยโย่วเปียน แผ่นหยก ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ ที่อยู่ในมือเว่ยป้อ ตำหนักพญายมราชคุกล่างและหอแก้วจำลองสองชิ้นที่อยู่กับกู้ช่าน เป็นต้น

ที่มากกว่านั้นคือยกให้คนอื่นไปเลย ยกตัวอย่างเช่นตราประทับเสี่ยนโย่วโป๋เทพอภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี ทุกคนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ทุกคนที่อยู่ในสำนักศึกษาซานหยา มีใครบ้างที่ไม่เคยได้ของขวัญจากเฉินผิงอัน? ไม่พูดถึงคนสนิทเหล่านี้ ต่อให้เป็นที่ร้านขายเนื้อหมาของแคว้นสือหาว เฉินผิงอันก็ยังมอบเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญออกไป ตอนอยู่ในผืนป่าริมแม่น้ำชุนฮวาแคว้นเหมยโย่ว เฉินผิงอันก็ทั้งควักเงินทั้งมอบยา ย้อนไปไกลกว่านั้น ตอนอยู่บนเกาะกุ้ยฮวายังโยนหินดีงูกำมือใหญ่ลงไปในน้ำเพื่อเลี้ยงเจียวน้อยวัยเยาว์ตัวนั้น เรียกได้ว่ามากมายนับไม่ถ้วนจริงๆ

เฉินผิงอันเอ่ยเยาะหยันตัวเอง “ตอนมอบให้คนอื่นมีเพียงความห้าวเหิม หลังจบเรื่องคิดขึ้นมาก็ปวดใจ”

คิดแล้วเฉินผิงอันก็นวดคลึงปลายคาง พยักหน้ากับตัวเอง “เป็นกลอนที่ดี!”

คนจิ๋วดอกบัวเดิมทีนั่งพักอยู่บนโต๊ะ พอได้ยินประโยคนี้ของเฉินผิงอันก็ทิ้งตัวนอนหงายลงไปทันที แขนเล็กที่เหลือเพียงข้างเดียวตบท้องตัวเองหัวเราะก๊ากไม่หยุด

เห็นท่าทางน่ารักของเจ้าตัวน้อยที่ร่าเริงนี้ เฉินผิงอันก็รู้สึกมีความสุขมาก

อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วนี้ ขอแค่ไม่ใช่คำพูดประจบเอาใจ เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าไม่ว่าอะไรก็ไพเราะน่าฟังทั้งนั้น

เฉินผิงอันยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาเกาตรงรอยบุ๋มใต้รักแร้เจ้าตัวน้อย เจ้าตัวน้อยพลิกตัวกลิ้งหลบไปทั่วโต๊ะ สุดท้ายก็ยังหนีไม่พ้นการหยอกเย้าของเฉินผิงอัน จึงได้แต่รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงอย่างสำรวม พองแก้ม แขนที่เหลือเพียงข้างเดียวโบกเบาๆ ยื่นนิ้วชี้ไปยังตำราที่กองทับกันอยู่บนโต๊ะหนังสือ ราวกับต้องการบอกอาจารย์น้อยผู้นี้ว่า จะเล่นสนุกบนโต๊ะหนังสือไม่ได้

เฉินผิงอันหัวเราะแล้วหยุดการกระทำลง

เขาหยิบสมบัติที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อออกมาวางลงบนโต๊ะทีละชิ้น

ตอนนี้ทรัพย์สินก็แค่น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่เอาเข้าจริงสมบัติของเฉินผิงอันก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ไม่เพียงแต่จะมีภูเขาเข้าบัญชีรายรับ ตอนนี้ยังสะพายกระบี่เซียนเล่มหนึ่งไว้บนหลัง นี่ไม่ใช่เนื้อขายุงที่ตระกูลฝูนครมังกรเฒ่ายื่นโยนมาให้ แต่เป็นสมบัติกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งอย่างแท้จริง

ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ได้มาจากร่างของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดในร่องเจียวหลงตัวนั้น เดิมทีก็เป็นสมบัติตกทอดของเซียนที่ฝึกตนอยู่นอกทะเล เซียนไม่ทราบชื่อที่บินทะยานไม่สำเร็จ ได้แต่ปลิดวิญญาณแล้วไปจุติใหม่ผู้นั้น จินหลี่ไม่ได้แหลกสลายตามร่างและดวงจิตของเขาไปด้วย เดิมทีนี่ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างหนึ่งแล้ว ดังนั้นเมื่อรู้ว่าจินหลี่สามารถอาศัยการกินเหรียญทองแดงแก่นทองแล้วจะกลายเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งได้ เฉินผิงอันจึงไม่ได้ประหลาดใจเท่าใดนัก

สร้อยข้อมือแกนลูกท้อที่ไม่สมบูรณ์เส้นหนึ่ง แกนลูกท้อทุกแกนล้วนเทียบเท่าได้กับการโจมตีถึงแก่ชีวิตของเซียนดินโอสถทองทั่วไป

ชุดคลุมอาคมที่เป็นเสื้อสีเขียวตัวบาง ระดับขั้นไม่ถึงสมบัติอาคม เพียงแต่เฉินผิงอันชอบมาก ด้วยรู้สึกว่าสีขาวผุดผ่องเหนือหิมะของชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้นสะดุดตาเกินไป

ประคำเม็ดลูกท้อและชุดคลุมอาคมสีเขียว ยามที่เดินทางไปยังอุตรกุรุทวีปก็ต้องพกติดตัวไปด้วย

บนโต๊ะมีสิ่งของวางอยู่มากมาย

ตราประทับสองชิ้นวางไว้ตำแหน่งตรงกลางสุด ประหนึ่งดวงเดือนที่ถูกล้อมด้วยหมู่ดาว

เฉินผิงอันเริ่มคิดบัญชีเงียบๆ ติดหนี้แล้วไม่ชำระคืน ย่อมไม่ได้แน่นอน

จูเหลี่ยนเคยเล่าประสบการณ์อย่างหนึ่งให้ฟัง บอกว่าเรื่องของการยืมเงินนั้น คือหินทดสอบทองคำของมิตรภาพที่ดีที่สุด คนหลายคนที่เป็นเพื่อนกัน เมื่อยืมเงินกันไปก็เป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกแล้ว แต่ก็ต้องมีอยู่สักคนสองคนที่ยืมเงินแล้วยอมคืน จูเหลี่ยนยังบอกอีกว่าการคืนเงินแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทหนึ่งคือคืนให้ทันทีที่มีเงิน อีกประเภทหนึ่งคือยังคืนไม่ได้ ซึ่งฝ่ายที่หายากและล้ำค่ามากกว่าก็คือฝ่ายที่ยังคืนเงินไม่ได้ แต่ก็ยังคงไปมาหาสู่ ไม่หลบเลี่ยง รอให้วันใดที่มีเงินใช้จ่ายไม่ฝืดเคืองแล้วจึงจะคืน ระหว่างนี้หากเจ้าไปเร่งรัด ในใจของเขาก็จะรู้สึกผิดและละอายใจ แต่ไม่รู้สึกตำหนิหรือไม่พอใจแม้แต่น้อย

จูเหลี่ยนบอกว่าเพื่อนประเภทสุดท้ายนี้ สามารถคบค้ากันไปได้อย่างยาวนาน เป็นเพื่อนกันชั่วชีวิตก็ยังไม่รู้สึกว่านานเกินไป เพราะว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ สำนึกในบุญคุณผู้อื่น

ตอนนั้นเฉินผิงอันยิ้มถามจูเหลี่ยนว่า นี่คือคิดจะยืมเงินเขาใช่หรือไม่? อีกทั้งยังไม่คิดจะคืนข้าในทันทีด้วย?

จูเหลี่ยนก้มหน้าค้อมเอว ถูมือเข้าด้วยกัน บอกว่านายน้อยช่างเป็นยอดฝีมือความรู้กว้างขวาง ล่วงรู้อนาคตล่วงหน้าจริงๆ

แล้วผู้เฒ่าหลังค่อมก็ทำหน้าหนาขอยืมเงินเกล็ดหิมะส่วนหนึ่งไปจากเฉินผิงอันจริงๆ อันที่จริงก็แค่สิบเหรียญ บอกว่าต้องการจะสร้างหอเก็บตำราส่วนตัวไว้ด้านหลังเรือนที่พักอาศัย

แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมต้องให้ยืม ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง ก็คือบุคคลที่มีความเกี่ยวพันกับโชคชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้นในระดับหนึ่ง มีชีวิตอยู่อย่างอนาถาจนถึงขั้นต้องขอยืมเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญจากคนอื่น แล้วยังต้องพร่ำพูดเกริ่นนำก่อนเสียตั้งมากมาย ขนาดเฉินผิงอันยังรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนจูเหลี่ยน แต่ว่าในเมื่อตกลงกันแล้วว่าแค่เงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญ ก็จะไม่มากไปกว่านั้นแม้แต่เหรียญเดียว

เฉินผิงอันตั้งเงื่อนไขว่าวันหน้าเมื่อจูเหลี่ยนสร้างหอเก็บตำราส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว จำเป็นต้องให้ที่นั่นเป็นพื้นที่ต้องห้ามของภูเขาลั่วพั่ว ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกโดยพลการ

จูเหลี่ยนตกปากรับคำ เฉินผิงอันคาดเดาเอาว่ากิจการร้านขายหนังสือของเขตการปกครองหลงเฉวียนคงต้องรุ่งเรืองกันสักพักหนึ่ง

คนจิ๋วดอกบัวยังคงจัดวางสิ่งของแต่ละชิ้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เฉินผิงอันถึงขั้นไม่รู้แล้วว่านิสัยนี้ของเจ้าตัวน้อยเหมือนใครกันแน่

เฉินผิงอันปล่อยให้มันยุ่งกับงานของตัวเองไป ส่วนตัวเขาก็เริ่มดีดลูกคิดคิดคำนวณบัญชี

คลังลับเกาะชิงเสีย หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไช ล้วนติดเงินพวกเขา

ทว่ารายจ่ายก้อนใหญ่ที่แท้จริง ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นงานพิธีกรรมทางศาสนาสองลัทธิที่ร่วมมือกับกู้ช่านช่วยกันจัด หากจะจัดงานอย่างเต็มที่จริงๆ พวกมันก็อาจกลายเป็นหลุมไร้ก้นสองหลุม ไม่ใช่เรื่องที่เงินฝนธัญพืชแค่ไม่กี่เหรียญจะแก้ไขได้

หากเป็นการจัดงานพิธีกรรมปัดเป่าเสนียดจัญไร งานทำบุญใหญ่ของเศรษฐีหรือกษัตริย์ในแคว้นเล็กๆ ทั่วไป ต่อให้ต้องจ่ายเงินขาวมากถึงห้าแสนตำลึงเงิน หักเป็นเงินเกล็ดหิมะก็เท่ากับห้าเหรียญเงินร้อนน้อย ครึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ไม่ว่าจะอยู่ในแคว้นเล็กที่เป็นแคว้นใต้อาณัติแห่งใดก็ตามของแจกันสมบัติทวีปก็ล้วนถือว่าเป็นงานพิธียิ่งใหญ่ที่หลายสิบปีถึงจะพานพบได้สักครั้งแล้ว

แต่หากเกี่ยวพันกับผู้ฝึกตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชิญเซียนดินมานั่งพิทักษ์ ก็จำเป็นต้องมีการไปมาหาสู่กับเหล่าเทพเซียนผู้เฒ่าที่อยู่ตามวัดวาอารามที่มีชื่อเสียงต่างๆ ของแต่ละสถานที่ ต่อให้คนเขามีจิตใจเมตตาเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมดุจพระโพธิสัตว์ ยิ้มกล่าวว่า ‘ตามสบาย’ หรือเอ่ยว่า ‘แล้วแต่จะให้’ ถ้าอย่างนั้นตอนที่เฉินผิงอันกับกู้ช่านควักเงินจะกล้า ‘ตามสบาย’ ได้จริงๆ หรือ? อีกอย่างก่อนที่เฉินผิงอันจะออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนก็ได้ปรึกษากับกู้ช่านมาก่อนแล้วว่า งานพิธีของทั้งสองครั้งนี้ เหมาะแก่การจัดให้ใหญ่ไม่ใช่จัดให้เล็ก แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้องแน่ใจว่าจะไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกสร้างชื่อเสียงจอมปลอม หวังจับปลาในน้ำขุ่นด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ใช่แค่ต้องสิ้นเปลืองเงินเทพเซียนอย่างเดียวเท่านั้น ยังจะถ่วงรั้งการสะสมบุญในปรโลกและการไปจุติเกิดใหม่ของพวกภูตผีวัตถุหยินทั้งหลายด้วย

ดังนั้นภายในสองปี กู้ช่านต้องจัดงานพิธีกรรมใหญ่ทางศาสนาติดต่อกันสองครั้ง นั่นเป็นเรื่องที่ต้องสิ้นเปลืองทั้งแรงกายแรงใจ ต้องทดสอบความสามารถในการมองเรื่องราวต่างๆ ให้กระจ่างแจ้ง แล้วก็ค่อนข้างจะต้องใช้ความอดทนมากเป็นพิเศษ

นี่ก็คือการฝึกฝนขัดเกลาอย่างหนึ่งที่เฉินผิงอันมีให้แก่กู้ช่าน ในเมื่อเลือกที่จะแก้ไขความผิด ก็ต้องเดินไปบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อเดินได้ยากอย่างถึงที่สุดเส้นหนึ่ง

ปีนั้นท่ามกลางกลุ่มภูเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ภูตผีปีศาจออกอาละวาด ผู้ฝึกตนนอกรีตเพ่นพ่านไปทั่ว มีแต่มลพิษสกปรกและความชั่วร้าย ทว่าสิ่งที่ยากลำบากยิ่งกว่านี้ก็คือการที่กู้ช่านต้องแบกตำหนักพญายมราชคุกล่างไว้ด้านหลัง รวมไปถึงการส่งภูตผีจิตหยินแต่ละตนให้จากไปครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งระหว่างทางมีอยู่สองครั้งที่กู้ช่านเกือบจะถอดใจ

แก้ไขความผิด ไม่ใช่แค่เอ่ยประโยคว่าข้าสำนึกผิดแล้ว จากนั้นก็ทำตัวสบายๆ แค่เดินทางไปให้ไกลอีกหน่อย ทุ่มเงินเทพเซียนมากหน่อยก็สามารถอยู่อย่างสบายใจ ราวกับว่าตัวเองสร้างวีรกรรม ทำเรื่องดีงามที่ยิ่งใหญ่อะไร

ใต้หล้าไม่มีเรื่องดีแบบนี้!

แต่อันที่จริงเฉินผิงอันก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า กู้ช่านไม่ได้เดินจากสุดขั้วหนึ่งไปยังอีกสุดขั้วหนึ่ง จิตใจของกู้ช่านยังคงล่องลอยไม่หยุดนิ่ง เพียงแต่ตอนที่เขาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ได้เจอกับความยากลำบากมาจนเต็มกลืน กินอิ่มเสียจนท้องเกือบแตกตาย ดังนั้นสถานการณ์และสภาพจิตใจของกู้ช่านในตอนนี้จึงคล้ายคลึงกับช่วงแรกเริ่มที่เฉินผิงอันออกมาท่องในยุทธภพ นั่นคือกำลังเลียนแบบคนข้างกายที่อยู่ใกล้ชิดด้วยมากที่สุด เพียงแค่มองดูวิธีการที่คนอื่นใช้ในการอยู่ร่วมสังคม จากนั้นก็นำมาคิดพิจารณา แล้วนำมาปรับใช้กับตัวเอง จิตใจมีการเปลี่ยนแปลงก็จริง แต่ก็ไม่มากนัก

โดยรวมแล้วกู้ช่านก็ยังคงเป็นกู้ช่านคนนั้น

เพียงแต่ว่าเข้าใจน้ำหนักของสองคำว่ากฎเกณฑ์มากขึ้น

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน นำเจี้ยนเซียนเล่มนั้นไปแขวนไว้บนผนัง

เฉินผิงอันเดินออกมายืนอยู่ใต้ชายคานอกห้อง นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กคนละตัวกับคนจิ๋วดอกบัว ไม้ไผ่นี้เป็นไม้ไผ่ธรรมดา เวลาผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ สีเขียวสดปลั่งจึงเริ่มจืดจางหายไป กลายเป็นสีออกเหลืองแทน

เฉินผิงอันเริ่มนั่งงีบหลับอยู่ตรงนั้น อากาศทั้งในและนอกเรือนไม้ไผ่ ยามฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น ฤดูร้อนเย็นสบาย สี่ฤดูในหนึ่งปี ต่อให้เป็นคนธรรมดาที่ร่างกายอ่อนแอได้มานั่งอยู่ที่นี่นานเข้า ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหนาวเป็นไข้หรือร้อนจนไม่สบาย เมื่อเทียบกับเรือนของชุยตงซานที่อยู่ในสำนักศึกษาซานหยาแล้วยังมีกลิ่นอายแห่งเซียนมากกว่าด้วยซ้ำ

พรุ่งนี้จะต้องเริ่มฝึกหมัดอีกแล้ว

ท่ามกลางอาการสะลึมสะลือ ดูเหมือนว่าห่างไปไกลในสถานที่สกปรกแห่งหนึ่งที่จิตใจคนเป็นดั่งมารร้าย พอจะมองเห็นบุปผาดอกหนึ่งผลิบาน ผุดส่ายอย่างมีชีวิตชีวา

เฉินผิงอันไม่ได้ตื่นขึ้นเพราะเหตุนี้ กลับกันยังหลับลึกยิ่งกว่าเดิม

คนจิ๋วดอกบัวนั่งอยู่ริมขอบของเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวที่ตั้งอยู่ข้างกัน มันเงยหน้าขึ้น แกว่งขาสองข้างเบาๆ มองใบหน้าด้านข้างของเฉินผิงอันที่มีรอยยิ้มประดับมุมปาก ราวกับว่ากำลังฝันเห็นเรื่องราวงดงามอะไรในความฝัน

……

พระอาทิตย์ลอยขึ้นสูงทางทิศตะวันออก เพียงไม่นานแสงอรุณรุ่งก็อาบย้อมไปไกลหมื่นลี้

เรือนไม้ไผ่พลันสั่นสะเทือน เฉินผิงอันที่นอนหลับอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่มาตลอดคืนสะดุ้งตื่น

แล้วจึงถอดรองเท้า ม้วนชายแขนเสื้อ ถลกขากางเกง เดินขึ้นไปบนชั้นสองของเรือน

พอมาหยุดอยู่นอกห้องของชั้นสอง เฉินผิงอันก็หยุดชะงักเล็กน้อย หลุบตาลงต่ำ หันหน้ามองไป

ตอนนั้นชุยตงซานน่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ได้เข้าไปในห้อง ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกับท่านปู่ของตัวเองอีกครั้งด้วยรูปโฉมและนิสัยของเด็กหนุ่มในอีกร้อยปีให้หลัง

คนทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกัน พูดคุยอะไรกันบ้าง ไม่มีใครรู้ได้

เฉินผิงอันกำลังจะก้าวเดินเข้าไปในห้องก็พลันเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ข้าจะไปคุยกับสือโหรวสักหน่อย ไปแปบเดียวเดี๋ยวมา”

ผู้เฒ่าเปลือยเท้าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขานั่งขัดสมาธิ หลับตาทำสมาธิ

เฉินผิงอันกระโดดลงจากชั้นสอง พุ่งตัววิ่งออกไปโดยที่ไม่ได้สวมรองเท้า ไม่นานก็มาถึงสถานที่ที่มีเรือนหลายหลังปลูกไว้ติดกัน จูเหลี่ยนกับเผยเฉียนยังไม่กลับมา ตอนนี้จึงเหลือแค่สือโหรวที่ชอบเก็บตัวเงียบ และเฉินยวนจีที่เพิ่งจะขึ้นเขามา ยังไม่ทันเจอสือโหรว ก็มาเจอกับเฉินยวนจีก่อน เด็กสาวร่างสูงโปร่งน่าจะเพิ่งกลับมาจากการเดินเล่นชมทิวทัศน์ยามเช้า พอเห็นเฉินผิงอันก็ทำท่าอึกๆ อักๆ จะพูดไม่พูด เฉินผิงอันเพียงแค่ผงกศีรษะทักทาย แล้วไปเคาะประตูใหญ่ของเรือนสือโหรว พอสือโหรวเปิดประตูแล้วก็เอ่ยถาม “คุณชายมีธุระอะไรหรือ?”

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 465.1 ออกหมัดไม่มีอะไรแตกต่าง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 465.1 ออกหมัดไม่มีอะไรแตกต่าง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชั้นที่หนึ่งของเรือนไม้ไผ่ได้จัดวางชั้นโบราณเรียงไว้ชั้นหนึ่ง สีไม้เรียบง่ายแต่ประณีตงดงาม ช่องว่างเยอะ แต่สมบัติมีน้อย

เฉินผิงอันจึงคิดจะหยิบเอาสิ่งของที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อออกมาวางเติมให้ดูมีหน้ามีตาเสียหน่อย ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันต้องอึ้งตะลึง ตามหลักแล้วเฉินผิงอันออกเดินทางไกลมานานหลายปีขนาดนี้ ก็ถือว่าได้เห็นของดีๆ และได้จับผ่านมือมาแล้วไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่านอกจากสิ่งของที่ลู่ไถซื้อจากถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจีแล้วมอบให้กับเขา ของขวัญที่อู๋ยวนจวนจื่อหยางมอบให้ บวกกับภาพสตรีงดงามที่เฉินผิงอันซื้อมาจากถนนวานร่ำไห้ของนครน้ำบ่อ รวมไปถึงของชิ้นเล็กๆ ที่เถ้าแก่ร้านมอบให้เป็นของรางวัล ก็ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วจะเหลือสิ่งของอีกไม่มาก ทรัพย์สมบัติเหลือน้อยกว่าที่เฉินผิงอันคิดไว้ สมบัติแต่ละชิ้นเหมือนจอกแหนแต่ละใบที่หมุนวนอยู่กลางน้ำ นึกจะไปก็ไป นึกจะไม่มีก็ไม่มีเสียอย่างนั้น

อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็หวนนึกไปถึง ‘ด่านหลิวเซี่ย’ ซึ่งเป็นด่านที่ตั้งอยู่ชายแดนระหว่างแคว้นสือหาวกับแคว้นเหมยโย่วขึ้นมา มีชื่อว่าหลิวเซี่ย (รั้งไว้/อยู่ต่อ) แต่แท้จริงแล้วกลับรั้งอะไรไว้ไม่เคยได้เลย

บางอย่างก็ให้คนอื่นยืมไปชั่วคราว ยกตัวอย่างเช่น ‘ซีเยว่’ เสื้อเกราะรับน้ำค้างรุ่นบรรพบุรุษที่อยู่บนร่างของเว่ยเซี่ยน ดาบแคบหยุดหิมะที่พกตรงเอวหลูป๋ายเซี่ยง กระบี่ชือซินที่สะพายอยู่ด้านหลังสุยโย่วเปียน แผ่นหยก ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ ที่อยู่ในมือเว่ยป้อ ตำหนักพญายมราชคุกล่างและหอแก้วจำลองสองชิ้นที่อยู่กับกู้ช่าน เป็นต้น

ที่มากกว่านั้นคือยกให้คนอื่นไปเลย ยกตัวอย่างเช่นตราประทับเสี่ยนโย่วโป๋เทพอภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี ทุกคนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ทุกคนที่อยู่ในสำนักศึกษาซานหยา มีใครบ้างที่ไม่เคยได้ของขวัญจากเฉินผิงอัน? ไม่พูดถึงคนสนิทเหล่านี้ ต่อให้เป็นที่ร้านขายเนื้อหมาของแคว้นสือหาว เฉินผิงอันก็ยังมอบเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญออกไป ตอนอยู่ในผืนป่าริมแม่น้ำชุนฮวาแคว้นเหมยโย่ว เฉินผิงอันก็ทั้งควักเงินทั้งมอบยา ย้อนไปไกลกว่านั้น ตอนอยู่บนเกาะกุ้ยฮวายังโยนหินดีงูกำมือใหญ่ลงไปในน้ำเพื่อเลี้ยงเจียวน้อยวัยเยาว์ตัวนั้น เรียกได้ว่ามากมายนับไม่ถ้วนจริงๆ

เฉินผิงอันเอ่ยเยาะหยันตัวเอง “ตอนมอบให้คนอื่นมีเพียงความห้าวเหิม หลังจบเรื่องคิดขึ้นมาก็ปวดใจ”

คิดแล้วเฉินผิงอันก็นวดคลึงปลายคาง พยักหน้ากับตัวเอง “เป็นกลอนที่ดี!”

คนจิ๋วดอกบัวเดิมทีนั่งพักอยู่บนโต๊ะ พอได้ยินประโยคนี้ของเฉินผิงอันก็ทิ้งตัวนอนหงายลงไปทันที แขนเล็กที่เหลือเพียงข้างเดียวตบท้องตัวเองหัวเราะก๊ากไม่หยุด

เห็นท่าทางน่ารักของเจ้าตัวน้อยที่ร่าเริงนี้ เฉินผิงอันก็รู้สึกมีความสุขมาก

อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วนี้ ขอแค่ไม่ใช่คำพูดประจบเอาใจ เฉินผิงอันก็รู้สึกว่าไม่ว่าอะไรก็ไพเราะน่าฟังทั้งนั้น

เฉินผิงอันยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาเกาตรงรอยบุ๋มใต้รักแร้เจ้าตัวน้อย เจ้าตัวน้อยพลิกตัวกลิ้งหลบไปทั่วโต๊ะ สุดท้ายก็ยังหนีไม่พ้นการหยอกเย้าของเฉินผิงอัน จึงได้แต่รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงอย่างสำรวม พองแก้ม แขนที่เหลือเพียงข้างเดียวโบกเบาๆ ยื่นนิ้วชี้ไปยังตำราที่กองทับกันอยู่บนโต๊ะหนังสือ ราวกับต้องการบอกอาจารย์น้อยผู้นี้ว่า จะเล่นสนุกบนโต๊ะหนังสือไม่ได้

เฉินผิงอันหัวเราะแล้วหยุดการกระทำลง

เขาหยิบสมบัติที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อออกมาวางลงบนโต๊ะทีละชิ้น

ตอนนี้ทรัพย์สินก็แค่น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่เอาเข้าจริงสมบัติของเฉินผิงอันก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ไม่เพียงแต่จะมีภูเขาเข้าบัญชีรายรับ ตอนนี้ยังสะพายกระบี่เซียนเล่มหนึ่งไว้บนหลัง นี่ไม่ใช่เนื้อขายุงที่ตระกูลฝูนครมังกรเฒ่ายื่นโยนมาให้ แต่เป็นสมบัติกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งอย่างแท้จริง

ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ได้มาจากร่างของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดในร่องเจียวหลงตัวนั้น เดิมทีก็เป็นสมบัติตกทอดของเซียนที่ฝึกตนอยู่นอกทะเล เซียนไม่ทราบชื่อที่บินทะยานไม่สำเร็จ ได้แต่ปลิดวิญญาณแล้วไปจุติใหม่ผู้นั้น จินหลี่ไม่ได้แหลกสลายตามร่างและดวงจิตของเขาไปด้วย เดิมทีนี่ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างหนึ่งแล้ว ดังนั้นเมื่อรู้ว่าจินหลี่สามารถอาศัยการกินเหรียญทองแดงแก่นทองแล้วจะกลายเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งได้ เฉินผิงอันจึงไม่ได้ประหลาดใจเท่าใดนัก

สร้อยข้อมือแกนลูกท้อที่ไม่สมบูรณ์เส้นหนึ่ง แกนลูกท้อทุกแกนล้วนเทียบเท่าได้กับการโจมตีถึงแก่ชีวิตของเซียนดินโอสถทองทั่วไป

ชุดคลุมอาคมที่เป็นเสื้อสีเขียวตัวบาง ระดับขั้นไม่ถึงสมบัติอาคม เพียงแต่เฉินผิงอันชอบมาก ด้วยรู้สึกว่าสีขาวผุดผ่องเหนือหิมะของชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้นสะดุดตาเกินไป

ประคำเม็ดลูกท้อและชุดคลุมอาคมสีเขียว ยามที่เดินทางไปยังอุตรกุรุทวีปก็ต้องพกติดตัวไปด้วย

บนโต๊ะมีสิ่งของวางอยู่มากมาย

ตราประทับสองชิ้นวางไว้ตำแหน่งตรงกลางสุด ประหนึ่งดวงเดือนที่ถูกล้อมด้วยหมู่ดาว

เฉินผิงอันเริ่มคิดบัญชีเงียบๆ ติดหนี้แล้วไม่ชำระคืน ย่อมไม่ได้แน่นอน

จูเหลี่ยนเคยเล่าประสบการณ์อย่างหนึ่งให้ฟัง บอกว่าเรื่องของการยืมเงินนั้น คือหินทดสอบทองคำของมิตรภาพที่ดีที่สุด คนหลายคนที่เป็นเพื่อนกัน เมื่อยืมเงินกันไปก็เป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกแล้ว แต่ก็ต้องมีอยู่สักคนสองคนที่ยืมเงินแล้วยอมคืน จูเหลี่ยนยังบอกอีกว่าการคืนเงินแบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทหนึ่งคือคืนให้ทันทีที่มีเงิน อีกประเภทหนึ่งคือยังคืนไม่ได้ ซึ่งฝ่ายที่หายากและล้ำค่ามากกว่าก็คือฝ่ายที่ยังคืนเงินไม่ได้ แต่ก็ยังคงไปมาหาสู่ ไม่หลบเลี่ยง รอให้วันใดที่มีเงินใช้จ่ายไม่ฝืดเคืองแล้วจึงจะคืน ระหว่างนี้หากเจ้าไปเร่งรัด ในใจของเขาก็จะรู้สึกผิดและละอายใจ แต่ไม่รู้สึกตำหนิหรือไม่พอใจแม้แต่น้อย

จูเหลี่ยนบอกว่าเพื่อนประเภทสุดท้ายนี้ สามารถคบค้ากันไปได้อย่างยาวนาน เป็นเพื่อนกันชั่วชีวิตก็ยังไม่รู้สึกว่านานเกินไป เพราะว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ สำนึกในบุญคุณผู้อื่น

ตอนนั้นเฉินผิงอันยิ้มถามจูเหลี่ยนว่า นี่คือคิดจะยืมเงินเขาใช่หรือไม่? อีกทั้งยังไม่คิดจะคืนข้าในทันทีด้วย?

จูเหลี่ยนก้มหน้าค้อมเอว ถูมือเข้าด้วยกัน บอกว่านายน้อยช่างเป็นยอดฝีมือความรู้กว้างขวาง ล่วงรู้อนาคตล่วงหน้าจริงๆ

แล้วผู้เฒ่าหลังค่อมก็ทำหน้าหนาขอยืมเงินเกล็ดหิมะส่วนหนึ่งไปจากเฉินผิงอันจริงๆ อันที่จริงก็แค่สิบเหรียญ บอกว่าต้องการจะสร้างหอเก็บตำราส่วนตัวไว้ด้านหลังเรือนที่พักอาศัย

แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมต้องให้ยืม ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง ก็คือบุคคลที่มีความเกี่ยวพันกับโชคชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้นในระดับหนึ่ง มีชีวิตอยู่อย่างอนาถาจนถึงขั้นต้องขอยืมเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญจากคนอื่น แล้วยังต้องพร่ำพูดเกริ่นนำก่อนเสียตั้งมากมาย ขนาดเฉินผิงอันยังรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนจูเหลี่ยน แต่ว่าในเมื่อตกลงกันแล้วว่าแค่เงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญ ก็จะไม่มากไปกว่านั้นแม้แต่เหรียญเดียว

เฉินผิงอันตั้งเงื่อนไขว่าวันหน้าเมื่อจูเหลี่ยนสร้างหอเก็บตำราส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว จำเป็นต้องให้ที่นั่นเป็นพื้นที่ต้องห้ามของภูเขาลั่วพั่ว ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกโดยพลการ

จูเหลี่ยนตกปากรับคำ เฉินผิงอันคาดเดาเอาว่ากิจการร้านขายหนังสือของเขตการปกครองหลงเฉวียนคงต้องรุ่งเรืองกันสักพักหนึ่ง

คนจิ๋วดอกบัวยังคงจัดวางสิ่งของแต่ละชิ้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เฉินผิงอันถึงขั้นไม่รู้แล้วว่านิสัยนี้ของเจ้าตัวน้อยเหมือนใครกันแน่

เฉินผิงอันปล่อยให้มันยุ่งกับงานของตัวเองไป ส่วนตัวเขาก็เริ่มดีดลูกคิดคิดคำนวณบัญชี

คลังลับเกาะชิงเสีย หลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไช ล้วนติดเงินพวกเขา

ทว่ารายจ่ายก้อนใหญ่ที่แท้จริง ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นงานพิธีกรรมทางศาสนาสองลัทธิที่ร่วมมือกับกู้ช่านช่วยกันจัด หากจะจัดงานอย่างเต็มที่จริงๆ พวกมันก็อาจกลายเป็นหลุมไร้ก้นสองหลุม ไม่ใช่เรื่องที่เงินฝนธัญพืชแค่ไม่กี่เหรียญจะแก้ไขได้

หากเป็นการจัดงานพิธีกรรมปัดเป่าเสนียดจัญไร งานทำบุญใหญ่ของเศรษฐีหรือกษัตริย์ในแคว้นเล็กๆ ทั่วไป ต่อให้ต้องจ่ายเงินขาวมากถึงห้าแสนตำลึงเงิน หักเป็นเงินเกล็ดหิมะก็เท่ากับห้าเหรียญเงินร้อนน้อย ครึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ไม่ว่าจะอยู่ในแคว้นเล็กที่เป็นแคว้นใต้อาณัติแห่งใดก็ตามของแจกันสมบัติทวีปก็ล้วนถือว่าเป็นงานพิธียิ่งใหญ่ที่หลายสิบปีถึงจะพานพบได้สักครั้งแล้ว

แต่หากเกี่ยวพันกับผู้ฝึกตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชิญเซียนดินมานั่งพิทักษ์ ก็จำเป็นต้องมีการไปมาหาสู่กับเหล่าเทพเซียนผู้เฒ่าที่อยู่ตามวัดวาอารามที่มีชื่อเสียงต่างๆ ของแต่ละสถานที่ ต่อให้คนเขามีจิตใจเมตตาเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมดุจพระโพธิสัตว์ ยิ้มกล่าวว่า ‘ตามสบาย’ หรือเอ่ยว่า ‘แล้วแต่จะให้’ ถ้าอย่างนั้นตอนที่เฉินผิงอันกับกู้ช่านควักเงินจะกล้า ‘ตามสบาย’ ได้จริงๆ หรือ? อีกอย่างก่อนที่เฉินผิงอันจะออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนก็ได้ปรึกษากับกู้ช่านมาก่อนแล้วว่า งานพิธีของทั้งสองครั้งนี้ เหมาะแก่การจัดให้ใหญ่ไม่ใช่จัดให้เล็ก แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้องแน่ใจว่าจะไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกสร้างชื่อเสียงจอมปลอม หวังจับปลาในน้ำขุ่นด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ใช่แค่ต้องสิ้นเปลืองเงินเทพเซียนอย่างเดียวเท่านั้น ยังจะถ่วงรั้งการสะสมบุญในปรโลกและการไปจุติเกิดใหม่ของพวกภูตผีวัตถุหยินทั้งหลายด้วย

ดังนั้นภายในสองปี กู้ช่านต้องจัดงานพิธีกรรมใหญ่ทางศาสนาติดต่อกันสองครั้ง นั่นเป็นเรื่องที่ต้องสิ้นเปลืองทั้งแรงกายแรงใจ ต้องทดสอบความสามารถในการมองเรื่องราวต่างๆ ให้กระจ่างแจ้ง แล้วก็ค่อนข้างจะต้องใช้ความอดทนมากเป็นพิเศษ

นี่ก็คือการฝึกฝนขัดเกลาอย่างหนึ่งที่เฉินผิงอันมีให้แก่กู้ช่าน ในเมื่อเลือกที่จะแก้ไขความผิด ก็ต้องเดินไปบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อเดินได้ยากอย่างถึงที่สุดเส้นหนึ่ง

ปีนั้นท่ามกลางกลุ่มภูเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ภูตผีปีศาจออกอาละวาด ผู้ฝึกตนนอกรีตเพ่นพ่านไปทั่ว มีแต่มลพิษสกปรกและความชั่วร้าย ทว่าสิ่งที่ยากลำบากยิ่งกว่านี้ก็คือการที่กู้ช่านต้องแบกตำหนักพญายมราชคุกล่างไว้ด้านหลัง รวมไปถึงการส่งภูตผีจิตหยินแต่ละตนให้จากไปครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งระหว่างทางมีอยู่สองครั้งที่กู้ช่านเกือบจะถอดใจ

แก้ไขความผิด ไม่ใช่แค่เอ่ยประโยคว่าข้าสำนึกผิดแล้ว จากนั้นก็ทำตัวสบายๆ แค่เดินทางไปให้ไกลอีกหน่อย ทุ่มเงินเทพเซียนมากหน่อยก็สามารถอยู่อย่างสบายใจ ราวกับว่าตัวเองสร้างวีรกรรม ทำเรื่องดีงามที่ยิ่งใหญ่อะไร

ใต้หล้าไม่มีเรื่องดีแบบนี้!

แต่อันที่จริงเฉินผิงอันก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า กู้ช่านไม่ได้เดินจากสุดขั้วหนึ่งไปยังอีกสุดขั้วหนึ่ง จิตใจของกู้ช่านยังคงล่องลอยไม่หยุดนิ่ง เพียงแต่ตอนที่เขาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ได้เจอกับความยากลำบากมาจนเต็มกลืน กินอิ่มเสียจนท้องเกือบแตกตาย ดังนั้นสถานการณ์และสภาพจิตใจของกู้ช่านในตอนนี้จึงคล้ายคลึงกับช่วงแรกเริ่มที่เฉินผิงอันออกมาท่องในยุทธภพ นั่นคือกำลังเลียนแบบคนข้างกายที่อยู่ใกล้ชิดด้วยมากที่สุด เพียงแค่มองดูวิธีการที่คนอื่นใช้ในการอยู่ร่วมสังคม จากนั้นก็นำมาคิดพิจารณา แล้วนำมาปรับใช้กับตัวเอง จิตใจมีการเปลี่ยนแปลงก็จริง แต่ก็ไม่มากนัก

โดยรวมแล้วกู้ช่านก็ยังคงเป็นกู้ช่านคนนั้น

เพียงแต่ว่าเข้าใจน้ำหนักของสองคำว่ากฎเกณฑ์มากขึ้น

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน นำเจี้ยนเซียนเล่มนั้นไปแขวนไว้บนผนัง

เฉินผิงอันเดินออกมายืนอยู่ใต้ชายคานอกห้อง นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กคนละตัวกับคนจิ๋วดอกบัว ไม้ไผ่นี้เป็นไม้ไผ่ธรรมดา เวลาผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ สีเขียวสดปลั่งจึงเริ่มจืดจางหายไป กลายเป็นสีออกเหลืองแทน

เฉินผิงอันเริ่มนั่งงีบหลับอยู่ตรงนั้น อากาศทั้งในและนอกเรือนไม้ไผ่ ยามฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น ฤดูร้อนเย็นสบาย สี่ฤดูในหนึ่งปี ต่อให้เป็นคนธรรมดาที่ร่างกายอ่อนแอได้มานั่งอยู่ที่นี่นานเข้า ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหนาวเป็นไข้หรือร้อนจนไม่สบาย เมื่อเทียบกับเรือนของชุยตงซานที่อยู่ในสำนักศึกษาซานหยาแล้วยังมีกลิ่นอายแห่งเซียนมากกว่าด้วยซ้ำ

พรุ่งนี้จะต้องเริ่มฝึกหมัดอีกแล้ว

ท่ามกลางอาการสะลึมสะลือ ดูเหมือนว่าห่างไปไกลในสถานที่สกปรกแห่งหนึ่งที่จิตใจคนเป็นดั่งมารร้าย พอจะมองเห็นบุปผาดอกหนึ่งผลิบาน ผุดส่ายอย่างมีชีวิตชีวา

เฉินผิงอันไม่ได้ตื่นขึ้นเพราะเหตุนี้ กลับกันยังหลับลึกยิ่งกว่าเดิม

คนจิ๋วดอกบัวนั่งอยู่ริมขอบของเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวที่ตั้งอยู่ข้างกัน มันเงยหน้าขึ้น แกว่งขาสองข้างเบาๆ มองใบหน้าด้านข้างของเฉินผิงอันที่มีรอยยิ้มประดับมุมปาก ราวกับว่ากำลังฝันเห็นเรื่องราวงดงามอะไรในความฝัน

……

พระอาทิตย์ลอยขึ้นสูงทางทิศตะวันออก เพียงไม่นานแสงอรุณรุ่งก็อาบย้อมไปไกลหมื่นลี้

เรือนไม้ไผ่พลันสั่นสะเทือน เฉินผิงอันที่นอนหลับอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่มาตลอดคืนสะดุ้งตื่น

แล้วจึงถอดรองเท้า ม้วนชายแขนเสื้อ ถลกขากางเกง เดินขึ้นไปบนชั้นสองของเรือน

พอมาหยุดอยู่นอกห้องของชั้นสอง เฉินผิงอันก็หยุดชะงักเล็กน้อย หลุบตาลงต่ำ หันหน้ามองไป

ตอนนั้นชุยตงซานน่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ได้เข้าไปในห้อง ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกับท่านปู่ของตัวเองอีกครั้งด้วยรูปโฉมและนิสัยของเด็กหนุ่มในอีกร้อยปีให้หลัง

คนทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกัน พูดคุยอะไรกันบ้าง ไม่มีใครรู้ได้

เฉินผิงอันกำลังจะก้าวเดินเข้าไปในห้องก็พลันเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ข้าจะไปคุยกับสือโหรวสักหน่อย ไปแปบเดียวเดี๋ยวมา”

ผู้เฒ่าเปลือยเท้าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขานั่งขัดสมาธิ หลับตาทำสมาธิ

เฉินผิงอันกระโดดลงจากชั้นสอง พุ่งตัววิ่งออกไปโดยที่ไม่ได้สวมรองเท้า ไม่นานก็มาถึงสถานที่ที่มีเรือนหลายหลังปลูกไว้ติดกัน จูเหลี่ยนกับเผยเฉียนยังไม่กลับมา ตอนนี้จึงเหลือแค่สือโหรวที่ชอบเก็บตัวเงียบ และเฉินยวนจีที่เพิ่งจะขึ้นเขามา ยังไม่ทันเจอสือโหรว ก็มาเจอกับเฉินยวนจีก่อน เด็กสาวร่างสูงโปร่งน่าจะเพิ่งกลับมาจากการเดินเล่นชมทิวทัศน์ยามเช้า พอเห็นเฉินผิงอันก็ทำท่าอึกๆ อักๆ จะพูดไม่พูด เฉินผิงอันเพียงแค่ผงกศีรษะทักทาย แล้วไปเคาะประตูใหญ่ของเรือนสือโหรว พอสือโหรวเปิดประตูแล้วก็เอ่ยถาม “คุณชายมีธุระอะไรหรือ?”

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+