กระบี่จงมา 492.1 ออกหมัดและกระบี่

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 492.1 ออกหมัดและกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หญิงชราแค่นเสียงหัวเราะหยัน “เจ้าทำลายรากฐานการฝึกตนของพี่สาวน้องสาวข้า บัญชีนี้ต้องชำระ ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่ได้ครอบครองอาวุธเทพแล้วอย่างไร เจ้าก็ยังหนีไม่พ้นหายนะอยู่ดี”

เฉินผิงอันเงียบไม่ต่อคำ

หญิงชราเห็นว่าขบวนรถของเจ้านครกำลังจะมาถึงก็ท่องคาถาร่ายวิชา ต้นไม้แห้งเหี่ยวเหล่านั้นพลันเหมือนคนที่มีเท้าจึงเริ่มขยับชักรากออกจากพื้นดิน ไม่นานก็ทะยานลอยขึ้นกลางอากาศไปแถบใหญ่ ขณะที่ขบวนรถกำลังลดระดับลงช้าๆ ก็มีผีสาวสวมชุดเขียวสองคนที่ในมือประคองแผ่นหยกงาช้างรับผิดชอบคอยเปิดทางพลิ้วกายลงมาบนพื้นก่อน พวกนางโยนแผ่นหยกในมือออกมา แสงสีขาวเหมือนน้ำพุก็สาดส่องลงบนพื้นดิน ผืนป่าหนาครึ้มและผืนดินพลันเปลี่ยนมาเป็นลานกว้างหยกขาวแห่งหนึ่งที่ราบเรียบจนผิดปกติ ไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด ตอนที่ ‘กระแสน้ำ’ ไหลผ่านเท้า เฉินผิงอันไม่ยินดีจะสัมผัสโดนพวกมันจึงกระโดดขึ้นเบาๆ กวักมือเรียกบังคับให้กิ่งไม้สูงครึ่งตัวคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเข้ามาหา สะบัดข้อมือหนึ่งครั้งมันก็ฝังตรึงลงกับพื้นดิน แล้วเฉินผิงอันก็ยืนอยู่บนกิ่งไม้อีกที

ปีนั้นตอนที่ร่วมเผชิญหน้ากับศัตรูพร้อมเหมาเสี่ยวตงที่เมืองหลวงต้าสุย หลังจบเรื่องเหมาเสี่ยวตงได้อธิบายให้ฟังถึงความร้ายกาจของอาจารย์ค่ายกลท่านหนึ่ง

วัตถุหยินสองตนที่อยู่ในรูปลักษณ์ของสตรีสวมชุดชาววังสีเขียวหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน นึกไม่ถึงว่ายอดฝีมือต่างถิ่นที่ทำให้ป๋ายเหนียงเนียงเผชิญกับความยากลำบากมากขนาดนั้นจะเป็นพวกขี้ขลาดราวกับหนูเช่นนี้

หญิงชราหลุดหัวเราะพรืด “คุณชายท่านนี้ช่างใจกล้าเสียจริง”

เฉินผิงอันย้อนกลับว่า “ท่านยายช่างสายตาดียิ่งนัก”

ผีชุดเขียวสองตนที่หน้าตางดงามรู้สึกว่าน่าสนใจจึงปิดปากหัวเราะคิก

ในหุบเขาผีร้ายที่มีภูตผีเดินกันให้เกลื่อน เดิมทีก็พบเจอคนเป็นได้ยากอยู่แล้ว บุรุษในโลกมนุษย์ที่น่าสนใจก็ยิ่งไม่ค่อยมีให้พบเห็นบ่อยนัก

รถลากขนาดใหญ่เท่ากับหอเรือนส่วนตัวของสตรีค่อยๆ ลดระดับลงสู่พื้น แล้วทันใดนั้นก็มีผีสาวสองคนที่สวมชุดหรูหรางดงามดุจฮูหยินผู้ได้รับบรรดาศักดิ์พร้อมใจกันเปิดม่านรถด้วยท่าทางนุ่มนวล สตรีคนหนึ่งในนั้นค้อมกายเอ่ยเสียงนุ่มละมุน “ท่านเจ้านคร ถึงแล้วเจ้าค่ะ”

เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป ในขบวนรถมีเด็กหญิงสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมไหล่ลายปัก (เครื่องแต่งกายสตรีที่แสดงถึงความสูงศักดิ์) คนหนึ่งนั่งอยู่ ตรงแก้มของนางปัดชาดหนาเข้มไปสักหน่อย สายตาเหม่อลอย เหมือนหุ่นเชิดที่ไม่มีจิตวิญญาณตนหนึ่ง ตรงชายกระโปรงที่สวมใส่ลักษณะคล้ายใบบัวขนาดใหญ่ใบหนึ่งที่แผ่ลามโอบล้อมกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของรถลาก ขับให้เด็กหญิงเหมือนดอกบัวตูมดอกเล็กๆ ที่ปลายแหลมเพิ่งจะโผล่พ้นน้ำ มองดูแล้วชวนให้ขบขันยิ่ง

เจ้านครฟูนี่มีชื่อว่าฟ่านอวิ๋นหลัว หลังจากตายไปได้ครอบครองนครแห่งหนึ่ง คอยรวบรวมภูตผีสตรีเพศให้รับหน้าที่ทำงานด้านต่างๆ อยู่ในนครฟูนี่โดยเฉพาะ รังเกียจบุรุษ นางแต่งตั้งตัวเองว่าเป็น ‘แยนเฟิ่นโหว’ (โหวผงประทินโฉม) เพราะเกิดมาก็มีเรือนกายเล็กจ้อยเช่นนี้ แม้ว่าเรือนร่างจะเล็กเตี้ยมากเป็นพิเศษ แต่ว่ากันว่าทั้งเนื้อและกระดูกมีสัดส่วนเท่าเทียมกัน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญการแต่งกลอนบทกวี มีบุรุษจำนวนนับไม่ถ้วนที่มาหมอบกราบศิโรราบอยู่ใต้กระโปรงของนาง ตอนมีชีวิตอยู่นางคือองค์หญิงที่ฮ่องเต้องค์หนึ่งรักและโปรดปรานมากเป็นพิเศษ เรือนกายเบาหวิว ในประวัติศาสตร์จึงเคยมีตำนานเล่าลือถึงระบำบนฝ่ามือ

ผีสาวสวมชุดชาววังอีกคนหนึ่งรู้สึกจนใจเล็กน้อย จำต้องออกเสียงเตือนอีกครั้ง “เจ้านคร ตื่นเถิดเจ้าค่ะ พวกเรามาถึงแล้ว”

เด็กหญิงคนนั้นสะดุ้งโหยง นางโคลงศีรษะไปมา ยังงัวเงียอยู่เล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาจะค่อยๆ คืนสติแจ่มชัด เพราะอ้าปากหาวจึงยื่นมือมาปิดปาก เห็นว่าบนมือนางสวมถุงมือผ้าไหมที่ส่องประกายแสงวิบวับ เผยให้เห็นเพียงข้อมือช่วงหนึ่งที่นวลเนียนราวกับหยกมันแพะ

ฟ่านอวิ๋นหลัวหลุบตาลงต่ำมองบุรุษสวมงอบที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ “คือคนไร้สุนทรียะอย่างเจ้าน่ะหรือที่ทำให้ป๋ายอ้ายชิง (อ้ายชิงเป็นคำที่ฮ่องเต้ใช้เรียกแทนตัวขุนนาง แปลตรงตัวคือขุนนางที่รัก) ของเราได้รับบาดเจ็บ จำต้องเข้าไปหลับลึกอยู่ในบ่อชำระวิญญาณ? เจ้ารู้หรือไม่ว่า นางได้รับคำสั่งจากข้า ถึงได้มาที่นี่เพื่อปรึกษาเรื่องการค้าขายที่จะทำให้เงินทองไหลมาเทมากับเจ้า ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้าย ย่อมถูกกรรมตามสนอง”

ฟ่านอวิ๋นหลัวเห็นว่าคนหนุ่มผู้นั้นไม่มีแววว่าจะพูดจาก็ไม่อารมณ์เสีย นางเอ่ยต่อว่า “ใช่แล้ว ชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะตัวนั้นล่ะ ถูกเจ้าเอาไปซ่อนไว้ที่ไหนแล้ว นั่นไม่ใช่ของแทนใจที่ป๋ายอ้ายชิงมอบให้เจ้าเสียหน่อย จะเก็บซ่อนไปไย เอาออกมาเถอะ นี่เป็นของรักของนาง นางทะนุถนอมเห็นค่ายิ่งกว่าชีวิตตัวเอง หากไม่มีมัน นางต้องเสียใจจนตายแน่ นครฟูนี่ของพวกเราหวังดีมาหาเจ้าเพื่อจะได้ร่วมงานกัน เจ้ากลับตอบแทนด้วยการกระทำเช่นนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงบัญชีนี้ก่อน อยู่ในหุบเขาผีร้ายยังต้องอาศัยหมัดในการพูดคุย เจ้าได้ชุดเกล็ดหิมะตัวนั้นไปก็ถือว่าเจ้ามีความสามารถ ตอนนี้เจ้าจงบอกราคามา ข้าจะซื้อมันกลับมาเอง”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ในสายตาของเจ้านครฟ่าน ชุดคลุมอาคมตัวนี้มีค่าเท่าไหร่?”

ฟ่านอวิ๋นหลัวพูดอย่างจริงจัง “ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะมีราคาสักสามถึงห้าเหรียญเงินฝนธัญพืช อีกทั้งยังเป็นของรักของป๋ายอ้ายชิง ข้าไถ่มันกลับมาแทนนาง เมื่อออกมาจากปากทองคำของข้า จะอย่างไรราคาก็ควรเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว หักลบดูแล้วก็น่าจะประมาณแปดเหรียญเงินฝนธัญพืช”

เฉินผิงอันถาม “อีกเดี๋ยวเจ้านครฟ่านก็จะถามข้าใช่ไหมว่า ชีวิตน้อยๆ นี้ของข้ามีค่าเท่าไหร่ จากนั้นก็หักเอากับเงินแปดเหรียญฝนธัญพืช หลังจากคืนชุดคลุมอาคมให้กับนครฟูนี่แล้ว ยังต้องยกสองมือประคองส่งเงินเทพเซียนก้อนใหญ่เพื่อไถ่โทษด้วย?”

ฟ่านอวิ๋นหลัวดวงตาเป็นประกายวาบ โน้มตัวมาด้านหน้า บนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ “เหตุใดเจ้าถึงได้ฉลาดเฉลียวเพียงนี้ คงไม่ได้มาเป็นพยาธิในท้องข้ากระมัง เหตุใดเจ้าถึงรู้ไปเสียหมดว่าข้าคิดอะไรอยู่?”

นางสะบัดชายแขนเสื้อกว้าง “ดีมาก หลังจากชดใช้ด้วยเงินเป็นการไถ่โทษแล้ว ข้าจะมอบความร่ำรวยสูงศักดิ์ใหญ่เทียมฟ้าให้แก่เจ้า รับรองว่าเจ้าจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ วางใจได้เลย”

เฉินผิงอันถาม “การค้าอะไร?”

นางยื่นฝ่ามือสองข้างมาด้านหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มอบชุดเกล็ดหิมะและเงินฝนธัญพืชมาก่อน แล้วพวกเราค่อยมาพูดคุยเรื่องการค้าที่จะทำให้ทั้งลูกและหลานของเจ้านั่งเสวยสุขอยู่ท่ามกลางความร่ำรวยกัน”

เฉินผิงอันถาม “เหตุใดเจ้านครฟ่านถึงไม่ไปทำการค้านี้กับผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาหรือไม่ก็ยอดฝีมือคนอื่นที่มาหาประสบการณ์ที่นี่?”

นางหรี่ตาลง “พวกตาแก่คร่ำครึที่ใจคิดแต่จะกำจัดปีศาจปราบมารพวกนั้นไม่เคยละโมบในทรัพย์สินเงินทอง ไม่มีทางเห็นการค้าครั้งนี้อยู่ในสายตา ผู้ฝึกลมปราณทั่วไป ขอบเขตต่ำเกินก็รับไว้ไม่ไหว สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงของนครฟูนี่ข้าเสียเปล่าๆ ขอบเขตสูงเกินไป สองฝ่ายก็แบ่งทรัพย์สินกันไม่ลงตัว ไม่แน่ว่าอาจจะยังต้องใช้อำนาจเข้าข่มกัน ล้วนเป็นเรื่องยุ่งยากที่รบกวนการฝันหวานของข้า ดังนั้นพวกป๋ายอ้ายชิงตามหาอย่างยากลำบากมาร้อยว่าปี ยังคงเป็นเจ้าที่เหมาะสมที่สุด”

กล่าวประโยคเหล่านี้จบ ฟ่านอวิ๋นหลัวก็ยังคงยื่นสองมือค้างไว้ ไม่ได้หดมือกลับ บนใบหน้าเผยความดุร้ายหลายส่วน “เจ้าปล่อยให้ข้าค้างท่านี้อยู่ได้ มันเมื่อยมากรู้ไหม?”

เฉินผิงอันจมสู่ภวังค์ของความคิด

แม้ว่านครน้อยใหญ่หลายแห่งทางทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายซึ่งรวมถึงนครฟูนี่เป็นหนึ่งในนั้นจะรักษาสภาพการณ์การอยู่ร่วมกันอย่างสงบเอาไว้ได้ แต่หากคิดจะไปมาหาสู่กับผู้ฝึกตนของชายหาดโครงกระดูกกลับยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ดังนั้นเจ้านครหลายคนจึงอาศัยรากฐานและสายตาของตัวเองตามหาผู้ฝึกตนหนึ่งคนหรือหลายคนให้ช่วยเชื่อมสะพานความสัมพันธ์ให้ เพื่อสะดวกแก่การทำการค้ากับโลกภายนอก ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่อย่างนั้นวัตถุหยินในหุบเขาผีร้ายก็ยากจะหนีพ้นสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่ได้แต่นั่งกินทุนเก่าจนเกลี้ยง หากพูดถึงปราณหยินในหุบเขาผีร้าย ไม่ว่าจะมีมากกว่านี้สักเท่าไหร่ก็ยังเป็นจำนวน ‘หนึ่ง’ ที่แน่นอนอยู่ดี ขอแค่ขอบเขตของวัตถุหยินในหุบเขาผีร้ายสูงพอ วิสัยทัศน์กว้างไกลมากพอ ได้เดินขึ้นที่สูงมองไปไกล หลุบตาลงมองตลอดทั้งหุบเขาผีร้าย ก็ย่อมมองเห็นวี่แววของการโคจรลมปราณได้ไม่มากก็น้อย เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่มีวิญญาณวีรบุรุษแข็งแกร่งประสบความสำเร็จขึ้นมาก็ล้วนหมายความว่าวิญญาณหยินภูตผีตนอื่นๆ ต้องสูญเสีย นี่ก็คือสถานการณ์หมากกระดานหนึ่งที่ผู้คนช่วงชิงกันอยู่บนกระดาน แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่เจ้ามากข้าน้อย ไม่เคยมีความเป็นไปได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะปรองดองเพื่อให้เงินทองไหลมาเทมา ดินแดนทางทิศเหนือของหุบเขาผีร้ายถูกนครจิงกวานกระดูกขาวยึดครองพื้นที่ไปเกินครึ่ง แต่กระนั้นก็ยังยกทัพมารุกรานทางใต้อยู่เป็นประจำ แต่ละครั้งล้วนกลับไปพร้อมทรัพยากรก้อนใหญ่ที่ได้จากการปล้นชิงเอาไป ดังนั้นเรื่องของการ ‘เปิดทางให้ทรัพย์ไหลเข้ามา’ จึงกลายมาเป็นภารกิจเร่งด่วนของเหล่าเจ้านครทางทิศใต้

ภายนอกสำนักพีหมาเฝ้าพิทักษ์ซุ้มประตูเข้าออก มองดูคล้ายการล้อมเมือง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้ขัดขวางการแลกเปลี่ยนระหว่างหุ่นเชิดที่เจ้านครทางใต้ปลูกฝังมากับโลกภายนอก การที่ทำเช่นนี้ก็เป็นเพราะสำนักพีหมามีแผนการเป็นของตัวเองเช่นกัน พวกเขาไม่ต้องการให้กองกำลังทางทิศใต้อ่อนแอเกินไป หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นดั่งคำโบราณที่บอกว่าผู้แข็งแกร่งมีโชคชะตาที่แข็งแกร่ง กลายเป็นว่าปล่อยให้นครจิงกวานรวบรวมหุบเขาผีร้ายเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ

หญิงชราผู้นั้นตวาดเสียงกร้าว “บังอาจ เจ้านครถามเจ้า เจ้ากล้าใจลอยอย่างนั้นหรือ?”

นางเองก็ไม่แตกต่างจากป๋ายเหนียงเนียงที่เผยโฉมต่อหน้าผู้คนเพียงครึ่งใบหน้าผู้นั้น ต่างก็เป็นหนึ่งในสี่ทหารผีคนสนิทของฟ่านอวิ๋นหลัวเจ้านครฟูนี่เช่นกัน ตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็นหมัวมัวผู้อบรมมารยาทในพระราชวังท่านหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ถวายงานของเชื้อพระวงศ์ แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่ก็เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว ดังนั้นก่อนหน้านี้พอผีสาวป๋ายเหนียงเนียงได้รับบาดเจ็บสาหัส นครฟูนี่ถึงได้ยังกล้าปล่อยให้นางมาตักเตือนเฉินผิงอัน ไม่อย่างนั้นหากอยู่ดีๆ ต้องสูญเสียขุนพลผีสองตนไปในเวลาไล่เลี่ยกัน นครฟูนี่ที่เดิมทีกิจการบ้านเรือนไม่ได้ใหญ่โตก็ต้องตกอยู่ในอันตรายล่อแหลม นครทั้งหลายที่อยู่รายรอบล้วนไม่ใช่พวกคนดี

ฟ่านอวิ๋นหลัวพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้นบอกเป็นนัยไม่ให้หญิงชราเร่งรัด

นางเผยสีหน้าระแวดระวังออกมาเสี้ยวหนึ่ง

เห็นเพียงว่าจอมยุทธหนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วปลดงอบลง

งอบของเขาหายวับไปท่ามกลางความว่างเปล่า

นี่ทำให้หัวใจของหญิงชราและสตรีสาวสวมชุดชาววังสองคนที่อยู่บนรถลากกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย

เป็นบุคคลที่มีสมบัติล้ำค่าตระกูลเซียนจำพวกเนินฟางชุ่น คลังอาวุธจิ๋วอย่างที่คาดไว้จริงเสียด้วย

เฉินผิงอันโยนงอบเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

งอบไม้ไผ่เป็นเพียงแค่สิ่งของธรรมดาทั่วไป เพราะเว่ยป้อกับจูเหลี่ยนแนะนำ บอกว่าเวลาที่ท่องอยู่ในยุทธภพแล้วสวมงอบ เฉินผิงอันควรจะระวังไม่ให้ลมปราณบนร่างไหลออกไปมากนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้สะดุดตาเกินไปจนเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในป่าเขาหนองบึงที่มีพวกภูตผีป้วนเปี้ยน เฉินผิงอันจะยิ่งต้องระวังไว้ให้มาก ไม่อย่างนั้นจะไม่เพียงแต่เหมือนคนที่เดินถือโคมไฟอยู่ในสุสานป่าร้างยามค่ำคืน ยังจะเหมือนว่าเขาตีฆ้องร้องป่าว เลียนแบบเผยเฉียนที่แปะยันต์ไว้บนหน้าผากด้วยใจที่นึกอยากจะให้ผีน้อยหวั่นผวาจนตัวสั่น ส่วนผีใหญ่ก็ให้บุกมาหาถึงบ้านด้วยความเดือดดาล

ตอนที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มภูเขาทางใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงเฉินผิงอันก็สังเกตเห็นในข้อนี้แล้ว ตอนนั้นเฉินผิงอันขบคิดแทบตายก็ยังไม่เข้าใจ หัวใจบุ๋นสีทองแหลกสลายไปแล้ว ตามหลักแล้วปราณแห่งความยิ่งใหญ่ไพศาลที่ ‘คุณธรรมอยู่กับกาย หมื่นเสนียดจัญไรมิอาจกล้ำกราย’ นั้นก็น่าจะสลายตามไปด้วยถึงจะถูก

เจิงเย่ หม่าตู่อี๋และยังมีกู้ช่านในเวลานั้นก็ยิ่งมึนงงสงสัย ไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ

เมื่อย้อนกลับคืนไปบ้านเกิด กลับไปที่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เมื่อขอบเขตของเฉินผิงอันเลื่อนสูงขึ้น กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก อันที่จริงก็สามารถเก็บลมปราณส่วนนั้นไว้ได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย ภายหลังตอนที่เฉินผิงอันท่องเที่ยวอยู่ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป เขาก็ยังคงสวมงอบใบนี้เอาไว้เพื่อเป็นการช่วยตักเตือนทบทวนตัวเอง

หลังจากไม่มีงอบแล้ว เฉินผิงอันก็ยังคงจงใจกดพลังอำนาจส่วนนั้นเอาไว้ เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “เมื่อก่อนเป็นเพราะสถานการณ์บังคับจึงจำต้องทำการค้าร่วมกับคนที่เห็นชัดๆ ว่าผูกปมแค้นต่อกันแล้ว ตอนนี้ข้ากับนครฟูนี่ของพวกเจ้าไม่อาจเรียกได้ว่ามีความแค้นยิ่งใหญ่อะไรต่อกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะพูดคุยกันดีๆ หรืออย่างแย่ที่สุดก็ควรจะลองพยายามทำให้ได้ถึงจุดที่ว่า ต่อให้การค้าไม่อยู่แล้ว แต่ความโอบอ้อมอารียังคงอยู่ ทว่าเมื่อครู่นี้ข้าก็เพิ่งจะคิดได้เข้าใจ แน่นอนว่าพวกเราสามารถทำการค้ากันได้ เพราะตอนนี้ข้าก็ถือว่าเป็นร้านผ้าห่อบุญครึ่งตัวแล้ว ก็ควรจะคิดหาวิธีทำเงินจริงๆ แต่ว่าจะให้ถ่วงเวลาการทำธุระสำคัญของข้าไม่ได้”

เฉินผิงอันหยิบเอาชุดคลุมเกล็ดหิมะที่อยู่ในรูปลักษณ์ของผ้าเช็ดหน้าสีขาวหิมะออกมาอีกครั้ง “ข้าสามารถคืนชุดคลุมอาคมให้กับนครฟูนี่ของพวกเจ้าได้ ถือเป็นการแลกเปลี่ยน พวกเจ้าก็บอกร่องรอยของผีเซียนดินตนนั้นมาให้ข้า การค้าครั้งนี้ ข้าตกลงจะทำ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ละไว้เถิด”

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 492.1 ออกหมัดและกระบี่

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 492.1 ออกหมัดและกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หญิงชราแค่นเสียงหัวเราะหยัน “เจ้าทำลายรากฐานการฝึกตนของพี่สาวน้องสาวข้า บัญชีนี้ต้องชำระ ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่ได้ครอบครองอาวุธเทพแล้วอย่างไร เจ้าก็ยังหนีไม่พ้นหายนะอยู่ดี”

เฉินผิงอันเงียบไม่ต่อคำ

หญิงชราเห็นว่าขบวนรถของเจ้านครกำลังจะมาถึงก็ท่องคาถาร่ายวิชา ต้นไม้แห้งเหี่ยวเหล่านั้นพลันเหมือนคนที่มีเท้าจึงเริ่มขยับชักรากออกจากพื้นดิน ไม่นานก็ทะยานลอยขึ้นกลางอากาศไปแถบใหญ่ ขณะที่ขบวนรถกำลังลดระดับลงช้าๆ ก็มีผีสาวสวมชุดเขียวสองคนที่ในมือประคองแผ่นหยกงาช้างรับผิดชอบคอยเปิดทางพลิ้วกายลงมาบนพื้นก่อน พวกนางโยนแผ่นหยกในมือออกมา แสงสีขาวเหมือนน้ำพุก็สาดส่องลงบนพื้นดิน ผืนป่าหนาครึ้มและผืนดินพลันเปลี่ยนมาเป็นลานกว้างหยกขาวแห่งหนึ่งที่ราบเรียบจนผิดปกติ ไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด ตอนที่ ‘กระแสน้ำ’ ไหลผ่านเท้า เฉินผิงอันไม่ยินดีจะสัมผัสโดนพวกมันจึงกระโดดขึ้นเบาๆ กวักมือเรียกบังคับให้กิ่งไม้สูงครึ่งตัวคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเข้ามาหา สะบัดข้อมือหนึ่งครั้งมันก็ฝังตรึงลงกับพื้นดิน แล้วเฉินผิงอันก็ยืนอยู่บนกิ่งไม้อีกที

ปีนั้นตอนที่ร่วมเผชิญหน้ากับศัตรูพร้อมเหมาเสี่ยวตงที่เมืองหลวงต้าสุย หลังจบเรื่องเหมาเสี่ยวตงได้อธิบายให้ฟังถึงความร้ายกาจของอาจารย์ค่ายกลท่านหนึ่ง

วัตถุหยินสองตนที่อยู่ในรูปลักษณ์ของสตรีสวมชุดชาววังสีเขียวหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน นึกไม่ถึงว่ายอดฝีมือต่างถิ่นที่ทำให้ป๋ายเหนียงเนียงเผชิญกับความยากลำบากมากขนาดนั้นจะเป็นพวกขี้ขลาดราวกับหนูเช่นนี้

หญิงชราหลุดหัวเราะพรืด “คุณชายท่านนี้ช่างใจกล้าเสียจริง”

เฉินผิงอันย้อนกลับว่า “ท่านยายช่างสายตาดียิ่งนัก”

ผีชุดเขียวสองตนที่หน้าตางดงามรู้สึกว่าน่าสนใจจึงปิดปากหัวเราะคิก

ในหุบเขาผีร้ายที่มีภูตผีเดินกันให้เกลื่อน เดิมทีก็พบเจอคนเป็นได้ยากอยู่แล้ว บุรุษในโลกมนุษย์ที่น่าสนใจก็ยิ่งไม่ค่อยมีให้พบเห็นบ่อยนัก

รถลากขนาดใหญ่เท่ากับหอเรือนส่วนตัวของสตรีค่อยๆ ลดระดับลงสู่พื้น แล้วทันใดนั้นก็มีผีสาวสองคนที่สวมชุดหรูหรางดงามดุจฮูหยินผู้ได้รับบรรดาศักดิ์พร้อมใจกันเปิดม่านรถด้วยท่าทางนุ่มนวล สตรีคนหนึ่งในนั้นค้อมกายเอ่ยเสียงนุ่มละมุน “ท่านเจ้านคร ถึงแล้วเจ้าค่ะ”

เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป ในขบวนรถมีเด็กหญิงสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมไหล่ลายปัก (เครื่องแต่งกายสตรีที่แสดงถึงความสูงศักดิ์) คนหนึ่งนั่งอยู่ ตรงแก้มของนางปัดชาดหนาเข้มไปสักหน่อย สายตาเหม่อลอย เหมือนหุ่นเชิดที่ไม่มีจิตวิญญาณตนหนึ่ง ตรงชายกระโปรงที่สวมใส่ลักษณะคล้ายใบบัวขนาดใหญ่ใบหนึ่งที่แผ่ลามโอบล้อมกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของรถลาก ขับให้เด็กหญิงเหมือนดอกบัวตูมดอกเล็กๆ ที่ปลายแหลมเพิ่งจะโผล่พ้นน้ำ มองดูแล้วชวนให้ขบขันยิ่ง

เจ้านครฟูนี่มีชื่อว่าฟ่านอวิ๋นหลัว หลังจากตายไปได้ครอบครองนครแห่งหนึ่ง คอยรวบรวมภูตผีสตรีเพศให้รับหน้าที่ทำงานด้านต่างๆ อยู่ในนครฟูนี่โดยเฉพาะ รังเกียจบุรุษ นางแต่งตั้งตัวเองว่าเป็น ‘แยนเฟิ่นโหว’ (โหวผงประทินโฉม) เพราะเกิดมาก็มีเรือนกายเล็กจ้อยเช่นนี้ แม้ว่าเรือนร่างจะเล็กเตี้ยมากเป็นพิเศษ แต่ว่ากันว่าทั้งเนื้อและกระดูกมีสัดส่วนเท่าเทียมกัน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญการแต่งกลอนบทกวี มีบุรุษจำนวนนับไม่ถ้วนที่มาหมอบกราบศิโรราบอยู่ใต้กระโปรงของนาง ตอนมีชีวิตอยู่นางคือองค์หญิงที่ฮ่องเต้องค์หนึ่งรักและโปรดปรานมากเป็นพิเศษ เรือนกายเบาหวิว ในประวัติศาสตร์จึงเคยมีตำนานเล่าลือถึงระบำบนฝ่ามือ

ผีสาวสวมชุดชาววังอีกคนหนึ่งรู้สึกจนใจเล็กน้อย จำต้องออกเสียงเตือนอีกครั้ง “เจ้านคร ตื่นเถิดเจ้าค่ะ พวกเรามาถึงแล้ว”

เด็กหญิงคนนั้นสะดุ้งโหยง นางโคลงศีรษะไปมา ยังงัวเงียอยู่เล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาจะค่อยๆ คืนสติแจ่มชัด เพราะอ้าปากหาวจึงยื่นมือมาปิดปาก เห็นว่าบนมือนางสวมถุงมือผ้าไหมที่ส่องประกายแสงวิบวับ เผยให้เห็นเพียงข้อมือช่วงหนึ่งที่นวลเนียนราวกับหยกมันแพะ

ฟ่านอวิ๋นหลัวหลุบตาลงต่ำมองบุรุษสวมงอบที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ “คือคนไร้สุนทรียะอย่างเจ้าน่ะหรือที่ทำให้ป๋ายอ้ายชิง (อ้ายชิงเป็นคำที่ฮ่องเต้ใช้เรียกแทนตัวขุนนาง แปลตรงตัวคือขุนนางที่รัก) ของเราได้รับบาดเจ็บ จำต้องเข้าไปหลับลึกอยู่ในบ่อชำระวิญญาณ? เจ้ารู้หรือไม่ว่า นางได้รับคำสั่งจากข้า ถึงได้มาที่นี่เพื่อปรึกษาเรื่องการค้าขายที่จะทำให้เงินทองไหลมาเทมากับเจ้า ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้าย ย่อมถูกกรรมตามสนอง”

ฟ่านอวิ๋นหลัวเห็นว่าคนหนุ่มผู้นั้นไม่มีแววว่าจะพูดจาก็ไม่อารมณ์เสีย นางเอ่ยต่อว่า “ใช่แล้ว ชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะตัวนั้นล่ะ ถูกเจ้าเอาไปซ่อนไว้ที่ไหนแล้ว นั่นไม่ใช่ของแทนใจที่ป๋ายอ้ายชิงมอบให้เจ้าเสียหน่อย จะเก็บซ่อนไปไย เอาออกมาเถอะ นี่เป็นของรักของนาง นางทะนุถนอมเห็นค่ายิ่งกว่าชีวิตตัวเอง หากไม่มีมัน นางต้องเสียใจจนตายแน่ นครฟูนี่ของพวกเราหวังดีมาหาเจ้าเพื่อจะได้ร่วมงานกัน เจ้ากลับตอบแทนด้วยการกระทำเช่นนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงบัญชีนี้ก่อน อยู่ในหุบเขาผีร้ายยังต้องอาศัยหมัดในการพูดคุย เจ้าได้ชุดเกล็ดหิมะตัวนั้นไปก็ถือว่าเจ้ามีความสามารถ ตอนนี้เจ้าจงบอกราคามา ข้าจะซื้อมันกลับมาเอง”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ในสายตาของเจ้านครฟ่าน ชุดคลุมอาคมตัวนี้มีค่าเท่าไหร่?”

ฟ่านอวิ๋นหลัวพูดอย่างจริงจัง “ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะมีราคาสักสามถึงห้าเหรียญเงินฝนธัญพืช อีกทั้งยังเป็นของรักของป๋ายอ้ายชิง ข้าไถ่มันกลับมาแทนนาง เมื่อออกมาจากปากทองคำของข้า จะอย่างไรราคาก็ควรเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว หักลบดูแล้วก็น่าจะประมาณแปดเหรียญเงินฝนธัญพืช”

เฉินผิงอันถาม “อีกเดี๋ยวเจ้านครฟ่านก็จะถามข้าใช่ไหมว่า ชีวิตน้อยๆ นี้ของข้ามีค่าเท่าไหร่ จากนั้นก็หักเอากับเงินแปดเหรียญฝนธัญพืช หลังจากคืนชุดคลุมอาคมให้กับนครฟูนี่แล้ว ยังต้องยกสองมือประคองส่งเงินเทพเซียนก้อนใหญ่เพื่อไถ่โทษด้วย?”

ฟ่านอวิ๋นหลัวดวงตาเป็นประกายวาบ โน้มตัวมาด้านหน้า บนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ “เหตุใดเจ้าถึงได้ฉลาดเฉลียวเพียงนี้ คงไม่ได้มาเป็นพยาธิในท้องข้ากระมัง เหตุใดเจ้าถึงรู้ไปเสียหมดว่าข้าคิดอะไรอยู่?”

นางสะบัดชายแขนเสื้อกว้าง “ดีมาก หลังจากชดใช้ด้วยเงินเป็นการไถ่โทษแล้ว ข้าจะมอบความร่ำรวยสูงศักดิ์ใหญ่เทียมฟ้าให้แก่เจ้า รับรองว่าเจ้าจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ วางใจได้เลย”

เฉินผิงอันถาม “การค้าอะไร?”

นางยื่นฝ่ามือสองข้างมาด้านหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มอบชุดเกล็ดหิมะและเงินฝนธัญพืชมาก่อน แล้วพวกเราค่อยมาพูดคุยเรื่องการค้าที่จะทำให้ทั้งลูกและหลานของเจ้านั่งเสวยสุขอยู่ท่ามกลางความร่ำรวยกัน”

เฉินผิงอันถาม “เหตุใดเจ้านครฟ่านถึงไม่ไปทำการค้านี้กับผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาหรือไม่ก็ยอดฝีมือคนอื่นที่มาหาประสบการณ์ที่นี่?”

นางหรี่ตาลง “พวกตาแก่คร่ำครึที่ใจคิดแต่จะกำจัดปีศาจปราบมารพวกนั้นไม่เคยละโมบในทรัพย์สินเงินทอง ไม่มีทางเห็นการค้าครั้งนี้อยู่ในสายตา ผู้ฝึกลมปราณทั่วไป ขอบเขตต่ำเกินก็รับไว้ไม่ไหว สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงของนครฟูนี่ข้าเสียเปล่าๆ ขอบเขตสูงเกินไป สองฝ่ายก็แบ่งทรัพย์สินกันไม่ลงตัว ไม่แน่ว่าอาจจะยังต้องใช้อำนาจเข้าข่มกัน ล้วนเป็นเรื่องยุ่งยากที่รบกวนการฝันหวานของข้า ดังนั้นพวกป๋ายอ้ายชิงตามหาอย่างยากลำบากมาร้อยว่าปี ยังคงเป็นเจ้าที่เหมาะสมที่สุด”

กล่าวประโยคเหล่านี้จบ ฟ่านอวิ๋นหลัวก็ยังคงยื่นสองมือค้างไว้ ไม่ได้หดมือกลับ บนใบหน้าเผยความดุร้ายหลายส่วน “เจ้าปล่อยให้ข้าค้างท่านี้อยู่ได้ มันเมื่อยมากรู้ไหม?”

เฉินผิงอันจมสู่ภวังค์ของความคิด

แม้ว่านครน้อยใหญ่หลายแห่งทางทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายซึ่งรวมถึงนครฟูนี่เป็นหนึ่งในนั้นจะรักษาสภาพการณ์การอยู่ร่วมกันอย่างสงบเอาไว้ได้ แต่หากคิดจะไปมาหาสู่กับผู้ฝึกตนของชายหาดโครงกระดูกกลับยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ ดังนั้นเจ้านครหลายคนจึงอาศัยรากฐานและสายตาของตัวเองตามหาผู้ฝึกตนหนึ่งคนหรือหลายคนให้ช่วยเชื่อมสะพานความสัมพันธ์ให้ เพื่อสะดวกแก่การทำการค้ากับโลกภายนอก ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่อย่างนั้นวัตถุหยินในหุบเขาผีร้ายก็ยากจะหนีพ้นสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่ได้แต่นั่งกินทุนเก่าจนเกลี้ยง หากพูดถึงปราณหยินในหุบเขาผีร้าย ไม่ว่าจะมีมากกว่านี้สักเท่าไหร่ก็ยังเป็นจำนวน ‘หนึ่ง’ ที่แน่นอนอยู่ดี ขอแค่ขอบเขตของวัตถุหยินในหุบเขาผีร้ายสูงพอ วิสัยทัศน์กว้างไกลมากพอ ได้เดินขึ้นที่สูงมองไปไกล หลุบตาลงมองตลอดทั้งหุบเขาผีร้าย ก็ย่อมมองเห็นวี่แววของการโคจรลมปราณได้ไม่มากก็น้อย เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่มีวิญญาณวีรบุรุษแข็งแกร่งประสบความสำเร็จขึ้นมาก็ล้วนหมายความว่าวิญญาณหยินภูตผีตนอื่นๆ ต้องสูญเสีย นี่ก็คือสถานการณ์หมากกระดานหนึ่งที่ผู้คนช่วงชิงกันอยู่บนกระดาน แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่เจ้ามากข้าน้อย ไม่เคยมีความเป็นไปได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะปรองดองเพื่อให้เงินทองไหลมาเทมา ดินแดนทางทิศเหนือของหุบเขาผีร้ายถูกนครจิงกวานกระดูกขาวยึดครองพื้นที่ไปเกินครึ่ง แต่กระนั้นก็ยังยกทัพมารุกรานทางใต้อยู่เป็นประจำ แต่ละครั้งล้วนกลับไปพร้อมทรัพยากรก้อนใหญ่ที่ได้จากการปล้นชิงเอาไป ดังนั้นเรื่องของการ ‘เปิดทางให้ทรัพย์ไหลเข้ามา’ จึงกลายมาเป็นภารกิจเร่งด่วนของเหล่าเจ้านครทางทิศใต้

ภายนอกสำนักพีหมาเฝ้าพิทักษ์ซุ้มประตูเข้าออก มองดูคล้ายการล้อมเมือง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้ขัดขวางการแลกเปลี่ยนระหว่างหุ่นเชิดที่เจ้านครทางใต้ปลูกฝังมากับโลกภายนอก การที่ทำเช่นนี้ก็เป็นเพราะสำนักพีหมามีแผนการเป็นของตัวเองเช่นกัน พวกเขาไม่ต้องการให้กองกำลังทางทิศใต้อ่อนแอเกินไป หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นดั่งคำโบราณที่บอกว่าผู้แข็งแกร่งมีโชคชะตาที่แข็งแกร่ง กลายเป็นว่าปล่อยให้นครจิงกวานรวบรวมหุบเขาผีร้ายเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ

หญิงชราผู้นั้นตวาดเสียงกร้าว “บังอาจ เจ้านครถามเจ้า เจ้ากล้าใจลอยอย่างนั้นหรือ?”

นางเองก็ไม่แตกต่างจากป๋ายเหนียงเนียงที่เผยโฉมต่อหน้าผู้คนเพียงครึ่งใบหน้าผู้นั้น ต่างก็เป็นหนึ่งในสี่ทหารผีคนสนิทของฟ่านอวิ๋นหลัวเจ้านครฟูนี่เช่นกัน ตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็นหมัวมัวผู้อบรมมารยาทในพระราชวังท่านหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ถวายงานของเชื้อพระวงศ์ แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่ก็เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว ดังนั้นก่อนหน้านี้พอผีสาวป๋ายเหนียงเนียงได้รับบาดเจ็บสาหัส นครฟูนี่ถึงได้ยังกล้าปล่อยให้นางมาตักเตือนเฉินผิงอัน ไม่อย่างนั้นหากอยู่ดีๆ ต้องสูญเสียขุนพลผีสองตนไปในเวลาไล่เลี่ยกัน นครฟูนี่ที่เดิมทีกิจการบ้านเรือนไม่ได้ใหญ่โตก็ต้องตกอยู่ในอันตรายล่อแหลม นครทั้งหลายที่อยู่รายรอบล้วนไม่ใช่พวกคนดี

ฟ่านอวิ๋นหลัวพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้นบอกเป็นนัยไม่ให้หญิงชราเร่งรัด

นางเผยสีหน้าระแวดระวังออกมาเสี้ยวหนึ่ง

เห็นเพียงว่าจอมยุทธหนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วปลดงอบลง

งอบของเขาหายวับไปท่ามกลางความว่างเปล่า

นี่ทำให้หัวใจของหญิงชราและสตรีสาวสวมชุดชาววังสองคนที่อยู่บนรถลากกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย

เป็นบุคคลที่มีสมบัติล้ำค่าตระกูลเซียนจำพวกเนินฟางชุ่น คลังอาวุธจิ๋วอย่างที่คาดไว้จริงเสียด้วย

เฉินผิงอันโยนงอบเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

งอบไม้ไผ่เป็นเพียงแค่สิ่งของธรรมดาทั่วไป เพราะเว่ยป้อกับจูเหลี่ยนแนะนำ บอกว่าเวลาที่ท่องอยู่ในยุทธภพแล้วสวมงอบ เฉินผิงอันควรจะระวังไม่ให้ลมปราณบนร่างไหลออกไปมากนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้สะดุดตาเกินไปจนเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในป่าเขาหนองบึงที่มีพวกภูตผีป้วนเปี้ยน เฉินผิงอันจะยิ่งต้องระวังไว้ให้มาก ไม่อย่างนั้นจะไม่เพียงแต่เหมือนคนที่เดินถือโคมไฟอยู่ในสุสานป่าร้างยามค่ำคืน ยังจะเหมือนว่าเขาตีฆ้องร้องป่าว เลียนแบบเผยเฉียนที่แปะยันต์ไว้บนหน้าผากด้วยใจที่นึกอยากจะให้ผีน้อยหวั่นผวาจนตัวสั่น ส่วนผีใหญ่ก็ให้บุกมาหาถึงบ้านด้วยความเดือดดาล

ตอนที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มภูเขาทางใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงเฉินผิงอันก็สังเกตเห็นในข้อนี้แล้ว ตอนนั้นเฉินผิงอันขบคิดแทบตายก็ยังไม่เข้าใจ หัวใจบุ๋นสีทองแหลกสลายไปแล้ว ตามหลักแล้วปราณแห่งความยิ่งใหญ่ไพศาลที่ ‘คุณธรรมอยู่กับกาย หมื่นเสนียดจัญไรมิอาจกล้ำกราย’ นั้นก็น่าจะสลายตามไปด้วยถึงจะถูก

เจิงเย่ หม่าตู่อี๋และยังมีกู้ช่านในเวลานั้นก็ยิ่งมึนงงสงสัย ไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ

เมื่อย้อนกลับคืนไปบ้านเกิด กลับไปที่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เมื่อขอบเขตของเฉินผิงอันเลื่อนสูงขึ้น กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก อันที่จริงก็สามารถเก็บลมปราณส่วนนั้นไว้ได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย ภายหลังตอนที่เฉินผิงอันท่องเที่ยวอยู่ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป เขาก็ยังคงสวมงอบใบนี้เอาไว้เพื่อเป็นการช่วยตักเตือนทบทวนตัวเอง

หลังจากไม่มีงอบแล้ว เฉินผิงอันก็ยังคงจงใจกดพลังอำนาจส่วนนั้นเอาไว้ เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “เมื่อก่อนเป็นเพราะสถานการณ์บังคับจึงจำต้องทำการค้าร่วมกับคนที่เห็นชัดๆ ว่าผูกปมแค้นต่อกันแล้ว ตอนนี้ข้ากับนครฟูนี่ของพวกเจ้าไม่อาจเรียกได้ว่ามีความแค้นยิ่งใหญ่อะไรต่อกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะพูดคุยกันดีๆ หรืออย่างแย่ที่สุดก็ควรจะลองพยายามทำให้ได้ถึงจุดที่ว่า ต่อให้การค้าไม่อยู่แล้ว แต่ความโอบอ้อมอารียังคงอยู่ ทว่าเมื่อครู่นี้ข้าก็เพิ่งจะคิดได้เข้าใจ แน่นอนว่าพวกเราสามารถทำการค้ากันได้ เพราะตอนนี้ข้าก็ถือว่าเป็นร้านผ้าห่อบุญครึ่งตัวแล้ว ก็ควรจะคิดหาวิธีทำเงินจริงๆ แต่ว่าจะให้ถ่วงเวลาการทำธุระสำคัญของข้าไม่ได้”

เฉินผิงอันหยิบเอาชุดคลุมเกล็ดหิมะที่อยู่ในรูปลักษณ์ของผ้าเช็ดหน้าสีขาวหิมะออกมาอีกครั้ง “ข้าสามารถคืนชุดคลุมอาคมให้กับนครฟูนี่ของพวกเจ้าได้ ถือเป็นการแลกเปลี่ยน พวกเจ้าก็บอกร่องรอยของผีเซียนดินตนนั้นมาให้ข้า การค้าครั้งนี้ ข้าตกลงจะทำ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ละไว้เถิด”

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+