กระบี่จงมา 470.3 ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง คนอยู่บนฟ้า

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 470.3 ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง คนอยู่บนฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลวี่ทิงเจียวเดินไปทางศาลบรรพจารย์พร้อมกับบิดา ค่ายกลปกป้องภูเขายังต้องมีคนไปปิด ไม่อย่างนั้นทุกๆ หนึ่งก้านธูปก็จะต้องผลาญเงินร้อนน้อยไปหนึ่งเหรียญ

บนถนนมีเส้นเส้นหนึ่งที่กว้างหนึ่งนิ้วทอดยาวออกไป จากนั้นก็ไปแบ่งให้ศาลบรรพจารย์ของภูเขาเหมิงหลงที่อยู่ตรงหน้าผ่าออกเป็นสองท่อน

ลวี่อวิ๋นไต้หยุดเท้าอยู่นอกประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ ถามว่า “เจ้ามองอะไรออกหรือไม่?”

ลวี่ทิงเจียวส่ายหน้า

ลวี่อวิ๋นไต้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ปราณกระบี่ที่หนักขนาดนั้น เพียงแค่ออกกระบี่ง่ายๆ กลับทิ้งร่องรอยกระบี่ที่เป็นระเบียบเช่นนี้เอาไว้ ทำได้อย่างไร? โดยทั่วไปแล้ว เขาน่าจะเป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริงคนหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย แต่ข้ากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และในความเป็นจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ใช่เซียนกระบี่โอสถทองอะไร แต่เป็น…ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่ไม่อิงตามหลักการทั่วไปเลยแม้แต่น้อย วิธีการที่เขาใช้เป็นของปรมาจารย์วิถีวรยุทธ แต่พลังอำนาจกลับเป็นของผู้ฝึกกระบี่ รากฐานของเขาโดยละเอียด ตอนนี้ยังบอกได้ยาก แต่หากคิดจะมาเล่นงานภูเขาเหมิงหลงที่มีบารมีอำนาจอยู่แค่ในแคว้นไฉ่อีของพวกเรากลับเพียงพอมากแล้ว ทิงเจียว ในเมื่อความสัมพันธ์กับแม่ทัพหม่าผู้นั้นเป็นเจ้าที่สานมาได้สำเร็จ ดังนั้นตอนนี้เจ้าจึงมีทางเลือกสองทาง”

ลวี่ทิงเจียวยิ้มเจื่อน “เชิญท่านพ่อกล่าว”

ลวี่อวิ๋นไต้เอามือกุมหัวใจ ไอไม่หยุด เขาโบกมือบอกเป็นนัยให้บุตรชายรู้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนจะเอ่ยเนิบช้าว่า “อันที่จริงล้วนเป็นการเดิมพันทั้งสิ้น หนึ่ง เดิมพันในผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แม่ทัพหม่าที่มีที่พึ่งเป็นหนึ่งในแซ่สกุลของเสาคานค้ำยันแคว้นต้าหลี ยินดีรับเงินแล้วทำงานให้ ช่วยออกหน้าให้แก่ภูเขาเหมิงหลง อิงตามคำพูดประโยคนั้นของข้าลงมืออย่างรวดเร็วฉับไว ใช้คำว่ากฎเกณฑ์ไปสังหารคนหนุ่มผู้นั้นโดยเร็ว ถึงเวลานั้นหากอู๋ซั่วเหวินจะตายไปอีกคนแล้วจะนับเป็นอะไรได้ จ้าวหลวนก็ต้องกลายมาเป็นสตรีของเจ้าอยู่ดี และภูเขาเหมิงหลงของพวกเราก็จะมีเด็กรุ่นหลังที่มีหวังจะเป็นเซียนดินโอสถทองเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง หากจะทำเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับเจ้าคนแซ่หงก็ลงจากภูเขาไปหาแม่ทัพหม่าทันที ข้อสอง เดิมพันกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือเรามาเจอกับตะปูแข็งที่ไม่ควรไปหาเรื่อง แล้วก็ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยมากที่สุด ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องยอมรับชะตากรรม รีบส่งคนไปที่เมืองแยนจือ ยอมรับผิดกับอีกฝ่าย เงินที่ควรต้องควักจ่ายก็จ่าย ไม่ต้องมีความลังเลใดๆ ความโลเลใจเอาแน่เอานอนไม่ได้ นั่นต่างหากจึงจะเป็นข้อห้ามที่ใหญ่ที่สุด”

ลวี่ทิงเจียวมีสีหน้าขมขื่น “เกี่ยวพันกับการดำรงอยู่และล่มสลายของสำนัก รวมไปถึงควันธูปในศาลบรรพจารย์สกุลลวี่ของพวกเรา ท่านพ่อ ควรเป็นท่านที่ต้องตัดสินใจไม่ใช่หรือ?”

ลวี่อวิ๋นไต้ส่ายหน้า “ตอนนี้ข้ามองสถานการณ์ได้ไม่ชัดเจน ก็เหมือนกับตอนนั้นที่เจ้าถูกข้าปฏิเสธ จนได้แต่อาศัยตัวเองไปเดิมพันกับแม่ทัพบู๊ต้าหลีลับหลังภูเขาเหมิงหลง ผลเป็นอย่างไร คนทั้งภูเขาเหมิงหลงต่างก็คิดผิด มีเพียงเจ้าที่คิดถูก ข้ารู้สึกว่าตอนนี้โลกอยู่ในช่วงกลียุค ไม่ใช่ว่าใครที่ขอบเขตสูงแล้วจะต้องพูดจามีน้ำหนักเสมอไป ดังนั้นพ่อยินดีจะเชื่อลางสังหรณ์ของเจ้าอีกสักครั้ง หากเดิมพันแล้วแพ้ก็คือแพ้ หากเดิมพันแล้วชนะก็ได้รางวัลก้อนใหญ่ หากแพ้ ควันธูปขาดสะบั้น หากชนะ เจ้าถึงจะถือว่าเป็นสหายที่แท้จริงของแม่ทัพหม่า ส่วนก่อนหน้านั้นก็แค่ว่าเจ้าอาศัยโอกาส ส่วนเขาก็หยิบยื่นทำทานมาให้เท่านั้น ไม่แน่ว่าวันหน้าเจ้าอาจจะยังสามารถอาศัยโอกาสนี้ไปตีสนิทกับแซ่สกุลของนายพลเอกนั่นก็ได้”

ลวี่ทิงเจียวเอ่ยเบาๆ “หากคนผู้นั้นเป็นคนของต้าหลีจริงๆ ล่ะ?”

ลวี่อวิ๋นไต้หลุดหัวเราะพรืด “คนกันเองแล้วอย่างไร? อาจารย์อาหงผู้นั้นจงรักภักดีกับภูเขาเหมิงหลงและสกุลลวี่ของเรามากนักหรือ? แซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นอย่างเฉาหยวนแห่งต้าหลีของพวกเขาปรองดองสามัคคีกันนักหรือไง? แม่ทัพหม่าผู้นั้นจะไม่มีคู่ต่อสู้ที่ไม่ถูกชะตาอยู่ในกองทัพบ้างเลยหรือ? สังหาร ‘เซียนกระบี่’ ที่ไม่เคารพกฎคนหนึ่ง ใช้สิ่งนี้มาสร้างบารมีให้กับตัวเอง ก็ถือว่าเขาแม่ทัพหม่าหยัดยืนอยู่ในแคว้นไฉ่อีได้อย่างมั่นคงแล้ว อีกทั้งจะกลายเป็นคนที่โดดเด่นขึ้นมาในบรรดาสหายร่วมงานระดับเท่าเทียมกันที่ทำหน้าที่ ‘ดูแลบ้านเมือง’ เหมือนกัน เขาเองก็กำลังเดิมพันอยู่ไม่ใช่หรือ!”

ลวี่ทิงเจียวถามหยั่งเชิง “ฟังจากน้ำเสียงของท่านพ่อ เหมือนจะโน้มเอียงไปยังทางเลือกข้อแรก?”

ลวี่อวิ๋นไต้ถอนหายใจ บุตรชายของตนผู้นี้ นอกจากพรสวรรค์จะธรรมดา ไร้ความหวังด้านการฝึกตนแล้ว ข้อบกพร่องอีกอย่างหนึ่งก็คือเจ้าเล่ห์เกินไป ฉลาดเกินไป หลายๆ ครั้งแน่นอนว่าเป็นเรื่องดี แต่หากเป็นช่วงเวลาบางอย่างก็ยากจะบอกได้แล้ว สามารถพูดได้ว่ามุ่งไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ แล้วก็เรียกได้ว่าคอยดูสถานการณ์เพื่อรอประเมินการเปลี่ยนแปลง แต่คนที่ฉลาด ส่วนใหญ่มักจะกลัวตาย กลัวที่จะต้องแบกรับภาระเสมอ เหตุใดตอนนั้นลวี่อวิ๋นไต้ถึงได้อดทนข่มกลั้น สู้สุดชีวิตเพื่อจะฝ่าทะลุไปยังขอบเขตประตูมังกรให้ได้ ก็เพราะกังวลว่าวันหน้าลวี่ทิงเจียวจะไม่อาจสยบผู้คนได้ สายของสกุลลวี่ เมื่ออยู่บนภูเขาเหมิงหลง อำนาจใหญ่กลับตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นสตรีผู้มีลูกศิษย์เป็นผู้ฝึกกระบี่ หรืออาจารย์อาหงที่จู่ๆ วันใดอาจเกิดสนใจอำนาจขึ้นมาอีก ตอนนี้ก็มีเค่อชิงผู้ถวายงานคนใหม่เพิ่มเข้ามาอีกไม่น้อย แต่ละคนต่างก็ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน ไม่อย่างนั้นจำนวนคนที่ควรมาปรากฏตัวนอกศาลบรรพจารย์ในคราวนี้ก็น่าจะมีคนเพิ่มมาอีกเจ็ดแปดคนถึงจะถูก

จู่ๆ ลวี่อวิ๋นไต้ก็ถ่มเสลดปนเลือดออกมาหนึ่งคำ มองดูเหมือนน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วกลับถือเป็นเรื่องดี

ตรงหน้าอกคล้ายถูกเปิดโล่งขึ้นอีกหลายส่วน ลมปราณในร่างก็ไม่ถึงขั้นหยุดชะงักไม่ไหลลื่นเหมือนเดิมอีก

ลวี่อวิ๋นไต้พลันเบิกตากว้าง พุ่งทะยานไปที่หน้าผา เมื่อเพ่งสายตามองไปก็เห็นเพียงว่ากระบี่บินขนาดจิ๋วเล่มหนึ่งลอยอยู่ห่างจากหน้าผาไปไม่ไกล ยันต์แผ่นหนึ่งเพิ่งจะเผาไหม้จนหมดสิ้น

ลวี่อวิ๋นไต้กระทืบเท้า ในที่สุดก็เริ่มลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นยันต์แม่ลูกขานเสียง! ต่อให้ไม่ใช่ ยันต์บนโลกมีนับร้อยนับพันชนิด แต่ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นยันต์ที่มีประสิทธิผลเดียวกันนี้

จิตใจชั่วช้าอำมหิตอย่างแท้จริง!

แล้วก็จริงดังคาด ม่านฝนที่อยู่นอกค่ายกลภูเขาและแม่น้ำมีแสงกระบี่แหวกอากาศมาถึงอีกครั้ง

ผู้เฒ่าถือไม้เท้าที่เพิ่งเดินกลับไปถึงหน้าประตูใหญ่ของจวนตัวเองยืนแน่นิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม เพื่อแสดงการให้ความเคารพ

สตรีขอบเขตถ้ำสถิตที่กว่าจะให้ลูกศิษย์ทำจิตใจให้มั่นคงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าพอเสียงฟ้าร้องและแสงกระบี่นั่นย้อนกลับมาที่ภูเขาเหมิงหลงอีกครั้ง นางก็ค้นพบว่าลูกศิษย์หนุ่มลมหายใจวุ่นวาย ใบหน้าไม่น่ามองยิ่งกว่าเจ้าประมุขที่โดนไปหนึ่งหมัดและสองกระบี่เสียอีก

สตรีพกกระบี่กัดฟัน จับด้ามกระบี่ที่พกเอาไว้ พุ่งกลับไปที่ยอดเขา คิดจะสู้ตายกับคนผู้นั้น!

หากรากฐานมหามรรคาของลูกศิษย์ถูกทำลาย จิตแห่งกระบี่ถูกฝุ่นเกาะนับแต่นี้ ก็ไม่มีอนาคตอะไรให้คาดหวังกันอีกแล้ว หรือจะให้นางต้องกลายไปเป็นเมียน้อยอุ่นเตียงให้เจ้าลวี่ทิงเจียวผู้นั้นจริงๆ?!

บนยอดเขาภูเขาเหมิงหลง

คนหนุ่มชุดเขียวพลิ้วกายลงบนยอดเขาอีกครั้ง ครั้นจึงตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที ชูอีกระบี่บินที่แอบซ่อนตัวอยู่นอกหน้าผาก็บินวูบกลับเข้าไปในน้ำเต้า

ครั้งนี้กระบี่ยาวคร้านจะกลับเข้าฝักแล้ว มันค่อยๆ เลื่อนระดับตำแหน่งของตัวเองขึ้น สุดท้ายมาลอยอยู่ข้างกายของเฉินผิงอัน มือที่กำลังจะคลายของเฉินผิงอันจึงกุมด้ามกระบี่ ปลายกระบี่ชี้ตรงไปยังลวี่อวิ๋นไต้ที่ยืนอยู่หน้าศาลบรรพจารย์

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่ทัพหม่าใช่ไหม? ไม่สู้ข้ากับพวกเจ้าสองพ่อลูกไปเยี่ยมเขาด้วยกันเลยดีไหม?”

ชายแขนเสื้อสองข้างสั่นกระเพื่อมไม่หยุด คำพูดคำจาและสีหน้าล้วนเป็นมิตรผ่อนคลาย แต่พลังอำนาจกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะปลายกระบี่ที่ปราณกระบี่สีทองถึงกับมารวมตัวกันกลายเป็นหยดน้ำ หยดติ๋งลงบนพื้นแล้วก็แผ่ขยายลามไปอย่างรวดเร็ว ทอประกายแสงเจิดจ้าบาดตา

อยู่ดีๆ ก็นึกถึงประโยค ‘อย่าถ่วงเวลาการฝึกตนของข้า’ ก่อนหน้านั้นขึ้นมา ลวี่ทิงเจียวพลันแข้งขาอ่อนยวบ

ลวี่อวิ๋นไต้กุมสองมือเป็นหมัด โค้งตัวลงต่ำอย่างถึงที่สุด “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ พวกเรายอมแพ้ ยอมทั้งกายและใจ! หากผู้อาวุโสไม่เชื่อ ข้าลวี่อวิ๋นไต้สามารถไปที่ศาลบรรพจารย์ ใช้เลือดหัวใจสามหยดจุดธูปสามดอก ใช้นามของเหล่าบรรพบุรุษให้คำสัตย์สาบานต่อสวรรค์”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เปิดปากพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีศาลบรรพจารย์ก่อนถึงจะจุดธูปได้กระมัง?”

นับตั้งแต่เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางมา นี่เป็นครั้งแรกที่ลวี่อวิ๋นไต้รู้สึกหวาดกลัวถึงเพียงนี้

ศาลบรรพจารย์ไม่ใช่สถานที่ที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่เป็นชีวิตครึ่งหนึ่งของถ้ำสถิตตระกูลเซียนบนภูเขาทั้งหมด!

สีหน้าของลวี่ทิงเจียวก็ยิ่งแปรเปลี่ยนไปไม่แน่นอน คิดอยากจะแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นดั่งทางตันในเวลานี้ให้ได้

เฉินผิงอันพลันจ้องไปที่ลวี่อวิ๋นไต้เขม็ง ถามว่า “ชีวิตของลวี่ทิงเจียวกับการดำรงอยู่ของศาลบรรพจารย์ภูเขาเหมิงหลง เจ้าจะเลือกอะไร?”

ลวี่ทิงเจียวร้อนใจราวกับมีไฟลน ลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น น้ำตาอาบน้ำ เอ่ยวิงวอนว่า “ท่านพ่อ นี่คือแผนการชั่วร้ายยุแยงให้แตกแยก! ท่านอย่าได้เชื่อฟังคำเขาง่ายๆ …”

ลวี่อวิ๋นไต้มองสบตาเฉินผิงอัน ไม่ได้หันไปมองบุตรชาย เขายกมือขึ้นช้าๆ

การกระทำที่ชัดเจนถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าไม่ได้คิดจะทุบไหที่แตกให้แหลกเพื่อแตกหักกับเซียนกระบี่ท่านนี้

จิตใจของลวี่ทิงเจียวสะท้านสะเทือนอย่างหนัก พลิกตัวกลิ้งถอยไปด้านหลังอย่างสุดชีวิต พยายามจะหนีไปให้ได้ ชุดคลุมอาคมหลูฮวาบนร่างตัวนั้นช่วยเขาได้ไม่น้อย ความเร็วนั้นไม่แพ้ให้กับผู้ฝึกตนชมมหาสมุทรคนใดเลย

ต่อให้โอกาสที่จะหนีไปสุดขอบฟ้าจะมีน้อยนิด แต่ลวี่ทิงเจียวจะเอาแต่นั่งรอความตายไม่ได้ อีกทั้งยังต้องตายเพราะถูกบิดาสังหารอยู่นอกศาลบรรพจารย์อีกด้วย

นิสัยเหี้ยมอำมหิตของบิดา เขาที่เป็นบุตรชายจะไม่รู้ได้อย่างไร สามารถอาศัยการสังหารเขามาทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กกลายเป็นไม่มีเรื่องเลยได้จริงๆ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องผ่านด่านยากตรงหน้านี้ไปให้ได้

นอกจากนี้ลวี่ทิงเจียวก็ยังมีความหวังอยู่เสี้ยวหนึ่งว่าตัวเองจะโชคดี ขอแค่รอดพ้นไปจากการมองเห็นของเซียนกระบี่ผู้นี้ ถ้าเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่บิดาเขาจะพลาดโอกาสในการลงมือ ถึงเวลานั้นก็เป็นคราวของบิดาผู้ใจดำที่ต้องเผชิญหน้ากับการคิดบัญชีย้อนหลังจากเซียนกระบี่ผู้นั้นแล้ว

เฉินผิงอันชำเลืองตามองลวี่ทิงเจียวที่ถูกลวี่อวิ๋นไต้เล็งจับลมปราณได้แต่ไกลๆ แวบหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ลวี่อวิ๋นไต้ ไปจุดธูปที่ศาลบรรพจารย์เถอะ แล้วเรื่องนี้จะถือว่าแล้วกันไป ผู้ที่ฝึกตนยังต้องพิถีพิถันในเรื่องการทำความดีสะสมบุญ ทั้งด้านการกระทำและยิ่งต้องทั้งด้านจิตใจด้วย”

ลวี่อวิ๋นไต้รีบหดมือลง หมุนตัวกลับ เดินก้าวยาวๆ ไปยังศาลบรรพจารย์ ข่มกลั้นความเศร้าขมขื่นในใจเอาไว้ สลายค่ายกลภูเขาแม่น้ำออก เผชิญหน้ากับป้ายวิญญาณและภาพเหมือนที่อยู่ด้านใน ดึงเลือดหัวใจออกมาสามหยด จุดธูปเทพที่ทำขึ้นด้วยกรรมวิธีลับสามดอกเงียบๆ ใช้วิชาลับตระกูลเซียนที่เล่าลือกันว่าต่อให้ตามหาไปถ้วนทั่วทุกหนแห่งก็ยังหาได้ไม่พบ ทำตามที่ตกปากรับคำไว้ก่อนหน้านี้ เซ่นไหว้บรรพบุรุษ มือถือธูป เอ่ยคำสาบานเสียงดัง

สตรีขอบเขตถ้ำสถิตผู้นั้นมาถึงยอดเขา

จึงได้ยินคำสาบานที่ดังแว่วมาจากในศาลบรรพจารย์ภูเขาเหมิงหลงพอดี

ในสายตาของนางกลับเห็นเป็นเงาร่างของเซียนกระบี่ชุดเขียวที่บนมวยผมปักปิ่นหยก ตรงเอวห้อยรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ลมฝนบนภูเขาที่พัดโชยเป็นระลอกพัดพาให้เส้นผมและชายแขนเสื้อของคนหนุ่มปลิวสะบัดไม่หยุด

คนผู้นั้นถอยกรูดออกไปด้านหลัง เหยียบลงบนกระบี่เซียนใต้ฝ่าเท้าที่ตามติดเขาเป็นเงาเบาๆ แสงทองเปล่งวาบ วาดเส้นวงขนาดใหญ่ออกไปกลางอากาศเหนือภูเขาเหมิงหลง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

ประหนึ่งมีเซียนยุคบรรพกาลท่านหนึ่งถือพู่กันวาดวงกลมขนาดใหญ่ลงบนโลกมนุษย์

ไม่เพียงแต่สตรีผู้นี้เท่านั้นที่จิตวิญญาณแกว่งไกว ผู้ฝึกตนแทบทุกคนบนภูเขาเหมิงหลงก็ล้วนเกิดความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันนี้ขึ้นมาในใจ จิตใจสะท้านสะเทือนไม่หยุด

มาดของเซียนกระบี่ตรึงลึกลงไปในใจจนไม่อาจลึกไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว

ทว่าห่างออกไปไกล หนึ่งคนหนึ่งกระบี่พลันแหวกม่านฝนและทะเลเมฆหนาหนักออกมา ฟ้าดินสว่างจ้า ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ลอยสูงอยู่กลางนภา

เฉินผิงอันเปลี่ยนจากท่ายืนมาเป็นท่านั่งลอยตัวกลางอากาศที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดเล็กน้อย เนื่องจากลมปราณของเขาเชื่อมโยงอยู่กับเจี้ยนเซียน จึงสามารถนั่งได้อย่างมั่นคง แต่ไม่ได้จิตใจเชื่อมโยงเหมือนยามที่ผู้ฝึกกระบี่ควบคุมกระบี่ ไม่ได้ถึงขอบเขตที่เล่าลือกันในตำนานว่าเซียนกระบี่ดุจดั่ง ‘เชื่อมโยงถ้ำสวรรค์’ อย่างแน่นอน

นี่เป็นท่าหมัดท่าใหม่ในตำราเขย่าขุนเขา เป็นท่านั่ง มีชื่อว่าศพนั่ง

เพราะในตำราหมัดบันทึกไว้ว่า องค์เทพยุคบรรพกาลนั่งอยู่ในสรวงสรรค์ดุจศพนั่ง

เฉินผิงอันสามารถ ‘บังคับกระบี่’ เดินทางไกล อันที่จริงเขาก็แค่ยืนอยู่บนเจี้ยนเซียนเท่านั้น แล้วก็ต้องทนรับความทรมานจากการโดนลมแรงพัดกระโชกใส่ นอกจากจะเป็นเพราะเรือนกายเขาแข็งแกร่งเหนือคนทั่วไปแล้ว ยังต้องยกความดีความชอบให้กับท่านั่งที่แน่นิ่งไม่ขยับดุจขุนเขานี้ด้วย

ชุยเฉิงเคยกล่าวว่ากระบวนท่าหมัดนั้นไร้ชีวิต ไม่ถือว่าสูงส่ง แค่ต้องดูที่สภาพจิตใจของคนฝึกหมัดว่าสามารถสร้างชีวิตจิตวิญญาณออกมาได้หรือไม่ เมื่อสามารถบ่มเพาะฟูมฟักพลังออกมาได้แล้ว กระบวนท่าหมัดขั้นเริ่มต้นที่ธรรมดาสามัญก็สามารถพาเดินตรงไปสู่ปลายทางของวิถีวรยุทธได้เช่นกัน

ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง

มือกระบี่ชุดเขียวนั่งอยู่บนกระบี่เซียนเล่มนั้น ทั้งคนและกระบี่ กระบี่และจิตใจ ล้วนใจกระจ่างดุจแสงสว่างอันเรืองรอง

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 470.3 ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง คนอยู่บนฟ้า

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 470.3 ปราณกระบี่ดุจสายรุ้ง คนอยู่บนฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลวี่ทิงเจียวเดินไปทางศาลบรรพจารย์พร้อมกับบิดา ค่ายกลปกป้องภูเขายังต้องมีคนไปปิด ไม่อย่างนั้นทุกๆ หนึ่งก้านธูปก็จะต้องผลาญเงินร้อนน้อยไปหนึ่งเหรียญ

บนถนนมีเส้นเส้นหนึ่งที่กว้างหนึ่งนิ้วทอดยาวออกไป จากนั้นก็ไปแบ่งให้ศาลบรรพจารย์ของภูเขาเหมิงหลงที่อยู่ตรงหน้าผ่าออกเป็นสองท่อน

ลวี่อวิ๋นไต้หยุดเท้าอยู่นอกประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ ถามว่า “เจ้ามองอะไรออกหรือไม่?”

ลวี่ทิงเจียวส่ายหน้า

ลวี่อวิ๋นไต้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ปราณกระบี่ที่หนักขนาดนั้น เพียงแค่ออกกระบี่ง่ายๆ กลับทิ้งร่องรอยกระบี่ที่เป็นระเบียบเช่นนี้เอาไว้ ทำได้อย่างไร? โดยทั่วไปแล้ว เขาน่าจะเป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริงคนหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย แต่ข้ากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และในความเป็นจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ใช่เซียนกระบี่โอสถทองอะไร แต่เป็น…ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่ไม่อิงตามหลักการทั่วไปเลยแม้แต่น้อย วิธีการที่เขาใช้เป็นของปรมาจารย์วิถีวรยุทธ แต่พลังอำนาจกลับเป็นของผู้ฝึกกระบี่ รากฐานของเขาโดยละเอียด ตอนนี้ยังบอกได้ยาก แต่หากคิดจะมาเล่นงานภูเขาเหมิงหลงที่มีบารมีอำนาจอยู่แค่ในแคว้นไฉ่อีของพวกเรากลับเพียงพอมากแล้ว ทิงเจียว ในเมื่อความสัมพันธ์กับแม่ทัพหม่าผู้นั้นเป็นเจ้าที่สานมาได้สำเร็จ ดังนั้นตอนนี้เจ้าจึงมีทางเลือกสองทาง”

ลวี่ทิงเจียวยิ้มเจื่อน “เชิญท่านพ่อกล่าว”

ลวี่อวิ๋นไต้เอามือกุมหัวใจ ไอไม่หยุด เขาโบกมือบอกเป็นนัยให้บุตรชายรู้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนจะเอ่ยเนิบช้าว่า “อันที่จริงล้วนเป็นการเดิมพันทั้งสิ้น หนึ่ง เดิมพันในผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แม่ทัพหม่าที่มีที่พึ่งเป็นหนึ่งในแซ่สกุลของเสาคานค้ำยันแคว้นต้าหลี ยินดีรับเงินแล้วทำงานให้ ช่วยออกหน้าให้แก่ภูเขาเหมิงหลง อิงตามคำพูดประโยคนั้นของข้าลงมืออย่างรวดเร็วฉับไว ใช้คำว่ากฎเกณฑ์ไปสังหารคนหนุ่มผู้นั้นโดยเร็ว ถึงเวลานั้นหากอู๋ซั่วเหวินจะตายไปอีกคนแล้วจะนับเป็นอะไรได้ จ้าวหลวนก็ต้องกลายมาเป็นสตรีของเจ้าอยู่ดี และภูเขาเหมิงหลงของพวกเราก็จะมีเด็กรุ่นหลังที่มีหวังจะเป็นเซียนดินโอสถทองเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง หากจะทำเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับเจ้าคนแซ่หงก็ลงจากภูเขาไปหาแม่ทัพหม่าทันที ข้อสอง เดิมพันกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือเรามาเจอกับตะปูแข็งที่ไม่ควรไปหาเรื่อง แล้วก็ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยมากที่สุด ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องยอมรับชะตากรรม รีบส่งคนไปที่เมืองแยนจือ ยอมรับผิดกับอีกฝ่าย เงินที่ควรต้องควักจ่ายก็จ่าย ไม่ต้องมีความลังเลใดๆ ความโลเลใจเอาแน่เอานอนไม่ได้ นั่นต่างหากจึงจะเป็นข้อห้ามที่ใหญ่ที่สุด”

ลวี่ทิงเจียวมีสีหน้าขมขื่น “เกี่ยวพันกับการดำรงอยู่และล่มสลายของสำนัก รวมไปถึงควันธูปในศาลบรรพจารย์สกุลลวี่ของพวกเรา ท่านพ่อ ควรเป็นท่านที่ต้องตัดสินใจไม่ใช่หรือ?”

ลวี่อวิ๋นไต้ส่ายหน้า “ตอนนี้ข้ามองสถานการณ์ได้ไม่ชัดเจน ก็เหมือนกับตอนนั้นที่เจ้าถูกข้าปฏิเสธ จนได้แต่อาศัยตัวเองไปเดิมพันกับแม่ทัพบู๊ต้าหลีลับหลังภูเขาเหมิงหลง ผลเป็นอย่างไร คนทั้งภูเขาเหมิงหลงต่างก็คิดผิด มีเพียงเจ้าที่คิดถูก ข้ารู้สึกว่าตอนนี้โลกอยู่ในช่วงกลียุค ไม่ใช่ว่าใครที่ขอบเขตสูงแล้วจะต้องพูดจามีน้ำหนักเสมอไป ดังนั้นพ่อยินดีจะเชื่อลางสังหรณ์ของเจ้าอีกสักครั้ง หากเดิมพันแล้วแพ้ก็คือแพ้ หากเดิมพันแล้วชนะก็ได้รางวัลก้อนใหญ่ หากแพ้ ควันธูปขาดสะบั้น หากชนะ เจ้าถึงจะถือว่าเป็นสหายที่แท้จริงของแม่ทัพหม่า ส่วนก่อนหน้านั้นก็แค่ว่าเจ้าอาศัยโอกาส ส่วนเขาก็หยิบยื่นทำทานมาให้เท่านั้น ไม่แน่ว่าวันหน้าเจ้าอาจจะยังสามารถอาศัยโอกาสนี้ไปตีสนิทกับแซ่สกุลของนายพลเอกนั่นก็ได้”

ลวี่ทิงเจียวเอ่ยเบาๆ “หากคนผู้นั้นเป็นคนของต้าหลีจริงๆ ล่ะ?”

ลวี่อวิ๋นไต้หลุดหัวเราะพรืด “คนกันเองแล้วอย่างไร? อาจารย์อาหงผู้นั้นจงรักภักดีกับภูเขาเหมิงหลงและสกุลลวี่ของเรามากนักหรือ? แซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นอย่างเฉาหยวนแห่งต้าหลีของพวกเขาปรองดองสามัคคีกันนักหรือไง? แม่ทัพหม่าผู้นั้นจะไม่มีคู่ต่อสู้ที่ไม่ถูกชะตาอยู่ในกองทัพบ้างเลยหรือ? สังหาร ‘เซียนกระบี่’ ที่ไม่เคารพกฎคนหนึ่ง ใช้สิ่งนี้มาสร้างบารมีให้กับตัวเอง ก็ถือว่าเขาแม่ทัพหม่าหยัดยืนอยู่ในแคว้นไฉ่อีได้อย่างมั่นคงแล้ว อีกทั้งจะกลายเป็นคนที่โดดเด่นขึ้นมาในบรรดาสหายร่วมงานระดับเท่าเทียมกันที่ทำหน้าที่ ‘ดูแลบ้านเมือง’ เหมือนกัน เขาเองก็กำลังเดิมพันอยู่ไม่ใช่หรือ!”

ลวี่ทิงเจียวถามหยั่งเชิง “ฟังจากน้ำเสียงของท่านพ่อ เหมือนจะโน้มเอียงไปยังทางเลือกข้อแรก?”

ลวี่อวิ๋นไต้ถอนหายใจ บุตรชายของตนผู้นี้ นอกจากพรสวรรค์จะธรรมดา ไร้ความหวังด้านการฝึกตนแล้ว ข้อบกพร่องอีกอย่างหนึ่งก็คือเจ้าเล่ห์เกินไป ฉลาดเกินไป หลายๆ ครั้งแน่นอนว่าเป็นเรื่องดี แต่หากเป็นช่วงเวลาบางอย่างก็ยากจะบอกได้แล้ว สามารถพูดได้ว่ามุ่งไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ แล้วก็เรียกได้ว่าคอยดูสถานการณ์เพื่อรอประเมินการเปลี่ยนแปลง แต่คนที่ฉลาด ส่วนใหญ่มักจะกลัวตาย กลัวที่จะต้องแบกรับภาระเสมอ เหตุใดตอนนั้นลวี่อวิ๋นไต้ถึงได้อดทนข่มกลั้น สู้สุดชีวิตเพื่อจะฝ่าทะลุไปยังขอบเขตประตูมังกรให้ได้ ก็เพราะกังวลว่าวันหน้าลวี่ทิงเจียวจะไม่อาจสยบผู้คนได้ สายของสกุลลวี่ เมื่ออยู่บนภูเขาเหมิงหลง อำนาจใหญ่กลับตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นสตรีผู้มีลูกศิษย์เป็นผู้ฝึกกระบี่ หรืออาจารย์อาหงที่จู่ๆ วันใดอาจเกิดสนใจอำนาจขึ้นมาอีก ตอนนี้ก็มีเค่อชิงผู้ถวายงานคนใหม่เพิ่มเข้ามาอีกไม่น้อย แต่ละคนต่างก็ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน ไม่อย่างนั้นจำนวนคนที่ควรมาปรากฏตัวนอกศาลบรรพจารย์ในคราวนี้ก็น่าจะมีคนเพิ่มมาอีกเจ็ดแปดคนถึงจะถูก

จู่ๆ ลวี่อวิ๋นไต้ก็ถ่มเสลดปนเลือดออกมาหนึ่งคำ มองดูเหมือนน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วกลับถือเป็นเรื่องดี

ตรงหน้าอกคล้ายถูกเปิดโล่งขึ้นอีกหลายส่วน ลมปราณในร่างก็ไม่ถึงขั้นหยุดชะงักไม่ไหลลื่นเหมือนเดิมอีก

ลวี่อวิ๋นไต้พลันเบิกตากว้าง พุ่งทะยานไปที่หน้าผา เมื่อเพ่งสายตามองไปก็เห็นเพียงว่ากระบี่บินขนาดจิ๋วเล่มหนึ่งลอยอยู่ห่างจากหน้าผาไปไม่ไกล ยันต์แผ่นหนึ่งเพิ่งจะเผาไหม้จนหมดสิ้น

ลวี่อวิ๋นไต้กระทืบเท้า ในที่สุดก็เริ่มลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นยันต์แม่ลูกขานเสียง! ต่อให้ไม่ใช่ ยันต์บนโลกมีนับร้อยนับพันชนิด แต่ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นยันต์ที่มีประสิทธิผลเดียวกันนี้

จิตใจชั่วช้าอำมหิตอย่างแท้จริง!

แล้วก็จริงดังคาด ม่านฝนที่อยู่นอกค่ายกลภูเขาและแม่น้ำมีแสงกระบี่แหวกอากาศมาถึงอีกครั้ง

ผู้เฒ่าถือไม้เท้าที่เพิ่งเดินกลับไปถึงหน้าประตูใหญ่ของจวนตัวเองยืนแน่นิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม เพื่อแสดงการให้ความเคารพ

สตรีขอบเขตถ้ำสถิตที่กว่าจะให้ลูกศิษย์ทำจิตใจให้มั่นคงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าพอเสียงฟ้าร้องและแสงกระบี่นั่นย้อนกลับมาที่ภูเขาเหมิงหลงอีกครั้ง นางก็ค้นพบว่าลูกศิษย์หนุ่มลมหายใจวุ่นวาย ใบหน้าไม่น่ามองยิ่งกว่าเจ้าประมุขที่โดนไปหนึ่งหมัดและสองกระบี่เสียอีก

สตรีพกกระบี่กัดฟัน จับด้ามกระบี่ที่พกเอาไว้ พุ่งกลับไปที่ยอดเขา คิดจะสู้ตายกับคนผู้นั้น!

หากรากฐานมหามรรคาของลูกศิษย์ถูกทำลาย จิตแห่งกระบี่ถูกฝุ่นเกาะนับแต่นี้ ก็ไม่มีอนาคตอะไรให้คาดหวังกันอีกแล้ว หรือจะให้นางต้องกลายไปเป็นเมียน้อยอุ่นเตียงให้เจ้าลวี่ทิงเจียวผู้นั้นจริงๆ?!

บนยอดเขาภูเขาเหมิงหลง

คนหนุ่มชุดเขียวพลิ้วกายลงบนยอดเขาอีกครั้ง ครั้นจึงตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที ชูอีกระบี่บินที่แอบซ่อนตัวอยู่นอกหน้าผาก็บินวูบกลับเข้าไปในน้ำเต้า

ครั้งนี้กระบี่ยาวคร้านจะกลับเข้าฝักแล้ว มันค่อยๆ เลื่อนระดับตำแหน่งของตัวเองขึ้น สุดท้ายมาลอยอยู่ข้างกายของเฉินผิงอัน มือที่กำลังจะคลายของเฉินผิงอันจึงกุมด้ามกระบี่ ปลายกระบี่ชี้ตรงไปยังลวี่อวิ๋นไต้ที่ยืนอยู่หน้าศาลบรรพจารย์

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่ทัพหม่าใช่ไหม? ไม่สู้ข้ากับพวกเจ้าสองพ่อลูกไปเยี่ยมเขาด้วยกันเลยดีไหม?”

ชายแขนเสื้อสองข้างสั่นกระเพื่อมไม่หยุด คำพูดคำจาและสีหน้าล้วนเป็นมิตรผ่อนคลาย แต่พลังอำนาจกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะปลายกระบี่ที่ปราณกระบี่สีทองถึงกับมารวมตัวกันกลายเป็นหยดน้ำ หยดติ๋งลงบนพื้นแล้วก็แผ่ขยายลามไปอย่างรวดเร็ว ทอประกายแสงเจิดจ้าบาดตา

อยู่ดีๆ ก็นึกถึงประโยค ‘อย่าถ่วงเวลาการฝึกตนของข้า’ ก่อนหน้านั้นขึ้นมา ลวี่ทิงเจียวพลันแข้งขาอ่อนยวบ

ลวี่อวิ๋นไต้กุมสองมือเป็นหมัด โค้งตัวลงต่ำอย่างถึงที่สุด “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ พวกเรายอมแพ้ ยอมทั้งกายและใจ! หากผู้อาวุโสไม่เชื่อ ข้าลวี่อวิ๋นไต้สามารถไปที่ศาลบรรพจารย์ ใช้เลือดหัวใจสามหยดจุดธูปสามดอก ใช้นามของเหล่าบรรพบุรุษให้คำสัตย์สาบานต่อสวรรค์”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เปิดปากพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีศาลบรรพจารย์ก่อนถึงจะจุดธูปได้กระมัง?”

นับตั้งแต่เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางมา นี่เป็นครั้งแรกที่ลวี่อวิ๋นไต้รู้สึกหวาดกลัวถึงเพียงนี้

ศาลบรรพจารย์ไม่ใช่สถานที่ที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่เป็นชีวิตครึ่งหนึ่งของถ้ำสถิตตระกูลเซียนบนภูเขาทั้งหมด!

สีหน้าของลวี่ทิงเจียวก็ยิ่งแปรเปลี่ยนไปไม่แน่นอน คิดอยากจะแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นดั่งทางตันในเวลานี้ให้ได้

เฉินผิงอันพลันจ้องไปที่ลวี่อวิ๋นไต้เขม็ง ถามว่า “ชีวิตของลวี่ทิงเจียวกับการดำรงอยู่ของศาลบรรพจารย์ภูเขาเหมิงหลง เจ้าจะเลือกอะไร?”

ลวี่ทิงเจียวร้อนใจราวกับมีไฟลน ลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น น้ำตาอาบน้ำ เอ่ยวิงวอนว่า “ท่านพ่อ นี่คือแผนการชั่วร้ายยุแยงให้แตกแยก! ท่านอย่าได้เชื่อฟังคำเขาง่ายๆ …”

ลวี่อวิ๋นไต้มองสบตาเฉินผิงอัน ไม่ได้หันไปมองบุตรชาย เขายกมือขึ้นช้าๆ

การกระทำที่ชัดเจนถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าไม่ได้คิดจะทุบไหที่แตกให้แหลกเพื่อแตกหักกับเซียนกระบี่ท่านนี้

จิตใจของลวี่ทิงเจียวสะท้านสะเทือนอย่างหนัก พลิกตัวกลิ้งถอยไปด้านหลังอย่างสุดชีวิต พยายามจะหนีไปให้ได้ ชุดคลุมอาคมหลูฮวาบนร่างตัวนั้นช่วยเขาได้ไม่น้อย ความเร็วนั้นไม่แพ้ให้กับผู้ฝึกตนชมมหาสมุทรคนใดเลย

ต่อให้โอกาสที่จะหนีไปสุดขอบฟ้าจะมีน้อยนิด แต่ลวี่ทิงเจียวจะเอาแต่นั่งรอความตายไม่ได้ อีกทั้งยังต้องตายเพราะถูกบิดาสังหารอยู่นอกศาลบรรพจารย์อีกด้วย

นิสัยเหี้ยมอำมหิตของบิดา เขาที่เป็นบุตรชายจะไม่รู้ได้อย่างไร สามารถอาศัยการสังหารเขามาทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กกลายเป็นไม่มีเรื่องเลยได้จริงๆ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องผ่านด่านยากตรงหน้านี้ไปให้ได้

นอกจากนี้ลวี่ทิงเจียวก็ยังมีความหวังอยู่เสี้ยวหนึ่งว่าตัวเองจะโชคดี ขอแค่รอดพ้นไปจากการมองเห็นของเซียนกระบี่ผู้นี้ ถ้าเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่บิดาเขาจะพลาดโอกาสในการลงมือ ถึงเวลานั้นก็เป็นคราวของบิดาผู้ใจดำที่ต้องเผชิญหน้ากับการคิดบัญชีย้อนหลังจากเซียนกระบี่ผู้นั้นแล้ว

เฉินผิงอันชำเลืองตามองลวี่ทิงเจียวที่ถูกลวี่อวิ๋นไต้เล็งจับลมปราณได้แต่ไกลๆ แวบหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ลวี่อวิ๋นไต้ ไปจุดธูปที่ศาลบรรพจารย์เถอะ แล้วเรื่องนี้จะถือว่าแล้วกันไป ผู้ที่ฝึกตนยังต้องพิถีพิถันในเรื่องการทำความดีสะสมบุญ ทั้งด้านการกระทำและยิ่งต้องทั้งด้านจิตใจด้วย”

ลวี่อวิ๋นไต้รีบหดมือลง หมุนตัวกลับ เดินก้าวยาวๆ ไปยังศาลบรรพจารย์ ข่มกลั้นความเศร้าขมขื่นในใจเอาไว้ สลายค่ายกลภูเขาแม่น้ำออก เผชิญหน้ากับป้ายวิญญาณและภาพเหมือนที่อยู่ด้านใน ดึงเลือดหัวใจออกมาสามหยด จุดธูปเทพที่ทำขึ้นด้วยกรรมวิธีลับสามดอกเงียบๆ ใช้วิชาลับตระกูลเซียนที่เล่าลือกันว่าต่อให้ตามหาไปถ้วนทั่วทุกหนแห่งก็ยังหาได้ไม่พบ ทำตามที่ตกปากรับคำไว้ก่อนหน้านี้ เซ่นไหว้บรรพบุรุษ มือถือธูป เอ่ยคำสาบานเสียงดัง

สตรีขอบเขตถ้ำสถิตผู้นั้นมาถึงยอดเขา

จึงได้ยินคำสาบานที่ดังแว่วมาจากในศาลบรรพจารย์ภูเขาเหมิงหลงพอดี

ในสายตาของนางกลับเห็นเป็นเงาร่างของเซียนกระบี่ชุดเขียวที่บนมวยผมปักปิ่นหยก ตรงเอวห้อยรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ลมฝนบนภูเขาที่พัดโชยเป็นระลอกพัดพาให้เส้นผมและชายแขนเสื้อของคนหนุ่มปลิวสะบัดไม่หยุด

คนผู้นั้นถอยกรูดออกไปด้านหลัง เหยียบลงบนกระบี่เซียนใต้ฝ่าเท้าที่ตามติดเขาเป็นเงาเบาๆ แสงทองเปล่งวาบ วาดเส้นวงขนาดใหญ่ออกไปกลางอากาศเหนือภูเขาเหมิงหลง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

ประหนึ่งมีเซียนยุคบรรพกาลท่านหนึ่งถือพู่กันวาดวงกลมขนาดใหญ่ลงบนโลกมนุษย์

ไม่เพียงแต่สตรีผู้นี้เท่านั้นที่จิตวิญญาณแกว่งไกว ผู้ฝึกตนแทบทุกคนบนภูเขาเหมิงหลงก็ล้วนเกิดความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันนี้ขึ้นมาในใจ จิตใจสะท้านสะเทือนไม่หยุด

มาดของเซียนกระบี่ตรึงลึกลงไปในใจจนไม่อาจลึกไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว

ทว่าห่างออกไปไกล หนึ่งคนหนึ่งกระบี่พลันแหวกม่านฝนและทะเลเมฆหนาหนักออกมา ฟ้าดินสว่างจ้า ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ลอยสูงอยู่กลางนภา

เฉินผิงอันเปลี่ยนจากท่ายืนมาเป็นท่านั่งลอยตัวกลางอากาศที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดเล็กน้อย เนื่องจากลมปราณของเขาเชื่อมโยงอยู่กับเจี้ยนเซียน จึงสามารถนั่งได้อย่างมั่นคง แต่ไม่ได้จิตใจเชื่อมโยงเหมือนยามที่ผู้ฝึกกระบี่ควบคุมกระบี่ ไม่ได้ถึงขอบเขตที่เล่าลือกันในตำนานว่าเซียนกระบี่ดุจดั่ง ‘เชื่อมโยงถ้ำสวรรค์’ อย่างแน่นอน

นี่เป็นท่าหมัดท่าใหม่ในตำราเขย่าขุนเขา เป็นท่านั่ง มีชื่อว่าศพนั่ง

เพราะในตำราหมัดบันทึกไว้ว่า องค์เทพยุคบรรพกาลนั่งอยู่ในสรวงสรรค์ดุจศพนั่ง

เฉินผิงอันสามารถ ‘บังคับกระบี่’ เดินทางไกล อันที่จริงเขาก็แค่ยืนอยู่บนเจี้ยนเซียนเท่านั้น แล้วก็ต้องทนรับความทรมานจากการโดนลมแรงพัดกระโชกใส่ นอกจากจะเป็นเพราะเรือนกายเขาแข็งแกร่งเหนือคนทั่วไปแล้ว ยังต้องยกความดีความชอบให้กับท่านั่งที่แน่นิ่งไม่ขยับดุจขุนเขานี้ด้วย

ชุยเฉิงเคยกล่าวว่ากระบวนท่าหมัดนั้นไร้ชีวิต ไม่ถือว่าสูงส่ง แค่ต้องดูที่สภาพจิตใจของคนฝึกหมัดว่าสามารถสร้างชีวิตจิตวิญญาณออกมาได้หรือไม่ เมื่อสามารถบ่มเพาะฟูมฟักพลังออกมาได้แล้ว กระบวนท่าหมัดขั้นเริ่มต้นที่ธรรมดาสามัญก็สามารถพาเดินตรงไปสู่ปลายทางของวิถีวรยุทธได้เช่นกัน

ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง

มือกระบี่ชุดเขียวนั่งอยู่บนกระบี่เซียนเล่มนั้น ทั้งคนและกระบี่ กระบี่และจิตใจ ล้วนใจกระจ่างดุจแสงสว่างอันเรืองรอง

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+