กระบี่จงมา 470.1 ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง คนอยู่บนฟ้า

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 470.1 ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง คนอยู่บนฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ความเคลื่อนไหวนี้รุนแรงเกินไป พลังอำนาจดุดันน่าเกรงขาม ประเด็นสำคัญคือดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว ไม่เหมือนสหายที่จะมาเยี่ยมเยือนเพื่อพูดคุยเรื่องในวันวานกับภูเขาเหมิงหลงเลยแม้แต่น้อย

ที่น่ากระอักกระอ่วนมากไปกว่านั้นคือ ดูเหมือนภูเขาเหมิงหลงจะไม่มีสหายที่เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียนกระบี่เช่นนี้ด้วย

ภูเขาเหมิงหลงเปิดใช้ค่ายกลพิทักษ์ภูเขาอย่างไม่ลังเล ใช้ศาลบรรพจารย์เป็นแกนกลางของค่ายกลใหญ่ เดิมทีบรรยากาศก็มืดมนเพราะฝนที่เทกระหน่ำอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีไอหมอกสีขาวผุดลอยจากตีนเขา แผ่ปกคลุมภูเขาทั้งลูกเอาไว้ หากมองจากด้านในไปภายนอก การมองเห็นของคนบนภูเขากลับเปลี่ยนมาเป็นแจ่มชัดราวกับเวลากลางวัน หากมองจากข้างนอกมาด้านใน นายพรานคนตัดฟืนทั่วไป ยามที่มองมายังภูเขาเหมิงหลงจะเห็นเป็นเพียงสีขาวขมุกขมัว มองไม่เห็นเค้าโครงของภูเขาด้วยซ้ำ

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีแสงสีขาวยาวหลายสิบจั้งอีกหลายเส้นพุ่งออกมาจากศาลบรรพจารย์ ลอดทะลุไปตามม่านฝนไอหมอกของภูเขาอย่างไม่เป็นระเบียบ

ตั้งท่าพร้อมรับมือ

ผู้ฝึกตนที่กุมอำนาจหลายคนบนภูเขาเหมิงหลงต่างออกมาจากจวนของตัวเอง มารวมตัวกันที่ศาลบรรพจารย์ ส่วนลึกในใจย่อมหวังให้เซียนกระบี่ที่พลังอำนาจสะท้านฟ้าผู้นั้นเป็นมิตร มิใช่ศัตรู

ผู้ฝึกตนเจ้าสำนักภูเขาเหมิงหลง ลวี่อวิ๋นไต้ บุตรชายลวี่ทิงเจียว ต่างก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของแคว้นไฉ่อี คนหนึ่งอาศัยตบะ คนหนึ่งอาศัยบิดา

ข้างกายพ่อลูกมีผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีชื่อเสียงไปทั่วแคว้น ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์และเค่อชิงผู้ถวายงานรวมแล้วหลายสิบคน ทุกคนต่างก็อารมณ์หนักอึ้ง

ทุกคนได้แต่มองดูเส้นแสงสีทองเส้นนั้นขยับเข้ามาใกล้ภูเขาเหมิงหลงเรื่อยๆ โดยที่ไม่อาจทำอะไรได้เลย

จะให้ออกไปทักทายคนที่มาเยือนก็คงไม่ใช่เรื่องสมควรกระมัง?

ผู้ฝึกกระบี่ที่ทั้งจนที่สุด แล้วก็ทั้งรวยที่สุดในใต้หล้า ในฐานะหนึ่งในสี่ผีใหญ่ที่ตอแยด้วยยากที่สุดบนภูเขา อีกทั้งลำดับยังอยู่เป็นอันดับต้น รับมือด้วยยากก็เพราะพลังสังหารของพวกเขารุนแรง ไม่เพียงแต่ออกกระบี่รวดเร็ว ยังเผ่นหนีได้ไวอีกด้วย แต่จำเป็นต้องรู้เรื่องหนึ่ง การเผ่นหนีได้ไวที่ว่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหลังจากที่พวกเขาสังหารคนไปแล้ว

หากเป็นในอดีต บางทีภูเขาเหมิงหลงอาจจะยังคงหวาดกลัวอยู่เหมือนเดิม แต่คงไม่ถึงขั้นร้อนใจเป็นทุกข์เหมือนสูญเสียบิดาเช่นนี้ นี่เป็นเพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยจริงๆ กระดูกสันหลังอย่างราชสำนักล่างภูเขาและสนามรบต่างก็ถูกทุบตีจนหักไปแล้ว ความกล้าของผู้ฝึกตนบนภูเขาก็เหมือนถูกทุบจนเละตามไปด้วย ภูเขาใกล้เคียงสมัครสมานสามัคคีกันเพื่อต้านทานศัตรู สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำก็คอยให้ความช่วยเหลือ บ้างก็เรียกใช้ทหารล่างภูเขาโดยพลการเพื่อสร้างอำนาจข่มขวัญศัตรู สิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นหมอกควันที่จางหายไป ไม่อาจทำได้อีกแล้ว

ถึงอย่างไรทุกวันนี้ฟ้าก็เปลี่ยนสีไปแล้ว

กฎเกณฑ์ตระกูลเซียนหลายข้อที่ผ่านมานานหลายร้อยหลายปี ต่อให้ฟ้าผ่าก็ยังไม่สะเทือน จู่ๆ กลับใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป

เนื่องจากทุกวันนี้ยังต้องคอยไปคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกตนของต้าหลีอยู่เนืองๆ ถ้ำสถิตบนภูเขาในหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อีจึงค้นพบว่าขอบเขตและพลังอำนาจของตนไม่ต่างจากกระดาษเปียก

กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ครั้งนี้ ช่วยจิ้มหมอนปักลายบุปผา (เปรียบเปรยถึงคนที่มีดีแต่เปลือก แท้จริงแล้วไม่มีความสามารถใดๆ) ให้แตกไปได้หลายใบ

ตอนนี้ทั้งบนและล่างภูเขา ทุกคนล้วนไม่ต่างจากนกหวาดเกาทัณฑ์

บนสนามรบ ในอดีตแคว้นไฉ่อีถือเป็นหนึ่งในแคว้นมากมายของภาคกลางทวีปที่ทหารม้ามีพลังการต่อสู้เลิศล้ำเป็นหนึ่ง พลทหารราบเกราะหนักของแคว้นกู่อวี๋ ทหารม้าติดอาวุธเบาของแคว้นซงซีพุ่งทะยานรวดเร็วราวกับสายลม แคว้นซูสุ่ยที่เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการศึกจัดหาชัยภูมิ พอเผชิญหน้าเข้ากับกองทัพม้าเหล็กต้าหลี หากไม่เลือกที่จะอยู่นิ่งเฉย ก็ต้องพ่ายแพ้ยับเยิน หลังจบเรื่องติดต่อกับแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งที่สู้รบไม่ยอมถอยอย่างแคว้นสือหาว แคว้นเหมยโย่วที่อยู่ไปทางใต้ยิ่งกว่า จึงรู้ว่าส่วนใหญ่ก็ล้วนถูกกองทัพม้าเหล็กภายใต้การนำของซูเกาซาน เฉาผิงสร้างปัญหาให้ไม่น้อย หันกลับมามองหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อีเป็นหนึ่งในนั้น ทหารชายแดนอ่อนปวกเปียกต้านทานศัตรูไม่ไหว กลายมาเป็นตัวตลกของผู้คน ว่ากันว่าแม่ทัพขึ้นชื่อคนหนึ่งของแคว้นซูสุ่ยที่เดิมทีมีคุณูปการทางการสู้รบอย่างเกรียงไกร หลังจากพ่ายแพ้อย่างอนาถ ก็ว่ากันว่าอันที่จริงแล้วเขาเรียนกลศึกมาจากซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีทั้งหมด จนใจที่ฝีมือย่ำแย่ ความหวังสูงสุดในชีวิตนี้ก็คือหวังว่าจะได้พบหน้าซ่งจ่างจิ้งสักครั้ง จะได้ขอความรู้เรื่องแก่นแห่งยุทธวิธีมาจากองค์เทพแห่งกองทัพต้าหลีท่านนี้ด้วยความนอบน้อมจริงใจ ดังนั้นจึงมี ‘เรื่องเล่าที่งดงาม’ ของการกลับคืนสู่วงศ์วานเกิดขึ้น

เพียงแต่พี่ใหญ่ก็อย่าได้หัวเราะเยาะพี่รองเลย (เป็นประโยคเปรียบเปรยว่าทุกคนต่างก็เหมือนกัน ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง) แคว้นไฉ่อีเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ แคว้นไฉ่อีที่ขึ้นชื่อว่าทหารสวมเกราะแกร่งกร้าวที่สุด ในสงครามครั้งนี้ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่เข้าร่วมรบเลยสักครั้ง นอกจากนี้เชื้อพระวงศ์แคว้นไฉ่อียังชอบป่าวประกาศแก่ภายนอกว่ามีเซียนดินโอสถทองเฝ้าพิทักษ์เมืองหลวง มักจะกระจายข่าวที่ชวนให้สับสนมึนงง ทำให้คนไม่แน่ใจว่าจริงหรือเท็จออกมา ดังนั้นผู้ฝึกตนแคว้นไฉ่อีในอดีตจึงมักหวังว่าจะสามารถหลุบตาลงต่ำมองเหยียดภูเขาของอีกหลายสิบแคว้นที่เหลือได้

เพียงแต่เมื่อกองทัพม้าเหล็กพุ่งทะยานมาถึง จะดีจะชั่วแคว้นกู่อวี๋ก็เป็นตัวแทนที่อยู่ชายแดน จึงระดมทหารหมื่นกว่านายให้มาปะทะกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีซึ่งๆ หน้า และผลลัพธ์ก็ไม่ต้องคาดเดาให้มากความ เพียงนิ้วเดียวของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็ยังหนากว่าขาของแคว้นกู่อวี๋เสียอีก สำหรับเรื่องนี้แคว้นกู่อวี๋ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย แคว้นไฉ่อีเห็นท่าไม่ดี จึงยอมยกธงขาวเร็วยิ่งกว่าแคว้นกู่อวี๋ ทูตของต้าหลียังไม่ทันเข้ามาในอาณาเขต พวกเขาก็ส่งตัวทูตตัวแทนของกองทัพซึ่งมีเจ้ากรมพิธีการเป็นผู้นำเป็นฝ่ายไปหากองทัพม้าเหล็กต้าหลีด้วยตัวเอง แน่นอนว่ายินดีจะเป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลซ่ง นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เมื่อต้าหลีเริ่มสำรวจรวบรวมเทียบวงศ์ตระกูลของแต่ละแคว้นแต่ละภูเขา คนบนโลกถึงได้ค้นพบว่าที่แท้แคว้นกู่อวี๋อำพรางตนอย่างลึกล้ำ ซุกซ่อนผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรของราชวงศ์จูอิ๋งไว้คนหนึ่ง จึงถูกเลขาธิการฝ่ายบู๊ของต้าหลีร่วมมือกันสังหาร การเข่นฆ่าครั้งนั้นสะท้านสะเทือนไปทั่วทิศ กลับกลายเป็นว่าแคว้นไฉ่อีหากไม่เป็นเพราะลวี่อวิ๋นไต้ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นประตูมังกร จึงพอจะทวงคืนศักดิ์ศรีกลับมาได้บ้าง ไม่อย่างนั้นแค่ขอบเขตชมมหาสมุทรก็กลายเป็นผู้นำเซียนซือของแคว้นหนึ่งได้แล้ว นอกจากคนทั่วทั้งราชสำนักของแคว้นกู่อวี๋จะดูแคลนแคว้นไฉ่อีที่กระจอกงอกง่อยแล้ว ผู้ฝึกตนบนภูเขาและชาวยุทธของแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ติดกันก็คงต้องมีคนหัวเราะจนฟันร่วงกันบ้าง

ลวี่อวิ๋นไต้คือผู้เฒ่าที่แต่งกายหรูหราสวมกวานสูงคนหนึ่ง ลักษณะภายนอกของเขาดูดีอย่างยิ่ง

ส่วนลวี่ทิงเจียวนั้นคือคุณชายรูปงามที่กรอบดวงตาเว้าลึกลงไปเล็กน้อย เรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาของเขานับว่าไม่เลว บวกกับที่อาศัยการแต่งกายสมดั่งคำว่าไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง เขาสวมชุดคลุมอาคมสีขาวหิมะที่เป็นของวิเศษชั้นเยี่ยมซึ่งมีนามว่า ‘หลูฮวา’ (ดอกอ้อ) อยู่ในวัยสามสิบปี แต่มองดูแล้วกลับเหมือนคนอายุยี่สิบ ไม่ว่าจะอาศัยการทุ่มเงินเทพเซียนจึงได้ขอบเขตของทุกวันนี้มา หรืออาศัยพรสวรรค์ของตัวเอง แต่จะดีจะชั่วภายนอกเขาก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตห้าคนหนึ่ง บวกกับที่ชอบท่องเที่ยวไปตามภูเขาแม่น้ำ มักจะเรียกสหายที่เป็นลูกหลานชนชั้นสูงในแคว้นไฉ่อีให้ออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันบ่อยๆ ดังนั้นเมื่ออยู่ในแคว้นไฉ่อีจึงถือว่าไม่เลวแล้ว และในราชวงศ์โลกมนุษย์เขาก็มีคุณสมบัติเพียงพอให้ถูกบรรยายด้วยคำว่า อายุน้อยแต่มีความสามารถ หล่อเหลาสง่างามแล้ว

แต่ในสายตาของผู้ฝึกตนที่แท้จริง โดยเฉพาะในสายตาของเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้าขุนเขาที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นไฉ่อี ลวี่ทิงเจียวผู้นี้ย่อมไม่นับเป็นอะไรได้ จิตแห่งมรรคาไม่หนักแน่นมากพอ หลงใหลในกามตัณหา มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปท่ามกลางกลิ่นเครื่องประทินโฉม ไม่เป็นโล้เป็นพาย หากวันหน้าลวี่อวิ๋นไต้มอบภูเขาเหมิงหลงไว้ในมือของบุตรชายผู้นี้จริงๆ ไม่แน่ว่าอาจเกิดปัญหาความขัดแย้งภายในขึ้นมาก็เป็นได้

แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งแพร่สะพัดไปเงียบๆ บอกว่าการที่ภูเขาเหมิงหลงสามารถป่ายปีนตีสนิทแม่ทัพบู๊ผู้กุมอำนาจที่แท้จริงคนหนึ่งของสกุลซ่งต้าหลีได้อย่างราบรื่น และมีหวังจะได้กลายเป็นราชครูแคว้นไฉ่อีคนถัดไป ก็เป็นเพราะลวี่ทิงเจียวช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้แก่บิดาลวี่อวิ๋นไต้ หากนี่เป็นความจริง ก็ต้องเรียกว่าเขาคือคนคมในฝักอย่างแท้จริง

นักพรตวัยชราที่แก่หง่อม ในมือถือไม้เท้าคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าประมุข ขออภัยที่ข้าแก่แล้วหูตาฟ้าฝาง มองขอบเขตที่แท้จริงของผู้มาเยือนไม่ออก นั่นใช่…เซียนดินในตำนานหรือไม่?”

ลวี่อวิ๋นไต้พูดด้วยสีหน้าเปิดเผยตรงไปตรงมา ยิ้มถามกลับว่า “ผู้ฝึกกระบี่เซียนดิน?”

ดูเหมือนผู้ฝึกตนเฒ่าจะรู้สึกว่าตนหลอกตัวเองให้ตกใจไปเอง ในเมื่อมีค่ายกลคอยปกป้อง อีกทั้งยังอยู่ในศาลบรรพจารย์ของตัวเอง ก็ไม่ควรจะว้าวุ่นจนเสียกระบวนเช่นนี้ จึงกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “นั่นก็น่าตะลึงพรึงเพริดเกินจริงไปแล้ว คิดว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น”

สตรีหน้าตางดงามที่ห้อยกระบี่โบราณไว้ตรงเอวผู้หนึ่งแค่นเสียงหัวเราะหยัน “ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ผ่านทางมาแล้วอย่างไร เขาจะกล้าบุกค่ายกลของภูเขาเหมิงหลงเข้ามาเลยหรือ? คิดว่าภูเขาเหมิงหลงของพวกเราเป็นมะพลับนิ่มที่จะบีบเล่นได้ตามใจชอบจริงๆ หรือไร?!”

ลวี่ทิงเจียวชำเลืองตามองหน้าอกที่ดุจขุนเขาตั้งตระหง่านของสตรีโตเต็มวัยผู้นี้แล้วหรี่ตาลง แต่เพียงไม่นานก็ดึงสายตากลับคืน อันที่จริงขอบเขตของผู้ถวายงานคนนี้ไม่นับว่าสูงนัก เป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิต แต่ในฐานะของผู้ฝึกตน นางกลับเชี่ยวชาญวิชาการควบคุมกระบี่ของอาจารย์กระบี่ในยุทธภพ นางเคยมีวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง นั่นคืออาศัยวิชาควบคุมกระบี่อันสูงสุดแสร้งทำเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิต ทำให้ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งของแคว้นซูสุ่ยตกใจเผ่นหนีไป เป็นเพราะนางนิสัยโมโหร้าย ไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มีเรือนกายงดงามเสียเปล่า ลวี่ทิงเจียวเสียดายอย่างถึงที่สุด ไม่อย่างนั้นปีนั้นตนก็คงไม่ยอมถอย ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจให้มากขึ้นสักหน่อย แต่หลังจากที่สถานการณ์ใหญ่ของแคว้นไฉ่อีมั่นคงแล้ว พ่อลูกได้พูดคุยกัน บิดาจึงตกปากรับคำตนว่าขอแค่เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตได้ บิดาก็สามารถเป็นพ่อสื่อให้ ถึงเวลานั้นลวี่ทิงเจียวก็จะสามารถเป็นคู่บำเพ็ญตนกับนางทางพฤตินัย แต่ไม่ใช่ทางนิตินัย หรือจะพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือรับอีกฝ่ายเป็นอนุภรรยานั่นเอง

ผู้ฝึกตนหนุ่มที่เป็นผู้สืบทอดสายตรงซึ่งพรสวรรค์ไม่เลวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ผู้ฝึกตนต้าหลีที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใครพวกนั้นจะไม่จัดการหน่อยหรือ?”

แม้ว่าคืนนี้จะได้มายืนอยู่ที่นี่ แต่เนื่องด้วยลำดับศักดิ์ต่ำชั้น ดังนั้นตำแหน่งที่ยืนจึงค่อนไปทางด้านหลัง เขาก็คือศิษย์เอกของสตรีขอบเขตถ้ำสถิตที่พกกระบี่ผู้นั้น เขาสะพายกระบี่เล่มหนึ่งที่ศาลบรรพจารย์มอบให้ เพราะเขาคือผู้ฝึกกระบี่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังเป็นแค่ขอบเขตสาม กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เผาผลาญเงินเก็บของอาจารย์จนแทบหมดสิ้น แล้วยังต้องพยายามบำรุงด้วยความอบอุ่นเล่มนั้นเพิ่งจะเป็นตัวอ่อนกระบี่เท่านั้น อีกทั้งตอนนี้ยังอ่อนแออยู่มาก ดังนั้นพอเห็นมาดที่เซียนกระบี่ผู้นั้นหอบลมห่มฟ้าตรงเข้ามา ผู้ฝึกตนหนุ่มจึงทั้งเลื่อมใส ทั้งอิจฉา ใจนึกอยากจะให้คนผู้นั้นหัวทิ่มเข้ามาในค่ายกลใหญ่ภูเขาเหมิงหลง แล้วถูกกระบี่บินของตนสังหารจนตายคาที่ ไม่แน่ว่ากระบี่ยาวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเซียนกระบี่อาจตกมาเป็นของส่วนตัวของเขา เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาเหมิงหลงก็มีเพียงตนคนเดียวเท่านั้น ไม่มอบให้เขา หรือจะให้มากินธูปอยู่ในศาลบรรพจารย์?

เส้นสีทองที่อยู่ห่างไปไกลสุดขอบฟ้า ยิ่งนานก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้นทุกที

อีกฝ่ายขี่กระบี่แหวกอากาศมาพร้อมเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น พลังอำนาจนั้นยิ่งใหญ่เกินไป เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณภูเขาแม่น้ำของภูเขาเหมิงหลงถูกชักนำจนสั่นสะเทือนตามไปด้วย กระบี่บินหกเล่มที่ปกป้องค่ายกลก็สั่นสะท้านตามไปเบาๆ วิถีโคจรที่เดิมทีแน่นหนาเพราะเคลื่อนไปตามการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้ากลับเริ่มปั่นป่วนวุ่นวาย

ลวี่อวิ๋นไต้เอ่ยเบาๆ “หากยินดีหยุดอยู่นอกค่ายกลก็ยังดี เพราะมีความเป็นไปได้ว่าไม่ได้มาชำระแค้น”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย

นักพรตวัยชราที่ถือไม้เท้าคนนั้นพยายามเบิกตากว้างมองไปไกล คิดจะวิเคราะห์ตบะคร่าวๆ ของอีกฝ่ายให้ได้เสียก่อน จะได้รู้ว่าควรรับมือแบบใดไม่ใช่หรือ? เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าแสงกระบี่เส้นนั้นจะเจิดจ้าแสบตาอย่างถึงที่สุด ทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างเขาถึงกับรู้สึกปวดกระบอกตา อีกนิดเดียวน้ำตาก็จะไหลออกมาจากดวงตาของผู้ฝึกตนเฒ่าแล้ว นี่ทำให้เขาตกใจจนรีบหันหน้าหนี ขออย่าให้เซียนกระบี่ผู้นั้นเข้าใจผิดคิดว่าเขาท้าทายเลย ถึงเวลานั้นหากเขาเลือกตนให้เป็นไก่ที่ถูกเชือดให้ลิงดูขึ้นมา คงต้องตายอย่างอยุติธรรม จึงรีบเปลี่ยนมาใช้สองมือกุมไม้เท้าหัวมังกรที่ทำจากไม้แดงเอาไว้ ค้อมตัวลง ก้มหน้าพึมพำ “เหตุใดบนโลกถึงได้มีแสงกระบี่ที่คมกริบขนาดนี้ อยู่ห่างไปตั้งหลายสิบลี้ กลับมีอานุภาพเจิดจ้าพร่าตาได้ขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นสมบัติอาคมตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน เจ้าประมุข ไม่อย่างนั้นพวกเราเปิดประตูต้อนรับแขกดีกว่าไหม หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการวาดงูเติมขา เดิมทีนี่อาจเป็นเซียนกระบี่ที่แค่ผ่านทางมา แต่ภูเขาเหมิงหลงของพวกเราดันเปิดใช้ค่ายกล อาจถูกเขามองเป็นการท้าทาย หากเขาปล่อยกระบี่ลงมา…”

ผู้ฝึกตนเฒ่าที่ยิ่งพูดก็ยิ่งใจฝ่อตัวสั่น เสียงแผ่วเบาราวกับเสียงยุง หากใครที่หูไม่ดีหน่อยก็ไม่ได้ยินคำพูดของเขาเลย

ในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร อีกทั้งยังเป็นผู้นำของผู้ฝึกตนในหนึ่งแคว้น แน่นอนว่าลวี่อวิ๋นไต้ย่อมได้ยินคำพูดของอาจารย์อาตัวเองที่พยายามจะประจบเอาใจทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน เขาจึงยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์อาหง อีกฝ่ายตั้งใจมาหาเรื่องภูเขาเหมิงหลงของพวกเรา ข้อนี้ไม่ต้องสงสัยเลย”

ขนาดอาจารย์อาหงท่านนั้นยังไม่อาจมองแสงกระบี่เส้นนั้นตรงๆ ได้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนายน้อยอย่างลวี่ทิงเจียว สตรีขอบเขตถ้ำสถิตและลูกศิษย์ที่นางภาคภูมิใจผู้นั้นเลย

สุดท้ายจึงเหลือแค่ลวี่อวิ๋นไต้เพียงคนเดียวที่สามารถมองจ้องแสงกระบี่นั้นได้

ลวี่อวิ๋นไต้คล้ายกำลังบอกเตือนทุกคน แล้วก็ยิ่งคล้ายว่ากำลังพึมพำกับตัวเอง “มาแล้ว”

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 470.1 ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง คนอยู่บนฟ้า

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 470.1 ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง คนอยู่บนฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ความเคลื่อนไหวนี้รุนแรงเกินไป พลังอำนาจดุดันน่าเกรงขาม ประเด็นสำคัญคือดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว ไม่เหมือนสหายที่จะมาเยี่ยมเยือนเพื่อพูดคุยเรื่องในวันวานกับภูเขาเหมิงหลงเลยแม้แต่น้อย

ที่น่ากระอักกระอ่วนมากไปกว่านั้นคือ ดูเหมือนภูเขาเหมิงหลงจะไม่มีสหายที่เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียนกระบี่เช่นนี้ด้วย

ภูเขาเหมิงหลงเปิดใช้ค่ายกลพิทักษ์ภูเขาอย่างไม่ลังเล ใช้ศาลบรรพจารย์เป็นแกนกลางของค่ายกลใหญ่ เดิมทีบรรยากาศก็มืดมนเพราะฝนที่เทกระหน่ำอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีไอหมอกสีขาวผุดลอยจากตีนเขา แผ่ปกคลุมภูเขาทั้งลูกเอาไว้ หากมองจากด้านในไปภายนอก การมองเห็นของคนบนภูเขากลับเปลี่ยนมาเป็นแจ่มชัดราวกับเวลากลางวัน หากมองจากข้างนอกมาด้านใน นายพรานคนตัดฟืนทั่วไป ยามที่มองมายังภูเขาเหมิงหลงจะเห็นเป็นเพียงสีขาวขมุกขมัว มองไม่เห็นเค้าโครงของภูเขาด้วยซ้ำ

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีแสงสีขาวยาวหลายสิบจั้งอีกหลายเส้นพุ่งออกมาจากศาลบรรพจารย์ ลอดทะลุไปตามม่านฝนไอหมอกของภูเขาอย่างไม่เป็นระเบียบ

ตั้งท่าพร้อมรับมือ

ผู้ฝึกตนที่กุมอำนาจหลายคนบนภูเขาเหมิงหลงต่างออกมาจากจวนของตัวเอง มารวมตัวกันที่ศาลบรรพจารย์ ส่วนลึกในใจย่อมหวังให้เซียนกระบี่ที่พลังอำนาจสะท้านฟ้าผู้นั้นเป็นมิตร มิใช่ศัตรู

ผู้ฝึกตนเจ้าสำนักภูเขาเหมิงหลง ลวี่อวิ๋นไต้ บุตรชายลวี่ทิงเจียว ต่างก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของแคว้นไฉ่อี คนหนึ่งอาศัยตบะ คนหนึ่งอาศัยบิดา

ข้างกายพ่อลูกมีผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีชื่อเสียงไปทั่วแคว้น ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์และเค่อชิงผู้ถวายงานรวมแล้วหลายสิบคน ทุกคนต่างก็อารมณ์หนักอึ้ง

ทุกคนได้แต่มองดูเส้นแสงสีทองเส้นนั้นขยับเข้ามาใกล้ภูเขาเหมิงหลงเรื่อยๆ โดยที่ไม่อาจทำอะไรได้เลย

จะให้ออกไปทักทายคนที่มาเยือนก็คงไม่ใช่เรื่องสมควรกระมัง?

ผู้ฝึกกระบี่ที่ทั้งจนที่สุด แล้วก็ทั้งรวยที่สุดในใต้หล้า ในฐานะหนึ่งในสี่ผีใหญ่ที่ตอแยด้วยยากที่สุดบนภูเขา อีกทั้งลำดับยังอยู่เป็นอันดับต้น รับมือด้วยยากก็เพราะพลังสังหารของพวกเขารุนแรง ไม่เพียงแต่ออกกระบี่รวดเร็ว ยังเผ่นหนีได้ไวอีกด้วย แต่จำเป็นต้องรู้เรื่องหนึ่ง การเผ่นหนีได้ไวที่ว่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหลังจากที่พวกเขาสังหารคนไปแล้ว

หากเป็นในอดีต บางทีภูเขาเหมิงหลงอาจจะยังคงหวาดกลัวอยู่เหมือนเดิม แต่คงไม่ถึงขั้นร้อนใจเป็นทุกข์เหมือนสูญเสียบิดาเช่นนี้ นี่เป็นเพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยจริงๆ กระดูกสันหลังอย่างราชสำนักล่างภูเขาและสนามรบต่างก็ถูกทุบตีจนหักไปแล้ว ความกล้าของผู้ฝึกตนบนภูเขาก็เหมือนถูกทุบจนเละตามไปด้วย ภูเขาใกล้เคียงสมัครสมานสามัคคีกันเพื่อต้านทานศัตรู สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำก็คอยให้ความช่วยเหลือ บ้างก็เรียกใช้ทหารล่างภูเขาโดยพลการเพื่อสร้างอำนาจข่มขวัญศัตรู สิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นหมอกควันที่จางหายไป ไม่อาจทำได้อีกแล้ว

ถึงอย่างไรทุกวันนี้ฟ้าก็เปลี่ยนสีไปแล้ว

กฎเกณฑ์ตระกูลเซียนหลายข้อที่ผ่านมานานหลายร้อยหลายปี ต่อให้ฟ้าผ่าก็ยังไม่สะเทือน จู่ๆ กลับใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป

เนื่องจากทุกวันนี้ยังต้องคอยไปคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกตนของต้าหลีอยู่เนืองๆ ถ้ำสถิตบนภูเขาในหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อีจึงค้นพบว่าขอบเขตและพลังอำนาจของตนไม่ต่างจากกระดาษเปียก

กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ครั้งนี้ ช่วยจิ้มหมอนปักลายบุปผา (เปรียบเปรยถึงคนที่มีดีแต่เปลือก แท้จริงแล้วไม่มีความสามารถใดๆ) ให้แตกไปได้หลายใบ

ตอนนี้ทั้งบนและล่างภูเขา ทุกคนล้วนไม่ต่างจากนกหวาดเกาทัณฑ์

บนสนามรบ ในอดีตแคว้นไฉ่อีถือเป็นหนึ่งในแคว้นมากมายของภาคกลางทวีปที่ทหารม้ามีพลังการต่อสู้เลิศล้ำเป็นหนึ่ง พลทหารราบเกราะหนักของแคว้นกู่อวี๋ ทหารม้าติดอาวุธเบาของแคว้นซงซีพุ่งทะยานรวดเร็วราวกับสายลม แคว้นซูสุ่ยที่เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการศึกจัดหาชัยภูมิ พอเผชิญหน้าเข้ากับกองทัพม้าเหล็กต้าหลี หากไม่เลือกที่จะอยู่นิ่งเฉย ก็ต้องพ่ายแพ้ยับเยิน หลังจบเรื่องติดต่อกับแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งที่สู้รบไม่ยอมถอยอย่างแคว้นสือหาว แคว้นเหมยโย่วที่อยู่ไปทางใต้ยิ่งกว่า จึงรู้ว่าส่วนใหญ่ก็ล้วนถูกกองทัพม้าเหล็กภายใต้การนำของซูเกาซาน เฉาผิงสร้างปัญหาให้ไม่น้อย หันกลับมามองหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อีเป็นหนึ่งในนั้น ทหารชายแดนอ่อนปวกเปียกต้านทานศัตรูไม่ไหว กลายมาเป็นตัวตลกของผู้คน ว่ากันว่าแม่ทัพขึ้นชื่อคนหนึ่งของแคว้นซูสุ่ยที่เดิมทีมีคุณูปการทางการสู้รบอย่างเกรียงไกร หลังจากพ่ายแพ้อย่างอนาถ ก็ว่ากันว่าอันที่จริงแล้วเขาเรียนกลศึกมาจากซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองต้าหลีทั้งหมด จนใจที่ฝีมือย่ำแย่ ความหวังสูงสุดในชีวิตนี้ก็คือหวังว่าจะได้พบหน้าซ่งจ่างจิ้งสักครั้ง จะได้ขอความรู้เรื่องแก่นแห่งยุทธวิธีมาจากองค์เทพแห่งกองทัพต้าหลีท่านนี้ด้วยความนอบน้อมจริงใจ ดังนั้นจึงมี ‘เรื่องเล่าที่งดงาม’ ของการกลับคืนสู่วงศ์วานเกิดขึ้น

เพียงแต่พี่ใหญ่ก็อย่าได้หัวเราะเยาะพี่รองเลย (เป็นประโยคเปรียบเปรยว่าทุกคนต่างก็เหมือนกัน ไม่ได้มีอะไรแตกต่าง) แคว้นไฉ่อีเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ แคว้นไฉ่อีที่ขึ้นชื่อว่าทหารสวมเกราะแกร่งกร้าวที่สุด ในสงครามครั้งนี้ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่เข้าร่วมรบเลยสักครั้ง นอกจากนี้เชื้อพระวงศ์แคว้นไฉ่อียังชอบป่าวประกาศแก่ภายนอกว่ามีเซียนดินโอสถทองเฝ้าพิทักษ์เมืองหลวง มักจะกระจายข่าวที่ชวนให้สับสนมึนงง ทำให้คนไม่แน่ใจว่าจริงหรือเท็จออกมา ดังนั้นผู้ฝึกตนแคว้นไฉ่อีในอดีตจึงมักหวังว่าจะสามารถหลุบตาลงต่ำมองเหยียดภูเขาของอีกหลายสิบแคว้นที่เหลือได้

เพียงแต่เมื่อกองทัพม้าเหล็กพุ่งทะยานมาถึง จะดีจะชั่วแคว้นกู่อวี๋ก็เป็นตัวแทนที่อยู่ชายแดน จึงระดมทหารหมื่นกว่านายให้มาปะทะกับกองทัพม้าเหล็กต้าหลีซึ่งๆ หน้า และผลลัพธ์ก็ไม่ต้องคาดเดาให้มากความ เพียงนิ้วเดียวของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็ยังหนากว่าขาของแคว้นกู่อวี๋เสียอีก สำหรับเรื่องนี้แคว้นกู่อวี๋ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย แคว้นไฉ่อีเห็นท่าไม่ดี จึงยอมยกธงขาวเร็วยิ่งกว่าแคว้นกู่อวี๋ ทูตของต้าหลียังไม่ทันเข้ามาในอาณาเขต พวกเขาก็ส่งตัวทูตตัวแทนของกองทัพซึ่งมีเจ้ากรมพิธีการเป็นผู้นำเป็นฝ่ายไปหากองทัพม้าเหล็กต้าหลีด้วยตัวเอง แน่นอนว่ายินดีจะเป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลซ่ง นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ เมื่อต้าหลีเริ่มสำรวจรวบรวมเทียบวงศ์ตระกูลของแต่ละแคว้นแต่ละภูเขา คนบนโลกถึงได้ค้นพบว่าที่แท้แคว้นกู่อวี๋อำพรางตนอย่างลึกล้ำ ซุกซ่อนผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรของราชวงศ์จูอิ๋งไว้คนหนึ่ง จึงถูกเลขาธิการฝ่ายบู๊ของต้าหลีร่วมมือกันสังหาร การเข่นฆ่าครั้งนั้นสะท้านสะเทือนไปทั่วทิศ กลับกลายเป็นว่าแคว้นไฉ่อีหากไม่เป็นเพราะลวี่อวิ๋นไต้ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นประตูมังกร จึงพอจะทวงคืนศักดิ์ศรีกลับมาได้บ้าง ไม่อย่างนั้นแค่ขอบเขตชมมหาสมุทรก็กลายเป็นผู้นำเซียนซือของแคว้นหนึ่งได้แล้ว นอกจากคนทั่วทั้งราชสำนักของแคว้นกู่อวี๋จะดูแคลนแคว้นไฉ่อีที่กระจอกงอกง่อยแล้ว ผู้ฝึกตนบนภูเขาและชาวยุทธของแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ติดกันก็คงต้องมีคนหัวเราะจนฟันร่วงกันบ้าง

ลวี่อวิ๋นไต้คือผู้เฒ่าที่แต่งกายหรูหราสวมกวานสูงคนหนึ่ง ลักษณะภายนอกของเขาดูดีอย่างยิ่ง

ส่วนลวี่ทิงเจียวนั้นคือคุณชายรูปงามที่กรอบดวงตาเว้าลึกลงไปเล็กน้อย เรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาของเขานับว่าไม่เลว บวกกับที่อาศัยการแต่งกายสมดั่งคำว่าไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง เขาสวมชุดคลุมอาคมสีขาวหิมะที่เป็นของวิเศษชั้นเยี่ยมซึ่งมีนามว่า ‘หลูฮวา’ (ดอกอ้อ) อยู่ในวัยสามสิบปี แต่มองดูแล้วกลับเหมือนคนอายุยี่สิบ ไม่ว่าจะอาศัยการทุ่มเงินเทพเซียนจึงได้ขอบเขตของทุกวันนี้มา หรืออาศัยพรสวรรค์ของตัวเอง แต่จะดีจะชั่วภายนอกเขาก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตห้าคนหนึ่ง บวกกับที่ชอบท่องเที่ยวไปตามภูเขาแม่น้ำ มักจะเรียกสหายที่เป็นลูกหลานชนชั้นสูงในแคว้นไฉ่อีให้ออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันบ่อยๆ ดังนั้นเมื่ออยู่ในแคว้นไฉ่อีจึงถือว่าไม่เลวแล้ว และในราชวงศ์โลกมนุษย์เขาก็มีคุณสมบัติเพียงพอให้ถูกบรรยายด้วยคำว่า อายุน้อยแต่มีความสามารถ หล่อเหลาสง่างามแล้ว

แต่ในสายตาของผู้ฝึกตนที่แท้จริง โดยเฉพาะในสายตาของเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้าขุนเขาที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นไฉ่อี ลวี่ทิงเจียวผู้นี้ย่อมไม่นับเป็นอะไรได้ จิตแห่งมรรคาไม่หนักแน่นมากพอ หลงใหลในกามตัณหา มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปท่ามกลางกลิ่นเครื่องประทินโฉม ไม่เป็นโล้เป็นพาย หากวันหน้าลวี่อวิ๋นไต้มอบภูเขาเหมิงหลงไว้ในมือของบุตรชายผู้นี้จริงๆ ไม่แน่ว่าอาจเกิดปัญหาความขัดแย้งภายในขึ้นมาก็เป็นได้

แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งแพร่สะพัดไปเงียบๆ บอกว่าการที่ภูเขาเหมิงหลงสามารถป่ายปีนตีสนิทแม่ทัพบู๊ผู้กุมอำนาจที่แท้จริงคนหนึ่งของสกุลซ่งต้าหลีได้อย่างราบรื่น และมีหวังจะได้กลายเป็นราชครูแคว้นไฉ่อีคนถัดไป ก็เป็นเพราะลวี่ทิงเจียวช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้แก่บิดาลวี่อวิ๋นไต้ หากนี่เป็นความจริง ก็ต้องเรียกว่าเขาคือคนคมในฝักอย่างแท้จริง

นักพรตวัยชราที่แก่หง่อม ในมือถือไม้เท้าคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าประมุข ขออภัยที่ข้าแก่แล้วหูตาฟ้าฝาง มองขอบเขตที่แท้จริงของผู้มาเยือนไม่ออก นั่นใช่…เซียนดินในตำนานหรือไม่?”

ลวี่อวิ๋นไต้พูดด้วยสีหน้าเปิดเผยตรงไปตรงมา ยิ้มถามกลับว่า “ผู้ฝึกกระบี่เซียนดิน?”

ดูเหมือนผู้ฝึกตนเฒ่าจะรู้สึกว่าตนหลอกตัวเองให้ตกใจไปเอง ในเมื่อมีค่ายกลคอยปกป้อง อีกทั้งยังอยู่ในศาลบรรพจารย์ของตัวเอง ก็ไม่ควรจะว้าวุ่นจนเสียกระบวนเช่นนี้ จึงกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “นั่นก็น่าตะลึงพรึงเพริดเกินจริงไปแล้ว คิดว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น”

สตรีหน้าตางดงามที่ห้อยกระบี่โบราณไว้ตรงเอวผู้หนึ่งแค่นเสียงหัวเราะหยัน “ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตกลางที่ผ่านทางมาแล้วอย่างไร เขาจะกล้าบุกค่ายกลของภูเขาเหมิงหลงเข้ามาเลยหรือ? คิดว่าภูเขาเหมิงหลงของพวกเราเป็นมะพลับนิ่มที่จะบีบเล่นได้ตามใจชอบจริงๆ หรือไร?!”

ลวี่ทิงเจียวชำเลืองตามองหน้าอกที่ดุจขุนเขาตั้งตระหง่านของสตรีโตเต็มวัยผู้นี้แล้วหรี่ตาลง แต่เพียงไม่นานก็ดึงสายตากลับคืน อันที่จริงขอบเขตของผู้ถวายงานคนนี้ไม่นับว่าสูงนัก เป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิต แต่ในฐานะของผู้ฝึกตน นางกลับเชี่ยวชาญวิชาการควบคุมกระบี่ของอาจารย์กระบี่ในยุทธภพ นางเคยมีวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง นั่นคืออาศัยวิชาควบคุมกระบี่อันสูงสุดแสร้งทำเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิต ทำให้ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งของแคว้นซูสุ่ยตกใจเผ่นหนีไป เป็นเพราะนางนิสัยโมโหร้าย ไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มีเรือนกายงดงามเสียเปล่า ลวี่ทิงเจียวเสียดายอย่างถึงที่สุด ไม่อย่างนั้นปีนั้นตนก็คงไม่ยอมถอย ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจให้มากขึ้นสักหน่อย แต่หลังจากที่สถานการณ์ใหญ่ของแคว้นไฉ่อีมั่นคงแล้ว พ่อลูกได้พูดคุยกัน บิดาจึงตกปากรับคำตนว่าขอแค่เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตได้ บิดาก็สามารถเป็นพ่อสื่อให้ ถึงเวลานั้นลวี่ทิงเจียวก็จะสามารถเป็นคู่บำเพ็ญตนกับนางทางพฤตินัย แต่ไม่ใช่ทางนิตินัย หรือจะพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือรับอีกฝ่ายเป็นอนุภรรยานั่นเอง

ผู้ฝึกตนหนุ่มที่เป็นผู้สืบทอดสายตรงซึ่งพรสวรรค์ไม่เลวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ผู้ฝึกตนต้าหลีที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวใครพวกนั้นจะไม่จัดการหน่อยหรือ?”

แม้ว่าคืนนี้จะได้มายืนอยู่ที่นี่ แต่เนื่องด้วยลำดับศักดิ์ต่ำชั้น ดังนั้นตำแหน่งที่ยืนจึงค่อนไปทางด้านหลัง เขาก็คือศิษย์เอกของสตรีขอบเขตถ้ำสถิตที่พกกระบี่ผู้นั้น เขาสะพายกระบี่เล่มหนึ่งที่ศาลบรรพจารย์มอบให้ เพราะเขาคือผู้ฝึกกระบี่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังเป็นแค่ขอบเขตสาม กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เผาผลาญเงินเก็บของอาจารย์จนแทบหมดสิ้น แล้วยังต้องพยายามบำรุงด้วยความอบอุ่นเล่มนั้นเพิ่งจะเป็นตัวอ่อนกระบี่เท่านั้น อีกทั้งตอนนี้ยังอ่อนแออยู่มาก ดังนั้นพอเห็นมาดที่เซียนกระบี่ผู้นั้นหอบลมห่มฟ้าตรงเข้ามา ผู้ฝึกตนหนุ่มจึงทั้งเลื่อมใส ทั้งอิจฉา ใจนึกอยากจะให้คนผู้นั้นหัวทิ่มเข้ามาในค่ายกลใหญ่ภูเขาเหมิงหลง แล้วถูกกระบี่บินของตนสังหารจนตายคาที่ ไม่แน่ว่ากระบี่ยาวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเซียนกระบี่อาจตกมาเป็นของส่วนตัวของเขา เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาเหมิงหลงก็มีเพียงตนคนเดียวเท่านั้น ไม่มอบให้เขา หรือจะให้มากินธูปอยู่ในศาลบรรพจารย์?

เส้นสีทองที่อยู่ห่างไปไกลสุดขอบฟ้า ยิ่งนานก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้นทุกที

อีกฝ่ายขี่กระบี่แหวกอากาศมาพร้อมเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น พลังอำนาจนั้นยิ่งใหญ่เกินไป เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณภูเขาแม่น้ำของภูเขาเหมิงหลงถูกชักนำจนสั่นสะเทือนตามไปด้วย กระบี่บินหกเล่มที่ปกป้องค่ายกลก็สั่นสะท้านตามไปเบาๆ วิถีโคจรที่เดิมทีแน่นหนาเพราะเคลื่อนไปตามการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้ากลับเริ่มปั่นป่วนวุ่นวาย

ลวี่อวิ๋นไต้เอ่ยเบาๆ “หากยินดีหยุดอยู่นอกค่ายกลก็ยังดี เพราะมีความเป็นไปได้ว่าไม่ได้มาชำระแค้น”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย

นักพรตวัยชราที่ถือไม้เท้าคนนั้นพยายามเบิกตากว้างมองไปไกล คิดจะวิเคราะห์ตบะคร่าวๆ ของอีกฝ่ายให้ได้เสียก่อน จะได้รู้ว่าควรรับมือแบบใดไม่ใช่หรือ? เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าแสงกระบี่เส้นนั้นจะเจิดจ้าแสบตาอย่างถึงที่สุด ทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างเขาถึงกับรู้สึกปวดกระบอกตา อีกนิดเดียวน้ำตาก็จะไหลออกมาจากดวงตาของผู้ฝึกตนเฒ่าแล้ว นี่ทำให้เขาตกใจจนรีบหันหน้าหนี ขออย่าให้เซียนกระบี่ผู้นั้นเข้าใจผิดคิดว่าเขาท้าทายเลย ถึงเวลานั้นหากเขาเลือกตนให้เป็นไก่ที่ถูกเชือดให้ลิงดูขึ้นมา คงต้องตายอย่างอยุติธรรม จึงรีบเปลี่ยนมาใช้สองมือกุมไม้เท้าหัวมังกรที่ทำจากไม้แดงเอาไว้ ค้อมตัวลง ก้มหน้าพึมพำ “เหตุใดบนโลกถึงได้มีแสงกระบี่ที่คมกริบขนาดนี้ อยู่ห่างไปตั้งหลายสิบลี้ กลับมีอานุภาพเจิดจ้าพร่าตาได้ขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องเป็นสมบัติอาคมตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน เจ้าประมุข ไม่อย่างนั้นพวกเราเปิดประตูต้อนรับแขกดีกว่าไหม หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการวาดงูเติมขา เดิมทีนี่อาจเป็นเซียนกระบี่ที่แค่ผ่านทางมา แต่ภูเขาเหมิงหลงของพวกเราดันเปิดใช้ค่ายกล อาจถูกเขามองเป็นการท้าทาย หากเขาปล่อยกระบี่ลงมา…”

ผู้ฝึกตนเฒ่าที่ยิ่งพูดก็ยิ่งใจฝ่อตัวสั่น เสียงแผ่วเบาราวกับเสียงยุง หากใครที่หูไม่ดีหน่อยก็ไม่ได้ยินคำพูดของเขาเลย

ในฐานะผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร อีกทั้งยังเป็นผู้นำของผู้ฝึกตนในหนึ่งแคว้น แน่นอนว่าลวี่อวิ๋นไต้ย่อมได้ยินคำพูดของอาจารย์อาตัวเองที่พยายามจะประจบเอาใจทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน เขาจึงยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์อาหง อีกฝ่ายตั้งใจมาหาเรื่องภูเขาเหมิงหลงของพวกเรา ข้อนี้ไม่ต้องสงสัยเลย”

ขนาดอาจารย์อาหงท่านนั้นยังไม่อาจมองแสงกระบี่เส้นนั้นตรงๆ ได้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนายน้อยอย่างลวี่ทิงเจียว สตรีขอบเขตถ้ำสถิตและลูกศิษย์ที่นางภาคภูมิใจผู้นั้นเลย

สุดท้ายจึงเหลือแค่ลวี่อวิ๋นไต้เพียงคนเดียวที่สามารถมองจ้องแสงกระบี่นั้นได้

ลวี่อวิ๋นไต้คล้ายกำลังบอกเตือนทุกคน แล้วก็ยิ่งคล้ายว่ากำลังพึมพำกับตัวเอง “มาแล้ว”

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+