กระบี่จงมา 472.2 ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 472.2 ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลี่เป่าผิงหัวเราะ หันหน้าไปมองทางทิศใต้ หรี่ดวงตาทั้งคู่ลง ดวงตาคู่นั้นจึงดูเรียวยาวขึ้นเล็กน้อย ดวงหน้าของนางไม่ได้กลมดิกเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่ปลายคางเริ่มแหลมจนใบหน้าคล้ายกลายเป็นรูปไข่แล้ว

นางค้อมตัวลงช่วยเช็ดน้ำตาให้เผยเฉียนแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เอาล่ะๆ ต้องโทษข้า ต้องโทษข้าคนเดียว”

เผยเฉียนที่หลังจากร้องไห้เสร็จก็รู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย “ขอโทษนะพี่หญิงเป่าผิง ข้าพูดจาเหลวไหล”

หลี่เป่าผิงตบไหล่เผยเฉียน ยิ้มกล่าวว่า “ไว้ค่อยเจอกัน”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ มองหลี่เป่าผิงที่หมุนตัวเดินจากไป

พี่หญิงเป่าผิงสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก และยังสวมชุดสีแดงที่คุ้นตา แต่เผยเฉียนมองแผ่นหลังที่ค่อยๆ จากไปไกลนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้กังวลอย่างยิ่งว่าพรุ่งนี้หรือไม่ก็วันมะรืนที่จะได้พบพี่หญิงเป่าผิงอีกครั้ง นางจะตัวสูงขึ้นไปอีก แล้วก็จะยิ่งไม่เหมือนเดิมอีก ไม่รู้ว่าปีนั้นที่อาจารย์เดินเข้าไปในสำนักศึกษาซานหยาจะรู้สึกแบบนี้เหมือนกันหรือไม่? ปีนั้นที่ยืนยันจะลากพวกเขาไปทำเรื่องที่ตอนนั้นเผยเฉียนรู้สึกว่าสนุกอย่างมากบนทะเลสาบของสำนักศึกษา ก็เป็นเพราะว่าอาจารย์นึกถึงวันนี้ไว้ก่อนแล้วใช่หรือไม่? เพราะมองดูเหมือนสนุก แต่คนเราเมื่อเติบโตขึ้น แท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องที่ไม่สนุกเลยสักนิด?

เผยเฉียนเกาหัว กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดใจ ตอนนี้จะดีจะชั่วตนก็เป็นเถ้าแก่สามของร้านค้าทั้งสองแล้ว ทำไมถึงหลงๆ ลืมๆ แบบนี้นะ นางหยิบถังหูลู่สองไม้ที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันออกมาจากชายแขนเสื้อ ลืมเอาให้พี่หญิงเป่าผิงเสียได้!

นางทอดถอนใจ เก็บถังหูลู่ไม้หนึ่งใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เหลือไว้หนึ่งไม้แล้วกินเอง รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ ส่วนเงินที่ซื้อถังหูลู่นั้น สือโหรวเป็นคนออก นางเองก็จริงๆ เลย ตนก็แค่บ่นเรื่องถังหูลู่ในร้านยาสุ้ยแค่ไม่กี่ประโยค ถามสือโหรวหลายคำไปหน่อยว่าได้ยินเสียงพ่อค้าหาบเร่เรียกขายถังหูลู่ผ่านมาในตรอกบ้างหรือไม่ ไปๆ มาๆ สือโหรวก็เป็นฝ่ายยัดเงินเหรียญทองแดงให้นางหนึ่งเหรียญ บอกว่าจะเลี้ยงนาง ไม่ต้องคืนเงิน น่าเกรงใจยิ่งนัก เผยเฉียนไม่ใช่เด็กตะกละแบบนั้นเสียหน่อย นางจึงจ้องเหรียญทองแดงของสือโหรวที่อยู่กลางฝ่ามือเขม็ง จากนั้นก็ส่ายหน้าโบกมือบอกว่าไม่ต้องๆ แต่สุดท้ายนางก็ยังรับเอาไว้ ยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญจริงๆ

กินถังหูลู่หมด ไม้ที่อยู่ในชายแขนเสื้อจะเก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน ถึงอย่างไรสือโหรวก็เป็นคนออกเงิน กลับไปจะเอาไปให้นาง ส่วนของพี่หญิงเป่าผิง เดี๋ยวพรุ่งนี้นางออกเงินซื้อเอง

คนในยุทธภพมักจะทำอะไรเปิดเผยใจกว้างเช่นนี้

เผยเฉียนโบกตวัดไม้เท้าเดินป่าไปหนึ่งคำรบ ชำเลืองตามองหมาพันธ์พื้นบ้านที่หลบอยู่ห่างไปไกลตัวนั้นแล้วถลึงตาใส่มัน หมาตัวนั้นก็รีบวิ่งหางลู่มานอนหมอบอยู่ข้างกายนาง

เผยเฉียนทรุดตัวลงนั่งยอง คว้าจับปากของมันเอาไว้ พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ไอ้น้องชาย เจ้านี่มันยังไง ตัวถึงได้เตี้ยขนาดนี้ เจ้าคือฟักเตี้ยอย่างนั้นหรือ? อับอายขายหน้าหรือไม่? หืม? ถามก็พูดสิ!”

อยู่ดีๆ มันก็ได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ จึงกลายเป็นภูตมานานแล้ว หมาพันธ์พื้นบ้านที่เดิมทีควรวิ่งเที่ยวไปทั่วขุนเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกนอนหมอบนิ่งไม่ขยับ ในดวงตาเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและไม่พอใจ

ตอนนี้สติปัญญาของมันเปิดโล่งแล้ว อีกทั้งยังมีที่พึ่งเป็นสำนักกระบี่หลงเฉวียน เมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มภูเขาตะวันตก มันจึงถือว่าเป็นภูตภูเขาที่ใครก็ไม่กล้ามาหาเรื่องตัวหนึ่งแล้ว แต่ยังอยู่ห่างจากการเปิดปากพูดและกลายร่างเป็นคนได้อีกไกลนัก

เผยเฉียนบีบปากของหมาพันธ์พื้นบ้านแน่น นางถลึงตาใส่อีกฝ่าย “ไม่พูดก็แสดงว่าไม่ยอมแพ้สินะ? ใครมอบดีสุนัขนี้ให้เจ้า?!”

มันไม่กล้ากระดุกกระดิก

เผยเฉียนบิดข้อมือ หัวของสุนัขก็หมุนตาม หมาพันธ์พื้นบ้านร้องครวญเอ๋งๆ ขึ้นมาทันที เผยเฉียนพูดอย่างขุ่นเคือง “พูดมา เจ้าแอบไปรังแกห่านขาวในเมืองเล็กลับหลังข้าอีกแล้วใช่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นเหตุใดทุกครั้งที่ข้าพาเจ้าไปด้วย พวกมันเห็นเจ้าก็จะต้องวิ่งหนีไปทันที? เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าอย่าปล่อยหมัดสูง?! เจ้าทำให้ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว อยู่ในยุทธภพกับข้ามานานขนาดนี้กลับไม่ตั้งใจเรียนรู้ในสิ่งที่ดีบ้างเลย”

หมาพันธ์พื้นบ้านตัวนั้นถึงขั้นมีใจนึกอยากตายแล้ว

ปีนั้นใครกันที่ขี่ห่านขาวตัวใหญ่วิ่งวนไปทั่วตรอกเล็ก?

กว่าเผยเฉียนจะยอมปล่อยหมาพันธ์พื้นบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย นางปล่อยมือ ลุกขึ้นยืน ปัดมือ แต่แล้วจู่ๆ นางก็พลันกะพริบตาอย่างแรง แล้วยกมือขึ้นขยี้

คราวก่อนตอนที่กินไข่มุกลูกที่อาจารย์ส่งให้ในตรอกฉีหลง นางมักจะเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ดวงตาสองข้างมักรู้สึกคัน ไม่ได้เจ็บปวดอะไร เพียงแต่รำคาญใจนิดๆ ทำให้หลายครั้งที่นางคัดตัวอักษร หากกะพริบตา ลายเส้นก็จะเอียงทันที ไม่สามารถเขียนตัวอักษรให้เป็นระเบียบได้ ต้องเขียนใหม่อีกครั้ง นี่คือหนึ่งในกฎจำนวนไม่มากที่อาจารย์ตั้งไว้ นางเองก็ทำตามมาโดยตลอด ต่อให้ทุกวันนี้จะไม่มีใครมาคอยคุมเวลานางคัดตัวอักษรแล้วก็ตาม

อีกทั้งบางครั้งเวลานางมองกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรก็จะรู้สึกว่าตัวอักษรพวกนั้นขยับ แต่พอนางเพ่งตามองให้ชัดกลับเห็นว่าพวกมันก็เป็นปกติดี แต่ละตัวอักษรล้วนนอนอยู่บนกระดาษอย่างเป็นระเบียบ

เผยเฉียนคิดว่าจะฉวยโอกาสที่พาพี่หญิงเป่าผิงไปภูเขาลั่วพั่วหลังจากนี้สอบถามพ่อครัวเฒ่าจูที่วันๆ อยู่ว่างไม่มีอะไรทำเสียหน่อย ถึงอย่างไรเขาก็รู้ดีทุกเรื่อง หากไม่ได้จริงๆ ก็ถามท่านเทพภูเขาเว่ยป้อ หรือหากยังไม่ได้จริงๆ เฮ้อ ก็คงต้องได้แต่เข้าไปในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ ไปขอความรู้กับอาจารย์ผู้เฒ่าที่พูดไม่ถูกหูคำเดียวก็จะสอนวิชาหมัดให้แก่นางผู้นั้นแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าก็แค่อาศัยว่าอายุมาก มีพละกำลังมากกว่าอาจารย์ของนางแค่ไม่กี่ชั่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ เขาจะไปเข้าใจวิชาหมัดอะไร? จะเข้าใจได้เหมือนอาจารย์ของนางหรือ? ตาแก่นั่นจะเข้าใจกะผายลมอะไร!

เผยเฉียนเริ่มเดินอาดๆ กลับไปทางเมืองเล็ก เดินเชิดหน้าไม่มองทาง ยืดอกขึ้นสูง พูดเสียงดังว่า “ก้าวเดินอาจหาญ ศัตรูลนลาน! วิชากระบี่มารคลั่ง เลิศล้ำไร้ทัดเทียม! หากมีสหาย สังหารหมาพันธ์พื้นบ้าน ข้ากินเนื้อ เจ้าดื่มน้ำแกง!”

หมาพันธ์พื้นบ้านที่หางลู่เดินตามไปด้านหลังจอมยุทธหญิงใหญ่เผยอย่างว่าง่าย

……

เมืองเล็กยิ่งครึกครื้นมากขึ้น เพราะมีลูกศิษย์จากสำนักศึกษาต้าสุยที่สามารถพูดภาษากลางของทวีปได้มาเพิ่มหลายคน

หลี่ไหวพาหลิวกวานและหม่าเหลียนไปที่บ้านของตัวเอง สภาพบ้านนั้นเก่าโทรมแทบทนมองไม่ได้ หลิวกวานยังดีหน่อย เพราะเดิมทีก็มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลยากจนอยู่แล้ว มีแต่หม่าเหลียนที่ปากอ้าตาค้าง เขาเคยเห็นคนจนมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครที่จนถึงขั้นบ้านมีแต่ผนังสี่ด้านแบบนี้ ทว่าหลี่ไหวกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาควักกุญแจออกมาเปิดประตู พาพวกเขาไปตักน้ำมาทำความสะอาดเรือน แน่นอนว่าในเมืองเล็กไม่ได้มีแค่บ่อโซ่เหล็กเป็นบ่อน้ำบ่อเดียวเท่านั้น บริเวณใกล้เคียงก็ยังมี เพียงแต่ว่าน้ำในบ่อไม่ได้หวานเหมือนน้ำของบ่อโซ่เหล็กเท่านั้น เวลาที่ท่านแม่ของหลี่ไหวเจอเรื่องดีๆ ตอนอยู่ในบ้าน หรือได้ยินว่าบ้านใครเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ถึงจะเดินไกลไปตักน้ำที่นั่น เพื่อประลองฝีมือกับยายหม่าตรอกซิ่งฮวา และพวกสตรีกลุ่มใหญ่ซึ่งรวมถึงหญิงหม้ายสกุลกู้ตรอกหนีผิงด้วย

หลิวกวานเป็นพวกคนขี้เกียจ เขาไม่อยากขยับตัว จึงบอกว่าเดี๋ยวเขาจะรับผิดชอบหน้าที่ก่อไฟทำอาหารเอง หลี่ไหวจึงพาหม่าเหลียนไปตักน้ำ ผลกลับกลายเป็นว่าด้วยไหล่ที่บอบบางนุ่มนิ่มของหม่าเหลียนนั้น ทำให้เขาร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด สตรีที่ยืนมองอยู่ข้างบ่อน้ำหัวเราะไม่หยุด หม่าเหลียนที่หล่อเหลาจึงหน้าแดงก่ำ

หลี่เป่าผิงก็มาที่เมืองเล็ก นางกลับไปที่บ้านก่อน ท่านแม่ของนางหลั่งน้ำตาไม่หยุด หลี่เป่าผิงเองก็ทนไม่ไหวเช่นกัน

จากนั้นหลี่เป่าผิงก็ออกจากถนนฝูลวี่ไปที่ตรอกฉีหลงด้วยความคุ้นเคย ร้านทั้งสองตอนนี้กลายมาเป็นร้านของอาจารย์อาน้อยแล้ว กิจการที่สืบทอดจากบรรพบุรุษซึ่งในอดีตเป็นของเด็กหญิงมัดผมแกละ ตอนเด็กๆ หลี่เป่าผิงก็เคยไปเยือนมาบ่อยครั้ง แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ว่าจะนอกหรือในเมืองเล็ก ตรอกน้อยถนนใหญ่ หลี่เป่าผิงก็วิ่งผ่านมาตั้งแต่เล็กจนโต ให้หลับตาเดินก็ยังได้ เพียงแต่คราวนี้นางเดินช้ามาก ไม่ได้พุ่งทะยานไปเร็วมาเร็วราวกับสายลมอีก แล้วก็ได้พบเผยเฉียนที่นั่งรอตนอยู่บนม้านั่งของร้านยาสุ้ยจริงๆ หลี่เป่าผิงถึงได้เพิ่มความเร็วฝีเท้าเดินเข้าไปหา นางนั่งอยู่ในร้านครู่หนึ่ง แล้วก็ไปที่ตรอกหนีผิงกับเผยเฉียน พบว่าบ้านบรรพบุรุษของอาจารย์อาน้อยสะอาดเอี่ยม ไม่ต้องทำความสะอาดอะไรเพิ่มอีก หลี่เป่าผิงจึงพาเผยเฉียนกลับไปที่ถนนฝูลวี่

เผยเฉียนนั่งยองอยู่ข้างบ่อน้ำบ่อเล็ก เบิกตากว้างมองก้อนหิน มองปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองที่ว่ากันว่าถูกเลี้ยงในบ่อนี้มานานหลายปีแล้ว เป็นอาจารย์อาน้อยที่มอบให้หลี่เป่าผิงในปีนั้น และยังมีปูตัวเล็กสีทองที่ถูกเลี้ยงมานานยิ่งกว่าอีกตัวหนึ่ง แต่ปูตัวนี้เป็นพี่หญิงเป่าผิงที่จับมาได้เอง ทว่าในความเป็นจริงแล้ว หากจะพูดให้ถูกก็คือปีนั้นแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงถูกมันหนีบนิ้ว นางวิ่งกลับบ้านร้องไห้น้ำตาไหลมาตลอดทาง จนกระทั่งพี่ชายหลี่ซีเซิ่งช่วยง้างก้ามปูออกให้

เผยเฉียนมองอยู่นาน เจ้าตัวน้อยทั้งสองนั่นไม่ค่อยไว้หน้านางสักเท่าไหร่ เพราะพวกมันพากันหลบเลี่ยงไม่ยอมออกมาให้เห็นหน้า

บ่อน้ำน้อยนี้เป็นหลี่เป่าผิงที่สร้างขึ้นเองกับมือ ก้อนหินก็ล้วนเป็นนางที่ไปเก็บมาจากในลำธารด้วยตัวเอง นางจะเลือกแต่ก้อนสวยๆ สีสันสดใสน่ามองกลับมา แล้วขนกลับบ้านครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนมดย้ายรัง ต้องเปลืองแรงไปมหาศาล แรกเริ่มก็เอาไปวางไว้ตรงมุมกำแพงก่อน จนมันกลายเป็นภูเขาลูกย่อม ภายหลังถึงได้สร้างบ่อน้ำบ่อนี้ขึ้นมา ก้อนหินที่ตอนนั้นเคยเป็น ‘ขุนนางผู้มีคุณูปการบุกเบิกแคว้น’ เหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนสีสันซีดจาง ไม่มีประกายแสงแวววาวและภาพแปลกประหลาดใดๆ อีกแล้ว แต่ก็ยังมีก้อนหินน้อยใหญ่อีกไม่น้อยที่ยังคงเปล่งแสงใสแวววาว เมื่อถูกสาดสะท้อนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ประกายแสงก็ไหลเวียนวน เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณ

หลินโส่วอีไปที่จวนที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผามารอบหนึ่ง ถือว่าได้กลับคืนสู่มาตุภูมิเดิมอีกครั้ง เพราะตอนเป็นเด็กเขาเองก็มักจะมาเที่ยวเล่นที่นี่บ่อยๆ

ตระกูลหลินคือตระกูลใหญ่ในเมืองเล็ก แต่กลับไม่ได้อยู่ในอันดับของสี่แซ่สิบตระกูล อีกทั้งคนตระกูลหลินก็ไม่ค่อยมีชื่อเสียงสักเท่าไหร่ พวกเขาไม่ค่อยชอบคบค้าสมาคมกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างบิดาของหลินโส่วอีก็เป็นแค่ขุนนางระดับขั้นไม่สูงในที่ว่าการจวนผู้ตรวจการเท่านั้น ตอนที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการที่มีเพียงแห่งเดียวในเมืองเล็กของปีนั้น ก่อนจะย้ายออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู เคยช่วยเหลือผู้ตรวจการงานเตาเผาก่อนหลังทั้งหมดสามรุ่น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครคิดจะเลื่อนขั้นให้เขา

ตระกูลหลินย้ายไปอยู่เมืองหลวงต้าหลี แต่บ้านเดิมยังคงอยู่ ไม่ได้ขายทิ้ง เหลือแค่บ่าวรับใช้วัยชราไว้ให้ดูแลบ้านไม่กี่คนเท่านั้น

นับตั้งแต่รู้ความ หลินโส่วอีก็ไม่ได้มีความผูกพันกับตระกูลของตัวเองสักเท่าไหร่

และดูเหมือนว่าทางตระกูลเองก็รู้สึกกับเขาแบบเดียวกัน

ทั้งสองฝ่ายต่างรังเกียจกันและกัน

ต่อให้ทุกวันนี้เรื่องราวของหลินโส่วอีที่อยู่ในสำนักศึกษาจะทยอยกันแพร่มาถึงต้าหลี แต่ก็ดูเหมือนว่าทางตระกูลจะยังคงเฉยเมยไม่สะทกสะท้านดังเดิม

หลินโส่วอีไม่รู้สึกว่าน่าประหลาดใจ เพราะบิดาเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ขอแค่เป็นเรื่องที่บิดาแน่ใจแล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ขอแค่ไม่ถูกใจเขาก็ล้วนผิดไปเสียทั้งหมด ส่วนมารดานั้น ระหว่างบิดากับบุตร นางก็จะเลือกยืนอยู่ข้างสามีของตัวเองตลอดกาล สายตาที่มองบุตรชายเย็นชาเฉยเมยมาโดยตลอด เหมือนมองคนคนหนึ่งที่แค่ช่วยให้นางได้อยู่ในตระกูลหลินเท่านั้น ไม่ใช่คนนอก แต่ก็ไม่ใช่ญาติมิตร สรุปก็คือไม่เหมือนมารดาที่ปฏิบัติต่อเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง มีแต่ความเกรงใจ ซ่อนไว้ด้วยความห่างเหิน

หลินโส่วอีรู้จักเพื่อนร่วมงานของบิดาในที่ว่าการ จึงเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยือนพวกเขา ไม่ได้คุยอะไรกันมาก เพราะไม่มีอะไรให้คุย อีกทั้งการพูดจาปราศรัยกับคนอื่นก็เป็นสิ่งที่หลินโส่วอีไม่ถนัดมาโดยตลอด

ว่ากันว่าวันนี้ใต้เท้าผู้ตรวจการออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกอีกแล้ว ตามคำบอกของเสมียนในที่ว่าการ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใต้เท้าเฉาคงไปดื่มเหล้าอีกแล้ว

หลินโส่วอีอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นขุนนางมีระดับขั้นหรือแค่เสมียนไร้ตำแหน่ง ยามที่พูดถึงผู้ตรวจการที่เดิมทีพวกเขาควรจะเลือกถ้อยคำมาเอ่ยถึงอย่างระมัดระวังผู้นั้น แต่ละคนกลับมีใบหน้าแย้มยิ้มพูดจาตามใจชอบ

พอดีกับที่อวี๋ลู่พาเซี่ยเซี่ยไปที่บ้านบรรพบุรุษสกุลเฉาหลังนั้น ปีนั้นหลังจากที่สถานะของอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยถูกเปิดโปงก็เคยถูกพาตัวมาที่นี่ พร้อมกับเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่ชื่อว่าชุยชื่อผู้นั้น มาเป็นบ่าวรับใช้ของราชครูชุยฉานที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่ม

ทายาทสกุลเฉาอันเป็นเสาหลักค้ำยันแคว้นต้าหลี หรือก็คือผู้ตรวจการเฉาของเขตการปกครองหลงเฉวียนในทุกวันนี้ ปัจจุบันก็พักอาศัยอยู่ที่นี่

วันนี้ดื่มเหล้าเยอะไป ใต้เท้าเฉาจึงไม่ไปที่ว่าการเสียเลย อยู่ที่นั่นตำแหน่งขุนนางของเขาใหญ่สุด จะทำอย่างไรก็เรื่องของเขา เขาหิ้วกาเหล้าว่างเปล่ามากาหนึ่ง ทั่วร่างคลุ้งตลบไปด้วยกลิ่นสุรา เดินโซซัดโซเซกลับบ้านบรรพบุรุษ คิดว่าจะกลับไปงีบหลับสักพัก ระหว่างทางเจอใครก็เอ่ยทักทายทั้งหมด ไม่ว่าจะชายหญิง คนแก่หรือเด็ก หากเห็นเด็กน้อยที่สวมกางเกงเปิดก้นยังเดินเข้าไปเตะเบาๆ เด็กน้อยก็ไม่กลัวขุนนางใหญ่อย่างเขา วิ่งไล่ตามมาพ่นน้ำลายใส่ ใต้เท้าเฉาเตะไปหลบไป เหล่าสตรีทั้งหลายที่อยู่บนถนนเห็นกันจนชินตาเสียแล้ว ใบหน้าที่มองไปยังขุนนางหนุ่มผู้นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

กว่าใต้เท้าเฉาจะสลัดการตามตอแยของเจ้าตะพาบน้อยคนนั้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็มาเจอเข้ากับอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยกลางทางพอดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจำได้หรือเดาสถานะของคนทั้งสองออก ใต้เท้าเฉาผู้สง่างามที่กำลังเมามายจึงถามอวี๋ลู่ว่าดื่มเหล้าหรือไม่ อวี๋ลู่ตอบว่าพอดื่มได้บ้าง ใต้เท้าเฉาจึงแกว่งกาเหล้าที่ว่างเปล่า จากนั้นโยนกุญแจไปให้อวี๋ลู่ ส่วนตัวเองก็วิ่งกลับไปที่ร้านเหล้าอีกครั้ง อวี๋ลู่ไม่อาจรั้งเขาไว้ได้ เซี่ยเซี่ยถามว่า “คนแบบนี้จะได้เป็นเจ้าประมุขสกุลเฉาในอนาคตจริงๆ หรือ?”

อวี๋ลู่ยิ้มกล่าว “คงต้องเป็นคนแบบนี้ถึงจะเป็นได้กระมัง”

เซี่ยเซี่ยแค่นเสียงหยันในลำคอ

เมื่อเทียบกับนายอำเภอหยวนที่สุภาพอบอุ่น มุมานะทำงานแล้ว ผู้ตรวจการเฉาขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าสำราญ เตาเผามังกรใหญ่ๆ หลายแห่งเขาก็แค่ไปเดินดูผ่านๆ มารอบเดียว แล้วก็ไม่เคยไปดูอีกเลย

กลับเป็นในเมืองเล็กหรือไม่ก็เขตการปกครองที่เขามักจะมาเยือนบ่อยๆ ชอบซื้อเหล้า เลี้ยงเหล้าคนอื่น ยิ่งชอบพูดคุยกับคนอื่นเรื่อยเปื่อย แทบทุกครั้งที่ปรากฏตัว ในมือจะต้องหิ้วกาเหล้ามาหนึ่งกา ความต่างเพียงอย่างเดียวก็คือในกาเหล้าจะมีหรือไม่มีเหล้าเท่านั้น บุรุษในเมืองเล็กล้วนชอบดื่มเหล้าและพูดคุยกับขุนนางที่มาจากเมืองหลวงท่านนี้ ทุกครั้งที่ใต้เท้าเฉาปรากฏตัวก็จะมีพวกบุรุษว่างงานชอบดื่มเหล้าพุ่งเข้าไปห้อมล้อมเขาทันที รับฟังเรื่องเล่าน่าสนใจเกี่ยวกับเมืองหลวงจากใต้เท้าเฉา จริงบ้างเท็จบ้าง ใครเล่าจะสนใจ ก็แค่หาความครึกครื้นสนุกสนานไม่ใช่หรือ อีกอย่างขอแค่ได้ดื่มเหล้า ใต้เท้าเฉาก็มักจะทิ้งประโยคหนึ่งไว้เป็นประจำว่า ค่าเหล้าวันนี้ข้าจ่ายเอง!

สตรีแต่งงานแล้วและเด็กสาวต่างก็ชอบขุนนางหนุ่มที่มีรอยยิ้มน่าหลงใหลผู้นี้กันทั้งนั้น

ระดับการได้รับความนิยมจากสตรีในเมืองเล็กของเขา ไม่ด้อยไปกว่านักพรตหนุ่มที่ปีนั้นมาตั้งแผงดูดวงเลย

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 472.2 ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 472.2 ได้ยินมาว่าเจ้าจะประลองกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลี่เป่าผิงหัวเราะ หันหน้าไปมองทางทิศใต้ หรี่ดวงตาทั้งคู่ลง ดวงตาคู่นั้นจึงดูเรียวยาวขึ้นเล็กน้อย ดวงหน้าของนางไม่ได้กลมดิกเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่ปลายคางเริ่มแหลมจนใบหน้าคล้ายกลายเป็นรูปไข่แล้ว

นางค้อมตัวลงช่วยเช็ดน้ำตาให้เผยเฉียนแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เอาล่ะๆ ต้องโทษข้า ต้องโทษข้าคนเดียว”

เผยเฉียนที่หลังจากร้องไห้เสร็จก็รู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย “ขอโทษนะพี่หญิงเป่าผิง ข้าพูดจาเหลวไหล”

หลี่เป่าผิงตบไหล่เผยเฉียน ยิ้มกล่าวว่า “ไว้ค่อยเจอกัน”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ มองหลี่เป่าผิงที่หมุนตัวเดินจากไป

พี่หญิงเป่าผิงสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก และยังสวมชุดสีแดงที่คุ้นตา แต่เผยเฉียนมองแผ่นหลังที่ค่อยๆ จากไปไกลนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้กังวลอย่างยิ่งว่าพรุ่งนี้หรือไม่ก็วันมะรืนที่จะได้พบพี่หญิงเป่าผิงอีกครั้ง นางจะตัวสูงขึ้นไปอีก แล้วก็จะยิ่งไม่เหมือนเดิมอีก ไม่รู้ว่าปีนั้นที่อาจารย์เดินเข้าไปในสำนักศึกษาซานหยาจะรู้สึกแบบนี้เหมือนกันหรือไม่? ปีนั้นที่ยืนยันจะลากพวกเขาไปทำเรื่องที่ตอนนั้นเผยเฉียนรู้สึกว่าสนุกอย่างมากบนทะเลสาบของสำนักศึกษา ก็เป็นเพราะว่าอาจารย์นึกถึงวันนี้ไว้ก่อนแล้วใช่หรือไม่? เพราะมองดูเหมือนสนุก แต่คนเราเมื่อเติบโตขึ้น แท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องที่ไม่สนุกเลยสักนิด?

เผยเฉียนเกาหัว กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดใจ ตอนนี้จะดีจะชั่วตนก็เป็นเถ้าแก่สามของร้านค้าทั้งสองแล้ว ทำไมถึงหลงๆ ลืมๆ แบบนี้นะ นางหยิบถังหูลู่สองไม้ที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันออกมาจากชายแขนเสื้อ ลืมเอาให้พี่หญิงเป่าผิงเสียได้!

นางทอดถอนใจ เก็บถังหูลู่ไม้หนึ่งใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เหลือไว้หนึ่งไม้แล้วกินเอง รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ ส่วนเงินที่ซื้อถังหูลู่นั้น สือโหรวเป็นคนออก นางเองก็จริงๆ เลย ตนก็แค่บ่นเรื่องถังหูลู่ในร้านยาสุ้ยแค่ไม่กี่ประโยค ถามสือโหรวหลายคำไปหน่อยว่าได้ยินเสียงพ่อค้าหาบเร่เรียกขายถังหูลู่ผ่านมาในตรอกบ้างหรือไม่ ไปๆ มาๆ สือโหรวก็เป็นฝ่ายยัดเงินเหรียญทองแดงให้นางหนึ่งเหรียญ บอกว่าจะเลี้ยงนาง ไม่ต้องคืนเงิน น่าเกรงใจยิ่งนัก เผยเฉียนไม่ใช่เด็กตะกละแบบนั้นเสียหน่อย นางจึงจ้องเหรียญทองแดงของสือโหรวที่อยู่กลางฝ่ามือเขม็ง จากนั้นก็ส่ายหน้าโบกมือบอกว่าไม่ต้องๆ แต่สุดท้ายนางก็ยังรับเอาไว้ ยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญจริงๆ

กินถังหูลู่หมด ไม้ที่อยู่ในชายแขนเสื้อจะเก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน ถึงอย่างไรสือโหรวก็เป็นคนออกเงิน กลับไปจะเอาไปให้นาง ส่วนของพี่หญิงเป่าผิง เดี๋ยวพรุ่งนี้นางออกเงินซื้อเอง

คนในยุทธภพมักจะทำอะไรเปิดเผยใจกว้างเช่นนี้

เผยเฉียนโบกตวัดไม้เท้าเดินป่าไปหนึ่งคำรบ ชำเลืองตามองหมาพันธ์พื้นบ้านที่หลบอยู่ห่างไปไกลตัวนั้นแล้วถลึงตาใส่มัน หมาตัวนั้นก็รีบวิ่งหางลู่มานอนหมอบอยู่ข้างกายนาง

เผยเฉียนทรุดตัวลงนั่งยอง คว้าจับปากของมันเอาไว้ พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ไอ้น้องชาย เจ้านี่มันยังไง ตัวถึงได้เตี้ยขนาดนี้ เจ้าคือฟักเตี้ยอย่างนั้นหรือ? อับอายขายหน้าหรือไม่? หืม? ถามก็พูดสิ!”

อยู่ดีๆ มันก็ได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ จึงกลายเป็นภูตมานานแล้ว หมาพันธ์พื้นบ้านที่เดิมทีควรวิ่งเที่ยวไปทั่วขุนเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกนอนหมอบนิ่งไม่ขยับ ในดวงตาเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและไม่พอใจ

ตอนนี้สติปัญญาของมันเปิดโล่งแล้ว อีกทั้งยังมีที่พึ่งเป็นสำนักกระบี่หลงเฉวียน เมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มภูเขาตะวันตก มันจึงถือว่าเป็นภูตภูเขาที่ใครก็ไม่กล้ามาหาเรื่องตัวหนึ่งแล้ว แต่ยังอยู่ห่างจากการเปิดปากพูดและกลายร่างเป็นคนได้อีกไกลนัก

เผยเฉียนบีบปากของหมาพันธ์พื้นบ้านแน่น นางถลึงตาใส่อีกฝ่าย “ไม่พูดก็แสดงว่าไม่ยอมแพ้สินะ? ใครมอบดีสุนัขนี้ให้เจ้า?!”

มันไม่กล้ากระดุกกระดิก

เผยเฉียนบิดข้อมือ หัวของสุนัขก็หมุนตาม หมาพันธ์พื้นบ้านร้องครวญเอ๋งๆ ขึ้นมาทันที เผยเฉียนพูดอย่างขุ่นเคือง “พูดมา เจ้าแอบไปรังแกห่านขาวในเมืองเล็กลับหลังข้าอีกแล้วใช่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นเหตุใดทุกครั้งที่ข้าพาเจ้าไปด้วย พวกมันเห็นเจ้าก็จะต้องวิ่งหนีไปทันที? เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าอย่าปล่อยหมัดสูง?! เจ้าทำให้ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว อยู่ในยุทธภพกับข้ามานานขนาดนี้กลับไม่ตั้งใจเรียนรู้ในสิ่งที่ดีบ้างเลย”

หมาพันธ์พื้นบ้านตัวนั้นถึงขั้นมีใจนึกอยากตายแล้ว

ปีนั้นใครกันที่ขี่ห่านขาวตัวใหญ่วิ่งวนไปทั่วตรอกเล็ก?

กว่าเผยเฉียนจะยอมปล่อยหมาพันธ์พื้นบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย นางปล่อยมือ ลุกขึ้นยืน ปัดมือ แต่แล้วจู่ๆ นางก็พลันกะพริบตาอย่างแรง แล้วยกมือขึ้นขยี้

คราวก่อนตอนที่กินไข่มุกลูกที่อาจารย์ส่งให้ในตรอกฉีหลง นางมักจะเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ดวงตาสองข้างมักรู้สึกคัน ไม่ได้เจ็บปวดอะไร เพียงแต่รำคาญใจนิดๆ ทำให้หลายครั้งที่นางคัดตัวอักษร หากกะพริบตา ลายเส้นก็จะเอียงทันที ไม่สามารถเขียนตัวอักษรให้เป็นระเบียบได้ ต้องเขียนใหม่อีกครั้ง นี่คือหนึ่งในกฎจำนวนไม่มากที่อาจารย์ตั้งไว้ นางเองก็ทำตามมาโดยตลอด ต่อให้ทุกวันนี้จะไม่มีใครมาคอยคุมเวลานางคัดตัวอักษรแล้วก็ตาม

อีกทั้งบางครั้งเวลานางมองกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษรก็จะรู้สึกว่าตัวอักษรพวกนั้นขยับ แต่พอนางเพ่งตามองให้ชัดกลับเห็นว่าพวกมันก็เป็นปกติดี แต่ละตัวอักษรล้วนนอนอยู่บนกระดาษอย่างเป็นระเบียบ

เผยเฉียนคิดว่าจะฉวยโอกาสที่พาพี่หญิงเป่าผิงไปภูเขาลั่วพั่วหลังจากนี้สอบถามพ่อครัวเฒ่าจูที่วันๆ อยู่ว่างไม่มีอะไรทำเสียหน่อย ถึงอย่างไรเขาก็รู้ดีทุกเรื่อง หากไม่ได้จริงๆ ก็ถามท่านเทพภูเขาเว่ยป้อ หรือหากยังไม่ได้จริงๆ เฮ้อ ก็คงต้องได้แต่เข้าไปในบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ ไปขอความรู้กับอาจารย์ผู้เฒ่าที่พูดไม่ถูกหูคำเดียวก็จะสอนวิชาหมัดให้แก่นางผู้นั้นแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าก็แค่อาศัยว่าอายุมาก มีพละกำลังมากกว่าอาจารย์ของนางแค่ไม่กี่ชั่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ เขาจะไปเข้าใจวิชาหมัดอะไร? จะเข้าใจได้เหมือนอาจารย์ของนางหรือ? ตาแก่นั่นจะเข้าใจกะผายลมอะไร!

เผยเฉียนเริ่มเดินอาดๆ กลับไปทางเมืองเล็ก เดินเชิดหน้าไม่มองทาง ยืดอกขึ้นสูง พูดเสียงดังว่า “ก้าวเดินอาจหาญ ศัตรูลนลาน! วิชากระบี่มารคลั่ง เลิศล้ำไร้ทัดเทียม! หากมีสหาย สังหารหมาพันธ์พื้นบ้าน ข้ากินเนื้อ เจ้าดื่มน้ำแกง!”

หมาพันธ์พื้นบ้านที่หางลู่เดินตามไปด้านหลังจอมยุทธหญิงใหญ่เผยอย่างว่าง่าย

……

เมืองเล็กยิ่งครึกครื้นมากขึ้น เพราะมีลูกศิษย์จากสำนักศึกษาต้าสุยที่สามารถพูดภาษากลางของทวีปได้มาเพิ่มหลายคน

หลี่ไหวพาหลิวกวานและหม่าเหลียนไปที่บ้านของตัวเอง สภาพบ้านนั้นเก่าโทรมแทบทนมองไม่ได้ หลิวกวานยังดีหน่อย เพราะเดิมทีก็มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลยากจนอยู่แล้ว มีแต่หม่าเหลียนที่ปากอ้าตาค้าง เขาเคยเห็นคนจนมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครที่จนถึงขั้นบ้านมีแต่ผนังสี่ด้านแบบนี้ ทว่าหลี่ไหวกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาควักกุญแจออกมาเปิดประตู พาพวกเขาไปตักน้ำมาทำความสะอาดเรือน แน่นอนว่าในเมืองเล็กไม่ได้มีแค่บ่อโซ่เหล็กเป็นบ่อน้ำบ่อเดียวเท่านั้น บริเวณใกล้เคียงก็ยังมี เพียงแต่ว่าน้ำในบ่อไม่ได้หวานเหมือนน้ำของบ่อโซ่เหล็กเท่านั้น เวลาที่ท่านแม่ของหลี่ไหวเจอเรื่องดีๆ ตอนอยู่ในบ้าน หรือได้ยินว่าบ้านใครเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ถึงจะเดินไกลไปตักน้ำที่นั่น เพื่อประลองฝีมือกับยายหม่าตรอกซิ่งฮวา และพวกสตรีกลุ่มใหญ่ซึ่งรวมถึงหญิงหม้ายสกุลกู้ตรอกหนีผิงด้วย

หลิวกวานเป็นพวกคนขี้เกียจ เขาไม่อยากขยับตัว จึงบอกว่าเดี๋ยวเขาจะรับผิดชอบหน้าที่ก่อไฟทำอาหารเอง หลี่ไหวจึงพาหม่าเหลียนไปตักน้ำ ผลกลับกลายเป็นว่าด้วยไหล่ที่บอบบางนุ่มนิ่มของหม่าเหลียนนั้น ทำให้เขาร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด สตรีที่ยืนมองอยู่ข้างบ่อน้ำหัวเราะไม่หยุด หม่าเหลียนที่หล่อเหลาจึงหน้าแดงก่ำ

หลี่เป่าผิงก็มาที่เมืองเล็ก นางกลับไปที่บ้านก่อน ท่านแม่ของนางหลั่งน้ำตาไม่หยุด หลี่เป่าผิงเองก็ทนไม่ไหวเช่นกัน

จากนั้นหลี่เป่าผิงก็ออกจากถนนฝูลวี่ไปที่ตรอกฉีหลงด้วยความคุ้นเคย ร้านทั้งสองตอนนี้กลายมาเป็นร้านของอาจารย์อาน้อยแล้ว กิจการที่สืบทอดจากบรรพบุรุษซึ่งในอดีตเป็นของเด็กหญิงมัดผมแกละ ตอนเด็กๆ หลี่เป่าผิงก็เคยไปเยือนมาบ่อยครั้ง แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ว่าจะนอกหรือในเมืองเล็ก ตรอกน้อยถนนใหญ่ หลี่เป่าผิงก็วิ่งผ่านมาตั้งแต่เล็กจนโต ให้หลับตาเดินก็ยังได้ เพียงแต่คราวนี้นางเดินช้ามาก ไม่ได้พุ่งทะยานไปเร็วมาเร็วราวกับสายลมอีก แล้วก็ได้พบเผยเฉียนที่นั่งรอตนอยู่บนม้านั่งของร้านยาสุ้ยจริงๆ หลี่เป่าผิงถึงได้เพิ่มความเร็วฝีเท้าเดินเข้าไปหา นางนั่งอยู่ในร้านครู่หนึ่ง แล้วก็ไปที่ตรอกหนีผิงกับเผยเฉียน พบว่าบ้านบรรพบุรุษของอาจารย์อาน้อยสะอาดเอี่ยม ไม่ต้องทำความสะอาดอะไรเพิ่มอีก หลี่เป่าผิงจึงพาเผยเฉียนกลับไปที่ถนนฝูลวี่

เผยเฉียนนั่งยองอยู่ข้างบ่อน้ำบ่อเล็ก เบิกตากว้างมองก้อนหิน มองปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองที่ว่ากันว่าถูกเลี้ยงในบ่อนี้มานานหลายปีแล้ว เป็นอาจารย์อาน้อยที่มอบให้หลี่เป่าผิงในปีนั้น และยังมีปูตัวเล็กสีทองที่ถูกเลี้ยงมานานยิ่งกว่าอีกตัวหนึ่ง แต่ปูตัวนี้เป็นพี่หญิงเป่าผิงที่จับมาได้เอง ทว่าในความเป็นจริงแล้ว หากจะพูดให้ถูกก็คือปีนั้นแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงถูกมันหนีบนิ้ว นางวิ่งกลับบ้านร้องไห้น้ำตาไหลมาตลอดทาง จนกระทั่งพี่ชายหลี่ซีเซิ่งช่วยง้างก้ามปูออกให้

เผยเฉียนมองอยู่นาน เจ้าตัวน้อยทั้งสองนั่นไม่ค่อยไว้หน้านางสักเท่าไหร่ เพราะพวกมันพากันหลบเลี่ยงไม่ยอมออกมาให้เห็นหน้า

บ่อน้ำน้อยนี้เป็นหลี่เป่าผิงที่สร้างขึ้นเองกับมือ ก้อนหินก็ล้วนเป็นนางที่ไปเก็บมาจากในลำธารด้วยตัวเอง นางจะเลือกแต่ก้อนสวยๆ สีสันสดใสน่ามองกลับมา แล้วขนกลับบ้านครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนมดย้ายรัง ต้องเปลืองแรงไปมหาศาล แรกเริ่มก็เอาไปวางไว้ตรงมุมกำแพงก่อน จนมันกลายเป็นภูเขาลูกย่อม ภายหลังถึงได้สร้างบ่อน้ำบ่อนี้ขึ้นมา ก้อนหินที่ตอนนั้นเคยเป็น ‘ขุนนางผู้มีคุณูปการบุกเบิกแคว้น’ เหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนสีสันซีดจาง ไม่มีประกายแสงแวววาวและภาพแปลกประหลาดใดๆ อีกแล้ว แต่ก็ยังมีก้อนหินน้อยใหญ่อีกไม่น้อยที่ยังคงเปล่งแสงใสแวววาว เมื่อถูกสาดสะท้อนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ประกายแสงก็ไหลเวียนวน เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณ

หลินโส่วอีไปที่จวนที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผามารอบหนึ่ง ถือว่าได้กลับคืนสู่มาตุภูมิเดิมอีกครั้ง เพราะตอนเป็นเด็กเขาเองก็มักจะมาเที่ยวเล่นที่นี่บ่อยๆ

ตระกูลหลินคือตระกูลใหญ่ในเมืองเล็ก แต่กลับไม่ได้อยู่ในอันดับของสี่แซ่สิบตระกูล อีกทั้งคนตระกูลหลินก็ไม่ค่อยมีชื่อเสียงสักเท่าไหร่ พวกเขาไม่ค่อยชอบคบค้าสมาคมกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างบิดาของหลินโส่วอีก็เป็นแค่ขุนนางระดับขั้นไม่สูงในที่ว่าการจวนผู้ตรวจการเท่านั้น ตอนที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการที่มีเพียงแห่งเดียวในเมืองเล็กของปีนั้น ก่อนจะย้ายออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู เคยช่วยเหลือผู้ตรวจการงานเตาเผาก่อนหลังทั้งหมดสามรุ่น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครคิดจะเลื่อนขั้นให้เขา

ตระกูลหลินย้ายไปอยู่เมืองหลวงต้าหลี แต่บ้านเดิมยังคงอยู่ ไม่ได้ขายทิ้ง เหลือแค่บ่าวรับใช้วัยชราไว้ให้ดูแลบ้านไม่กี่คนเท่านั้น

นับตั้งแต่รู้ความ หลินโส่วอีก็ไม่ได้มีความผูกพันกับตระกูลของตัวเองสักเท่าไหร่

และดูเหมือนว่าทางตระกูลเองก็รู้สึกกับเขาแบบเดียวกัน

ทั้งสองฝ่ายต่างรังเกียจกันและกัน

ต่อให้ทุกวันนี้เรื่องราวของหลินโส่วอีที่อยู่ในสำนักศึกษาจะทยอยกันแพร่มาถึงต้าหลี แต่ก็ดูเหมือนว่าทางตระกูลจะยังคงเฉยเมยไม่สะทกสะท้านดังเดิม

หลินโส่วอีไม่รู้สึกว่าน่าประหลาดใจ เพราะบิดาเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ขอแค่เป็นเรื่องที่บิดาแน่ใจแล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ขอแค่ไม่ถูกใจเขาก็ล้วนผิดไปเสียทั้งหมด ส่วนมารดานั้น ระหว่างบิดากับบุตร นางก็จะเลือกยืนอยู่ข้างสามีของตัวเองตลอดกาล สายตาที่มองบุตรชายเย็นชาเฉยเมยมาโดยตลอด เหมือนมองคนคนหนึ่งที่แค่ช่วยให้นางได้อยู่ในตระกูลหลินเท่านั้น ไม่ใช่คนนอก แต่ก็ไม่ใช่ญาติมิตร สรุปก็คือไม่เหมือนมารดาที่ปฏิบัติต่อเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง มีแต่ความเกรงใจ ซ่อนไว้ด้วยความห่างเหิน

หลินโส่วอีรู้จักเพื่อนร่วมงานของบิดาในที่ว่าการ จึงเป็นฝ่ายไปเยี่ยมเยือนพวกเขา ไม่ได้คุยอะไรกันมาก เพราะไม่มีอะไรให้คุย อีกทั้งการพูดจาปราศรัยกับคนอื่นก็เป็นสิ่งที่หลินโส่วอีไม่ถนัดมาโดยตลอด

ว่ากันว่าวันนี้ใต้เท้าผู้ตรวจการออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกอีกแล้ว ตามคำบอกของเสมียนในที่ว่าการ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใต้เท้าเฉาคงไปดื่มเหล้าอีกแล้ว

หลินโส่วอีอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นขุนนางมีระดับขั้นหรือแค่เสมียนไร้ตำแหน่ง ยามที่พูดถึงผู้ตรวจการที่เดิมทีพวกเขาควรจะเลือกถ้อยคำมาเอ่ยถึงอย่างระมัดระวังผู้นั้น แต่ละคนกลับมีใบหน้าแย้มยิ้มพูดจาตามใจชอบ

พอดีกับที่อวี๋ลู่พาเซี่ยเซี่ยไปที่บ้านบรรพบุรุษสกุลเฉาหลังนั้น ปีนั้นหลังจากที่สถานะของอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ยถูกเปิดโปงก็เคยถูกพาตัวมาที่นี่ พร้อมกับเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่ชื่อว่าชุยชื่อผู้นั้น มาเป็นบ่าวรับใช้ของราชครูชุยฉานที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่ม

ทายาทสกุลเฉาอันเป็นเสาหลักค้ำยันแคว้นต้าหลี หรือก็คือผู้ตรวจการเฉาของเขตการปกครองหลงเฉวียนในทุกวันนี้ ปัจจุบันก็พักอาศัยอยู่ที่นี่

วันนี้ดื่มเหล้าเยอะไป ใต้เท้าเฉาจึงไม่ไปที่ว่าการเสียเลย อยู่ที่นั่นตำแหน่งขุนนางของเขาใหญ่สุด จะทำอย่างไรก็เรื่องของเขา เขาหิ้วกาเหล้าว่างเปล่ามากาหนึ่ง ทั่วร่างคลุ้งตลบไปด้วยกลิ่นสุรา เดินโซซัดโซเซกลับบ้านบรรพบุรุษ คิดว่าจะกลับไปงีบหลับสักพัก ระหว่างทางเจอใครก็เอ่ยทักทายทั้งหมด ไม่ว่าจะชายหญิง คนแก่หรือเด็ก หากเห็นเด็กน้อยที่สวมกางเกงเปิดก้นยังเดินเข้าไปเตะเบาๆ เด็กน้อยก็ไม่กลัวขุนนางใหญ่อย่างเขา วิ่งไล่ตามมาพ่นน้ำลายใส่ ใต้เท้าเฉาเตะไปหลบไป เหล่าสตรีทั้งหลายที่อยู่บนถนนเห็นกันจนชินตาเสียแล้ว ใบหน้าที่มองไปยังขุนนางหนุ่มผู้นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

กว่าใต้เท้าเฉาจะสลัดการตามตอแยของเจ้าตะพาบน้อยคนนั้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็มาเจอเข้ากับอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยกลางทางพอดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจำได้หรือเดาสถานะของคนทั้งสองออก ใต้เท้าเฉาผู้สง่างามที่กำลังเมามายจึงถามอวี๋ลู่ว่าดื่มเหล้าหรือไม่ อวี๋ลู่ตอบว่าพอดื่มได้บ้าง ใต้เท้าเฉาจึงแกว่งกาเหล้าที่ว่างเปล่า จากนั้นโยนกุญแจไปให้อวี๋ลู่ ส่วนตัวเองก็วิ่งกลับไปที่ร้านเหล้าอีกครั้ง อวี๋ลู่ไม่อาจรั้งเขาไว้ได้ เซี่ยเซี่ยถามว่า “คนแบบนี้จะได้เป็นเจ้าประมุขสกุลเฉาในอนาคตจริงๆ หรือ?”

อวี๋ลู่ยิ้มกล่าว “คงต้องเป็นคนแบบนี้ถึงจะเป็นได้กระมัง”

เซี่ยเซี่ยแค่นเสียงหยันในลำคอ

เมื่อเทียบกับนายอำเภอหยวนที่สุภาพอบอุ่น มุมานะทำงานแล้ว ผู้ตรวจการเฉาขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าสำราญ เตาเผามังกรใหญ่ๆ หลายแห่งเขาก็แค่ไปเดินดูผ่านๆ มารอบเดียว แล้วก็ไม่เคยไปดูอีกเลย

กลับเป็นในเมืองเล็กหรือไม่ก็เขตการปกครองที่เขามักจะมาเยือนบ่อยๆ ชอบซื้อเหล้า เลี้ยงเหล้าคนอื่น ยิ่งชอบพูดคุยกับคนอื่นเรื่อยเปื่อย แทบทุกครั้งที่ปรากฏตัว ในมือจะต้องหิ้วกาเหล้ามาหนึ่งกา ความต่างเพียงอย่างเดียวก็คือในกาเหล้าจะมีหรือไม่มีเหล้าเท่านั้น บุรุษในเมืองเล็กล้วนชอบดื่มเหล้าและพูดคุยกับขุนนางที่มาจากเมืองหลวงท่านนี้ ทุกครั้งที่ใต้เท้าเฉาปรากฏตัวก็จะมีพวกบุรุษว่างงานชอบดื่มเหล้าพุ่งเข้าไปห้อมล้อมเขาทันที รับฟังเรื่องเล่าน่าสนใจเกี่ยวกับเมืองหลวงจากใต้เท้าเฉา จริงบ้างเท็จบ้าง ใครเล่าจะสนใจ ก็แค่หาความครึกครื้นสนุกสนานไม่ใช่หรือ อีกอย่างขอแค่ได้ดื่มเหล้า ใต้เท้าเฉาก็มักจะทิ้งประโยคหนึ่งไว้เป็นประจำว่า ค่าเหล้าวันนี้ข้าจ่ายเอง!

สตรีแต่งงานแล้วและเด็กสาวต่างก็ชอบขุนนางหนุ่มที่มีรอยยิ้มน่าหลงใหลผู้นี้กันทั้งนั้น

ระดับการได้รับความนิยมจากสตรีในเมืองเล็กของเขา ไม่ด้อยไปกว่านักพรตหนุ่มที่ปีนั้นมาตั้งแผงดูดวงเลย

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+