กระบี่จงมา 487.2 ไม่เสียทีที่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 487.2 ไม่เสียทีที่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบกลับ “ตกลง ขอบคุณมากที่มาเตือน”

เด็กหนุ่มโบกมือ แล้วก็หมุนตัวเตรียมจะวิ่งกลับร้าน

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ขอละลาบละล้วงถามอะไรสักหน่อยได้ไหม?”

เด็กหนุ่มหยุดเท้าทันที หันมาพยักหน้ารับ “ถามมาได้เลย อะไรที่พูดได้ ข้าจะไม่ปิดบังแน่นอน”

เฉินผิงอันถาม “ภาพฝาผนังเทพหญิงแปดภาพนี้มีโชควาสนายิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น เหตุใดสำนักพีหมาถึงไม่ล้อมปิดไว้? ต่อให้ลูกศิษย์ของตัวเองไม่อาจคว้าโชควาสนาไว้ได้ แต่น้ำดีไม่ไหลเข้านาของคนอื่น นี่มิใช่หลักการทั่วไปหรอกหรือ?”

เด็กหนุ่มยิ้มกล่าว “สำนักพีหมาไม่ได้ขี้เหนียวขนาดนั้น แทนที่จะยึดครองพื้นที่วิเศษ ฮุบเอาโชควาสนาไว้เพียงลำพัง ไม่สู้สร้างบุญสัมพันธ์กับพวกคนที่มีโชควาสนา ศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมามีประโยคหนึ่งที่สืบทอดต่อกันมา ‘คนอย่างเราฝึกตนบนมหามรรคา จงจำไว้ว่าอย่าทำตัวเหมือนพ่อค้าหาบเร่ที่แย่งชิงถนนหนทาง’”

เฉินผิงอันขบคิดประโยคนี้อย่างละเอียดแล้วก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “สำนักพีหมาช่างใจกว้างองอาจยิ่งนัก!”

เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจทันใด อย่าเห็นว่าเด็กหนุ่มตัวไม่สูง หน้าตาก็ธรรมดา เพราะแท้จริงแล้วเขาก็คือลูกศิษย์ฝ่ายในของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมา ฝึกตนจนพอจะประสบความสำเร็จ จึงเป็นเหตุให้สามารถเก็บความคิดจิตใจไว้ภายใน แม้ว่าอายุจะยังน้อยมาก แต่ลำดับศักดิ์กลับไม่ต่ำ เพียงแต่รู้จักกับเด็กสาวของร้านในนครปี้ฮว่ามาตั้งแต่เด็ก พอมีโอกาสก็จะลงจากภูเขามาช่วยงาน เมื่อกลับไปถึงสำนักพีหมา ผู้ฝึกตนเฒ่าผมขาวโพลนที่ต้องเรียกขานเขาว่าอาจารย์อาน้อยก็มีอยู่ไม่น้อย

เอ่ยขอบคุณเด็กหนุ่มอีกครั้ง เฉินผิงอันก็เดินตรงไปยังทางเข้า ในเมื่อซื้อภาพเทพหญิงทั้งหลายมาแล้ว ในฐานะต้นทุนในการเปิดร้านทำกิจการที่อุตรกุรุทวีปแห่งนี้ก็ถือว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว จึงไม่คิดจะเดินเที่ยวชมนครปี้ฮว่าต่ออีก อันที่จริงตลอดทางเขาก็ได้เห็นอาวุธของผู้ฝึกตนผีที่วางขายตามร้านน้อยใหญ่ ยังไม่พูดถึงว่าวัตถุเหล่านั้นดีหรือเลว แต่ราคากลับแพงมากจริงๆ คาดว่าหากจะหาของดีและของชั้นยอดจริงๆ คงต้องอยู่ที่นี่สักระยะเวลาหนึ่ง ค่อยๆ ตามหาร้านเก่าแก่ที่หลบอยู่ตามหลืบลึกของตรอกซอกซอย ถึงจะมีโอกาสได้เจอของดี ไม่อย่างนั้นเถ้าแก่หวงของเรือข้ามฟากก็คงไม่เอ่ยเตือน เพียงแต่เฉินผิงอันไม่คิดจะมาเสี่ยงดวง นอกจากนี้หุ่นเชิดวิญญาณหยินที่ยอดเยี่ยมที่สุดของนครปี้ฮว่าที่จะซื้อมาเป็นข้ารับใช้ ก็เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นที่สุดสำหรับเฉินผิงอัน ดังนั้นเขาจึงเร่งเดินทางไปยังศาลเทพลำคลองเหยาเย่ที่ห่างจากสำนักพีหมาไปหกร้อยลี้

ออกจากนครปี้ฮว่า มองไอเมฆหมอกที่ล้อมวนเวียนอยู่บนยอดเขาบดบังสำนักพีหมาที่อยู่สูงขึ้นไป อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงภูเขาไท่ผิงของใบถงทวีปขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ตรงตีนเขาผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัด จวนตระกูลเซียนที่มีผู้สืบทอดสายตรงสามสิบหกคน และฝ่ายนอกหนึ่งร้อยแปดคนแห่งนี้ สำหรับถ้ำสถิตที่มีอักษรคำว่าจงในชื่อแล้ว ผู้ฝึกตนก็ถือว่าน้อยไปหน่อยจริงๆ บนภูเขาก็คงจะเงียบสงัดวังเวงอยู่ไม่น้อย

อันที่จริงภูเขาลั่วพั่วของตนในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่

คนยังน้อยเกินไป

แต่ในอนาคตหากมีคนมาเพิ่ม เฉินผิงอันก็เป็นกังวลเหมือนกัน กังวลว่าจะมีกู้ช่านคนที่สองปรากฎขึ้น ต่อให้จะเป็นแค่กู้ช่านครึ่งตัว เฉินผิงอันก็น่าจะหัวโตแล้ว

ลัทธิเต๋าเคยมีเรื่องราวของคนเมืองฉี่กังวลว่าฟ้าจะถล่ม (เปรียบเปรยถึงคนที่มัวกังวลอยู่กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง) เฉินผิงอันเปิดอ่านอยู่หลายครั้ง ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าชวนให้ขบคิดอย่างยิ่ง

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า ขยับห่อสัมภาระให้เข้าที่ เก็บความคิดทั้งหมดกลับคืนแล้วออกเดินทางไกลต่ออีกครั้ง

ยังคงเดินเท้าไปเบื้องหน้า

ส่วนลมหายใจช้าเร็วและฝีเท้าที่ตื้นหรือลึก เขาจงใจคงสภาพให้อยู่ในลักษณะของผู้ฝึกยุทธห้าขอบเขตทั่วไปในโลก

ศาลเทพลำคลองหาได้ง่ายมาก ขอแค่เดินเลียบไปตามลำคลองเหยาเย่ จากนั้นก็ขึ้นเหนือไปอีกระยะทางหนึ่งก็ได้แล้ว หุบเขาผีร้ายตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของศาลแห่งนั้น จึงพอจะถือว่าไปทางเดียวกันได้

ผืนน้ำของลำคลองเหยาเย่กว้างขวางอย่างยิ่ง มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด กระแสน้ำลึกไหลช้า ให้ความรู้สึกคล้ายทะเลสาบแห่งหนึ่ง

ลำคลองเหยาเย่ไม่มีสะพาน ว่ากันว่าเทพลำคลองผู้นี้ไม่ชอบให้คนมาเดินอยู่เหนือหัวของเขา ดังนั้นจึงมีท่าเรือและเรือข้ามฟากอยู่เป็นจำนวนมาก เฉินผิงอันหยุดพักเท้าที่ท่าเรือเล็กๆ แห่งหนึ่ง ดื่มชาอินเฉินของท้องถิ่นหนึ่งถ้วย โดยทั่วไปแล้วน้ำที่นำมาใช้ต้มชา น้ำในลำคลองถือว่าเป็นระดับล่างๆ ชาอินเฉินของที่นี่เอาน้ำมาจากในลำคลอง แต่น้ำชากลับหวานสดชื่น คาดว่าคงจะเกี่ยวข้องกับโชคชะตาน้ำที่เข้มข้นของลำคลองเหยาเย่เป็นแน่ โชคชะตาน้ำโชติช่วง อีกทั้งยังประทานคุณให้แก่สองฟากฝั่งโดยที่มองไม่เห็น ต้นไม้ใบหญ้าจึงเขียวชอุ่มหนาครึ้ม ต้นกกต้นอ้อกอใหญ่ขึ้นเรียงเป็นแถบ เป็นช่วงต้นฤดูหนาว แต่กลับยังคงเป็นสีเขียวสดปลั่ง เป็นเหตุให้มีนกน้ำบินมาเกาะพักพิงอยู่เป็นจำนวนมาก

ตลอดทางที่เดินมานี้ บางครั้งก็พอจะเห็นผู้ฝึกตนที่มาท่องเที่ยวได้บ้าง ข้างกายพวกเขามีผู้ติดตามวิญญาณหยินที่สวมเสื้อเกราะเสียดสีกันส่งเสียงดังเคร้งคร้าง แต่ฝีเท้ากลับแผ่วเบาแทบไม่แตะฝุ่น เหมือนยอดฝีมือในยุทธภพของแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ ในแจกันสมบัติทวีป  เสื้อเกราะที่สวมอยู่บนร่างเป็นเกราะชั้นดี สลักอักขระยันต์ของลัทธิเต๋า เส้นสีเงินสีทองตัดสลับกันส่องประกายแสงระยิบระยับ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของธรรมดา วิญญาณหยินร่างกำยำสวมหน้ากากที่แทบจะปิดบังใบหน้าทั้งหมด ผิวพรรณที่เปิดเปลือยส่วนใหญ่ล้วนเป็นสีเขียวเข้ม

น้ำของหนึ่งพื้นที่หล่อเลี้ยงคนของหนึ่งพื้นที่ ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีป ไม่ว่าขอบเขตจะสูงหรือต่ำ เมื่อเทียบกับความระมัดระวัง สำรวมตนของผู้ฝึกตนในแจกันสมบัติทวีปยามที่เดินอยู่ตามท่าเรือใหญ่ๆ แล้ว ผู้ฝึกตนของที่แห่งนี้ล้วนมีสีหน้าไม่แยแสผู้ใด หยิ่งทระนงในตนเองอย่างยิ่ง

หากเผยเฉียนมาถึงที่นี่ คาดว่าคงจะเป็นดั่งปลาที่ได้น้ำเลยกระมัง

เฉินผิงอันสั่งน้ำชาอินเฉินมาอีกสองถ้วย ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันกระหายจนต้องดื่มเหมือนวัวกินน้ำเช่นนี้ แต่กฎของร้านน้ำชาคือน้ำชาสามถ้วยราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ดื่มไม่ถึงสามถ้วยก็คิดเริ่มต้นที่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะเหมือนกัน

เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนเดินทางมากนัก เขาจึงค่อยๆ ดื่มชา และโต๊ะสิบกว่าตัวในร้านก็มีคนนั่งไปแล้วเกินครึ่ง ล้วนเป็นคนที่มาพักเท้าอยู่ที่นี่ เพราะหากเดินทางไปอีกหนึ่งร้อยลี้กว่าจะมีโบราณสถานแห่งหนึ่ง ริมตลิ่งของลำคลองเหยาเย่แถบนั้นมีวัวเหล็กยุคบรรพกาลที่ล้มกองกับพื้นอยู่ตัวหนึ่ง ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด เกือบจะใกล้เคียงกับสมบัติอาคม ยังไม่ถูกเทพลำคลองของลำคลองเหยาเย่รับเข้าไปพิทักษ์โชคชะตาน้ำ แล้วก็ไม่ถูกผู้ฝึกตนใหญ่ของชายหาดโครงกระดูกเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋า เคยมีเซียนดินคนหนึ่งพยายามจะขโมยของสิ่งนี้ไป แต่จุดจบกลับไม่ค่อยดีนัก เทพลำคลองแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ได้ร่ายใช้วิชาอภินิหารขัดขวาง ทว่าน้ำในลำคลองเหยาเย่กลับซัดเชี่ยวไหลกรากโถมตัวกลบฟ้ากลบดิน ถึงขนาดม้วนหอบเอาเซียนดินโอสถทองผู้นั้นเข้าไปในลำคลองโดยตรง จนกระทั่งเขาจมน้ำตายทั้งเป็น หลังจากนั้นมาก็ไม่มีใครกล้าปรารถนาอยากครอบครองวัวเหล็กหนักหลายแสนชั่งตัวนี้อีกเลย

เฉินผิงอันเพิ่งจะดื่มน้ำชาถ้วยที่สองหมด ห่างไปไม่ไกลก็มีลูกค้าของโต๊ะหนึ่งทะเลาะกับลูกจ้างในร้านน้ำชาด้วยเรื่องที่ว่าน้ำชาสี่ชาม เหตุใดทางร้านถึงต้องเก็บเงินถึงสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ

เถ้าแก่เป็นชายฉกรรจ์ท่าทางเกียจคร้าน เห็นลูกจ้างของตัวเองทะเลาะกับลูกค้าจนหน้าดำหน้าแดงกลับรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เขาฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะคิดเงินที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมันพลางกินอาหารของตัวเองอยู่เพียงลำพัง ด้านหน้าวางจานกับแกล้มเอาไว้ นั่นคือขึ้นฉ่ายน้ำรสชาติสดใหม่ที่เก็บมาจากริมตลิ่งลำคลองเหยาเย่ ลูกจ้างหนุ่มก็เป็นคนนิสัยดื้อดึง ไม่ขอความช่วยเหลือจากเถ้าแก่ คนคนเดียวถูกลูกค้าสี่คนรุมล้อม แต่เขาก็ยังคงยืนกรานในความคิดของตัวเองว่า หากไม่ควักเงินเกล็ดหิมะสองเหรียญมาจ่ายแต่โดยดี ถ้าเช่นนั้นก็ต้องมีความสามารถมากพอจะชักดาบไม่จ่ายเงิน เพราะถึงอย่างไรทางร้านน้ำชาก็ไม่คิดจะรับเงินขาวสักแดงเดียวอยู่แล้ว

ชายฉกรรจ์เคราดกใบหน้าเป็นสีม่วง ด้านหลังมีข้ารับใช้วิญญาณหยินที่มีพลังอำนาจน่าตื่นตะลึงตนหนึ่งยืนอยู่ ด้านหลังของหุ่นเชิดที่สำนักพีหมาเป็นผู้สร้างตนนี้สะพายหีบใบใหญ่ ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงเตรียมจะลงไม้ลงมือให้แตกหักกันไปข้าง แต่กลับถูกสตรีโตเต็มวัยพกดาบที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งยาวคนหนึ่งเอ่ยเกลี้ยกล่อม ชายฉกรรจ์จึงควักเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญออกมาตบลงบนโต๊ะอย่างแรง “สองเหรียญเงินเกล็ดหิมะใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็หามาทอนข้าผู้อาวุโส!”

นี่เห็นได้ชัดว่าจะสร้างความลำบากใจและความโมโหให้แก่ร้านน้ำชา

ผู้ฝึกตนบนภูเขา รวมไปถึงผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่มีฝีมือติดตัว ยามเดินทางอยู่ข้างนอก โดยทั่วไปแล้วจะเตรียมเงินเกล็ดหิมะไว้มากกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าจะขาดเงินนี้ได้ ส่วนเงินร้อนน้อยนั้น แน่นอนว่าต้องพอมีบ้าง เพราะถึงอย่างไรวัตถุนี้ก็เบากว่าเงินเกล็ดหิมะ สะดวกในการพกพามากกว่า หากเป็นเซียนดินที่พอจะมีวัตถุฟางชุ่นประเภทเนินเซียนขนาดเล็ก หรือคลังอาวุธจิ๋ว หรือได้รับสมบัติสืบทอดจากตระกูลเซียนบนภูเขาลูกใหญ่มาตั้งแต่เด็ก ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ส่วนเงินฝนธัญพืชที่ล้ำค่ามากกว่านั้น ไม่ใช่ว่ายิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะสถานที่ที่สามารถใช้เงินฝนธัญพืชได้นั้น มีไม่ค่อยมาก เว้นเสียจากว่าพอลงจากภูเขามาก็ไปทำการแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่โดยตรง

ผลคือถูกลูกจ้างหนุ่มย้อนกลับว่า “ทำไมเจ้าไม่ควักเงินฝนธัญพืชออกมาเลยเล่า?”

ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงถลึงตา ยกสองมือกอดอก “อย่ามัวพูดมาก เร็วๆ เข้า อย่าถ่วงเวลาการไปจุดธูปบูชาศาลเทพลำคลองของข้าผู้อาวุโส!”

ในที่สุดชายฉกรรจ์ที่เป็นเจ้าของร้านก็เปิดปากช่วยคลี่คลายสถานการณ์ “พอเถอะ รีบหาเงินมาทอนลูกค้าเร็ว”

ลูกจ้างหนุ่มหยิบเงินร้อนน้อยเดินไปที่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินแล้วทรุดตัวลงนั่งยอง ก่อนที่เสียงใสแจ๋วของเหรียญเงินกระทบกันจะดังขึ้นเป็นระลอก แล้วเขาก็หิ้วถุงเงินเกล็ดหิมะใบหนึ่งออกมาตบลงบนโต๊ะอย่างแรง “เอาไป!”

ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงคลี่ยิ้ม กวักมือหนึ่งครั้ง ข้ารับใช้วิญญาณหยินที่อยู่ด้านหลังก็คว้าเงินเกล็ดหิมะหนักอึ้งถุงนั้นขึ้นมาใส่ไว้ในหีบด้านหลัง

ลูกจ้างหนุ่มพูดหน้าเคร่ง “โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปส่ง ไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมาอีก”

ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงควักเงินร้อนน้อยอีกเหรียญออกมาวางบนโต๊ะ ยิ้มเหี้ยมเอ่ยว่า “เอาชาอินเฉินมาอีกสี่ชาม”

ลูกจ้างหนุ่มพูดอย่างขุ่นเคือง “มารดาเจ้าเถอะ ไม่จบไม่สิ้นสักทีหรือไง?!”

สตรีโตเต็มวัยที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งบิดกาย เดิมทีเรือนร่างของนางก็งดงามน่าหลงใหลอยู่แล้ว พอบิดตัวเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนขึ้น นางยิ้มหวานเอ่ยกับลูกจ้างหนุ่ม “ในเมื่อทำการค้าที่เปิดประตูต้อนรับลูกค้า นิสัยก็อย่าได้บุ่มบ่ามเกินไปนัก แต่พี่สาวก็ไม่โทษเจ้า คนหนุ่มอารมณ์ร้อนเป็นเรื่องปกติ อีกเดี๋ยวน้ำชาถ้วยที่เป็นของพี่สาว พี่สาวจะไม่ดื่มแล้ว ถือว่ายกให้เจ้าเป็นรางวัล ดื่มดับไฟโทสะสักหน่อย”

ลูกค้าโต๊ะอื่นๆ ที่นั่งกันอยู่พากันหัวเราะครืน แล้วยังมีเสียงเฮครึกครื้น ชายฉกรรจ์บางคนถึงกับผิวปากหวือ เพ่งตามองไปยังทัศนียภาพเบื้องหน้าเรือนกายของสตรีผู้นั้น ใจนึกอยากจะใช้ดวงตาของตัวเองกวาดเอาภูเขาสองลูกกลับไปบ้านด้วย

ลูกจ้างหนุ่มอับอายจนพานเป็นความโกรธ กำลังจะอ้าปากด่านังจิ้งจอกแพศยาผู้นี้ ทว่าคนหนุ่มพกกระบี่คนหนึ่งที่อยู่ข้างกายสตรีกลับใช้ฝ่ามือลูบด้ามกระบี่ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือ ราวกับกำลังรอให้ลูกจ้างปากพล่อยผู้นี้เปิดปากหมิ่นเกียรตินาง

ยังดีที่ในที่สุดเถ้าแก่ร้านก็วางตะเกียบลง เอ่ยพูดกับลูกจ้างหนุ่มว่า “พอได้แล้ว ลืมไปแล้วหรือว่าข้าสอนเจ้าไว้อย่างไร? ด่าคนต่อหน้า สร้างหายนะได้มากที่สุด กฎของร้านน้ำชาสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ จะโทษที่เจ้าดื้อดึงไม่ได้ ลูกค้าอารมณ์ไม่ดีก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน แต่หากจะด่าคนก็อย่าดีกว่า ไม่มีใครเขาทำการค้าเช่นนี้”

จากนั้นชายฉกรรจ์ผู้เป็นเถ้าแก่ก็ยิ้มมองไปยังลูกค้ากลุ่มนั้น “การค้ามีกฎของการค้า แต่ก็เหมือนอย่างที่พี่สาวคนงามผู้นี้พูด เปิดประตูต้อนรับแขกเองนี่นะ ดังนั้นน้ำชาอินเฉินอีกสี่ชามต่อจากนี้ก็ถือเสียว่าข้าขอผูกมิตรกับชายชาตรีทั้งสี่ท่าน ไม่เก็บเงิน ตกลงไหม?”

สตรีสาวสะพรั่งปิดปากหัวเราะคิก เรือนกายประหนึ่งกิ่งบุปผาส่ายไหว

ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงพยักหน้ารับ เก็บเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นมา ดื่มน้ำชาอินเฉินสี่ถ้วยที่นำมาวางบนโต๊ะใหม่อีกครั้งโดยไม่ต้องเสียเงิน แล้วถึงได้ลุกขึ้นเดินจากไป

สตรียังไม่ลืมหันกลับมาชม้อยชม้ายชายตาให้ลูกจ้างหนุ่ม

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว ชำเลืองตามองถ้วยขาวที่ยังเหลือน้ำชาอีกเกินครึ่งใบหนึ่งในนั้น ตรงขอบของถ้วยยังมีชาดแดงติดอยู่อย่างที่แทบสังเกตไม่เห็น

ชายฉกรรจ์เถ้าแก่ร้านยิ้มพลางส่ายหน้า เดินอ้อมออกจากโต๊ะคิดเงินมาชิงหยิบถ้วยขาวใบนั้นก่อนหน้าลูกจ้างหนุ่มแล้วโยนทิ้งไปในลำคลองเหยาเย่

เฉินผิงอันดื่มน้ำชาจนหมด วางเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งไว้บนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนจากไป

ออกจากนครปี้ฮว่าแล้วผ่านท่าเรือแห่งนี้ของลำคลองจะมีทางแยกปรากฏขึ้น ทางเส้นเล็กอยู่ติดกับลำคลอง ส่วนทางเส้นใหญ่จะห่างจากริมตลิ่งไปเล็กน้อย ในเรื่องนี้ก็มีความพิถีพิถันเช่นกัน เทพลำคลองของที่นี่มีนิสัยชอบความสงบไม่ชอบความครึกครื้น ทางสายใหญ่ของชายหาดโครงกระดูกเส้นนั้น ทุกวันจะต้องมีทั้งรถและม้าวิ่งไม่ขาดสาย ว่ากันว่านั่นเป็นการรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของท่านเทพลำคลอง ดังนั้นสำนักพีหมาจึงออกเงินสร้างถนนสองเส้นให้ผู้คนได้สัญจร คนที่ชอบชมทิวทัศน์ก็เดินบนทางสายเล็ก คนที่ทำการค้าก็เดินบนทางสายใหญ่ น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง

ทางสายเล็กที่เฉินผิงอันเดินอยู่มีคนสัญจรบางตา เพราะถึงอย่างไรต่อให้ทัศนียภาพของลำคลองเหยาเย่ดีแค่ไหนก็เป็นแค่ลำคลองสายใหญ่ที่ราบเรียบสายหนึ่งเท่านั้น นักท่องเที่ยวทั่วไปที่ก่อนหน้านี้ออกมาจากนครปี้ฮว่า ความรู้สึกแปลกใหม่ล้วนถูกใช้หมดไปกับที่นั่นแล้ว ทางดินสายเล็กที่มีแต่หลุมบ่อ เทียบกับทางรถม้าสายใหญ่ที่ราบเรียบไม่ได้ อีกทั้งสองข้างทางยังมีร้านผ้าห่อบุญขนาดเล็กวางแผงขาย เพราะถึงอย่างไรการวางแผงขายที่นครปี้ฮว่าก็ยังต้องจ่ายเงินค่าที่ ไม่มาก แค่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ทว่าขายุงก็ยังถือเป็นเนื้อนี่นา

ผลคือพอเฉินผิงอันเดินเลียบทางสายเล็กริมลำคลองไปได้สิบกว่าลี้ก็ได้ยินเสียงด่าของคนที่เหมือนมีใจแต่ไร้กำลังดังออกมาจากพงต้นอ้อต้นกกพงใหญ่ห่างไปไกลแห่งหนึ่ง ก่อนที่คนสี่คนซึ่งช่วยประคองกันจะเดินออกมา ก็คือกลุ่มลูกค้าที่ก่อนหน้านี้ทะเลาะกับลูกจ้างร้านน้ำชา อยู่ดีๆ ท้องของสตรีผู้นั้นก็ส่งเสียงเหมือนฟ้าร้อง นางหอบหายใจเสียงระโหย “โอย มารดาของข้า มาอีกแล้ว” สตรีหมุนตัววิ่งเหยาะๆ โซเซกลับเข้าไปในจุดลึกของพงต้นกก ยังไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “บอกให้หุ่นเชิดที่เจ้าเพิ่งซื้อมาตนนั้นไสหัวไปไกลๆ หน่อย กลางป่ากลางเขาแบบนี้ ไม่ให้พวกบุรุษเห็นก้นของข้า หรือจะปล่อยให้วัตถุหยินตนหนึ่งได้ประโยชน์ไป?”

เฉินผิงอันตามองตรงไปข้างหน้า เพิ่มความเร็วฝีเท้าให้เร็วขึ้น

ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงผู้นั้นชำเลืองตามองเฉินผิงอัน

บุรุษพกกระบี่ที่อยู่ข้างกายเอ่ยเบาๆ ว่า “บังเอิญขนาดนี้เชียว เจอกันอีกแล้ว คงไม่ได้เป็นพรรคพวกของร้านน้ำชากระมัง? ก่อนหน้านี้เห็นเงินแล้วเกิดความโลภ ตอนนี้ก็เลยคิดจะฉวยโอกาสมาเล่นงานพวกเรา?”

ผู้เฒ่าชุดเทาลักษณะคล้ายพ่อบ้านคนหนึ่งนวดคลึงหน้าท้องที่ยังปวดบิดไม่หายพลางพยักหน้ารับ “ระวังไว้ก่อนเป็นดี”

ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงสีหน้าดำคล้ำ “คิดไม่ถึงว่าชายหาดโครงกระดูกจะไร้ขื่อไร้แปจริงๆ ร้านน้ำชาที่อยู่ติดกับที่ร้านหนึ่งกลับกล้าทำตัวต่ำทรามขนาดนี้!”

ผู้เฒ่าชุดเทากล่าวอย่างจนใจ “แต่ไหนแต่ไรมาชายหาดโครงกระดูกก็มีคนแปลกที่แปลกถิ่นเยอะอยู่แล้ว พวกเราก็ถือเสียว่าได้เรียนรู้ไว้เป็นบทเรียนแล้วกัน คิดให้มากๆ หน่อยว่าระยะทางต่อจากนี้จะเดินทางกันอย่างไร หากร้านน้ำชาร้านนั้นคิดจะเอาชีวิตพวกเราเพราะหวังชิงทรัพย์จริงๆ ระยะทางก่อนจะไปถึงศาลเทพลำคลองช่วงนี้ก็คงลำบากแล้ว”

ชายหนุ่มมองแผ่นหลังของคนหนุ่มสวมงอบผู้นั้นแล้วทำท่ามือเหมือนมีดที่สับลง “ถ้าอย่างนั้นพวกเราชิงลงมือก่อนเพื่อให้ได้เปรียบดีไหม? ถึงอย่างไรก็ดีกว่าถูกพวกเขาตรวจสอบจนรู้ตื้นลึก จากนั้นก็ลงมือกับพวกเราเหมือนจับตะพาบในไหตรงที่ใดที่หนึ่ง ไม่แน่ว่าหากเราเชือดไก่ให้ลิงดู อีกฝ่ายอาจจะไม่กล้าลงมือตามใจชอบก็ได้”

ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงรู้สึกว่ามีเหตุผล ผู้เฒ่าชุดเทายังอยากจะวางแผนต่ออีกสักหน่อย ชายฉกรรจ์กลับพูดกับชายหนุ่มมือกระบี่เสียงหนักแล้วว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองไปหยั่งเชิงเขาดู จำไว้ว่าทำให้สะอาดเอี่ยมหน่อย ทางที่ดีที่สุดอย่าโยนเข้าไปในลำคลอง หากตกหลุมพรางจริงๆ พวกเรายังต้องพึ่งเทพลำคลองให้ช่วยปกป้อง หากโยนศพลงในลำคลอง ไม่แน่ว่าอาจเป็นการล่วงเกินเทพลำคลองท่านนี้ ต้นกกต้นอ้อพุ่มใหญ่ขนาดนี้ อย่าปล่อยให้เสียเปล่าเลย”

คนหนุ่มพกกระบี่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หัวเราะหึหึ “มองดูคล้ายผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ผ่านขอบเขตหลอมเรือนกายมาแล้ว หากเป็นคนประเภทที่เก็บซ่อนตัวตนอย่างลึกล้ำ มีความกล้าแห่งวีรบุรุษ ไม่พูดถึงว่าแผนจะล่มในช่วงท้าย แต่หากคิดจะเอาตัวมาเค้นความก็คงยุ่งยากไม่น้อย”

ชายฉกรรจ์ชำเลืองตามองผู้เฒ่าชุดเทา ฝ่ายหลังพยักหน้ารับเงียบๆ

แล้วคนทั้งสองก็ทยอยกันพุ่งตัวออกไป

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 487.2 ไม่เสียทีที่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 487.2 ไม่เสียทีที่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบกลับ “ตกลง ขอบคุณมากที่มาเตือน”

เด็กหนุ่มโบกมือ แล้วก็หมุนตัวเตรียมจะวิ่งกลับร้าน

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ขอละลาบละล้วงถามอะไรสักหน่อยได้ไหม?”

เด็กหนุ่มหยุดเท้าทันที หันมาพยักหน้ารับ “ถามมาได้เลย อะไรที่พูดได้ ข้าจะไม่ปิดบังแน่นอน”

เฉินผิงอันถาม “ภาพฝาผนังเทพหญิงแปดภาพนี้มีโชควาสนายิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น เหตุใดสำนักพีหมาถึงไม่ล้อมปิดไว้? ต่อให้ลูกศิษย์ของตัวเองไม่อาจคว้าโชควาสนาไว้ได้ แต่น้ำดีไม่ไหลเข้านาของคนอื่น นี่มิใช่หลักการทั่วไปหรอกหรือ?”

เด็กหนุ่มยิ้มกล่าว “สำนักพีหมาไม่ได้ขี้เหนียวขนาดนั้น แทนที่จะยึดครองพื้นที่วิเศษ ฮุบเอาโชควาสนาไว้เพียงลำพัง ไม่สู้สร้างบุญสัมพันธ์กับพวกคนที่มีโชควาสนา ศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมามีประโยคหนึ่งที่สืบทอดต่อกันมา ‘คนอย่างเราฝึกตนบนมหามรรคา จงจำไว้ว่าอย่าทำตัวเหมือนพ่อค้าหาบเร่ที่แย่งชิงถนนหนทาง’”

เฉินผิงอันขบคิดประโยคนี้อย่างละเอียดแล้วก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “สำนักพีหมาช่างใจกว้างองอาจยิ่งนัก!”

เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจทันใด อย่าเห็นว่าเด็กหนุ่มตัวไม่สูง หน้าตาก็ธรรมดา เพราะแท้จริงแล้วเขาก็คือลูกศิษย์ฝ่ายในของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมา ฝึกตนจนพอจะประสบความสำเร็จ จึงเป็นเหตุให้สามารถเก็บความคิดจิตใจไว้ภายใน แม้ว่าอายุจะยังน้อยมาก แต่ลำดับศักดิ์กลับไม่ต่ำ เพียงแต่รู้จักกับเด็กสาวของร้านในนครปี้ฮว่ามาตั้งแต่เด็ก พอมีโอกาสก็จะลงจากภูเขามาช่วยงาน เมื่อกลับไปถึงสำนักพีหมา ผู้ฝึกตนเฒ่าผมขาวโพลนที่ต้องเรียกขานเขาว่าอาจารย์อาน้อยก็มีอยู่ไม่น้อย

เอ่ยขอบคุณเด็กหนุ่มอีกครั้ง เฉินผิงอันก็เดินตรงไปยังทางเข้า ในเมื่อซื้อภาพเทพหญิงทั้งหลายมาแล้ว ในฐานะต้นทุนในการเปิดร้านทำกิจการที่อุตรกุรุทวีปแห่งนี้ก็ถือว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว จึงไม่คิดจะเดินเที่ยวชมนครปี้ฮว่าต่ออีก อันที่จริงตลอดทางเขาก็ได้เห็นอาวุธของผู้ฝึกตนผีที่วางขายตามร้านน้อยใหญ่ ยังไม่พูดถึงว่าวัตถุเหล่านั้นดีหรือเลว แต่ราคากลับแพงมากจริงๆ คาดว่าหากจะหาของดีและของชั้นยอดจริงๆ คงต้องอยู่ที่นี่สักระยะเวลาหนึ่ง ค่อยๆ ตามหาร้านเก่าแก่ที่หลบอยู่ตามหลืบลึกของตรอกซอกซอย ถึงจะมีโอกาสได้เจอของดี ไม่อย่างนั้นเถ้าแก่หวงของเรือข้ามฟากก็คงไม่เอ่ยเตือน เพียงแต่เฉินผิงอันไม่คิดจะมาเสี่ยงดวง นอกจากนี้หุ่นเชิดวิญญาณหยินที่ยอดเยี่ยมที่สุดของนครปี้ฮว่าที่จะซื้อมาเป็นข้ารับใช้ ก็เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นที่สุดสำหรับเฉินผิงอัน ดังนั้นเขาจึงเร่งเดินทางไปยังศาลเทพลำคลองเหยาเย่ที่ห่างจากสำนักพีหมาไปหกร้อยลี้

ออกจากนครปี้ฮว่า มองไอเมฆหมอกที่ล้อมวนเวียนอยู่บนยอดเขาบดบังสำนักพีหมาที่อยู่สูงขึ้นไป อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงภูเขาไท่ผิงของใบถงทวีปขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ตรงตีนเขาผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัด จวนตระกูลเซียนที่มีผู้สืบทอดสายตรงสามสิบหกคน และฝ่ายนอกหนึ่งร้อยแปดคนแห่งนี้ สำหรับถ้ำสถิตที่มีอักษรคำว่าจงในชื่อแล้ว ผู้ฝึกตนก็ถือว่าน้อยไปหน่อยจริงๆ บนภูเขาก็คงจะเงียบสงัดวังเวงอยู่ไม่น้อย

อันที่จริงภูเขาลั่วพั่วของตนในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่

คนยังน้อยเกินไป

แต่ในอนาคตหากมีคนมาเพิ่ม เฉินผิงอันก็เป็นกังวลเหมือนกัน กังวลว่าจะมีกู้ช่านคนที่สองปรากฎขึ้น ต่อให้จะเป็นแค่กู้ช่านครึ่งตัว เฉินผิงอันก็น่าจะหัวโตแล้ว

ลัทธิเต๋าเคยมีเรื่องราวของคนเมืองฉี่กังวลว่าฟ้าจะถล่ม (เปรียบเปรยถึงคนที่มัวกังวลอยู่กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง) เฉินผิงอันเปิดอ่านอยู่หลายครั้ง ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าชวนให้ขบคิดอย่างยิ่ง

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า ขยับห่อสัมภาระให้เข้าที่ เก็บความคิดทั้งหมดกลับคืนแล้วออกเดินทางไกลต่ออีกครั้ง

ยังคงเดินเท้าไปเบื้องหน้า

ส่วนลมหายใจช้าเร็วและฝีเท้าที่ตื้นหรือลึก เขาจงใจคงสภาพให้อยู่ในลักษณะของผู้ฝึกยุทธห้าขอบเขตทั่วไปในโลก

ศาลเทพลำคลองหาได้ง่ายมาก ขอแค่เดินเลียบไปตามลำคลองเหยาเย่ จากนั้นก็ขึ้นเหนือไปอีกระยะทางหนึ่งก็ได้แล้ว หุบเขาผีร้ายตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของศาลแห่งนั้น จึงพอจะถือว่าไปทางเดียวกันได้

ผืนน้ำของลำคลองเหยาเย่กว้างขวางอย่างยิ่ง มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด กระแสน้ำลึกไหลช้า ให้ความรู้สึกคล้ายทะเลสาบแห่งหนึ่ง

ลำคลองเหยาเย่ไม่มีสะพาน ว่ากันว่าเทพลำคลองผู้นี้ไม่ชอบให้คนมาเดินอยู่เหนือหัวของเขา ดังนั้นจึงมีท่าเรือและเรือข้ามฟากอยู่เป็นจำนวนมาก เฉินผิงอันหยุดพักเท้าที่ท่าเรือเล็กๆ แห่งหนึ่ง ดื่มชาอินเฉินของท้องถิ่นหนึ่งถ้วย โดยทั่วไปแล้วน้ำที่นำมาใช้ต้มชา น้ำในลำคลองถือว่าเป็นระดับล่างๆ ชาอินเฉินของที่นี่เอาน้ำมาจากในลำคลอง แต่น้ำชากลับหวานสดชื่น คาดว่าคงจะเกี่ยวข้องกับโชคชะตาน้ำที่เข้มข้นของลำคลองเหยาเย่เป็นแน่ โชคชะตาน้ำโชติช่วง อีกทั้งยังประทานคุณให้แก่สองฟากฝั่งโดยที่มองไม่เห็น ต้นไม้ใบหญ้าจึงเขียวชอุ่มหนาครึ้ม ต้นกกต้นอ้อกอใหญ่ขึ้นเรียงเป็นแถบ เป็นช่วงต้นฤดูหนาว แต่กลับยังคงเป็นสีเขียวสดปลั่ง เป็นเหตุให้มีนกน้ำบินมาเกาะพักพิงอยู่เป็นจำนวนมาก

ตลอดทางที่เดินมานี้ บางครั้งก็พอจะเห็นผู้ฝึกตนที่มาท่องเที่ยวได้บ้าง ข้างกายพวกเขามีผู้ติดตามวิญญาณหยินที่สวมเสื้อเกราะเสียดสีกันส่งเสียงดังเคร้งคร้าง แต่ฝีเท้ากลับแผ่วเบาแทบไม่แตะฝุ่น เหมือนยอดฝีมือในยุทธภพของแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ ในแจกันสมบัติทวีป  เสื้อเกราะที่สวมอยู่บนร่างเป็นเกราะชั้นดี สลักอักขระยันต์ของลัทธิเต๋า เส้นสีเงินสีทองตัดสลับกันส่องประกายแสงระยิบระยับ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของธรรมดา วิญญาณหยินร่างกำยำสวมหน้ากากที่แทบจะปิดบังใบหน้าทั้งหมด ผิวพรรณที่เปิดเปลือยส่วนใหญ่ล้วนเป็นสีเขียวเข้ม

น้ำของหนึ่งพื้นที่หล่อเลี้ยงคนของหนึ่งพื้นที่ ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีป ไม่ว่าขอบเขตจะสูงหรือต่ำ เมื่อเทียบกับความระมัดระวัง สำรวมตนของผู้ฝึกตนในแจกันสมบัติทวีปยามที่เดินอยู่ตามท่าเรือใหญ่ๆ แล้ว ผู้ฝึกตนของที่แห่งนี้ล้วนมีสีหน้าไม่แยแสผู้ใด หยิ่งทระนงในตนเองอย่างยิ่ง

หากเผยเฉียนมาถึงที่นี่ คาดว่าคงจะเป็นดั่งปลาที่ได้น้ำเลยกระมัง

เฉินผิงอันสั่งน้ำชาอินเฉินมาอีกสองถ้วย ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันกระหายจนต้องดื่มเหมือนวัวกินน้ำเช่นนี้ แต่กฎของร้านน้ำชาคือน้ำชาสามถ้วยราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ดื่มไม่ถึงสามถ้วยก็คิดเริ่มต้นที่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะเหมือนกัน

เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนเดินทางมากนัก เขาจึงค่อยๆ ดื่มชา และโต๊ะสิบกว่าตัวในร้านก็มีคนนั่งไปแล้วเกินครึ่ง ล้วนเป็นคนที่มาพักเท้าอยู่ที่นี่ เพราะหากเดินทางไปอีกหนึ่งร้อยลี้กว่าจะมีโบราณสถานแห่งหนึ่ง ริมตลิ่งของลำคลองเหยาเย่แถบนั้นมีวัวเหล็กยุคบรรพกาลที่ล้มกองกับพื้นอยู่ตัวหนึ่ง ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด เกือบจะใกล้เคียงกับสมบัติอาคม ยังไม่ถูกเทพลำคลองของลำคลองเหยาเย่รับเข้าไปพิทักษ์โชคชะตาน้ำ แล้วก็ไม่ถูกผู้ฝึกตนใหญ่ของชายหาดโครงกระดูกเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋า เคยมีเซียนดินคนหนึ่งพยายามจะขโมยของสิ่งนี้ไป แต่จุดจบกลับไม่ค่อยดีนัก เทพลำคลองแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ได้ร่ายใช้วิชาอภินิหารขัดขวาง ทว่าน้ำในลำคลองเหยาเย่กลับซัดเชี่ยวไหลกรากโถมตัวกลบฟ้ากลบดิน ถึงขนาดม้วนหอบเอาเซียนดินโอสถทองผู้นั้นเข้าไปในลำคลองโดยตรง จนกระทั่งเขาจมน้ำตายทั้งเป็น หลังจากนั้นมาก็ไม่มีใครกล้าปรารถนาอยากครอบครองวัวเหล็กหนักหลายแสนชั่งตัวนี้อีกเลย

เฉินผิงอันเพิ่งจะดื่มน้ำชาถ้วยที่สองหมด ห่างไปไม่ไกลก็มีลูกค้าของโต๊ะหนึ่งทะเลาะกับลูกจ้างในร้านน้ำชาด้วยเรื่องที่ว่าน้ำชาสี่ชาม เหตุใดทางร้านถึงต้องเก็บเงินถึงสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ

เถ้าแก่เป็นชายฉกรรจ์ท่าทางเกียจคร้าน เห็นลูกจ้างของตัวเองทะเลาะกับลูกค้าจนหน้าดำหน้าแดงกลับรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เขาฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะคิดเงินที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมันพลางกินอาหารของตัวเองอยู่เพียงลำพัง ด้านหน้าวางจานกับแกล้มเอาไว้ นั่นคือขึ้นฉ่ายน้ำรสชาติสดใหม่ที่เก็บมาจากริมตลิ่งลำคลองเหยาเย่ ลูกจ้างหนุ่มก็เป็นคนนิสัยดื้อดึง ไม่ขอความช่วยเหลือจากเถ้าแก่ คนคนเดียวถูกลูกค้าสี่คนรุมล้อม แต่เขาก็ยังคงยืนกรานในความคิดของตัวเองว่า หากไม่ควักเงินเกล็ดหิมะสองเหรียญมาจ่ายแต่โดยดี ถ้าเช่นนั้นก็ต้องมีความสามารถมากพอจะชักดาบไม่จ่ายเงิน เพราะถึงอย่างไรทางร้านน้ำชาก็ไม่คิดจะรับเงินขาวสักแดงเดียวอยู่แล้ว

ชายฉกรรจ์เคราดกใบหน้าเป็นสีม่วง ด้านหลังมีข้ารับใช้วิญญาณหยินที่มีพลังอำนาจน่าตื่นตะลึงตนหนึ่งยืนอยู่ ด้านหลังของหุ่นเชิดที่สำนักพีหมาเป็นผู้สร้างตนนี้สะพายหีบใบใหญ่ ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงเตรียมจะลงไม้ลงมือให้แตกหักกันไปข้าง แต่กลับถูกสตรีโตเต็มวัยพกดาบที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งยาวคนหนึ่งเอ่ยเกลี้ยกล่อม ชายฉกรรจ์จึงควักเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญออกมาตบลงบนโต๊ะอย่างแรง “สองเหรียญเงินเกล็ดหิมะใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็หามาทอนข้าผู้อาวุโส!”

นี่เห็นได้ชัดว่าจะสร้างความลำบากใจและความโมโหให้แก่ร้านน้ำชา

ผู้ฝึกตนบนภูเขา รวมไปถึงผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่มีฝีมือติดตัว ยามเดินทางอยู่ข้างนอก โดยทั่วไปแล้วจะเตรียมเงินเกล็ดหิมะไว้มากกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าจะขาดเงินนี้ได้ ส่วนเงินร้อนน้อยนั้น แน่นอนว่าต้องพอมีบ้าง เพราะถึงอย่างไรวัตถุนี้ก็เบากว่าเงินเกล็ดหิมะ สะดวกในการพกพามากกว่า หากเป็นเซียนดินที่พอจะมีวัตถุฟางชุ่นประเภทเนินเซียนขนาดเล็ก หรือคลังอาวุธจิ๋ว หรือได้รับสมบัติสืบทอดจากตระกูลเซียนบนภูเขาลูกใหญ่มาตั้งแต่เด็ก ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ส่วนเงินฝนธัญพืชที่ล้ำค่ามากกว่านั้น ไม่ใช่ว่ายิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะสถานที่ที่สามารถใช้เงินฝนธัญพืชได้นั้น มีไม่ค่อยมาก เว้นเสียจากว่าพอลงจากภูเขามาก็ไปทำการแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่โดยตรง

ผลคือถูกลูกจ้างหนุ่มย้อนกลับว่า “ทำไมเจ้าไม่ควักเงินฝนธัญพืชออกมาเลยเล่า?”

ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงถลึงตา ยกสองมือกอดอก “อย่ามัวพูดมาก เร็วๆ เข้า อย่าถ่วงเวลาการไปจุดธูปบูชาศาลเทพลำคลองของข้าผู้อาวุโส!”

ในที่สุดชายฉกรรจ์ที่เป็นเจ้าของร้านก็เปิดปากช่วยคลี่คลายสถานการณ์ “พอเถอะ รีบหาเงินมาทอนลูกค้าเร็ว”

ลูกจ้างหนุ่มหยิบเงินร้อนน้อยเดินไปที่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินแล้วทรุดตัวลงนั่งยอง ก่อนที่เสียงใสแจ๋วของเหรียญเงินกระทบกันจะดังขึ้นเป็นระลอก แล้วเขาก็หิ้วถุงเงินเกล็ดหิมะใบหนึ่งออกมาตบลงบนโต๊ะอย่างแรง “เอาไป!”

ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงคลี่ยิ้ม กวักมือหนึ่งครั้ง ข้ารับใช้วิญญาณหยินที่อยู่ด้านหลังก็คว้าเงินเกล็ดหิมะหนักอึ้งถุงนั้นขึ้นมาใส่ไว้ในหีบด้านหลัง

ลูกจ้างหนุ่มพูดหน้าเคร่ง “โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปส่ง ไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมาอีก”

ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงควักเงินร้อนน้อยอีกเหรียญออกมาวางบนโต๊ะ ยิ้มเหี้ยมเอ่ยว่า “เอาชาอินเฉินมาอีกสี่ชาม”

ลูกจ้างหนุ่มพูดอย่างขุ่นเคือง “มารดาเจ้าเถอะ ไม่จบไม่สิ้นสักทีหรือไง?!”

สตรีโตเต็มวัยที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งบิดกาย เดิมทีเรือนร่างของนางก็งดงามน่าหลงใหลอยู่แล้ว พอบิดตัวเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนขึ้น นางยิ้มหวานเอ่ยกับลูกจ้างหนุ่ม “ในเมื่อทำการค้าที่เปิดประตูต้อนรับลูกค้า นิสัยก็อย่าได้บุ่มบ่ามเกินไปนัก แต่พี่สาวก็ไม่โทษเจ้า คนหนุ่มอารมณ์ร้อนเป็นเรื่องปกติ อีกเดี๋ยวน้ำชาถ้วยที่เป็นของพี่สาว พี่สาวจะไม่ดื่มแล้ว ถือว่ายกให้เจ้าเป็นรางวัล ดื่มดับไฟโทสะสักหน่อย”

ลูกค้าโต๊ะอื่นๆ ที่นั่งกันอยู่พากันหัวเราะครืน แล้วยังมีเสียงเฮครึกครื้น ชายฉกรรจ์บางคนถึงกับผิวปากหวือ เพ่งตามองไปยังทัศนียภาพเบื้องหน้าเรือนกายของสตรีผู้นั้น ใจนึกอยากจะใช้ดวงตาของตัวเองกวาดเอาภูเขาสองลูกกลับไปบ้านด้วย

ลูกจ้างหนุ่มอับอายจนพานเป็นความโกรธ กำลังจะอ้าปากด่านังจิ้งจอกแพศยาผู้นี้ ทว่าคนหนุ่มพกกระบี่คนหนึ่งที่อยู่ข้างกายสตรีกลับใช้ฝ่ามือลูบด้ามกระบี่ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือ ราวกับกำลังรอให้ลูกจ้างปากพล่อยผู้นี้เปิดปากหมิ่นเกียรตินาง

ยังดีที่ในที่สุดเถ้าแก่ร้านก็วางตะเกียบลง เอ่ยพูดกับลูกจ้างหนุ่มว่า “พอได้แล้ว ลืมไปแล้วหรือว่าข้าสอนเจ้าไว้อย่างไร? ด่าคนต่อหน้า สร้างหายนะได้มากที่สุด กฎของร้านน้ำชาสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ จะโทษที่เจ้าดื้อดึงไม่ได้ ลูกค้าอารมณ์ไม่ดีก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน แต่หากจะด่าคนก็อย่าดีกว่า ไม่มีใครเขาทำการค้าเช่นนี้”

จากนั้นชายฉกรรจ์ผู้เป็นเถ้าแก่ก็ยิ้มมองไปยังลูกค้ากลุ่มนั้น “การค้ามีกฎของการค้า แต่ก็เหมือนอย่างที่พี่สาวคนงามผู้นี้พูด เปิดประตูต้อนรับแขกเองนี่นะ ดังนั้นน้ำชาอินเฉินอีกสี่ชามต่อจากนี้ก็ถือเสียว่าข้าขอผูกมิตรกับชายชาตรีทั้งสี่ท่าน ไม่เก็บเงิน ตกลงไหม?”

สตรีสาวสะพรั่งปิดปากหัวเราะคิก เรือนกายประหนึ่งกิ่งบุปผาส่ายไหว

ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงพยักหน้ารับ เก็บเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นมา ดื่มน้ำชาอินเฉินสี่ถ้วยที่นำมาวางบนโต๊ะใหม่อีกครั้งโดยไม่ต้องเสียเงิน แล้วถึงได้ลุกขึ้นเดินจากไป

สตรียังไม่ลืมหันกลับมาชม้อยชม้ายชายตาให้ลูกจ้างหนุ่ม

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว ชำเลืองตามองถ้วยขาวที่ยังเหลือน้ำชาอีกเกินครึ่งใบหนึ่งในนั้น ตรงขอบของถ้วยยังมีชาดแดงติดอยู่อย่างที่แทบสังเกตไม่เห็น

ชายฉกรรจ์เถ้าแก่ร้านยิ้มพลางส่ายหน้า เดินอ้อมออกจากโต๊ะคิดเงินมาชิงหยิบถ้วยขาวใบนั้นก่อนหน้าลูกจ้างหนุ่มแล้วโยนทิ้งไปในลำคลองเหยาเย่

เฉินผิงอันดื่มน้ำชาจนหมด วางเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งไว้บนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนจากไป

ออกจากนครปี้ฮว่าแล้วผ่านท่าเรือแห่งนี้ของลำคลองจะมีทางแยกปรากฏขึ้น ทางเส้นเล็กอยู่ติดกับลำคลอง ส่วนทางเส้นใหญ่จะห่างจากริมตลิ่งไปเล็กน้อย ในเรื่องนี้ก็มีความพิถีพิถันเช่นกัน เทพลำคลองของที่นี่มีนิสัยชอบความสงบไม่ชอบความครึกครื้น ทางสายใหญ่ของชายหาดโครงกระดูกเส้นนั้น ทุกวันจะต้องมีทั้งรถและม้าวิ่งไม่ขาดสาย ว่ากันว่านั่นเป็นการรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของท่านเทพลำคลอง ดังนั้นสำนักพีหมาจึงออกเงินสร้างถนนสองเส้นให้ผู้คนได้สัญจร คนที่ชอบชมทิวทัศน์ก็เดินบนทางสายเล็ก คนที่ทำการค้าก็เดินบนทางสายใหญ่ น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง

ทางสายเล็กที่เฉินผิงอันเดินอยู่มีคนสัญจรบางตา เพราะถึงอย่างไรต่อให้ทัศนียภาพของลำคลองเหยาเย่ดีแค่ไหนก็เป็นแค่ลำคลองสายใหญ่ที่ราบเรียบสายหนึ่งเท่านั้น นักท่องเที่ยวทั่วไปที่ก่อนหน้านี้ออกมาจากนครปี้ฮว่า ความรู้สึกแปลกใหม่ล้วนถูกใช้หมดไปกับที่นั่นแล้ว ทางดินสายเล็กที่มีแต่หลุมบ่อ เทียบกับทางรถม้าสายใหญ่ที่ราบเรียบไม่ได้ อีกทั้งสองข้างทางยังมีร้านผ้าห่อบุญขนาดเล็กวางแผงขาย เพราะถึงอย่างไรการวางแผงขายที่นครปี้ฮว่าก็ยังต้องจ่ายเงินค่าที่ ไม่มาก แค่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ทว่าขายุงก็ยังถือเป็นเนื้อนี่นา

ผลคือพอเฉินผิงอันเดินเลียบทางสายเล็กริมลำคลองไปได้สิบกว่าลี้ก็ได้ยินเสียงด่าของคนที่เหมือนมีใจแต่ไร้กำลังดังออกมาจากพงต้นอ้อต้นกกพงใหญ่ห่างไปไกลแห่งหนึ่ง ก่อนที่คนสี่คนซึ่งช่วยประคองกันจะเดินออกมา ก็คือกลุ่มลูกค้าที่ก่อนหน้านี้ทะเลาะกับลูกจ้างร้านน้ำชา อยู่ดีๆ ท้องของสตรีผู้นั้นก็ส่งเสียงเหมือนฟ้าร้อง นางหอบหายใจเสียงระโหย “โอย มารดาของข้า มาอีกแล้ว” สตรีหมุนตัววิ่งเหยาะๆ โซเซกลับเข้าไปในจุดลึกของพงต้นกก ยังไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “บอกให้หุ่นเชิดที่เจ้าเพิ่งซื้อมาตนนั้นไสหัวไปไกลๆ หน่อย กลางป่ากลางเขาแบบนี้ ไม่ให้พวกบุรุษเห็นก้นของข้า หรือจะปล่อยให้วัตถุหยินตนหนึ่งได้ประโยชน์ไป?”

เฉินผิงอันตามองตรงไปข้างหน้า เพิ่มความเร็วฝีเท้าให้เร็วขึ้น

ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงผู้นั้นชำเลืองตามองเฉินผิงอัน

บุรุษพกกระบี่ที่อยู่ข้างกายเอ่ยเบาๆ ว่า “บังเอิญขนาดนี้เชียว เจอกันอีกแล้ว คงไม่ได้เป็นพรรคพวกของร้านน้ำชากระมัง? ก่อนหน้านี้เห็นเงินแล้วเกิดความโลภ ตอนนี้ก็เลยคิดจะฉวยโอกาสมาเล่นงานพวกเรา?”

ผู้เฒ่าชุดเทาลักษณะคล้ายพ่อบ้านคนหนึ่งนวดคลึงหน้าท้องที่ยังปวดบิดไม่หายพลางพยักหน้ารับ “ระวังไว้ก่อนเป็นดี”

ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงสีหน้าดำคล้ำ “คิดไม่ถึงว่าชายหาดโครงกระดูกจะไร้ขื่อไร้แปจริงๆ ร้านน้ำชาที่อยู่ติดกับที่ร้านหนึ่งกลับกล้าทำตัวต่ำทรามขนาดนี้!”

ผู้เฒ่าชุดเทากล่าวอย่างจนใจ “แต่ไหนแต่ไรมาชายหาดโครงกระดูกก็มีคนแปลกที่แปลกถิ่นเยอะอยู่แล้ว พวกเราก็ถือเสียว่าได้เรียนรู้ไว้เป็นบทเรียนแล้วกัน คิดให้มากๆ หน่อยว่าระยะทางต่อจากนี้จะเดินทางกันอย่างไร หากร้านน้ำชาร้านนั้นคิดจะเอาชีวิตพวกเราเพราะหวังชิงทรัพย์จริงๆ ระยะทางก่อนจะไปถึงศาลเทพลำคลองช่วงนี้ก็คงลำบากแล้ว”

ชายหนุ่มมองแผ่นหลังของคนหนุ่มสวมงอบผู้นั้นแล้วทำท่ามือเหมือนมีดที่สับลง “ถ้าอย่างนั้นพวกเราชิงลงมือก่อนเพื่อให้ได้เปรียบดีไหม? ถึงอย่างไรก็ดีกว่าถูกพวกเขาตรวจสอบจนรู้ตื้นลึก จากนั้นก็ลงมือกับพวกเราเหมือนจับตะพาบในไหตรงที่ใดที่หนึ่ง ไม่แน่ว่าหากเราเชือดไก่ให้ลิงดู อีกฝ่ายอาจจะไม่กล้าลงมือตามใจชอบก็ได้”

ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงรู้สึกว่ามีเหตุผล ผู้เฒ่าชุดเทายังอยากจะวางแผนต่ออีกสักหน่อย ชายฉกรรจ์กลับพูดกับชายหนุ่มมือกระบี่เสียงหนักแล้วว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองไปหยั่งเชิงเขาดู จำไว้ว่าทำให้สะอาดเอี่ยมหน่อย ทางที่ดีที่สุดอย่าโยนเข้าไปในลำคลอง หากตกหลุมพรางจริงๆ พวกเรายังต้องพึ่งเทพลำคลองให้ช่วยปกป้อง หากโยนศพลงในลำคลอง ไม่แน่ว่าอาจเป็นการล่วงเกินเทพลำคลองท่านนี้ ต้นกกต้นอ้อพุ่มใหญ่ขนาดนี้ อย่าปล่อยให้เสียเปล่าเลย”

คนหนุ่มพกกระบี่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หัวเราะหึหึ “มองดูคล้ายผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ผ่านขอบเขตหลอมเรือนกายมาแล้ว หากเป็นคนประเภทที่เก็บซ่อนตัวตนอย่างลึกล้ำ มีความกล้าแห่งวีรบุรุษ ไม่พูดถึงว่าแผนจะล่มในช่วงท้าย แต่หากคิดจะเอาตัวมาเค้นความก็คงยุ่งยากไม่น้อย”

ชายฉกรรจ์ชำเลืองตามองผู้เฒ่าชุดเทา ฝ่ายหลังพยักหน้ารับเงียบๆ

แล้วคนทั้งสองก็ทยอยกันพุ่งตัวออกไป

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+