กระบี่จงมา 483.2 จูเหลี่ยนอีกคน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 483.2 จูเหลี่ยนอีกคน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ดังนั้นผู้อาวุโสชุยจึงมองปมของปัญหาออก ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องดีอย่างการได้เปรียบเพียงอย่างเดียว ไม่แบ่งแยกความดีเลวในการลงมือและวิธีการที่ใช้ ทุกอย่างล้วนมีผลลัพธ์ตามมาทั้งสิ้น”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “การเป็นคนดีไม่เหมือนการฝึกวิชาหมัดที่เพียงแค่มุมานะตั้งใจฝึกฝนปณิธานหมัดก็เข้ามาอยู่บนกาย การเป็นคนที่ดี เอาตรงนี้มานิดหนึ่ง ลูบคลำตรงนั้นหน่อยหนึ่ง ง่ายที่จะเหมือนเพียงรูปลักษณ์ แต่ไม่เหมือนทางจิตวิญญาณ เดิมทีเมื่อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตแหลกสลาย สภาพจิตใจของข้าก็แตกกระจายตามไปด้วย ผลกลับกลายเป็นว่าทุกวันนี้ตกอยู่ในสภาพเหมือนเมืองที่แบ่งแยกดินแดนตั้งตัวเป็นอิสระ เพราะหากไม่ฝืนแบ่งแยกหลักกับรอง ปัญหาก็มีแต่จะใหญ่มากกว่าเดิม อาจเอาแต่เพ้อฝันเหมือนคนปัญญาอ่อน คิดจะฝึกฝนจนตัวเองกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ อันที่จริงก็ยังนับว่าดี ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เดินขึ้นที่สูงทีละก้าว ไม่พิถีพิถันในเรื่องพวกนี้ แต่หากเลียนแบบผู้ฝึกลมปราณ การเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตกลางคือด่านหนึ่ง สร้างโอสถทองก็ยิ่งเป็นอีกด่านหนึ่ง กลายเป็นก่อกำเนิดแล้วฝ่าทะลุขอบเขตก็ยิ่งเป็นด่านยากด่านใหญ่ นี่ไม่เหมือนคำว่างบปลายปีผ่านยาก แต่ก็ผ่านมาได้ทุกปี (งบปลายปีตามปฏิทินจันทรคติของจีน เพราะคนเป็นหนี้จะรู้สึกคล้ายกับว่าต้องผ่านด่าน) อย่างที่ชาวบ้านชอบพูดกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็สามารถอดทนจนผ่านไปได้ เรื่องของการฝึกตนนั้น หากไม่สมบูรณ์แบบครั้งหนึ่ง ก็มีแต่จะนำพาหายนะมาสู่ตัว”

เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักเสียง “ข้าไม่เคยรู้สึกว่านี่เป็นเพราะข้าคิดมากไปเอง ข้ายังคงเชื่อมั่นในคำว่าแพ้ชนะชั่วคราวขึ้นอยู่กับพละกำลัง แต่การเดินบนเส้นทางขึ้นสู่ที่สูงนี้ แพ้ชนะอย่างยาวนานกลับอยู่ที่หลักการเหตุผล นี่ก็คือรากฐานในการหยัดยืน จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ ใต้หล้าไม่เคยมีเรื่องดีๆ ที่รอให้ข้ามีชีวิตที่ดีก่อนแล้วค่อยใช้เหตุผล คุณความชอบยิ่งใหญ่ที่ทำสำเร็จได้ด้วยการไม่ใช่เหตุผล ในอนาคตก็มีแต่จะยิ่งไร้เหตุผลมากกว่าเดิม ในพื้นที่มงคลดอกบัว เจ้าอารามผู้เฒ่ามีกลอุบายลึกล้ำแยบยล ข้าคอยยืนดูอยู่ข้างๆ เขาเงียบๆ ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้วในใจกลับหวังว่าจะมองเห็นผลลัพธ์ของสามเรื่อง ถึงท้ายที่สุดกลับทำไม่ได้ สองเรื่องคือกระโดดข้ามไป เรื่องสุดท้ายถูกขัดจังหวะ เพราะต้องออกมาจากริมตลิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลา กลับคืนมายังโลกมนุษย์ของพื้นที่มงคลดอกบัวอีกครั้ง เรื่องที่ว่านั้นก็คือบัณฑิตคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแคว้นซงซีฉลาดเฉลียวอย่างยิ่ง มีชาติกำเนิดเป็นจิ้นซื่อ อีกทั้งยังมีปณิธานยิ่งใหญ่ยาวไกล ทว่าเมื่ออยู่ในวงการขุนนางกลับเจอแต่อุปสรรค ยากลำบากอย่างถึงที่สุด ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะปรับเปลี่ยนจิตใจของตัวเองเสียก่อน ลองศึกษากฎของวงการขุนนางดู เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม รอให้วันใดได้เข้าสู่ใจกลางราชสำนักแล้วค่อยกอบกู้โลกและช่วยเหลือปวงประชา ข้าก็เลยอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่า สุดท้ายแล้วบัณฑิตคนนี้ทำได้หรือว่าล้มเลิกไป”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว ในมือหิ้วกาเหล้าที่ไม่ได้ดื่ม เริ่มเดินวนรอบหลังโต๊ะที่มีพื้นที่คับแคบ พลางพูดพึมพำกับตัวเอง “หลักการเหตุผลมากมาย ข้ารู้ว่ามันดีมากๆ ถูกผิดมากมาย ข้าเองก็รู้อย่างชัดเจน ต่อให้ข้าจะได้เห็นแค่ผลลัพธ์ ทุกอย่างที่ข้าทำ ไม่ถือว่าเลวร้าย ทว่าระหว่างนี้ความยากลำบากก็มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รับรู้ เรียกได้ว่าความรู้สึกนับร้อยนับพันประดังประเดเข้าหา วุ่นวายไร้ระเบียบ ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นตอนที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนควรจะฆ่ากู้ช่านหรือไม่ ควรจะเป็นพันธมิตรกับหลิวจื้อเม่าที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตหรือไม่ จะแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามหลิวเหล่าเฉิงเพื่อเอาตัวรอดหรือไม่ หลังจากเรียนรู้จนมีความสามารถติดตัวแล้ว ควรจะคิดบัญชีกับศัตรูอย่างไร จะทำเหมือนการตัดสินใจในปีนั้นที่บุกรุดหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัว ไม่ต้องสนใจสิ่งใดอีกดีไหม? หรือว่าควรจะใคร่ครวญอย่างละเอียด ลองถอยไปหนึ่งก้าวแล้วตั้งสมมติฐานดูว่าควรจะต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนอะไรหรือไม่? การแก้ไขนี้ หากทำให้เรื่องราวถูกต้อง สอดคล้องกับหลักการเหตุผลแล้ว ทว่าส่วนลึกในใจข้าเฉินผิงอันสบายใจแล้วจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันยืนนิ่ง เขาส่ายหน้า สายตาเด็ดเดี่ยว พูดอย่างเฉียบขาดว่า “ข้าไม่สบายใจ”

เงียบไปครู่หนึ่ง

เฉินผิงอันก็แหงนหน้ากระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ ยกมือปาดริมฝีปาก “จะทำอย่างไรดี? แรกเริ่มข้านึกว่าขอแค่ได้ไปเยือนอุตรกุรุทวีปก็จะมีอิสระเสรี แต่คำพูดของผู้อาวุโสชุยกลับเป็นการเปิดโปงเรื่องนี้โดยตรง การกระทำนี้มีประโยชน์ แต่กลับมีประโยชน์ไม่มาก แก้ไขที่ปลายเหตุไม่ใช่ที่ต้นเหตุ นี่ทำให้ข้า…ลังเลอย่างมาก ข้าไม่กลัวหากต้องเสี่ยงอันตราย ต้องลำบาก หรือต้องได้รับความอยุติธรรม แต่ข้ากลับกลัวความรู้สึกที่…มองไปรอบด้านแล้วเห็นแต่ความว่างเปล่ามากที่สุด”

สายตาของเฉินผิงอันหม่นหมอง “ฟ้าดินกว้างใหญ่ โดดเดี่ยวเดียวดาย มองไปไม่เห็นญาติมิตร เหลียวซ้ายแลขวา ทำถูกก็ไม่มีคนชื่นชม ทำผิดก็ไร้คนด่า ความรู้สึกย่ำแย่เช่นนั้นในวัยเด็ก อันที่จริงมันคอยวนเวียนอยู่รอบกายข้าตลอดเวลา ขอแค่ข้านึกถึงมันก็จะต้องรู้สึกสิ้นหวัง ข้ารู้ดีว่าสภาพจิตใจเช่นนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง ตลอดหลายปีมานี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงแก้ไข แต่ก็ยังทำได้ไม่ดีพอ ดังนั้นกับกู้ช่าน กับหลิวเสี้ยนหยาง และกับคนทุกคนที่ข้าเห็นเป็นเพื่อน ข้าล้วนอยากจะยกสองประมือประคองส่งสิ่งของไปให้พวกเขา เป็นเพราะข้ามีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์จริงๆ หรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าเพียงแต่เริ่มตั้งสมมติฐานว่าข้ารั้งสิ่งใดไว้ไม่อยู่ แต่ขอแค่พวกเขาถือไว้ในมือ ต่อให้ข้าได้แค่มองแวบหนึ่งและเห็นว่ามันยังอยู่ ก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว เงินก็ดี สิ่งของก็ช่าง ล้วนเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนกับชุดคลุมอาคมจินหลี่ชุดนี้ ตัวข้าเองไม่ชอบหรือ? ชอบสิ ชอบมาก ร่วมทุกข์ด้วยกันมานานขนาดนี้ จะไม่มีความผูกพันเลยได้อย่างไร ข้าเฉินผิงอันเป็นใคร? แม้แต่ฉวีหวงม้าผอมๆ ตัวหนึ่งที่อยู่เคียงข้างกันและกันมาสองปีกว่าก็ยังต้องพาออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนกลับภูเขาลั่วพั่วไปด้วยกัน แต่ข้ากลัวว่าหากวันใดจู่ๆ ข้าตายไประหว่างการเดินทาง ทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกคนอื่นแย่งชิงไป แล้วจะให้พวกมันกลายเป็นโชควาสนาตระกูลเซียนที่ ‘เหลือ’ ให้กับคนที่ข้าไม่รู้จักเลยน่ะหรือ? แน่นอนว่าไม่สู้เอาไปมอบให้กับหลิวเสี้ยนหยางเสียแต่เนิ่นๆ ยังดีกว่า”

จูเหลี่ยนวางกาเหล้าลง ไม่ดื่มเหล้าอีก เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ความกังวลใจของนายน้อยไม่ใช่เรื่องในครอบครัวของตัวเอง แต่เป็นปัญหายากพันปีที่ทุกคนใต้หล้ามีร่วมกัน”

จูเหลี่ยนใช้ฝ่ามือสองข้างลูบที่เท้าแขนเก้าอี้เบาๆ “ไม่ใช่แค่นายน้อยคนเดียวเท่านั้นที่มี ข้าจูเหลี่ยนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็มีเหมือนกัน ติงอิงมี บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ก็มี นักปราชญ์ วิญญูชน อริยะ สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาทั้งหมดบนโลกล้วนมีด้วยกันทั้งสิ้น รากเหง้าความรู้ของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก อันที่จริงต่างก็กำลังงัดข้ออยู่กับ ‘ใจคน’ การควบคุมอบรมตนให้เป็นไปตามระเบียบพิธีการ วิญญูชนที่สำรวมตนแม้ยามอยู่เพียงลำพังของลัทธิขงจื๊อ การคล้อยตามธรรมชาติ ไม่กลบเกลื่อนความผิดที่ตัวเองกระทำของลัทธิเต๋า การกำราบวานรดื้อม้าพยศในหัวใจของลัทธิพุทธ ความรู้ล้วนเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่และดีงาม แต่ว่าเมื่อต้องนำมาปฏิบัติจริง ธรณีประตูก็ยังคงสูงเกินไป ก็เหมือนกับขี้ไก่ขี้หมาในตรอกหนีผิงที่ยากจะให้ความสนใจ ทฤษฎีคุณความชอบของชุยฉานและชุยตงซาน ความล้ำค่าของมันนั้นอยู่ที่ต่อให้เป็นเรื่องเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งนอกตรอกก็ยังสามารถควบคุมได้ดี ข้อเสียนั้นอยู่ที่ใช้พละกำลังกับเรื่องหยุมหยิมมากเกินไป ต้องชั่งน้ำหนักกับทุกเรื่อง ง่ายที่จิตใจคนจะเดินลงสู่ที่ต่ำ เป็นในทางปฏิบัติมากเกินไป ไม่สนใจเชิงทฤษฎีเลย ก็ยากที่จะแสวงหาสิ่งที่อยู่เหนือกว่าได้อีก”

จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืน ยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาค้ำผิวโต๊ะไว้เบาๆ แล้วเคาะ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ต่อจากนี้โปรดอนุญาตให้บ่าวเฒ่าแหกกฎสักครั้ง ไม่ยึดถือเรื่องสถานะ แต่ขอเรียกชื่อนายน้อยออกมาตามตรง”

จูเหลี่ยนเอ่ยต่อว่า “หยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าวิธีการที่เจ้าเฉินผิงอันปฏิบัติต่อโลกใบนี้ กับเจตจำนงเดิมของเจ้ากำลังงัดข้อกันและเข้ากันไม่ได้ อีกทั้งปมในใจที่มองดูเหมือนเล็กเท่าเมล็ดงาเหล่านี้ ยิ่งระดับความสูงในการเรียนวรยุทธและขอบเขตของผู้ฝึกตนสูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าเฉินผิงอันเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งหมัดปล่อยออกไป ปีนั้นสามารถต่อยให้หินอิฐและผนังปริแตก วันหน้าต่อยหมัดหนึ่งออกไป แม้แต่กำแพงเมืองวังหลวงของราชวงศ์โลกมนุษย์ก็ยังเละเป็นหน้ากลองได้ ปีนั้นเจ้าส่งหนึ่งกระบี่ออกไปก็สามารถช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นจากอันตราย สะท้านสะเทือนเหล่าศัตรู วันหน้าไม่แน่ว่าแค่ปราณกระบี่พุ่งไปถึง แม่น้ำลำธารก็อาจแหลกสลาย ศาลบรรพจารย์ของตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งหนึ่งอาจถึงขั้นหายวับไปไม่เหลือ แล้วจะไม่มีความผิดเลยได้อย่างไร? หากเจ้าคือหม่าขู่เสียน คนคนหนึ่งที่เจ้ารังเกียจมาก หรือแม้กระทั่งเป็นหลิวเสี้ยนหยาง คนคนหนึ่งซึ่งเป็นสหายที่ดีที่สุดของเจ้า ก็ล้วนไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่ก็เพราะว่าเป็นเช่นนี้ เจ้าเฉินผิงอันถึงได้เป็นเฉินผิงอันในเวลานี้”

จูเหลี่ยนชี้ไปที่เฉินผิงอัน “เจ้าถึงได้เป็นเจ้า”

จูเหลี่ยนวาดวงกลมวงหนึ่งลงบนโต๊ะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ขอแค่เจ้าทำให้ความรู้และหลักการเหตุผลของตัวเองสอดคล้องกับโลกใบนี้ได้ ก็จะทั้งสามารถแก้ไขปัญหา แล้วทั้งสามารถใช้ชีวิตผ่านพ้นไปด้วยดีในแต่ละวัน ขณะเดียวกันก็พอจะสบายใจได้ ไม่ต้องแสวงหาสิ่งนอกกายอีก แต่สถานการณ์ถามใจหลังจากนั้น ต้องการให้เจ้าลองถามตัวเองดูว่า เจ้าเฉินผิงอันเป็นใครกันแน่ ในเมื่อเจ้าเลือกทางเส้นนี้ ถ้าอย่างนั้นถูกก็ดี ผิดก็ช่าง ล้วนจำเป็นต้องรู้ไว้ก่อน รู้อย่างชัดเจน มองให้กระจ่างชัด ความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก แก้ไขให้สมบูรณ์แบบถึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเรื่องใดก็อย่าได้หวังเลย”

จูเหลี่ยนยื่นนิ้วมาชี้หน้าเฉินผิงอันอีกครั้ง เพียงแต่ว่าคราวนี้ยกนิ้วขึ้นสูงกว่าเดิมเล็กน้อย ชี้ไปที่เหนือหัวของเฉินผิงอัน “ก่อนหน้านี้บอกกับเจ้าแล้วว่า ประโยคนั้นที่เว่ยป้อเอ่ยถึง มีประโยชน์อย่างมาก นั่นก็คือในใจของคนคนหนึ่ง ควรจะต้องมีตะวันจันทรา”

จูเหลี่ยนค่อยๆ ลดระดับนิ้วลงช้าๆ ชี้ไปที่ด้านหลังของเฉินผิงอัน “แล้วเจ้าเองก็เล่าว่าราชครูชุยฉานได้บอกว่า ในใจของคนคนหนึ่งมีแสงสว่างเจิดจ้า ประหนึ่งพืชพรรณที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะต้องหันไปมองเงาด้านหลังตัวเองหน่อยหรือไม่”

จูเหลี่ยนถาม “สองประโยคนี้พูดถึงอะไร?”

จูเหลี่ยนถามเองตอบเอง “หนึ่งคืออนาคต อีกหนึ่งคืออดีต ดังนั้นข้ามีอีกหนึ่งคำถาม ตอนนี้เป็นอย่างไร คิดว่าตัวเองเป็นใคร มีหลักการเหตุผลข้อหนึ่งที่ผู้คนรับรู้กันถ้วนทั่ว แต่กลับเป็นประโยคที่ข้าจูเหลี่ยนให้ความสำคัญมากที่สุด และตอนนี้ก็สามารถหยิบออกมาตาก…แสงตะเกียงและแสงจันทร์ของที่นี่ได้พอดี ‘ผู้ที่เข้าใจคนอื่นคือผู้มีสติปัญญา ผู้ที่เข้าใจตัวเองคือผู้รู้แจ้ง’ แจ้งคืออะไร? คำนี้จะอธิบายว่าอย่างไร? ในเมื่อจิตใจสว่างไสวไร้มลทิน นั่นก็คือมีครบทั้งตะวันจันทราจึงสว่างชัดแจ้ง”

เฉินผิงอันกลับไปนั่งที่เดิม ดื่มเหล้า ทำท่าคล้ายกระจ่างแจ้ง แล้วก็คล้ายได้ยกภูเขาออกจากอก

สุดท้ายจูเหลี่ยนยิ้มกล่าวว่า “เรื่องบางอย่าง คิดแล้วไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องกลัว แค่เดินหน้าต่อไป เดินให้ช้าหน่อย ผิดแล้วก็แก้ไข หากไม่ผิดก็พยายามทำให้ดีขึ้น ทำถูกแล้วก็พยายามทำให้ถูกต้องที่สุด ความสามารถทั้งหลาย ความรู้ทุกอย่าง ก็ล้วนต้องนำมาปฏิบัติจริงไม่ใช่หรือ? ภูเขาห้อยหัวไปมาได้ ใบถงทวีปไปมาได้ พื้นที่มงคลดอกบัวไปมาได้ ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังไปมาได้ อุตรกุรุทวีปที่นับแต่โบราณมาก็มีเหล่าผู้กล้ามากมาย ก็ไม่ควรเป็นสถานที่ที่เฉินผิงอันควรจะไปฝึกกระบี่มากที่สุดหรอกหรือ? เหล้าต้องพกไปหลายๆ กาหน่อย ชุดเขียวสะพายกระบี่ จงไปเยือนอุตรกุรุทวีปท่องเที่ยวทิศเหนืออย่างห้าวเหิม ยามที่กลับคืนมายังทิศใต้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ชื่อเซียนกระบี่มาครองแล้ว ทำให้ยุทธภพของที่แห่งนั้นจดจำชื่อของเจ้าเฉินผิงอันไปหนึ่งร้อยปี หนึ่งพันปี!”

ตอนที่เฉินผิงอันได้ยินประโยคแรกๆ ก็ยังรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่พอฟังมาถึงช่วงท้ายๆ กลับไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่เป็นเรื่องที่ตัวเขาไม่มีทางคิดถึงอย่างแน่นอน

จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ยุทธภพมีสาวงามที่ลุ่มหลงในรักมากมาย นายน้อยก็ต้องระวังไว้สักหน่อย”

เฉินผิงอันจนใจ จูเหลี่ยนที่เอ่ยคำพูดเหล่านี้คล้ายจะเป็นแบบที่เขาคุ้นเคยมากกว่า

จูเหลี่ยนยกกาเหล้าขึ้น “คืนนี้ได้ดื่มและพูดคุยกับนายน้อยอย่างเต็มคราบ บ่าวเฒ่าอย่างข้าก็เหมือนได้เปิดสติปัญญาให้กระจ่างแจ้ง ขอให้นายน้อยดื่มเหล้ากานี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยจากไปได้หรือไม่?”

จูเหลี่ยนที่เป็นแบบนี้ก็ยิ่งไม่แปลกหน้าสำหรับเขา

เฉินผิงอันยิ้มพลางยกกาเหล้าขึ้น ต่างคนต่างดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาในกาของตัวเองจนหมด

หลังจากจูเหลี่ยนหิ้วกาเหล้าที่ว่างเปล่า ปิดประตูเดินจากไป เฉินผิงอันก็เริ่มหันมาเก็บสัมภาระใหม่อีกครั้ง

เงินเทพเซียนล้วนเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อแผ่นหยกที่ปีนั้นเจิ้งต้าเฟิงเคยมอบให้ตอนอยู่นครมังกรเฒ่า เขาขอเงินฝนธัญพืชจากเว่ยป้อที่ช่วย ‘ดูแลเงิน’ ให้มาสามสิบเหรียญ ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป จะไม่มีทางนำมาใช้เด็ดขาด มีเพียงเกี่ยวข้องกับโชควาสนาในการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสามชิ้นที่นอกเหนือจากดินและน้ำ เขาถึงจะใช้เงินก้อนนี้ ซื้อสมบัติอาคมที่พบเจอโดยบังเอิญซึ่งตรงกับใจ อีกทั้งยังเหมาะแก่การฝึกตนของเขา

นอกจากนี้ยังพกเงินร้อนน้อยไปอีกสิบเหรียญ รวมไปถึงเงินเกล็ดหิมะหนึ่งพันเหรียญ

เจี้ยนเซียน น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แน่นอนว่าย่อมพกติดตัวไปด้วย

สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวที่มีชื่อว่าชุนฉ่าวตัวนั้น แล้วก็ยังเอาชุดคลุมจินหลี่ไปด้วยเพื่อไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่จำเป็นตามคำแนะนำของจูเหลี่ยน

กำไลข้อมือแกนลูกท้อที่หลิวจื้อเม่าแห่งทะเลสาบซูเจียนมอบให้ ทุกแกนล้วนเทียบเท่ากับการโจมตีหนึ่งครั้งของเซียนดิน นี่ก็คือสมบัติอาคมในการจู่โจมที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด

ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นถูกทำร้ายถึงรากฐานไปแล้ว ได้ยินมาว่าทุกวันนี้พี่ใหญ่ของหลี่เป่าผิงไปศึกษาหาความรู้อยู่ที่อุตรกุรุทวีป ต้องลองดูว่าจะซ่อมแซมได้หรือไม่ หลังจากนั้นตระกูลหลี่จะเก็บยันต์แผ่นนี้กลับคืน หรือเฉินผิงอันจะเก็บเอาไว้เองก็ต้องดูที่การตัดสินใจของหลี่ซีเซิ่ง แม้ว่าชุยตงซานจะบอกเตือนตนเป็นนัยๆ แล้วว่าให้ขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับสกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ซึ่งไม่นับรวมหลี่เป่าผิงอย่างชัดเจน แต่กับหลี่ซีเซิ่ง เฉินผิงอันก็ยังยินดีที่จะใกล้ชิดสนิทสนมด้วย

และยังมีหน้ากากที่จูเหลี่ยนตั้งใจสร้างขึ้นอีกสามแผ่น แบ่งออกเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่ม ชายฉกรรจ์และผู้เฒ่า แม้ว่าจะไม่สามารถปิดบังผู้ฝึกตนเซียนดินได้ แต่ท่องอยู่ในยุทธภพก็เหลือเฟือแล้ว

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 483.2 จูเหลี่ยนอีกคน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 483.2 จูเหลี่ยนอีกคน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ดังนั้นผู้อาวุโสชุยจึงมองปมของปัญหาออก ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องดีอย่างการได้เปรียบเพียงอย่างเดียว ไม่แบ่งแยกความดีเลวในการลงมือและวิธีการที่ใช้ ทุกอย่างล้วนมีผลลัพธ์ตามมาทั้งสิ้น”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “การเป็นคนดีไม่เหมือนการฝึกวิชาหมัดที่เพียงแค่มุมานะตั้งใจฝึกฝนปณิธานหมัดก็เข้ามาอยู่บนกาย การเป็นคนที่ดี เอาตรงนี้มานิดหนึ่ง ลูบคลำตรงนั้นหน่อยหนึ่ง ง่ายที่จะเหมือนเพียงรูปลักษณ์ แต่ไม่เหมือนทางจิตวิญญาณ เดิมทีเมื่อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตแหลกสลาย สภาพจิตใจของข้าก็แตกกระจายตามไปด้วย ผลกลับกลายเป็นว่าทุกวันนี้ตกอยู่ในสภาพเหมือนเมืองที่แบ่งแยกดินแดนตั้งตัวเป็นอิสระ เพราะหากไม่ฝืนแบ่งแยกหลักกับรอง ปัญหาก็มีแต่จะใหญ่มากกว่าเดิม อาจเอาแต่เพ้อฝันเหมือนคนปัญญาอ่อน คิดจะฝึกฝนจนตัวเองกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ อันที่จริงก็ยังนับว่าดี ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เดินขึ้นที่สูงทีละก้าว ไม่พิถีพิถันในเรื่องพวกนี้ แต่หากเลียนแบบผู้ฝึกลมปราณ การเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตกลางคือด่านหนึ่ง สร้างโอสถทองก็ยิ่งเป็นอีกด่านหนึ่ง กลายเป็นก่อกำเนิดแล้วฝ่าทะลุขอบเขตก็ยิ่งเป็นด่านยากด่านใหญ่ นี่ไม่เหมือนคำว่างบปลายปีผ่านยาก แต่ก็ผ่านมาได้ทุกปี (งบปลายปีตามปฏิทินจันทรคติของจีน เพราะคนเป็นหนี้จะรู้สึกคล้ายกับว่าต้องผ่านด่าน) อย่างที่ชาวบ้านชอบพูดกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็สามารถอดทนจนผ่านไปได้ เรื่องของการฝึกตนนั้น หากไม่สมบูรณ์แบบครั้งหนึ่ง ก็มีแต่จะนำพาหายนะมาสู่ตัว”

เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักเสียง “ข้าไม่เคยรู้สึกว่านี่เป็นเพราะข้าคิดมากไปเอง ข้ายังคงเชื่อมั่นในคำว่าแพ้ชนะชั่วคราวขึ้นอยู่กับพละกำลัง แต่การเดินบนเส้นทางขึ้นสู่ที่สูงนี้ แพ้ชนะอย่างยาวนานกลับอยู่ที่หลักการเหตุผล นี่ก็คือรากฐานในการหยัดยืน จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ ใต้หล้าไม่เคยมีเรื่องดีๆ ที่รอให้ข้ามีชีวิตที่ดีก่อนแล้วค่อยใช้เหตุผล คุณความชอบยิ่งใหญ่ที่ทำสำเร็จได้ด้วยการไม่ใช่เหตุผล ในอนาคตก็มีแต่จะยิ่งไร้เหตุผลมากกว่าเดิม ในพื้นที่มงคลดอกบัว เจ้าอารามผู้เฒ่ามีกลอุบายลึกล้ำแยบยล ข้าคอยยืนดูอยู่ข้างๆ เขาเงียบๆ ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้วในใจกลับหวังว่าจะมองเห็นผลลัพธ์ของสามเรื่อง ถึงท้ายที่สุดกลับทำไม่ได้ สองเรื่องคือกระโดดข้ามไป เรื่องสุดท้ายถูกขัดจังหวะ เพราะต้องออกมาจากริมตลิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลา กลับคืนมายังโลกมนุษย์ของพื้นที่มงคลดอกบัวอีกครั้ง เรื่องที่ว่านั้นก็คือบัณฑิตคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแคว้นซงซีฉลาดเฉลียวอย่างยิ่ง มีชาติกำเนิดเป็นจิ้นซื่อ อีกทั้งยังมีปณิธานยิ่งใหญ่ยาวไกล ทว่าเมื่ออยู่ในวงการขุนนางกลับเจอแต่อุปสรรค ยากลำบากอย่างถึงที่สุด ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะปรับเปลี่ยนจิตใจของตัวเองเสียก่อน ลองศึกษากฎของวงการขุนนางดู เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม รอให้วันใดได้เข้าสู่ใจกลางราชสำนักแล้วค่อยกอบกู้โลกและช่วยเหลือปวงประชา ข้าก็เลยอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่า สุดท้ายแล้วบัณฑิตคนนี้ทำได้หรือว่าล้มเลิกไป”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว ในมือหิ้วกาเหล้าที่ไม่ได้ดื่ม เริ่มเดินวนรอบหลังโต๊ะที่มีพื้นที่คับแคบ พลางพูดพึมพำกับตัวเอง “หลักการเหตุผลมากมาย ข้ารู้ว่ามันดีมากๆ ถูกผิดมากมาย ข้าเองก็รู้อย่างชัดเจน ต่อให้ข้าจะได้เห็นแค่ผลลัพธ์ ทุกอย่างที่ข้าทำ ไม่ถือว่าเลวร้าย ทว่าระหว่างนี้ความยากลำบากก็มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รับรู้ เรียกได้ว่าความรู้สึกนับร้อยนับพันประดังประเดเข้าหา วุ่นวายไร้ระเบียบ ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นตอนที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนควรจะฆ่ากู้ช่านหรือไม่ ควรจะเป็นพันธมิตรกับหลิวจื้อเม่าที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตหรือไม่ จะแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามหลิวเหล่าเฉิงเพื่อเอาตัวรอดหรือไม่ หลังจากเรียนรู้จนมีความสามารถติดตัวแล้ว ควรจะคิดบัญชีกับศัตรูอย่างไร จะทำเหมือนการตัดสินใจในปีนั้นที่บุกรุดหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัว ไม่ต้องสนใจสิ่งใดอีกดีไหม? หรือว่าควรจะใคร่ครวญอย่างละเอียด ลองถอยไปหนึ่งก้าวแล้วตั้งสมมติฐานดูว่าควรจะต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนอะไรหรือไม่? การแก้ไขนี้ หากทำให้เรื่องราวถูกต้อง สอดคล้องกับหลักการเหตุผลแล้ว ทว่าส่วนลึกในใจข้าเฉินผิงอันสบายใจแล้วจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันยืนนิ่ง เขาส่ายหน้า สายตาเด็ดเดี่ยว พูดอย่างเฉียบขาดว่า “ข้าไม่สบายใจ”

เงียบไปครู่หนึ่ง

เฉินผิงอันก็แหงนหน้ากระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ ยกมือปาดริมฝีปาก “จะทำอย่างไรดี? แรกเริ่มข้านึกว่าขอแค่ได้ไปเยือนอุตรกุรุทวีปก็จะมีอิสระเสรี แต่คำพูดของผู้อาวุโสชุยกลับเป็นการเปิดโปงเรื่องนี้โดยตรง การกระทำนี้มีประโยชน์ แต่กลับมีประโยชน์ไม่มาก แก้ไขที่ปลายเหตุไม่ใช่ที่ต้นเหตุ นี่ทำให้ข้า…ลังเลอย่างมาก ข้าไม่กลัวหากต้องเสี่ยงอันตราย ต้องลำบาก หรือต้องได้รับความอยุติธรรม แต่ข้ากลับกลัวความรู้สึกที่…มองไปรอบด้านแล้วเห็นแต่ความว่างเปล่ามากที่สุด”

สายตาของเฉินผิงอันหม่นหมอง “ฟ้าดินกว้างใหญ่ โดดเดี่ยวเดียวดาย มองไปไม่เห็นญาติมิตร เหลียวซ้ายแลขวา ทำถูกก็ไม่มีคนชื่นชม ทำผิดก็ไร้คนด่า ความรู้สึกย่ำแย่เช่นนั้นในวัยเด็ก อันที่จริงมันคอยวนเวียนอยู่รอบกายข้าตลอดเวลา ขอแค่ข้านึกถึงมันก็จะต้องรู้สึกสิ้นหวัง ข้ารู้ดีว่าสภาพจิตใจเช่นนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง ตลอดหลายปีมานี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงแก้ไข แต่ก็ยังทำได้ไม่ดีพอ ดังนั้นกับกู้ช่าน กับหลิวเสี้ยนหยาง และกับคนทุกคนที่ข้าเห็นเป็นเพื่อน ข้าล้วนอยากจะยกสองประมือประคองส่งสิ่งของไปให้พวกเขา เป็นเพราะข้ามีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์จริงๆ หรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าเพียงแต่เริ่มตั้งสมมติฐานว่าข้ารั้งสิ่งใดไว้ไม่อยู่ แต่ขอแค่พวกเขาถือไว้ในมือ ต่อให้ข้าได้แค่มองแวบหนึ่งและเห็นว่ามันยังอยู่ ก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว เงินก็ดี สิ่งของก็ช่าง ล้วนเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนกับชุดคลุมอาคมจินหลี่ชุดนี้ ตัวข้าเองไม่ชอบหรือ? ชอบสิ ชอบมาก ร่วมทุกข์ด้วยกันมานานขนาดนี้ จะไม่มีความผูกพันเลยได้อย่างไร ข้าเฉินผิงอันเป็นใคร? แม้แต่ฉวีหวงม้าผอมๆ ตัวหนึ่งที่อยู่เคียงข้างกันและกันมาสองปีกว่าก็ยังต้องพาออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนกลับภูเขาลั่วพั่วไปด้วยกัน แต่ข้ากลัวว่าหากวันใดจู่ๆ ข้าตายไประหว่างการเดินทาง ทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกคนอื่นแย่งชิงไป แล้วจะให้พวกมันกลายเป็นโชควาสนาตระกูลเซียนที่ ‘เหลือ’ ให้กับคนที่ข้าไม่รู้จักเลยน่ะหรือ? แน่นอนว่าไม่สู้เอาไปมอบให้กับหลิวเสี้ยนหยางเสียแต่เนิ่นๆ ยังดีกว่า”

จูเหลี่ยนวางกาเหล้าลง ไม่ดื่มเหล้าอีก เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ความกังวลใจของนายน้อยไม่ใช่เรื่องในครอบครัวของตัวเอง แต่เป็นปัญหายากพันปีที่ทุกคนใต้หล้ามีร่วมกัน”

จูเหลี่ยนใช้ฝ่ามือสองข้างลูบที่เท้าแขนเก้าอี้เบาๆ “ไม่ใช่แค่นายน้อยคนเดียวเท่านั้นที่มี ข้าจูเหลี่ยนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็มีเหมือนกัน ติงอิงมี บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ก็มี นักปราชญ์ วิญญูชน อริยะ สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาทั้งหมดบนโลกล้วนมีด้วยกันทั้งสิ้น รากเหง้าความรู้ของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก อันที่จริงต่างก็กำลังงัดข้ออยู่กับ ‘ใจคน’ การควบคุมอบรมตนให้เป็นไปตามระเบียบพิธีการ วิญญูชนที่สำรวมตนแม้ยามอยู่เพียงลำพังของลัทธิขงจื๊อ การคล้อยตามธรรมชาติ ไม่กลบเกลื่อนความผิดที่ตัวเองกระทำของลัทธิเต๋า การกำราบวานรดื้อม้าพยศในหัวใจของลัทธิพุทธ ความรู้ล้วนเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่และดีงาม แต่ว่าเมื่อต้องนำมาปฏิบัติจริง ธรณีประตูก็ยังคงสูงเกินไป ก็เหมือนกับขี้ไก่ขี้หมาในตรอกหนีผิงที่ยากจะให้ความสนใจ ทฤษฎีคุณความชอบของชุยฉานและชุยตงซาน ความล้ำค่าของมันนั้นอยู่ที่ต่อให้เป็นเรื่องเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งนอกตรอกก็ยังสามารถควบคุมได้ดี ข้อเสียนั้นอยู่ที่ใช้พละกำลังกับเรื่องหยุมหยิมมากเกินไป ต้องชั่งน้ำหนักกับทุกเรื่อง ง่ายที่จิตใจคนจะเดินลงสู่ที่ต่ำ เป็นในทางปฏิบัติมากเกินไป ไม่สนใจเชิงทฤษฎีเลย ก็ยากที่จะแสวงหาสิ่งที่อยู่เหนือกว่าได้อีก”

จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืน ยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาค้ำผิวโต๊ะไว้เบาๆ แล้วเคาะ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ต่อจากนี้โปรดอนุญาตให้บ่าวเฒ่าแหกกฎสักครั้ง ไม่ยึดถือเรื่องสถานะ แต่ขอเรียกชื่อนายน้อยออกมาตามตรง”

จูเหลี่ยนเอ่ยต่อว่า “หยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าวิธีการที่เจ้าเฉินผิงอันปฏิบัติต่อโลกใบนี้ กับเจตจำนงเดิมของเจ้ากำลังงัดข้อกันและเข้ากันไม่ได้ อีกทั้งปมในใจที่มองดูเหมือนเล็กเท่าเมล็ดงาเหล่านี้ ยิ่งระดับความสูงในการเรียนวรยุทธและขอบเขตของผู้ฝึกตนสูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าเฉินผิงอันเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งหมัดปล่อยออกไป ปีนั้นสามารถต่อยให้หินอิฐและผนังปริแตก วันหน้าต่อยหมัดหนึ่งออกไป แม้แต่กำแพงเมืองวังหลวงของราชวงศ์โลกมนุษย์ก็ยังเละเป็นหน้ากลองได้ ปีนั้นเจ้าส่งหนึ่งกระบี่ออกไปก็สามารถช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นจากอันตราย สะท้านสะเทือนเหล่าศัตรู วันหน้าไม่แน่ว่าแค่ปราณกระบี่พุ่งไปถึง แม่น้ำลำธารก็อาจแหลกสลาย ศาลบรรพจารย์ของตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งหนึ่งอาจถึงขั้นหายวับไปไม่เหลือ แล้วจะไม่มีความผิดเลยได้อย่างไร? หากเจ้าคือหม่าขู่เสียน คนคนหนึ่งที่เจ้ารังเกียจมาก หรือแม้กระทั่งเป็นหลิวเสี้ยนหยาง คนคนหนึ่งซึ่งเป็นสหายที่ดีที่สุดของเจ้า ก็ล้วนไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่ก็เพราะว่าเป็นเช่นนี้ เจ้าเฉินผิงอันถึงได้เป็นเฉินผิงอันในเวลานี้”

จูเหลี่ยนชี้ไปที่เฉินผิงอัน “เจ้าถึงได้เป็นเจ้า”

จูเหลี่ยนวาดวงกลมวงหนึ่งลงบนโต๊ะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ขอแค่เจ้าทำให้ความรู้และหลักการเหตุผลของตัวเองสอดคล้องกับโลกใบนี้ได้ ก็จะทั้งสามารถแก้ไขปัญหา แล้วทั้งสามารถใช้ชีวิตผ่านพ้นไปด้วยดีในแต่ละวัน ขณะเดียวกันก็พอจะสบายใจได้ ไม่ต้องแสวงหาสิ่งนอกกายอีก แต่สถานการณ์ถามใจหลังจากนั้น ต้องการให้เจ้าลองถามตัวเองดูว่า เจ้าเฉินผิงอันเป็นใครกันแน่ ในเมื่อเจ้าเลือกทางเส้นนี้ ถ้าอย่างนั้นถูกก็ดี ผิดก็ช่าง ล้วนจำเป็นต้องรู้ไว้ก่อน รู้อย่างชัดเจน มองให้กระจ่างชัด ความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก แก้ไขให้สมบูรณ์แบบถึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเรื่องใดก็อย่าได้หวังเลย”

จูเหลี่ยนยื่นนิ้วมาชี้หน้าเฉินผิงอันอีกครั้ง เพียงแต่ว่าคราวนี้ยกนิ้วขึ้นสูงกว่าเดิมเล็กน้อย ชี้ไปที่เหนือหัวของเฉินผิงอัน “ก่อนหน้านี้บอกกับเจ้าแล้วว่า ประโยคนั้นที่เว่ยป้อเอ่ยถึง มีประโยชน์อย่างมาก นั่นก็คือในใจของคนคนหนึ่ง ควรจะต้องมีตะวันจันทรา”

จูเหลี่ยนค่อยๆ ลดระดับนิ้วลงช้าๆ ชี้ไปที่ด้านหลังของเฉินผิงอัน “แล้วเจ้าเองก็เล่าว่าราชครูชุยฉานได้บอกว่า ในใจของคนคนหนึ่งมีแสงสว่างเจิดจ้า ประหนึ่งพืชพรรณที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะต้องหันไปมองเงาด้านหลังตัวเองหน่อยหรือไม่”

จูเหลี่ยนถาม “สองประโยคนี้พูดถึงอะไร?”

จูเหลี่ยนถามเองตอบเอง “หนึ่งคืออนาคต อีกหนึ่งคืออดีต ดังนั้นข้ามีอีกหนึ่งคำถาม ตอนนี้เป็นอย่างไร คิดว่าตัวเองเป็นใคร มีหลักการเหตุผลข้อหนึ่งที่ผู้คนรับรู้กันถ้วนทั่ว แต่กลับเป็นประโยคที่ข้าจูเหลี่ยนให้ความสำคัญมากที่สุด และตอนนี้ก็สามารถหยิบออกมาตาก…แสงตะเกียงและแสงจันทร์ของที่นี่ได้พอดี ‘ผู้ที่เข้าใจคนอื่นคือผู้มีสติปัญญา ผู้ที่เข้าใจตัวเองคือผู้รู้แจ้ง’ แจ้งคืออะไร? คำนี้จะอธิบายว่าอย่างไร? ในเมื่อจิตใจสว่างไสวไร้มลทิน นั่นก็คือมีครบทั้งตะวันจันทราจึงสว่างชัดแจ้ง”

เฉินผิงอันกลับไปนั่งที่เดิม ดื่มเหล้า ทำท่าคล้ายกระจ่างแจ้ง แล้วก็คล้ายได้ยกภูเขาออกจากอก

สุดท้ายจูเหลี่ยนยิ้มกล่าวว่า “เรื่องบางอย่าง คิดแล้วไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องกลัว แค่เดินหน้าต่อไป เดินให้ช้าหน่อย ผิดแล้วก็แก้ไข หากไม่ผิดก็พยายามทำให้ดีขึ้น ทำถูกแล้วก็พยายามทำให้ถูกต้องที่สุด ความสามารถทั้งหลาย ความรู้ทุกอย่าง ก็ล้วนต้องนำมาปฏิบัติจริงไม่ใช่หรือ? ภูเขาห้อยหัวไปมาได้ ใบถงทวีปไปมาได้ พื้นที่มงคลดอกบัวไปมาได้ ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังไปมาได้ อุตรกุรุทวีปที่นับแต่โบราณมาก็มีเหล่าผู้กล้ามากมาย ก็ไม่ควรเป็นสถานที่ที่เฉินผิงอันควรจะไปฝึกกระบี่มากที่สุดหรอกหรือ? เหล้าต้องพกไปหลายๆ กาหน่อย ชุดเขียวสะพายกระบี่ จงไปเยือนอุตรกุรุทวีปท่องเที่ยวทิศเหนืออย่างห้าวเหิม ยามที่กลับคืนมายังทิศใต้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ชื่อเซียนกระบี่มาครองแล้ว ทำให้ยุทธภพของที่แห่งนั้นจดจำชื่อของเจ้าเฉินผิงอันไปหนึ่งร้อยปี หนึ่งพันปี!”

ตอนที่เฉินผิงอันได้ยินประโยคแรกๆ ก็ยังรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่พอฟังมาถึงช่วงท้ายๆ กลับไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่เป็นเรื่องที่ตัวเขาไม่มีทางคิดถึงอย่างแน่นอน

จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ยุทธภพมีสาวงามที่ลุ่มหลงในรักมากมาย นายน้อยก็ต้องระวังไว้สักหน่อย”

เฉินผิงอันจนใจ จูเหลี่ยนที่เอ่ยคำพูดเหล่านี้คล้ายจะเป็นแบบที่เขาคุ้นเคยมากกว่า

จูเหลี่ยนยกกาเหล้าขึ้น “คืนนี้ได้ดื่มและพูดคุยกับนายน้อยอย่างเต็มคราบ บ่าวเฒ่าอย่างข้าก็เหมือนได้เปิดสติปัญญาให้กระจ่างแจ้ง ขอให้นายน้อยดื่มเหล้ากานี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยจากไปได้หรือไม่?”

จูเหลี่ยนที่เป็นแบบนี้ก็ยิ่งไม่แปลกหน้าสำหรับเขา

เฉินผิงอันยิ้มพลางยกกาเหล้าขึ้น ต่างคนต่างดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาในกาของตัวเองจนหมด

หลังจากจูเหลี่ยนหิ้วกาเหล้าที่ว่างเปล่า ปิดประตูเดินจากไป เฉินผิงอันก็เริ่มหันมาเก็บสัมภาระใหม่อีกครั้ง

เงินเทพเซียนล้วนเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อแผ่นหยกที่ปีนั้นเจิ้งต้าเฟิงเคยมอบให้ตอนอยู่นครมังกรเฒ่า เขาขอเงินฝนธัญพืชจากเว่ยป้อที่ช่วย ‘ดูแลเงิน’ ให้มาสามสิบเหรียญ ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป จะไม่มีทางนำมาใช้เด็ดขาด มีเพียงเกี่ยวข้องกับโชควาสนาในการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสามชิ้นที่นอกเหนือจากดินและน้ำ เขาถึงจะใช้เงินก้อนนี้ ซื้อสมบัติอาคมที่พบเจอโดยบังเอิญซึ่งตรงกับใจ อีกทั้งยังเหมาะแก่การฝึกตนของเขา

นอกจากนี้ยังพกเงินร้อนน้อยไปอีกสิบเหรียญ รวมไปถึงเงินเกล็ดหิมะหนึ่งพันเหรียญ

เจี้ยนเซียน น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แน่นอนว่าย่อมพกติดตัวไปด้วย

สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวที่มีชื่อว่าชุนฉ่าวตัวนั้น แล้วก็ยังเอาชุดคลุมจินหลี่ไปด้วยเพื่อไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่จำเป็นตามคำแนะนำของจูเหลี่ยน

กำไลข้อมือแกนลูกท้อที่หลิวจื้อเม่าแห่งทะเลสาบซูเจียนมอบให้ ทุกแกนล้วนเทียบเท่ากับการโจมตีหนึ่งครั้งของเซียนดิน นี่ก็คือสมบัติอาคมในการจู่โจมที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด

ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นถูกทำร้ายถึงรากฐานไปแล้ว ได้ยินมาว่าทุกวันนี้พี่ใหญ่ของหลี่เป่าผิงไปศึกษาหาความรู้อยู่ที่อุตรกุรุทวีป ต้องลองดูว่าจะซ่อมแซมได้หรือไม่ หลังจากนั้นตระกูลหลี่จะเก็บยันต์แผ่นนี้กลับคืน หรือเฉินผิงอันจะเก็บเอาไว้เองก็ต้องดูที่การตัดสินใจของหลี่ซีเซิ่ง แม้ว่าชุยตงซานจะบอกเตือนตนเป็นนัยๆ แล้วว่าให้ขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับสกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ซึ่งไม่นับรวมหลี่เป่าผิงอย่างชัดเจน แต่กับหลี่ซีเซิ่ง เฉินผิงอันก็ยังยินดีที่จะใกล้ชิดสนิทสนมด้วย

และยังมีหน้ากากที่จูเหลี่ยนตั้งใจสร้างขึ้นอีกสามแผ่น แบ่งออกเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่ม ชายฉกรรจ์และผู้เฒ่า แม้ว่าจะไม่สามารถปิดบังผู้ฝึกตนเซียนดินได้ แต่ท่องอยู่ในยุทธภพก็เหลือเฟือแล้ว

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 483.2 จูเหลี่ยนอีกคน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 483.2 จูเหลี่ยนอีกคน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ดังนั้นผู้อาวุโสชุยจึงมองปมของปัญหาออก ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องดีอย่างการได้เปรียบเพียงอย่างเดียว ไม่แบ่งแยกความดีเลวในการลงมือและวิธีการที่ใช้ ทุกอย่างล้วนมีผลลัพธ์ตามมาทั้งสิ้น”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “การเป็นคนดีไม่เหมือนการฝึกวิชาหมัดที่เพียงแค่มุมานะตั้งใจฝึกฝนปณิธานหมัดก็เข้ามาอยู่บนกาย การเป็นคนที่ดี เอาตรงนี้มานิดหนึ่ง ลูบคลำตรงนั้นหน่อยหนึ่ง ง่ายที่จะเหมือนเพียงรูปลักษณ์ แต่ไม่เหมือนทางจิตวิญญาณ เดิมทีเมื่อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตแหลกสลาย สภาพจิตใจของข้าก็แตกกระจายตามไปด้วย ผลกลับกลายเป็นว่าทุกวันนี้ตกอยู่ในสภาพเหมือนเมืองที่แบ่งแยกดินแดนตั้งตัวเป็นอิสระ เพราะหากไม่ฝืนแบ่งแยกหลักกับรอง ปัญหาก็มีแต่จะใหญ่มากกว่าเดิม อาจเอาแต่เพ้อฝันเหมือนคนปัญญาอ่อน คิดจะฝึกฝนจนตัวเองกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ อันที่จริงก็ยังนับว่าดี ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เดินขึ้นที่สูงทีละก้าว ไม่พิถีพิถันในเรื่องพวกนี้ แต่หากเลียนแบบผู้ฝึกลมปราณ การเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตกลางคือด่านหนึ่ง สร้างโอสถทองก็ยิ่งเป็นอีกด่านหนึ่ง กลายเป็นก่อกำเนิดแล้วฝ่าทะลุขอบเขตก็ยิ่งเป็นด่านยากด่านใหญ่ นี่ไม่เหมือนคำว่างบปลายปีผ่านยาก แต่ก็ผ่านมาได้ทุกปี (งบปลายปีตามปฏิทินจันทรคติของจีน เพราะคนเป็นหนี้จะรู้สึกคล้ายกับว่าต้องผ่านด่าน) อย่างที่ชาวบ้านชอบพูดกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็สามารถอดทนจนผ่านไปได้ เรื่องของการฝึกตนนั้น หากไม่สมบูรณ์แบบครั้งหนึ่ง ก็มีแต่จะนำพาหายนะมาสู่ตัว”

เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักเสียง “ข้าไม่เคยรู้สึกว่านี่เป็นเพราะข้าคิดมากไปเอง ข้ายังคงเชื่อมั่นในคำว่าแพ้ชนะชั่วคราวขึ้นอยู่กับพละกำลัง แต่การเดินบนเส้นทางขึ้นสู่ที่สูงนี้ แพ้ชนะอย่างยาวนานกลับอยู่ที่หลักการเหตุผล นี่ก็คือรากฐานในการหยัดยืน จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ ใต้หล้าไม่เคยมีเรื่องดีๆ ที่รอให้ข้ามีชีวิตที่ดีก่อนแล้วค่อยใช้เหตุผล คุณความชอบยิ่งใหญ่ที่ทำสำเร็จได้ด้วยการไม่ใช่เหตุผล ในอนาคตก็มีแต่จะยิ่งไร้เหตุผลมากกว่าเดิม ในพื้นที่มงคลดอกบัว เจ้าอารามผู้เฒ่ามีกลอุบายลึกล้ำแยบยล ข้าคอยยืนดูอยู่ข้างๆ เขาเงียบๆ ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้วในใจกลับหวังว่าจะมองเห็นผลลัพธ์ของสามเรื่อง ถึงท้ายที่สุดกลับทำไม่ได้ สองเรื่องคือกระโดดข้ามไป เรื่องสุดท้ายถูกขัดจังหวะ เพราะต้องออกมาจากริมตลิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลา กลับคืนมายังโลกมนุษย์ของพื้นที่มงคลดอกบัวอีกครั้ง เรื่องที่ว่านั้นก็คือบัณฑิตคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแคว้นซงซีฉลาดเฉลียวอย่างยิ่ง มีชาติกำเนิดเป็นจิ้นซื่อ อีกทั้งยังมีปณิธานยิ่งใหญ่ยาวไกล ทว่าเมื่ออยู่ในวงการขุนนางกลับเจอแต่อุปสรรค ยากลำบากอย่างถึงที่สุด ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะปรับเปลี่ยนจิตใจของตัวเองเสียก่อน ลองศึกษากฎของวงการขุนนางดู เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม รอให้วันใดได้เข้าสู่ใจกลางราชสำนักแล้วค่อยกอบกู้โลกและช่วยเหลือปวงประชา ข้าก็เลยอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่า สุดท้ายแล้วบัณฑิตคนนี้ทำได้หรือว่าล้มเลิกไป”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว ในมือหิ้วกาเหล้าที่ไม่ได้ดื่ม เริ่มเดินวนรอบหลังโต๊ะที่มีพื้นที่คับแคบ พลางพูดพึมพำกับตัวเอง “หลักการเหตุผลมากมาย ข้ารู้ว่ามันดีมากๆ ถูกผิดมากมาย ข้าเองก็รู้อย่างชัดเจน ต่อให้ข้าจะได้เห็นแค่ผลลัพธ์ ทุกอย่างที่ข้าทำ ไม่ถือว่าเลวร้าย ทว่าระหว่างนี้ความยากลำบากก็มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รับรู้ เรียกได้ว่าความรู้สึกนับร้อยนับพันประดังประเดเข้าหา วุ่นวายไร้ระเบียบ ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นตอนที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนควรจะฆ่ากู้ช่านหรือไม่ ควรจะเป็นพันธมิตรกับหลิวจื้อเม่าที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตหรือไม่ จะแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามหลิวเหล่าเฉิงเพื่อเอาตัวรอดหรือไม่ หลังจากเรียนรู้จนมีความสามารถติดตัวแล้ว ควรจะคิดบัญชีกับศัตรูอย่างไร จะทำเหมือนการตัดสินใจในปีนั้นที่บุกรุดหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัว ไม่ต้องสนใจสิ่งใดอีกดีไหม? หรือว่าควรจะใคร่ครวญอย่างละเอียด ลองถอยไปหนึ่งก้าวแล้วตั้งสมมติฐานดูว่าควรจะต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนอะไรหรือไม่? การแก้ไขนี้ หากทำให้เรื่องราวถูกต้อง สอดคล้องกับหลักการเหตุผลแล้ว ทว่าส่วนลึกในใจข้าเฉินผิงอันสบายใจแล้วจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันยืนนิ่ง เขาส่ายหน้า สายตาเด็ดเดี่ยว พูดอย่างเฉียบขาดว่า “ข้าไม่สบายใจ”

เงียบไปครู่หนึ่ง

เฉินผิงอันก็แหงนหน้ากระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ ยกมือปาดริมฝีปาก “จะทำอย่างไรดี? แรกเริ่มข้านึกว่าขอแค่ได้ไปเยือนอุตรกุรุทวีปก็จะมีอิสระเสรี แต่คำพูดของผู้อาวุโสชุยกลับเป็นการเปิดโปงเรื่องนี้โดยตรง การกระทำนี้มีประโยชน์ แต่กลับมีประโยชน์ไม่มาก แก้ไขที่ปลายเหตุไม่ใช่ที่ต้นเหตุ นี่ทำให้ข้า…ลังเลอย่างมาก ข้าไม่กลัวหากต้องเสี่ยงอันตราย ต้องลำบาก หรือต้องได้รับความอยุติธรรม แต่ข้ากลับกลัวความรู้สึกที่…มองไปรอบด้านแล้วเห็นแต่ความว่างเปล่ามากที่สุด”

สายตาของเฉินผิงอันหม่นหมอง “ฟ้าดินกว้างใหญ่ โดดเดี่ยวเดียวดาย มองไปไม่เห็นญาติมิตร เหลียวซ้ายแลขวา ทำถูกก็ไม่มีคนชื่นชม ทำผิดก็ไร้คนด่า ความรู้สึกย่ำแย่เช่นนั้นในวัยเด็ก อันที่จริงมันคอยวนเวียนอยู่รอบกายข้าตลอดเวลา ขอแค่ข้านึกถึงมันก็จะต้องรู้สึกสิ้นหวัง ข้ารู้ดีว่าสภาพจิตใจเช่นนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง ตลอดหลายปีมานี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงแก้ไข แต่ก็ยังทำได้ไม่ดีพอ ดังนั้นกับกู้ช่าน กับหลิวเสี้ยนหยาง และกับคนทุกคนที่ข้าเห็นเป็นเพื่อน ข้าล้วนอยากจะยกสองประมือประคองส่งสิ่งของไปให้พวกเขา เป็นเพราะข้ามีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์จริงๆ หรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าเพียงแต่เริ่มตั้งสมมติฐานว่าข้ารั้งสิ่งใดไว้ไม่อยู่ แต่ขอแค่พวกเขาถือไว้ในมือ ต่อให้ข้าได้แค่มองแวบหนึ่งและเห็นว่ามันยังอยู่ ก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว เงินก็ดี สิ่งของก็ช่าง ล้วนเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนกับชุดคลุมอาคมจินหลี่ชุดนี้ ตัวข้าเองไม่ชอบหรือ? ชอบสิ ชอบมาก ร่วมทุกข์ด้วยกันมานานขนาดนี้ จะไม่มีความผูกพันเลยได้อย่างไร ข้าเฉินผิงอันเป็นใคร? แม้แต่ฉวีหวงม้าผอมๆ ตัวหนึ่งที่อยู่เคียงข้างกันและกันมาสองปีกว่าก็ยังต้องพาออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนกลับภูเขาลั่วพั่วไปด้วยกัน แต่ข้ากลัวว่าหากวันใดจู่ๆ ข้าตายไประหว่างการเดินทาง ทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกคนอื่นแย่งชิงไป แล้วจะให้พวกมันกลายเป็นโชควาสนาตระกูลเซียนที่ ‘เหลือ’ ให้กับคนที่ข้าไม่รู้จักเลยน่ะหรือ? แน่นอนว่าไม่สู้เอาไปมอบให้กับหลิวเสี้ยนหยางเสียแต่เนิ่นๆ ยังดีกว่า”

จูเหลี่ยนวางกาเหล้าลง ไม่ดื่มเหล้าอีก เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ความกังวลใจของนายน้อยไม่ใช่เรื่องในครอบครัวของตัวเอง แต่เป็นปัญหายากพันปีที่ทุกคนใต้หล้ามีร่วมกัน”

จูเหลี่ยนใช้ฝ่ามือสองข้างลูบที่เท้าแขนเก้าอี้เบาๆ “ไม่ใช่แค่นายน้อยคนเดียวเท่านั้นที่มี ข้าจูเหลี่ยนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็มีเหมือนกัน ติงอิงมี บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ก็มี นักปราชญ์ วิญญูชน อริยะ สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาทั้งหมดบนโลกล้วนมีด้วยกันทั้งสิ้น รากเหง้าความรู้ของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก อันที่จริงต่างก็กำลังงัดข้ออยู่กับ ‘ใจคน’ การควบคุมอบรมตนให้เป็นไปตามระเบียบพิธีการ วิญญูชนที่สำรวมตนแม้ยามอยู่เพียงลำพังของลัทธิขงจื๊อ การคล้อยตามธรรมชาติ ไม่กลบเกลื่อนความผิดที่ตัวเองกระทำของลัทธิเต๋า การกำราบวานรดื้อม้าพยศในหัวใจของลัทธิพุทธ ความรู้ล้วนเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่และดีงาม แต่ว่าเมื่อต้องนำมาปฏิบัติจริง ธรณีประตูก็ยังคงสูงเกินไป ก็เหมือนกับขี้ไก่ขี้หมาในตรอกหนีผิงที่ยากจะให้ความสนใจ ทฤษฎีคุณความชอบของชุยฉานและชุยตงซาน ความล้ำค่าของมันนั้นอยู่ที่ต่อให้เป็นเรื่องเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งนอกตรอกก็ยังสามารถควบคุมได้ดี ข้อเสียนั้นอยู่ที่ใช้พละกำลังกับเรื่องหยุมหยิมมากเกินไป ต้องชั่งน้ำหนักกับทุกเรื่อง ง่ายที่จิตใจคนจะเดินลงสู่ที่ต่ำ เป็นในทางปฏิบัติมากเกินไป ไม่สนใจเชิงทฤษฎีเลย ก็ยากที่จะแสวงหาสิ่งที่อยู่เหนือกว่าได้อีก”

จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืน ยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาค้ำผิวโต๊ะไว้เบาๆ แล้วเคาะ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ต่อจากนี้โปรดอนุญาตให้บ่าวเฒ่าแหกกฎสักครั้ง ไม่ยึดถือเรื่องสถานะ แต่ขอเรียกชื่อนายน้อยออกมาตามตรง”

จูเหลี่ยนเอ่ยต่อว่า “หยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าวิธีการที่เจ้าเฉินผิงอันปฏิบัติต่อโลกใบนี้ กับเจตจำนงเดิมของเจ้ากำลังงัดข้อกันและเข้ากันไม่ได้ อีกทั้งปมในใจที่มองดูเหมือนเล็กเท่าเมล็ดงาเหล่านี้ ยิ่งระดับความสูงในการเรียนวรยุทธและขอบเขตของผู้ฝึกตนสูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าเฉินผิงอันเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งหมัดปล่อยออกไป ปีนั้นสามารถต่อยให้หินอิฐและผนังปริแตก วันหน้าต่อยหมัดหนึ่งออกไป แม้แต่กำแพงเมืองวังหลวงของราชวงศ์โลกมนุษย์ก็ยังเละเป็นหน้ากลองได้ ปีนั้นเจ้าส่งหนึ่งกระบี่ออกไปก็สามารถช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นจากอันตราย สะท้านสะเทือนเหล่าศัตรู วันหน้าไม่แน่ว่าแค่ปราณกระบี่พุ่งไปถึง แม่น้ำลำธารก็อาจแหลกสลาย ศาลบรรพจารย์ของตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งหนึ่งอาจถึงขั้นหายวับไปไม่เหลือ แล้วจะไม่มีความผิดเลยได้อย่างไร? หากเจ้าคือหม่าขู่เสียน คนคนหนึ่งที่เจ้ารังเกียจมาก หรือแม้กระทั่งเป็นหลิวเสี้ยนหยาง คนคนหนึ่งซึ่งเป็นสหายที่ดีที่สุดของเจ้า ก็ล้วนไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่ก็เพราะว่าเป็นเช่นนี้ เจ้าเฉินผิงอันถึงได้เป็นเฉินผิงอันในเวลานี้”

จูเหลี่ยนชี้ไปที่เฉินผิงอัน “เจ้าถึงได้เป็นเจ้า”

จูเหลี่ยนวาดวงกลมวงหนึ่งลงบนโต๊ะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ขอแค่เจ้าทำให้ความรู้และหลักการเหตุผลของตัวเองสอดคล้องกับโลกใบนี้ได้ ก็จะทั้งสามารถแก้ไขปัญหา แล้วทั้งสามารถใช้ชีวิตผ่านพ้นไปด้วยดีในแต่ละวัน ขณะเดียวกันก็พอจะสบายใจได้ ไม่ต้องแสวงหาสิ่งนอกกายอีก แต่สถานการณ์ถามใจหลังจากนั้น ต้องการให้เจ้าลองถามตัวเองดูว่า เจ้าเฉินผิงอันเป็นใครกันแน่ ในเมื่อเจ้าเลือกทางเส้นนี้ ถ้าอย่างนั้นถูกก็ดี ผิดก็ช่าง ล้วนจำเป็นต้องรู้ไว้ก่อน รู้อย่างชัดเจน มองให้กระจ่างชัด ความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก แก้ไขให้สมบูรณ์แบบถึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเรื่องใดก็อย่าได้หวังเลย”

จูเหลี่ยนยื่นนิ้วมาชี้หน้าเฉินผิงอันอีกครั้ง เพียงแต่ว่าคราวนี้ยกนิ้วขึ้นสูงกว่าเดิมเล็กน้อย ชี้ไปที่เหนือหัวของเฉินผิงอัน “ก่อนหน้านี้บอกกับเจ้าแล้วว่า ประโยคนั้นที่เว่ยป้อเอ่ยถึง มีประโยชน์อย่างมาก นั่นก็คือในใจของคนคนหนึ่ง ควรจะต้องมีตะวันจันทรา”

จูเหลี่ยนค่อยๆ ลดระดับนิ้วลงช้าๆ ชี้ไปที่ด้านหลังของเฉินผิงอัน “แล้วเจ้าเองก็เล่าว่าราชครูชุยฉานได้บอกว่า ในใจของคนคนหนึ่งมีแสงสว่างเจิดจ้า ประหนึ่งพืชพรรณที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะต้องหันไปมองเงาด้านหลังตัวเองหน่อยหรือไม่”

จูเหลี่ยนถาม “สองประโยคนี้พูดถึงอะไร?”

จูเหลี่ยนถามเองตอบเอง “หนึ่งคืออนาคต อีกหนึ่งคืออดีต ดังนั้นข้ามีอีกหนึ่งคำถาม ตอนนี้เป็นอย่างไร คิดว่าตัวเองเป็นใคร มีหลักการเหตุผลข้อหนึ่งที่ผู้คนรับรู้กันถ้วนทั่ว แต่กลับเป็นประโยคที่ข้าจูเหลี่ยนให้ความสำคัญมากที่สุด และตอนนี้ก็สามารถหยิบออกมาตาก…แสงตะเกียงและแสงจันทร์ของที่นี่ได้พอดี ‘ผู้ที่เข้าใจคนอื่นคือผู้มีสติปัญญา ผู้ที่เข้าใจตัวเองคือผู้รู้แจ้ง’ แจ้งคืออะไร? คำนี้จะอธิบายว่าอย่างไร? ในเมื่อจิตใจสว่างไสวไร้มลทิน นั่นก็คือมีครบทั้งตะวันจันทราจึงสว่างชัดแจ้ง”

เฉินผิงอันกลับไปนั่งที่เดิม ดื่มเหล้า ทำท่าคล้ายกระจ่างแจ้ง แล้วก็คล้ายได้ยกภูเขาออกจากอก

สุดท้ายจูเหลี่ยนยิ้มกล่าวว่า “เรื่องบางอย่าง คิดแล้วไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องกลัว แค่เดินหน้าต่อไป เดินให้ช้าหน่อย ผิดแล้วก็แก้ไข หากไม่ผิดก็พยายามทำให้ดีขึ้น ทำถูกแล้วก็พยายามทำให้ถูกต้องที่สุด ความสามารถทั้งหลาย ความรู้ทุกอย่าง ก็ล้วนต้องนำมาปฏิบัติจริงไม่ใช่หรือ? ภูเขาห้อยหัวไปมาได้ ใบถงทวีปไปมาได้ พื้นที่มงคลดอกบัวไปมาได้ ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังไปมาได้ อุตรกุรุทวีปที่นับแต่โบราณมาก็มีเหล่าผู้กล้ามากมาย ก็ไม่ควรเป็นสถานที่ที่เฉินผิงอันควรจะไปฝึกกระบี่มากที่สุดหรอกหรือ? เหล้าต้องพกไปหลายๆ กาหน่อย ชุดเขียวสะพายกระบี่ จงไปเยือนอุตรกุรุทวีปท่องเที่ยวทิศเหนืออย่างห้าวเหิม ยามที่กลับคืนมายังทิศใต้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ชื่อเซียนกระบี่มาครองแล้ว ทำให้ยุทธภพของที่แห่งนั้นจดจำชื่อของเจ้าเฉินผิงอันไปหนึ่งร้อยปี หนึ่งพันปี!”

ตอนที่เฉินผิงอันได้ยินประโยคแรกๆ ก็ยังรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่พอฟังมาถึงช่วงท้ายๆ กลับไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่เป็นเรื่องที่ตัวเขาไม่มีทางคิดถึงอย่างแน่นอน

จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ยุทธภพมีสาวงามที่ลุ่มหลงในรักมากมาย นายน้อยก็ต้องระวังไว้สักหน่อย”

เฉินผิงอันจนใจ จูเหลี่ยนที่เอ่ยคำพูดเหล่านี้คล้ายจะเป็นแบบที่เขาคุ้นเคยมากกว่า

จูเหลี่ยนยกกาเหล้าขึ้น “คืนนี้ได้ดื่มและพูดคุยกับนายน้อยอย่างเต็มคราบ บ่าวเฒ่าอย่างข้าก็เหมือนได้เปิดสติปัญญาให้กระจ่างแจ้ง ขอให้นายน้อยดื่มเหล้ากานี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยจากไปได้หรือไม่?”

จูเหลี่ยนที่เป็นแบบนี้ก็ยิ่งไม่แปลกหน้าสำหรับเขา

เฉินผิงอันยิ้มพลางยกกาเหล้าขึ้น ต่างคนต่างดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาในกาของตัวเองจนหมด

หลังจากจูเหลี่ยนหิ้วกาเหล้าที่ว่างเปล่า ปิดประตูเดินจากไป เฉินผิงอันก็เริ่มหันมาเก็บสัมภาระใหม่อีกครั้ง

เงินเทพเซียนล้วนเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อแผ่นหยกที่ปีนั้นเจิ้งต้าเฟิงเคยมอบให้ตอนอยู่นครมังกรเฒ่า เขาขอเงินฝนธัญพืชจากเว่ยป้อที่ช่วย ‘ดูแลเงิน’ ให้มาสามสิบเหรียญ ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป จะไม่มีทางนำมาใช้เด็ดขาด มีเพียงเกี่ยวข้องกับโชควาสนาในการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสามชิ้นที่นอกเหนือจากดินและน้ำ เขาถึงจะใช้เงินก้อนนี้ ซื้อสมบัติอาคมที่พบเจอโดยบังเอิญซึ่งตรงกับใจ อีกทั้งยังเหมาะแก่การฝึกตนของเขา

นอกจากนี้ยังพกเงินร้อนน้อยไปอีกสิบเหรียญ รวมไปถึงเงินเกล็ดหิมะหนึ่งพันเหรียญ

เจี้ยนเซียน น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แน่นอนว่าย่อมพกติดตัวไปด้วย

สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวที่มีชื่อว่าชุนฉ่าวตัวนั้น แล้วก็ยังเอาชุดคลุมจินหลี่ไปด้วยเพื่อไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่จำเป็นตามคำแนะนำของจูเหลี่ยน

กำไลข้อมือแกนลูกท้อที่หลิวจื้อเม่าแห่งทะเลสาบซูเจียนมอบให้ ทุกแกนล้วนเทียบเท่ากับการโจมตีหนึ่งครั้งของเซียนดิน นี่ก็คือสมบัติอาคมในการจู่โจมที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด

ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นถูกทำร้ายถึงรากฐานไปแล้ว ได้ยินมาว่าทุกวันนี้พี่ใหญ่ของหลี่เป่าผิงไปศึกษาหาความรู้อยู่ที่อุตรกุรุทวีป ต้องลองดูว่าจะซ่อมแซมได้หรือไม่ หลังจากนั้นตระกูลหลี่จะเก็บยันต์แผ่นนี้กลับคืน หรือเฉินผิงอันจะเก็บเอาไว้เองก็ต้องดูที่การตัดสินใจของหลี่ซีเซิ่ง แม้ว่าชุยตงซานจะบอกเตือนตนเป็นนัยๆ แล้วว่าให้ขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับสกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ซึ่งไม่นับรวมหลี่เป่าผิงอย่างชัดเจน แต่กับหลี่ซีเซิ่ง เฉินผิงอันก็ยังยินดีที่จะใกล้ชิดสนิทสนมด้วย

และยังมีหน้ากากที่จูเหลี่ยนตั้งใจสร้างขึ้นอีกสามแผ่น แบ่งออกเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่ม ชายฉกรรจ์และผู้เฒ่า แม้ว่าจะไม่สามารถปิดบังผู้ฝึกตนเซียนดินได้ แต่ท่องอยู่ในยุทธภพก็เหลือเฟือแล้ว

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 483.2 จูเหลี่ยนอีกคน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 483.2 จูเหลี่ยนอีกคน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ดังนั้นผู้อาวุโสชุยจึงมองปมของปัญหาออก ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องดีอย่างการได้เปรียบเพียงอย่างเดียว ไม่แบ่งแยกความดีเลวในการลงมือและวิธีการที่ใช้ ทุกอย่างล้วนมีผลลัพธ์ตามมาทั้งสิ้น”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “การเป็นคนดีไม่เหมือนการฝึกวิชาหมัดที่เพียงแค่มุมานะตั้งใจฝึกฝนปณิธานหมัดก็เข้ามาอยู่บนกาย การเป็นคนที่ดี เอาตรงนี้มานิดหนึ่ง ลูบคลำตรงนั้นหน่อยหนึ่ง ง่ายที่จะเหมือนเพียงรูปลักษณ์ แต่ไม่เหมือนทางจิตวิญญาณ เดิมทีเมื่อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตแหลกสลาย สภาพจิตใจของข้าก็แตกกระจายตามไปด้วย ผลกลับกลายเป็นว่าทุกวันนี้ตกอยู่ในสภาพเหมือนเมืองที่แบ่งแยกดินแดนตั้งตัวเป็นอิสระ เพราะหากไม่ฝืนแบ่งแยกหลักกับรอง ปัญหาก็มีแต่จะใหญ่มากกว่าเดิม อาจเอาแต่เพ้อฝันเหมือนคนปัญญาอ่อน คิดจะฝึกฝนจนตัวเองกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ อันที่จริงก็ยังนับว่าดี ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เดินขึ้นที่สูงทีละก้าว ไม่พิถีพิถันในเรื่องพวกนี้ แต่หากเลียนแบบผู้ฝึกลมปราณ การเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตกลางคือด่านหนึ่ง สร้างโอสถทองก็ยิ่งเป็นอีกด่านหนึ่ง กลายเป็นก่อกำเนิดแล้วฝ่าทะลุขอบเขตก็ยิ่งเป็นด่านยากด่านใหญ่ นี่ไม่เหมือนคำว่างบปลายปีผ่านยาก แต่ก็ผ่านมาได้ทุกปี (งบปลายปีตามปฏิทินจันทรคติของจีน เพราะคนเป็นหนี้จะรู้สึกคล้ายกับว่าต้องผ่านด่าน) อย่างที่ชาวบ้านชอบพูดกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็สามารถอดทนจนผ่านไปได้ เรื่องของการฝึกตนนั้น หากไม่สมบูรณ์แบบครั้งหนึ่ง ก็มีแต่จะนำพาหายนะมาสู่ตัว”

เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักเสียง “ข้าไม่เคยรู้สึกว่านี่เป็นเพราะข้าคิดมากไปเอง ข้ายังคงเชื่อมั่นในคำว่าแพ้ชนะชั่วคราวขึ้นอยู่กับพละกำลัง แต่การเดินบนเส้นทางขึ้นสู่ที่สูงนี้ แพ้ชนะอย่างยาวนานกลับอยู่ที่หลักการเหตุผล นี่ก็คือรากฐานในการหยัดยืน จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ ใต้หล้าไม่เคยมีเรื่องดีๆ ที่รอให้ข้ามีชีวิตที่ดีก่อนแล้วค่อยใช้เหตุผล คุณความชอบยิ่งใหญ่ที่ทำสำเร็จได้ด้วยการไม่ใช่เหตุผล ในอนาคตก็มีแต่จะยิ่งไร้เหตุผลมากกว่าเดิม ในพื้นที่มงคลดอกบัว เจ้าอารามผู้เฒ่ามีกลอุบายลึกล้ำแยบยล ข้าคอยยืนดูอยู่ข้างๆ เขาเงียบๆ ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้วในใจกลับหวังว่าจะมองเห็นผลลัพธ์ของสามเรื่อง ถึงท้ายที่สุดกลับทำไม่ได้ สองเรื่องคือกระโดดข้ามไป เรื่องสุดท้ายถูกขัดจังหวะ เพราะต้องออกมาจากริมตลิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลา กลับคืนมายังโลกมนุษย์ของพื้นที่มงคลดอกบัวอีกครั้ง เรื่องที่ว่านั้นก็คือบัณฑิตคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแคว้นซงซีฉลาดเฉลียวอย่างยิ่ง มีชาติกำเนิดเป็นจิ้นซื่อ อีกทั้งยังมีปณิธานยิ่งใหญ่ยาวไกล ทว่าเมื่ออยู่ในวงการขุนนางกลับเจอแต่อุปสรรค ยากลำบากอย่างถึงที่สุด ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะปรับเปลี่ยนจิตใจของตัวเองเสียก่อน ลองศึกษากฎของวงการขุนนางดู เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม รอให้วันใดได้เข้าสู่ใจกลางราชสำนักแล้วค่อยกอบกู้โลกและช่วยเหลือปวงประชา ข้าก็เลยอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่า สุดท้ายแล้วบัณฑิตคนนี้ทำได้หรือว่าล้มเลิกไป”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว ในมือหิ้วกาเหล้าที่ไม่ได้ดื่ม เริ่มเดินวนรอบหลังโต๊ะที่มีพื้นที่คับแคบ พลางพูดพึมพำกับตัวเอง “หลักการเหตุผลมากมาย ข้ารู้ว่ามันดีมากๆ ถูกผิดมากมาย ข้าเองก็รู้อย่างชัดเจน ต่อให้ข้าจะได้เห็นแค่ผลลัพธ์ ทุกอย่างที่ข้าทำ ไม่ถือว่าเลวร้าย ทว่าระหว่างนี้ความยากลำบากก็มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รับรู้ เรียกได้ว่าความรู้สึกนับร้อยนับพันประดังประเดเข้าหา วุ่นวายไร้ระเบียบ ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นตอนที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนควรจะฆ่ากู้ช่านหรือไม่ ควรจะเป็นพันธมิตรกับหลิวจื้อเม่าที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตหรือไม่ จะแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามหลิวเหล่าเฉิงเพื่อเอาตัวรอดหรือไม่ หลังจากเรียนรู้จนมีความสามารถติดตัวแล้ว ควรจะคิดบัญชีกับศัตรูอย่างไร จะทำเหมือนการตัดสินใจในปีนั้นที่บุกรุดหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัว ไม่ต้องสนใจสิ่งใดอีกดีไหม? หรือว่าควรจะใคร่ครวญอย่างละเอียด ลองถอยไปหนึ่งก้าวแล้วตั้งสมมติฐานดูว่าควรจะต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนอะไรหรือไม่? การแก้ไขนี้ หากทำให้เรื่องราวถูกต้อง สอดคล้องกับหลักการเหตุผลแล้ว ทว่าส่วนลึกในใจข้าเฉินผิงอันสบายใจแล้วจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันยืนนิ่ง เขาส่ายหน้า สายตาเด็ดเดี่ยว พูดอย่างเฉียบขาดว่า “ข้าไม่สบายใจ”

เงียบไปครู่หนึ่ง

เฉินผิงอันก็แหงนหน้ากระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ ยกมือปาดริมฝีปาก “จะทำอย่างไรดี? แรกเริ่มข้านึกว่าขอแค่ได้ไปเยือนอุตรกุรุทวีปก็จะมีอิสระเสรี แต่คำพูดของผู้อาวุโสชุยกลับเป็นการเปิดโปงเรื่องนี้โดยตรง การกระทำนี้มีประโยชน์ แต่กลับมีประโยชน์ไม่มาก แก้ไขที่ปลายเหตุไม่ใช่ที่ต้นเหตุ นี่ทำให้ข้า…ลังเลอย่างมาก ข้าไม่กลัวหากต้องเสี่ยงอันตราย ต้องลำบาก หรือต้องได้รับความอยุติธรรม แต่ข้ากลับกลัวความรู้สึกที่…มองไปรอบด้านแล้วเห็นแต่ความว่างเปล่ามากที่สุด”

สายตาของเฉินผิงอันหม่นหมอง “ฟ้าดินกว้างใหญ่ โดดเดี่ยวเดียวดาย มองไปไม่เห็นญาติมิตร เหลียวซ้ายแลขวา ทำถูกก็ไม่มีคนชื่นชม ทำผิดก็ไร้คนด่า ความรู้สึกย่ำแย่เช่นนั้นในวัยเด็ก อันที่จริงมันคอยวนเวียนอยู่รอบกายข้าตลอดเวลา ขอแค่ข้านึกถึงมันก็จะต้องรู้สึกสิ้นหวัง ข้ารู้ดีว่าสภาพจิตใจเช่นนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง ตลอดหลายปีมานี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงแก้ไข แต่ก็ยังทำได้ไม่ดีพอ ดังนั้นกับกู้ช่าน กับหลิวเสี้ยนหยาง และกับคนทุกคนที่ข้าเห็นเป็นเพื่อน ข้าล้วนอยากจะยกสองประมือประคองส่งสิ่งของไปให้พวกเขา เป็นเพราะข้ามีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์จริงๆ หรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าเพียงแต่เริ่มตั้งสมมติฐานว่าข้ารั้งสิ่งใดไว้ไม่อยู่ แต่ขอแค่พวกเขาถือไว้ในมือ ต่อให้ข้าได้แค่มองแวบหนึ่งและเห็นว่ามันยังอยู่ ก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว เงินก็ดี สิ่งของก็ช่าง ล้วนเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนกับชุดคลุมอาคมจินหลี่ชุดนี้ ตัวข้าเองไม่ชอบหรือ? ชอบสิ ชอบมาก ร่วมทุกข์ด้วยกันมานานขนาดนี้ จะไม่มีความผูกพันเลยได้อย่างไร ข้าเฉินผิงอันเป็นใคร? แม้แต่ฉวีหวงม้าผอมๆ ตัวหนึ่งที่อยู่เคียงข้างกันและกันมาสองปีกว่าก็ยังต้องพาออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนกลับภูเขาลั่วพั่วไปด้วยกัน แต่ข้ากลัวว่าหากวันใดจู่ๆ ข้าตายไประหว่างการเดินทาง ทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกคนอื่นแย่งชิงไป แล้วจะให้พวกมันกลายเป็นโชควาสนาตระกูลเซียนที่ ‘เหลือ’ ให้กับคนที่ข้าไม่รู้จักเลยน่ะหรือ? แน่นอนว่าไม่สู้เอาไปมอบให้กับหลิวเสี้ยนหยางเสียแต่เนิ่นๆ ยังดีกว่า”

จูเหลี่ยนวางกาเหล้าลง ไม่ดื่มเหล้าอีก เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ความกังวลใจของนายน้อยไม่ใช่เรื่องในครอบครัวของตัวเอง แต่เป็นปัญหายากพันปีที่ทุกคนใต้หล้ามีร่วมกัน”

จูเหลี่ยนใช้ฝ่ามือสองข้างลูบที่เท้าแขนเก้าอี้เบาๆ “ไม่ใช่แค่นายน้อยคนเดียวเท่านั้นที่มี ข้าจูเหลี่ยนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็มีเหมือนกัน ติงอิงมี บัณฑิตของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ก็มี นักปราชญ์ วิญญูชน อริยะ สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาทั้งหมดบนโลกล้วนมีด้วยกันทั้งสิ้น รากเหง้าความรู้ของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก อันที่จริงต่างก็กำลังงัดข้ออยู่กับ ‘ใจคน’ การควบคุมอบรมตนให้เป็นไปตามระเบียบพิธีการ วิญญูชนที่สำรวมตนแม้ยามอยู่เพียงลำพังของลัทธิขงจื๊อ การคล้อยตามธรรมชาติ ไม่กลบเกลื่อนความผิดที่ตัวเองกระทำของลัทธิเต๋า การกำราบวานรดื้อม้าพยศในหัวใจของลัทธิพุทธ ความรู้ล้วนเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่และดีงาม แต่ว่าเมื่อต้องนำมาปฏิบัติจริง ธรณีประตูก็ยังคงสูงเกินไป ก็เหมือนกับขี้ไก่ขี้หมาในตรอกหนีผิงที่ยากจะให้ความสนใจ ทฤษฎีคุณความชอบของชุยฉานและชุยตงซาน ความล้ำค่าของมันนั้นอยู่ที่ต่อให้เป็นเรื่องเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งนอกตรอกก็ยังสามารถควบคุมได้ดี ข้อเสียนั้นอยู่ที่ใช้พละกำลังกับเรื่องหยุมหยิมมากเกินไป ต้องชั่งน้ำหนักกับทุกเรื่อง ง่ายที่จิตใจคนจะเดินลงสู่ที่ต่ำ เป็นในทางปฏิบัติมากเกินไป ไม่สนใจเชิงทฤษฎีเลย ก็ยากที่จะแสวงหาสิ่งที่อยู่เหนือกว่าได้อีก”

จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืน ยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาค้ำผิวโต๊ะไว้เบาๆ แล้วเคาะ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ต่อจากนี้โปรดอนุญาตให้บ่าวเฒ่าแหกกฎสักครั้ง ไม่ยึดถือเรื่องสถานะ แต่ขอเรียกชื่อนายน้อยออกมาตามตรง”

จูเหลี่ยนเอ่ยต่อว่า “หยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าวิธีการที่เจ้าเฉินผิงอันปฏิบัติต่อโลกใบนี้ กับเจตจำนงเดิมของเจ้ากำลังงัดข้อกันและเข้ากันไม่ได้ อีกทั้งปมในใจที่มองดูเหมือนเล็กเท่าเมล็ดงาเหล่านี้ ยิ่งระดับความสูงในการเรียนวรยุทธและขอบเขตของผู้ฝึกตนสูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าเฉินผิงอันเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งหมัดปล่อยออกไป ปีนั้นสามารถต่อยให้หินอิฐและผนังปริแตก วันหน้าต่อยหมัดหนึ่งออกไป แม้แต่กำแพงเมืองวังหลวงของราชวงศ์โลกมนุษย์ก็ยังเละเป็นหน้ากลองได้ ปีนั้นเจ้าส่งหนึ่งกระบี่ออกไปก็สามารถช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นจากอันตราย สะท้านสะเทือนเหล่าศัตรู วันหน้าไม่แน่ว่าแค่ปราณกระบี่พุ่งไปถึง แม่น้ำลำธารก็อาจแหลกสลาย ศาลบรรพจารย์ของตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งหนึ่งอาจถึงขั้นหายวับไปไม่เหลือ แล้วจะไม่มีความผิดเลยได้อย่างไร? หากเจ้าคือหม่าขู่เสียน คนคนหนึ่งที่เจ้ารังเกียจมาก หรือแม้กระทั่งเป็นหลิวเสี้ยนหยาง คนคนหนึ่งซึ่งเป็นสหายที่ดีที่สุดของเจ้า ก็ล้วนไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่ก็เพราะว่าเป็นเช่นนี้ เจ้าเฉินผิงอันถึงได้เป็นเฉินผิงอันในเวลานี้”

จูเหลี่ยนชี้ไปที่เฉินผิงอัน “เจ้าถึงได้เป็นเจ้า”

จูเหลี่ยนวาดวงกลมวงหนึ่งลงบนโต๊ะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ขอแค่เจ้าทำให้ความรู้และหลักการเหตุผลของตัวเองสอดคล้องกับโลกใบนี้ได้ ก็จะทั้งสามารถแก้ไขปัญหา แล้วทั้งสามารถใช้ชีวิตผ่านพ้นไปด้วยดีในแต่ละวัน ขณะเดียวกันก็พอจะสบายใจได้ ไม่ต้องแสวงหาสิ่งนอกกายอีก แต่สถานการณ์ถามใจหลังจากนั้น ต้องการให้เจ้าลองถามตัวเองดูว่า เจ้าเฉินผิงอันเป็นใครกันแน่ ในเมื่อเจ้าเลือกทางเส้นนี้ ถ้าอย่างนั้นถูกก็ดี ผิดก็ช่าง ล้วนจำเป็นต้องรู้ไว้ก่อน รู้อย่างชัดเจน มองให้กระจ่างชัด ความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก แก้ไขให้สมบูรณ์แบบถึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเรื่องใดก็อย่าได้หวังเลย”

จูเหลี่ยนยื่นนิ้วมาชี้หน้าเฉินผิงอันอีกครั้ง เพียงแต่ว่าคราวนี้ยกนิ้วขึ้นสูงกว่าเดิมเล็กน้อย ชี้ไปที่เหนือหัวของเฉินผิงอัน “ก่อนหน้านี้บอกกับเจ้าแล้วว่า ประโยคนั้นที่เว่ยป้อเอ่ยถึง มีประโยชน์อย่างมาก นั่นก็คือในใจของคนคนหนึ่ง ควรจะต้องมีตะวันจันทรา”

จูเหลี่ยนค่อยๆ ลดระดับนิ้วลงช้าๆ ชี้ไปที่ด้านหลังของเฉินผิงอัน “แล้วเจ้าเองก็เล่าว่าราชครูชุยฉานได้บอกว่า ในใจของคนคนหนึ่งมีแสงสว่างเจิดจ้า ประหนึ่งพืชพรรณที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะต้องหันไปมองเงาด้านหลังตัวเองหน่อยหรือไม่”

จูเหลี่ยนถาม “สองประโยคนี้พูดถึงอะไร?”

จูเหลี่ยนถามเองตอบเอง “หนึ่งคืออนาคต อีกหนึ่งคืออดีต ดังนั้นข้ามีอีกหนึ่งคำถาม ตอนนี้เป็นอย่างไร คิดว่าตัวเองเป็นใคร มีหลักการเหตุผลข้อหนึ่งที่ผู้คนรับรู้กันถ้วนทั่ว แต่กลับเป็นประโยคที่ข้าจูเหลี่ยนให้ความสำคัญมากที่สุด และตอนนี้ก็สามารถหยิบออกมาตาก…แสงตะเกียงและแสงจันทร์ของที่นี่ได้พอดี ‘ผู้ที่เข้าใจคนอื่นคือผู้มีสติปัญญา ผู้ที่เข้าใจตัวเองคือผู้รู้แจ้ง’ แจ้งคืออะไร? คำนี้จะอธิบายว่าอย่างไร? ในเมื่อจิตใจสว่างไสวไร้มลทิน นั่นก็คือมีครบทั้งตะวันจันทราจึงสว่างชัดแจ้ง”

เฉินผิงอันกลับไปนั่งที่เดิม ดื่มเหล้า ทำท่าคล้ายกระจ่างแจ้ง แล้วก็คล้ายได้ยกภูเขาออกจากอก

สุดท้ายจูเหลี่ยนยิ้มกล่าวว่า “เรื่องบางอย่าง คิดแล้วไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องกลัว แค่เดินหน้าต่อไป เดินให้ช้าหน่อย ผิดแล้วก็แก้ไข หากไม่ผิดก็พยายามทำให้ดีขึ้น ทำถูกแล้วก็พยายามทำให้ถูกต้องที่สุด ความสามารถทั้งหลาย ความรู้ทุกอย่าง ก็ล้วนต้องนำมาปฏิบัติจริงไม่ใช่หรือ? ภูเขาห้อยหัวไปมาได้ ใบถงทวีปไปมาได้ พื้นที่มงคลดอกบัวไปมาได้ ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังไปมาได้ อุตรกุรุทวีปที่นับแต่โบราณมาก็มีเหล่าผู้กล้ามากมาย ก็ไม่ควรเป็นสถานที่ที่เฉินผิงอันควรจะไปฝึกกระบี่มากที่สุดหรอกหรือ? เหล้าต้องพกไปหลายๆ กาหน่อย ชุดเขียวสะพายกระบี่ จงไปเยือนอุตรกุรุทวีปท่องเที่ยวทิศเหนืออย่างห้าวเหิม ยามที่กลับคืนมายังทิศใต้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ชื่อเซียนกระบี่มาครองแล้ว ทำให้ยุทธภพของที่แห่งนั้นจดจำชื่อของเจ้าเฉินผิงอันไปหนึ่งร้อยปี หนึ่งพันปี!”

ตอนที่เฉินผิงอันได้ยินประโยคแรกๆ ก็ยังรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่พอฟังมาถึงช่วงท้ายๆ กลับไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่เป็นเรื่องที่ตัวเขาไม่มีทางคิดถึงอย่างแน่นอน

จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ยุทธภพมีสาวงามที่ลุ่มหลงในรักมากมาย นายน้อยก็ต้องระวังไว้สักหน่อย”

เฉินผิงอันจนใจ จูเหลี่ยนที่เอ่ยคำพูดเหล่านี้คล้ายจะเป็นแบบที่เขาคุ้นเคยมากกว่า

จูเหลี่ยนยกกาเหล้าขึ้น “คืนนี้ได้ดื่มและพูดคุยกับนายน้อยอย่างเต็มคราบ บ่าวเฒ่าอย่างข้าก็เหมือนได้เปิดสติปัญญาให้กระจ่างแจ้ง ขอให้นายน้อยดื่มเหล้ากานี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยจากไปได้หรือไม่?”

จูเหลี่ยนที่เป็นแบบนี้ก็ยิ่งไม่แปลกหน้าสำหรับเขา

เฉินผิงอันยิ้มพลางยกกาเหล้าขึ้น ต่างคนต่างดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาในกาของตัวเองจนหมด

หลังจากจูเหลี่ยนหิ้วกาเหล้าที่ว่างเปล่า ปิดประตูเดินจากไป เฉินผิงอันก็เริ่มหันมาเก็บสัมภาระใหม่อีกครั้ง

เงินเทพเซียนล้วนเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อแผ่นหยกที่ปีนั้นเจิ้งต้าเฟิงเคยมอบให้ตอนอยู่นครมังกรเฒ่า เขาขอเงินฝนธัญพืชจากเว่ยป้อที่ช่วย ‘ดูแลเงิน’ ให้มาสามสิบเหรียญ ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป จะไม่มีทางนำมาใช้เด็ดขาด มีเพียงเกี่ยวข้องกับโชควาสนาในการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสามชิ้นที่นอกเหนือจากดินและน้ำ เขาถึงจะใช้เงินก้อนนี้ ซื้อสมบัติอาคมที่พบเจอโดยบังเอิญซึ่งตรงกับใจ อีกทั้งยังเหมาะแก่การฝึกตนของเขา

นอกจากนี้ยังพกเงินร้อนน้อยไปอีกสิบเหรียญ รวมไปถึงเงินเกล็ดหิมะหนึ่งพันเหรียญ

เจี้ยนเซียน น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แน่นอนว่าย่อมพกติดตัวไปด้วย

สวมชุดคลุมอาคมสีเขียวที่มีชื่อว่าชุนฉ่าวตัวนั้น แล้วก็ยังเอาชุดคลุมจินหลี่ไปด้วยเพื่อไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่จำเป็นตามคำแนะนำของจูเหลี่ยน

กำไลข้อมือแกนลูกท้อที่หลิวจื้อเม่าแห่งทะเลสาบซูเจียนมอบให้ ทุกแกนล้วนเทียบเท่ากับการโจมตีหนึ่งครั้งของเซียนดิน นี่ก็คือสมบัติอาคมในการจู่โจมที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด

ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นถูกทำร้ายถึงรากฐานไปแล้ว ได้ยินมาว่าทุกวันนี้พี่ใหญ่ของหลี่เป่าผิงไปศึกษาหาความรู้อยู่ที่อุตรกุรุทวีป ต้องลองดูว่าจะซ่อมแซมได้หรือไม่ หลังจากนั้นตระกูลหลี่จะเก็บยันต์แผ่นนี้กลับคืน หรือเฉินผิงอันจะเก็บเอาไว้เองก็ต้องดูที่การตัดสินใจของหลี่ซีเซิ่ง แม้ว่าชุยตงซานจะบอกเตือนตนเป็นนัยๆ แล้วว่าให้ขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับสกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ซึ่งไม่นับรวมหลี่เป่าผิงอย่างชัดเจน แต่กับหลี่ซีเซิ่ง เฉินผิงอันก็ยังยินดีที่จะใกล้ชิดสนิทสนมด้วย

และยังมีหน้ากากที่จูเหลี่ยนตั้งใจสร้างขึ้นอีกสามแผ่น แบ่งออกเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่ม ชายฉกรรจ์และผู้เฒ่า แม้ว่าจะไม่สามารถปิดบังผู้ฝึกตนเซียนดินได้ แต่ท่องอยู่ในยุทธภพก็เหลือเฟือแล้ว

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+