กระบี่จงมา 495.4 ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 495.4 ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยางฉงเสวียนปัดมือ ทิ้งตัวนอนหงายหลัง นอกจากเหตุผลระยำแล้ว ยังมีคำกล่าวอีกอย่างที่ลี้ลับเกินจะหยั่งอยู่อีก

น้องชายที่ใกล้ชิดกับสายน้ำ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเมื่อมาอยู่ที่ภูเขากระจกวิเศษจะเจอกับการช่วงชิงบนมหามรรคาที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตาย นั่นจะอันตรายอย่างยิ่ง

หยางฉงเสวียนไม่เข้าใจเอาเสียเลย อยู่ในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ เว้นเสียแต่เจ้านครจิงกวานกับเจ้าโครงกระดูกผูหรางผู้นั้นเสียสติขึ้นมา น้องชายตนจะมีอันตรายอะไรได้? น้องชายของเขาคนนี้ไม่ใช่มะพลับนิ่มอะไรสักหน่อย ลื่นไหลอย่างกับปลาหนีชิว ก่อกำเนิดทั่วไป ไหนเลยจะจับเจ้าคนที่เชี่ยวชาญการรักษาชีวิตรอด อีกทั้งยังหนีเก่งอย่างถึงที่สุดเช่นเขาได้

จู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมาไม่ใช่คนโง่ ไม่แน่ว่าอาจจะยังช่วยปกป้องเขาบ้าง ยอดฝีมือนอกโลกสองท่านที่อยู่ในอารามเสวียนตูเล็กและวัดหยวนเยว่ใหญ่ก็ยิ่งไม่ใช่พวกที่ชอบหาเรื่องใคร โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในอารามเสวียนตูเล็กผู้นั้นที่อาจจะยังโปรดปรานน้องชายของตนด้วยซ้ำ นี่จะไม่ยิ่งใช่บุญสัมพันธ์ที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กครั้งหนึ่งหรอกหรือ?

คำทำนายประโยคนั้น รวมไปถึงคำพูดคำจาที่ลึกลับซับซ้อนทั้งหลาย ล้วนทำให้เขารู้สึกกร่อยหมดอารมณ์

อยู่ดีๆ หยางฉงเสวียนก็นึกถึงจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่สวมงอบคนนั้นขึ้นมา

มองออกว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายคือคนบนเส้นทางเดียวกับตน

แต่ตอนนั้นหยางฉงเสวียนกลับไม่มีความคิดที่จะงัดข้ออะไร

โชควาสนากำลังจะมาถึง

มีเรื่องเพิ่มขึ้นไม่สู้มีเรื่องน้อยลง คำพูดเก่าแก่ประโยคนี้ ควรจะรับฟังไว้สักหน่อย

หรือว่าจะเป็นคนผู้นี้?

หยางฉงเสวียนเริ่มใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ยกสองนิ้วขึ้นทำมุทราคำนวณอยู่เงียบๆ ในเรื่องของการอนุมานนี้ แม้ว่าเขาจะเรียนมาอย่างผิวเผิน แต่เมื่อเทียบกับยอดฝีมือทั่วไปก็ยังถือว่าแข็งแกร่งกว่าระดับหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นต้นกำเนิดแห่งวิชาของต้นตระกูล

เพียงแต่ผ่านไปครู่หนึ่ง หยางฉงเสวียนก็ทิ้งตัวนอนหงาย เริ่มหลับตานอนหลับ “เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ตะวันลอยโด่งข้าก็ยังหลับได้ ไม่สนหรอกว่าคนบนโลกจะกลุ้มกันเท่าไหร่”

หยางฉงเสวียนพึมพำกับตัวเอง “ยังคงอิจฉาฮว่อหลงเจินเหรินผู้นั้นอยู่ดี ตื่นก็ฝึกตน หลับก็ฝึกตน ไม่รู้ว่าใต้หล้านี้จะมีวิชาตระกูลเซียนที่คล้ายคลึงกันหรือไม่ หากมีล่ะก็จะต้องแอบเรียนดูสักหน่อย”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างกายของหยางฉงเสวียน “มีน่ะต้องมีอยู่แล้ว หนึ่งอยู่ที่หลิวเสียทวีป สามารถบรรลุมรรคาในความฝัน เป็นเหตุให้เส้นทางการฝึกตนของเขาเหนื่อยเพียงครึ่งเดียว แต่ได้ผลเป็นเท่าตัว ตอนนี้คนผู้นี้มาเยือนอุตรกุรุทวีปแล้ว หากข้าผู้เป็นนักพรตเดาไม่ผิด ก็คือคนผู้นี้นี่แหละที่ได้โชควาสนาภาพเทพหญิงกว้าเยี่ยนในนครปี้ฮว่าไป”

“ส่วนอีกคนหนึ่ง เนื่องจากต้นสายปลายเหตุบางอย่างทำให้มีความเกี่ยวข้องกับบรรพจารย์บางท่านของสายข้าผู้เป็นนักพรตพอดี ดังนั้นจึงรู้ว่าเขามีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีป เพียงแต่ว่าตอนนี้ไปอยู่ที่ทักษินาตยทวีปแล้ว สามารถฝึกกระบี่ในความฝันตอนกลางวัน ขอแค่ไม่ตายไปก่อนวัยอันควร มหามรรคาก็มารออยู่เบื้องหน้า เพียงแต่ว่าระหว่างทั้งสองคนนี้ สักวันจะต้องมีการช่วงชิงบนมหามรรคาเกิดขึ้น”

หยางฉงเสวียนไม่ได้ลืมตา เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ที่แท้ก็ท่านเจ้าอารามที่มาเยือนด้วยตัวเอง ทำไม คิดจะมาแย่งชิงโชควาสนากับเด็กรุ่นหลังอย่างข้างั้นหรือ? แบบนี้คงไม่ดีกระมัง ก็แค่กระจกใสที่สามารถส่องร่างจริงของปีศาจได้เท่านั้น หรือว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าก็หมายตามันด้วย”

นักพรตเฒ่าคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้กับหยางฉงเสวียน ไม่จำเป็นต้องใช้ปราณวิญญาณใดๆ แค่จิตขยับ ไอหมอกของธารน้ำก็มารวมตัวกันเป็นเบาะรองนั่งใบหนึ่งด้วยตัวเอง

เขาก็คือเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามเสวียนตูเล็ก

นักพรตเฒ่าไม่ได้ตอบคำถามที่ค่อนข้างจะไร้มารยาทของหยางฉงเสวียน เพียงแค่มองบ่อลึกแล้วกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ได้มามองน้ำของที่นี่อีกครั้งก็ยังคงรู้สึกว่ามีโชคดีไร้ที่สิ้นสุด ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก”

หยางฉงเสวียนลุกขึ้นยืน ถอนหายใจ “คิดไม่ถึงว่าข้าเองก็มีวันที่ต้องพึ่งชาติกำเนิดของตัวเองถึงจะพอสบายใจได้บ้าง”

นักพรตเฒ่ายิ้มกล่าว “พ่อแม่มีความสามารถมาก ก็แสดงว่าตนเองมีความสามารถในการมาจุติ นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอะไร สหายน้อยไยต้องหงุดหงิดถึงเพียงนี้”

หยางฉงเสวียนยิ้มกว้าง “เจ้าอาราม ตกลงกันก่อนว่า ข้าแค่ขอว่าท่านอย่าได้มาแย่งชิงโชควาสนาจากกระจกวิเศษบานนี้ของข้า ส่วนเรื่องดีๆ อย่างการถ่ายทอดมรรคกถาหรือผูกบุญสัมพันธ์อะไรนั่น น้องชายของข้าอาจจะไม่ปฏิเสธ แต่กับข้าผู้นี้ เจ้าอารามก็อย่าได้ทำเลย ข้าไม่รับไว้หรอก”

นักพรตเฒ่าหัวเราะเสียงดังก้องกังวาน “ข้าผู้เป็นนักพรตกลับรู้สึกว่าเจ้ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าน้องชายของเจ้าเสียอีก”

หยางฉงเสวียนสอดสองมือหนุนใต้ท้ายทอย “จะคิดว่าเป็นคำพูดชื่นชมดีๆ ก็แล้วกัน”

ราชวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางของอุตรกุรุทวีปจัดตั้งหน่วยฉงเสวียนแห่งหนึ่งขึ้นมา เพื่อจัดการดูแลเรื่องรายนามของอารามต่างๆ บัญชีรายชื่อนักพรตที่อยู่ในเมืองหลวงและเรื่องของการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเต๋า นอกจากนี้ก็ดูแลทำเนียบของวัดและภิกษุทั้งหมด

และผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจของหน่วยฉงเสวียนก็แซ่หยาง เป็นทั้งราชครูของแคว้นหนึ่ง อีกทั้งยังได้ครอบครองตำหนักนภากาศแห่งหนึ่ง รุ่นของบรรพบุรุษเคยมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนปรากฏถึงสามคน เพียงแต่ว่าล้วนทยอยกันลาจากโลกนี้ไปแล้ว

ตำหนักนภากาศคือฉงหลินลูกหลาน (มาจากระบบสือฟางฉงหลิน คือระบบการดูแลวัดอย่างหนึ่ง สือฟางหมายถึงสิบทิศได้แก่ออก ตก เหนือ ใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ บนและล่าง ฉงหลินเป็นคำเรียกขานวัดวาอารามหมายถึงสถานที่ที่พระสงฆ์มารวมตัวกัน สถานที่ที่ใช้ฝึกบำเพ็ญตน) แห่งหนึ่งของลัทธิเต๋า คล้ายคลึงกับจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์

มีบารมีอำนาจยิ่งใหญ่ รากฐานลึกล้ำจนมิอาจจะจินตนาการได้ถึง

ในกลุ่มของคนหนุ่มสาวมีคนหนุ่มสองคนที่เป็นคู่พี่น้องแท้ๆ ตอนเป็นเด็กก็ได้รับการขนานนามว่าคือเมล็ดพันธ์เต๋าแต่กำเนิด

คนหนึ่งถูกเทียนจวินเซี่ยสือหมายตา เนื่องจากเซี่ยสือไม่สามารถรับลูกศิษย์ได้ และคนหนุ่มก็ไม่อาจรับใครเป็นอาจารย์ แต่กระนั้นเซี่ยสือก็ยังคงถ่ายทอดมรรคกถาให้กับอีกฝ่าย ส่วนอีกคนหนึ่งที่แม้จะเป็นพี่ชาย ทว่าตอนเป็นเด็กกลับชอบท่องเที่ยวไปทั่วทิศมากกว่า ทำตัวดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง ว่ากันว่าเกิดมาก็มีดวงตาดำซ้อนเป็นคู่ ทั้งได้เปรียบที่เกิดก่อน แล้วก็ยังมีความพิเศษมากกว่าน้องชายออย่างหนึ่ง เดิมทีควรจะได้เป็นเจ้าประมุขในอนาคตอย่างถูกต้องเหมาะสม แต่น่าเสียดายที่นิสัยเอ้อระเหยลอยชายเกินไป ทางตระกูลเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงได้แต่ปล่อยเขาไปใช้ชีวิตตามใจชอบ

เมื่อกาลเวลาเลยผ่าน ฝ่ายแรกจึงเหมือนจะกลายมาเป็นตัวเลือกของตำแหน่งเสนาบดีอวี่อี (อวี่อีแปลว่าเสื้อผ้าที่ทำจากขนนก มักจะใช้เรียกเสื้อขนนกของนักพรตเต๋าหรือเทพเซียน และยังสามารถนำมาเรียกแทนตัวนักพรตเต๋าได้ด้วย) คนถัดไปของหน่วยฉงเสวียน ส่วนฝ่ายหลังกลับถูกเงามืดจากชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของน้องชายปกคลุม ยิ่งนานวันก็ยิ่งเก็บตัวเงียบไร้ชื่อเสียง

นักพรตเฒ่าเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศไกล น่าจะเป็นตรงซุ้มประตูหินทางเข้าของหุบเขาผีร้าย จากนั้นก็เบนสายตาออกไปมองยังทิศทางของเมืองหลันเซ่อ แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “การที่ข้าเดินทางมาครั้งนี้ก็เพราะจะมาบอกเจ้าว่า โชควาสนามาถึงแล้ว”

หยางฉงเสวียนไม่สะทกสะท้าน “เหตุใดเจ้าอารามต้องวิ่งมาบอกข้าเรื่องนี้ด้วย?”

นักพรตเฒ่ามีสีหน้าเคร่งเครียด เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ก่อนหน้านี้ข้าผู้เป็นนักพรตลองทำนายดู ไม่นึกว่าจะได้ผลเป็นมหาฤกษ์ฆ่าคน ทว่าโชคดีมาพร้อมกับโชคร้าย นี่กลับทำให้ข้าผู้เป็นนักพรตจิตใจไม่สงบ จนเกิดจุดด่างพร้อยเสี้ยวหนึ่งขึ้นระหว่างจิตดั้งเดิมกับมหามรรคา สุดท้ายข้าจึงเลือกที่จะมอบมันให้คนอื่น ตอนนี้จึงทั้งรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะสามารถรักษาจิตดั้งเดิมเอาไว้ได้ แล้วก็ทั้งหมดอาลัยตายอยากกับการสูญเสีย ดูเหมือนว่าโชควาสนาจะเดินสวนไหล่กับข้าไป”

หยางฉงเสวียนพูดเหน็บแนม “ความหมายในคำพูดนี้ก็คือเจ้าอารามคิดจะยืมมีดฆ่าคน? ตัวเองมือสะอาด แต่ให้ข้ามาอยู่แนวหน้า รับบทเป็นคนโง่ที่หลอกได้ง่าย? แม้แต่เจ้าอารามยังลังเลว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าเขาดี ต่อให้ข้าสามารถสังหารเขาได้ ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายก็คงมหาศาล ข้าที่แขนขาเล็กลีบเช่นนี้จะแบกรับได้ไหวหรือ?”

นักพรตเฒ่าส่ายหน้า “เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมล็ดพันธ์เต๋าแต่กำเนิดในสามสายของใต้หล้ามืดสลัวนั้นล้ำค่าแค่ไหน ข้าผู้เป็นนักพรตถึงได้ออกมาจากอารามเสวียนตูเล็กเพื่อพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า”

นักพรตเฒ่าลุกขึ้นยืน “ดูแลตัวเองก็แล้วกัน”

หยางฉงเสวียนพลันถามขึ้นว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ หวังว่าเจ้าอารามจะช่วยแถลงไข”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “เชิญถามมาได้”

หยางฉงเสวียนจึงเอ่ยว่า “คนที่จำเป็นต้องเข้าใจหลักการเหตุผลมากที่สุดกลับเป็นคนที่ฟังเหตุผลไม่เข้าหูมากที่สุด คนที่ยินดีรับฟังเหตุผลจากคนอื่น กลับกลายเป็นว่าไม่ได้ต้องการเหตุผลหลักการเหล่านั้นมากขนาดนั้น นี่จะทำอย่างไร?”

นักพรตเฒ่ายิ้มตอบ “นี่คือคำถามที่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสมควรขบคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนเจ้านั้น คิดมากหนึ่งเรื่องก็คือภาระที่เพิ่มมากขึ้น เหตุใดจะต้องหาเรื่องหงุดหงิดใส่ตัว บนโลกใบนี้มีคนมากมายที่ชอบหาเรื่องให้ตัวเอง แค่หาความสุขกับเรื่องต่างๆ ให้ได้ก็พอ เจ้าจะไปทำเสียงดังปลุกให้พวกเขาตื่นจากความฝันอันงดงามไปทำไม? ด่าว่าเจ้าปากมากก็ถือว่านิสัยดีมากแล้ว พวกคนที่ใจแคบหน่อยยังจะมองเจ้าเป็นศัตรูคู่อาฆาตด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ สรุปแล้วคือพวกเขาโง่ หรือพวกเราที่โง่กันแน่?”

หยางฉงเสวียนหลุดหัวเราะพรืด เขาลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้ออย่างจริงจัง แล้วจึงก้มลงกราบคำนับอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน “ขอบพระคุณท่านเจ้าอารามที่ช่วยไขข้อข้องใจ”

จากนั้นหยางฉงเสวียนก็หลุดปากพูดประโยคที่มาจากใจจริง “ฝึกตนอยู่บนมหามรรคา แสวงหาความจริงเท่านั้น”

นักพรตเฒ่าเผยสีหน้าชื่นชมออกมาเสี้ยวหนึ่ง เขาพยักหน้ารับเบาๆ แล้วร่างก็พุ่งวูบหายไป

เมื่อหยางฉงเสวียนคืนสติกลับมา เขาแบมือทั้งสองข้าง ก่อนจะกำเป็นหมัด “ผู้แข็งแกร่งบุกเบิกเส้นทาง ฝ่าฟันขวากหนาม ผู้อ่อนแอหลับหูหลับตาปฏิบัติตาม หวังความสงบสุขปลอดภัย”

เขาใช้ฝ่ามือลูบคลำปลายคาง ผ่านไปครู่ใหญ่ อดทนอยู่นาน รู้สึกว่าการพยายามกลั้นยิ้มค่อนข้างจะลำบากอยู่บ้าง

คำถามนั้น เขาใส่ใจเสียเมื่อไหร่ อันที่จริงมันคือปมในใจที่ตลอดหลายปีมานี้ทำให้หลิวจิ่งหลงลำบากใจมากที่สุด

แต่คำตอบของนักพรตเฒ่าแห่งอารามเสวียนตูเล็กกลับอยู่เหนือการคาดการณ์ คู่ควรรับการกราบไหว้ด้วยพิธีการใหญ่จากเขาอย่างแท้จริง

ย้อนกลับไปถึงป่าท้อ นักพรตเฒ่ากลับไม่ได้รีบร้อนตรงไปที่อาราม

เดินอยู่เบื้องใต้ต้นท้อ นักพรตเฒ่าเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าสาเหตุใดที่ทำให้จอมยุทธหนุ่มพเนจรคนนั้นปฏิเสธที่จะเข้าอารามมาดื่มชา อันที่จริงก็ยังไม่ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องราวอยู่ดี

ดังนั้นนักพรตเฒ่าถึงได้ถามภิกษุเฒ่าผู้เป็นสหายว่า จำเป็นต้องเก็บน้ำชาดอกท้อพันปีถ้วยนั้นเอาไว้หรือไม่

อันที่จริงเรื่องประเภทนี้ ไหนเลยที่อารามเสวียนตูเล็กจะต้องให้ภิกษุเฒ่าที่เป็นคนนอกคนหนึ่งมาตัดสินใจ?

และตอนนั้นภิกษุเฒ่าก็พูดเพียงประโยคเดียวว่า พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง

นี่ทำให้นักพรตเฒ่าตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง สัญญาณเตือนในใจจึงดังขึ้นทันที

สุดท้ายหลังจากตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว สภาพจิตใจที่ไร้มลทินของนักพรตเฒ่าก็กลับคืนมานิ่งสงบดุจสายน้ำอีกครั้ง เพียงแต่ยิ่งอนุมานก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ ด้วยตบะของเขาในทุกวันนี้ ต่อให้เป็นเจ้านครจิงกวานของหุบเขาผีร้ายที่คิดจะมาเปิดฉากสังหารกับเขา ก็ยังไม่สามารถทำให้จิตแห่งเต๋าของเขาวุ่นวายได้แม้แต่นิดเดียว นักพรตเฒ่าจึงร่ายใช้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่กล้าพูดว่ามีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า เผาผลาญพลังต้นกำเนิดไปมหาศาล เสียตบะไปถึงหกสิบปีเต็ม ถึงจะสามารถร่ายเวทหลุบตามองดินเงยหน้ามองฟ้าของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลออกมาได้ และในที่สุดเขาก็จับเบาะแสบางอย่างได้

สองปลายของเส้นเส้นหนึ่ง ปลายด้านหนึ่งอยู่บนตัวของเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ตอนนี้อยู่ในนครจิงกวาน ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งอยู่บนตัวของคนหนุ่มผู้นั้น

นี่แปลกประหลาดมากพอแล้ว ทว่าจุดที่ยิ่งทำให้คนตกตะลึงมากกว่าเดิมกลับอยู่บนอีกเส้นหนึ่งที่ตามมาด้านหลัง มีเฮ้อเสี่ยวเหลียงเป็นจุดเริ่มต้น เส้นนั้นออกห่างจากหุบเขาผีร้ายชายหาดโครงกระดูก ตรงไปยังม่านฟ้าของอุตรกุรุทวีป ราวกับว่าถูกใครบางคนของใต้หล้าแห่งอื่นจับดึงเอาไว้!

นี่ทำให้หลังจากเก็บวิชาอภินิหารนั้นลงไป นักพรตเฒ่าที่ได้ครอบครองเรือนกายไร้มลทินมานานแล้วถึงกับเหงื่อแตกท่วมร่าง

ในใจบังเกิดความเคียดแค้นรุนแรง

เฮ้อเสี่ยวเหลียงคือลูกศิษย์ของใคร? เหตุใดผู้ฝึกตนหญิงต่างถิ่นจากแจกันสมบัติทวีปคนหนึ่งถึงได้ลุกผงาดอยู่ในอุตรกุรุทวีปรวดเร็วขนาดนี้ อีกทั้งภายใต้การช่วยเหลือประคับประคองอย่างเต็มกำลังจากเทียนจวินเซี่ยสือยังสามารถก่อพรรคตั้งสำนักได้สำเร็จ?! อุตรกุรุทวีป ขอแค่เป็นผู้ที่ได้ยืนอยู่บนยอดเขาอย่างแท้จริง ใครบ้างที่ไม่รู้?

นักพรตเฒ่าแหงนหน้ามองฟ้าด้วยสายตาเดือดดาล ใจนึกอยากจะบุกไปเข่นฆ่ายังใต้หล้านั่นเสียเดี๋ยวนี้ บุกไปยังป๋ายอวี้จิง ไปทวงคำตอบและคำอธิบายจากเจ้าลัทธิผู้นั้น

หากสังหารคนตามผลทำนายที่ออกมา โชควาสนาอาจไม่ใช่เรื่องเท็จเสมอไป

แต่เจ้าลู่เฉินเห็นข้าเป็นหุ่นเชิดที่จะชักดึงอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ? เจ้าเห็นข้าเป็นหมาที่ส่ายหางขอความเมตตาอยู่หน้าประตูบ้านคนอื่นหรือไร?!

ใต้หล้ามืดสลัว

ป๋ายอวี้จิง

นักพรตหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนราวระเบียงหยกขาวอย่างเกียจคร้าน ใต้ฝ่าเท้าคือทะเลเมฆหลายชั้นที่ลอยสูงต่ำไม่เท่ากัน ล้วนเป็นปราณวิญญาณอันไพศาลที่รวมตัวกันเป็นทะเล เขายิ้มตาหยี “อารามเสวียนตูเล็กใหญ่ล้วนมีวิธีการที่ดีเยี่ยม”

ก่อนหน้านี้เขาเอียงศีรษะอยู่ตลอดเวลา สองนิ้วคีบเส้นมายาบางๆ เส้นหนึ่ง เงี่ยหูตั้งใจฟัง แต่ก็ได้ยินขาดๆ หายๆ ไม่ชัดเจนเลยแม้แต่น้อย

เส้นเส้นนี้ ต่อให้เป็นเขาเองก็ไม่อยากจะไปแตะต้องมากนัก

เวลานี้เขานั่งตัวตรง ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เส้นนั้นก็ปริแตกไปอย่างง่ายดาย

เดิมทีก็เป็นแค่ลูกไม้เล็กๆ ที่สืบสาวตามเบาะแสมา ไม่ใช่ว่าเขามีเจตนาชั่วร้ายจริงๆ เสียหน่อย ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นจะเป็นหรือตาย จะมีโชคหรือภัย เขาไม่คิดจะไปเหยียบน้ำขุ่นบ่อนั้น ส่วนเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่นางกล้ากระทำเองโดยพลการ แถมยังทำได้อืดอาดไม่ฉับไวแม้แต่น้อย ตัวนางเองยังไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ดังนั้นก็ได้เรียกว่าเจ้าจมูกโคหน้าเหม็นของอารามเสวียนตูเล็กผู้นั้นใส่ร้ายเขาลู่เฉินจริงๆ แล้ว บัญชีนี้จำใส่หัวของอารามเสวียนตูในใต้หล้าของตนก็แล้วกัน เดี๋ยวจะไปโวยวายที่นั่นดูสักที หากทวงความยุติธรรมมาไม่ได้วันหนึ่งก็จะยืนด่าอยู่ที่นั่นวันหนึ่ง

ลู่เฉินลูบคลำปลายคาง พึมพำกับตัวเองว่า “แต่ลูกศิษย์น้อยคนนี้ของข้าช่างมีโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ยังไม่ได้ออกกระบวนท่าอย่างแท้จริงก็เกือบจะปลิดชีพเจ้าเด็กนั่นไปโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว”

เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทั้งชุดลัทธิเต๋าและกวานเต๋าที่สวมใส่ล้วนไม่ได้อยู่ในสามสายเดิมของมรรคาจารย์เต๋ามาหยุดอยู่ข้างกายลู่เฉิน ถามว่า “ศิษย์พี่สาม มีเรื่องแปลกใหม่อะไรหรือ?”

ลู่เฉินหันตัวกลับมาลูบศีรษะเด็กหนุ่ม “ศิษย์น้องเล็ก ต้องพยายามหน่อยนะ อย่าทำให้ศิษย์พี่เล็กอย่างข้าต้องแพ้ให้กับเจ้าคนแซ่ฉีอีกครั้ง ศิษย์พี่เล็กเป็นคนจดจำความแค้นได้ดีนักล่ะ รู้หรือไม่?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหนุ่มแข็งทื่อ พอเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของลู่เฉินก็หมุนตัววิ่งหนีทันที

ทว่าในใต้หล้าแห่งนี้ อยู่ที่ป๋ายอวี้จิงแห่งนี้ เด็กหนุ่มจะหนีไปไหนได้

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 495.4 ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 495.4 ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยางฉงเสวียนปัดมือ ทิ้งตัวนอนหงายหลัง นอกจากเหตุผลระยำแล้ว ยังมีคำกล่าวอีกอย่างที่ลี้ลับเกินจะหยั่งอยู่อีก

น้องชายที่ใกล้ชิดกับสายน้ำ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเมื่อมาอยู่ที่ภูเขากระจกวิเศษจะเจอกับการช่วงชิงบนมหามรรคาที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตาย นั่นจะอันตรายอย่างยิ่ง

หยางฉงเสวียนไม่เข้าใจเอาเสียเลย อยู่ในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ เว้นเสียแต่เจ้านครจิงกวานกับเจ้าโครงกระดูกผูหรางผู้นั้นเสียสติขึ้นมา น้องชายตนจะมีอันตรายอะไรได้? น้องชายของเขาคนนี้ไม่ใช่มะพลับนิ่มอะไรสักหน่อย ลื่นไหลอย่างกับปลาหนีชิว ก่อกำเนิดทั่วไป ไหนเลยจะจับเจ้าคนที่เชี่ยวชาญการรักษาชีวิตรอด อีกทั้งยังหนีเก่งอย่างถึงที่สุดเช่นเขาได้

จู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมาไม่ใช่คนโง่ ไม่แน่ว่าอาจจะยังช่วยปกป้องเขาบ้าง ยอดฝีมือนอกโลกสองท่านที่อยู่ในอารามเสวียนตูเล็กและวัดหยวนเยว่ใหญ่ก็ยิ่งไม่ใช่พวกที่ชอบหาเรื่องใคร โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในอารามเสวียนตูเล็กผู้นั้นที่อาจจะยังโปรดปรานน้องชายของตนด้วยซ้ำ นี่จะไม่ยิ่งใช่บุญสัมพันธ์ที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กครั้งหนึ่งหรอกหรือ?

คำทำนายประโยคนั้น รวมไปถึงคำพูดคำจาที่ลึกลับซับซ้อนทั้งหลาย ล้วนทำให้เขารู้สึกกร่อยหมดอารมณ์

อยู่ดีๆ หยางฉงเสวียนก็นึกถึงจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่สวมงอบคนนั้นขึ้นมา

มองออกว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายคือคนบนเส้นทางเดียวกับตน

แต่ตอนนั้นหยางฉงเสวียนกลับไม่มีความคิดที่จะงัดข้ออะไร

โชควาสนากำลังจะมาถึง

มีเรื่องเพิ่มขึ้นไม่สู้มีเรื่องน้อยลง คำพูดเก่าแก่ประโยคนี้ ควรจะรับฟังไว้สักหน่อย

หรือว่าจะเป็นคนผู้นี้?

หยางฉงเสวียนเริ่มใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ยกสองนิ้วขึ้นทำมุทราคำนวณอยู่เงียบๆ ในเรื่องของการอนุมานนี้ แม้ว่าเขาจะเรียนมาอย่างผิวเผิน แต่เมื่อเทียบกับยอดฝีมือทั่วไปก็ยังถือว่าแข็งแกร่งกว่าระดับหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นต้นกำเนิดแห่งวิชาของต้นตระกูล

เพียงแต่ผ่านไปครู่หนึ่ง หยางฉงเสวียนก็ทิ้งตัวนอนหงาย เริ่มหลับตานอนหลับ “เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ตะวันลอยโด่งข้าก็ยังหลับได้ ไม่สนหรอกว่าคนบนโลกจะกลุ้มกันเท่าไหร่”

หยางฉงเสวียนพึมพำกับตัวเอง “ยังคงอิจฉาฮว่อหลงเจินเหรินผู้นั้นอยู่ดี ตื่นก็ฝึกตน หลับก็ฝึกตน ไม่รู้ว่าใต้หล้านี้จะมีวิชาตระกูลเซียนที่คล้ายคลึงกันหรือไม่ หากมีล่ะก็จะต้องแอบเรียนดูสักหน่อย”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างกายของหยางฉงเสวียน “มีน่ะต้องมีอยู่แล้ว หนึ่งอยู่ที่หลิวเสียทวีป สามารถบรรลุมรรคาในความฝัน เป็นเหตุให้เส้นทางการฝึกตนของเขาเหนื่อยเพียงครึ่งเดียว แต่ได้ผลเป็นเท่าตัว ตอนนี้คนผู้นี้มาเยือนอุตรกุรุทวีปแล้ว หากข้าผู้เป็นนักพรตเดาไม่ผิด ก็คือคนผู้นี้นี่แหละที่ได้โชควาสนาภาพเทพหญิงกว้าเยี่ยนในนครปี้ฮว่าไป”

“ส่วนอีกคนหนึ่ง เนื่องจากต้นสายปลายเหตุบางอย่างทำให้มีความเกี่ยวข้องกับบรรพจารย์บางท่านของสายข้าผู้เป็นนักพรตพอดี ดังนั้นจึงรู้ว่าเขามีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีป เพียงแต่ว่าตอนนี้ไปอยู่ที่ทักษินาตยทวีปแล้ว สามารถฝึกกระบี่ในความฝันตอนกลางวัน ขอแค่ไม่ตายไปก่อนวัยอันควร มหามรรคาก็มารออยู่เบื้องหน้า เพียงแต่ว่าระหว่างทั้งสองคนนี้ สักวันจะต้องมีการช่วงชิงบนมหามรรคาเกิดขึ้น”

หยางฉงเสวียนไม่ได้ลืมตา เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ที่แท้ก็ท่านเจ้าอารามที่มาเยือนด้วยตัวเอง ทำไม คิดจะมาแย่งชิงโชควาสนากับเด็กรุ่นหลังอย่างข้างั้นหรือ? แบบนี้คงไม่ดีกระมัง ก็แค่กระจกใสที่สามารถส่องร่างจริงของปีศาจได้เท่านั้น หรือว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าก็หมายตามันด้วย”

นักพรตเฒ่าคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้กับหยางฉงเสวียน ไม่จำเป็นต้องใช้ปราณวิญญาณใดๆ แค่จิตขยับ ไอหมอกของธารน้ำก็มารวมตัวกันเป็นเบาะรองนั่งใบหนึ่งด้วยตัวเอง

เขาก็คือเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามเสวียนตูเล็ก

นักพรตเฒ่าไม่ได้ตอบคำถามที่ค่อนข้างจะไร้มารยาทของหยางฉงเสวียน เพียงแค่มองบ่อลึกแล้วกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ได้มามองน้ำของที่นี่อีกครั้งก็ยังคงรู้สึกว่ามีโชคดีไร้ที่สิ้นสุด ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก”

หยางฉงเสวียนลุกขึ้นยืน ถอนหายใจ “คิดไม่ถึงว่าข้าเองก็มีวันที่ต้องพึ่งชาติกำเนิดของตัวเองถึงจะพอสบายใจได้บ้าง”

นักพรตเฒ่ายิ้มกล่าว “พ่อแม่มีความสามารถมาก ก็แสดงว่าตนเองมีความสามารถในการมาจุติ นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอะไร สหายน้อยไยต้องหงุดหงิดถึงเพียงนี้”

หยางฉงเสวียนยิ้มกว้าง “เจ้าอาราม ตกลงกันก่อนว่า ข้าแค่ขอว่าท่านอย่าได้มาแย่งชิงโชควาสนาจากกระจกวิเศษบานนี้ของข้า ส่วนเรื่องดีๆ อย่างการถ่ายทอดมรรคกถาหรือผูกบุญสัมพันธ์อะไรนั่น น้องชายของข้าอาจจะไม่ปฏิเสธ แต่กับข้าผู้นี้ เจ้าอารามก็อย่าได้ทำเลย ข้าไม่รับไว้หรอก”

นักพรตเฒ่าหัวเราะเสียงดังก้องกังวาน “ข้าผู้เป็นนักพรตกลับรู้สึกว่าเจ้ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าน้องชายของเจ้าเสียอีก”

หยางฉงเสวียนสอดสองมือหนุนใต้ท้ายทอย “จะคิดว่าเป็นคำพูดชื่นชมดีๆ ก็แล้วกัน”

ราชวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางของอุตรกุรุทวีปจัดตั้งหน่วยฉงเสวียนแห่งหนึ่งขึ้นมา เพื่อจัดการดูแลเรื่องรายนามของอารามต่างๆ บัญชีรายชื่อนักพรตที่อยู่ในเมืองหลวงและเรื่องของการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเต๋า นอกจากนี้ก็ดูแลทำเนียบของวัดและภิกษุทั้งหมด

และผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจของหน่วยฉงเสวียนก็แซ่หยาง เป็นทั้งราชครูของแคว้นหนึ่ง อีกทั้งยังได้ครอบครองตำหนักนภากาศแห่งหนึ่ง รุ่นของบรรพบุรุษเคยมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนปรากฏถึงสามคน เพียงแต่ว่าล้วนทยอยกันลาจากโลกนี้ไปแล้ว

ตำหนักนภากาศคือฉงหลินลูกหลาน (มาจากระบบสือฟางฉงหลิน คือระบบการดูแลวัดอย่างหนึ่ง สือฟางหมายถึงสิบทิศได้แก่ออก ตก เหนือ ใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ บนและล่าง ฉงหลินเป็นคำเรียกขานวัดวาอารามหมายถึงสถานที่ที่พระสงฆ์มารวมตัวกัน สถานที่ที่ใช้ฝึกบำเพ็ญตน) แห่งหนึ่งของลัทธิเต๋า คล้ายคลึงกับจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์

มีบารมีอำนาจยิ่งใหญ่ รากฐานลึกล้ำจนมิอาจจะจินตนาการได้ถึง

ในกลุ่มของคนหนุ่มสาวมีคนหนุ่มสองคนที่เป็นคู่พี่น้องแท้ๆ ตอนเป็นเด็กก็ได้รับการขนานนามว่าคือเมล็ดพันธ์เต๋าแต่กำเนิด

คนหนึ่งถูกเทียนจวินเซี่ยสือหมายตา เนื่องจากเซี่ยสือไม่สามารถรับลูกศิษย์ได้ และคนหนุ่มก็ไม่อาจรับใครเป็นอาจารย์ แต่กระนั้นเซี่ยสือก็ยังคงถ่ายทอดมรรคกถาให้กับอีกฝ่าย ส่วนอีกคนหนึ่งที่แม้จะเป็นพี่ชาย ทว่าตอนเป็นเด็กกลับชอบท่องเที่ยวไปทั่วทิศมากกว่า ทำตัวดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง ว่ากันว่าเกิดมาก็มีดวงตาดำซ้อนเป็นคู่ ทั้งได้เปรียบที่เกิดก่อน แล้วก็ยังมีความพิเศษมากกว่าน้องชายออย่างหนึ่ง เดิมทีควรจะได้เป็นเจ้าประมุขในอนาคตอย่างถูกต้องเหมาะสม แต่น่าเสียดายที่นิสัยเอ้อระเหยลอยชายเกินไป ทางตระกูลเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงได้แต่ปล่อยเขาไปใช้ชีวิตตามใจชอบ

เมื่อกาลเวลาเลยผ่าน ฝ่ายแรกจึงเหมือนจะกลายมาเป็นตัวเลือกของตำแหน่งเสนาบดีอวี่อี (อวี่อีแปลว่าเสื้อผ้าที่ทำจากขนนก มักจะใช้เรียกเสื้อขนนกของนักพรตเต๋าหรือเทพเซียน และยังสามารถนำมาเรียกแทนตัวนักพรตเต๋าได้ด้วย) คนถัดไปของหน่วยฉงเสวียน ส่วนฝ่ายหลังกลับถูกเงามืดจากชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของน้องชายปกคลุม ยิ่งนานวันก็ยิ่งเก็บตัวเงียบไร้ชื่อเสียง

นักพรตเฒ่าเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศไกล น่าจะเป็นตรงซุ้มประตูหินทางเข้าของหุบเขาผีร้าย จากนั้นก็เบนสายตาออกไปมองยังทิศทางของเมืองหลันเซ่อ แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “การที่ข้าเดินทางมาครั้งนี้ก็เพราะจะมาบอกเจ้าว่า โชควาสนามาถึงแล้ว”

หยางฉงเสวียนไม่สะทกสะท้าน “เหตุใดเจ้าอารามต้องวิ่งมาบอกข้าเรื่องนี้ด้วย?”

นักพรตเฒ่ามีสีหน้าเคร่งเครียด เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ก่อนหน้านี้ข้าผู้เป็นนักพรตลองทำนายดู ไม่นึกว่าจะได้ผลเป็นมหาฤกษ์ฆ่าคน ทว่าโชคดีมาพร้อมกับโชคร้าย นี่กลับทำให้ข้าผู้เป็นนักพรตจิตใจไม่สงบ จนเกิดจุดด่างพร้อยเสี้ยวหนึ่งขึ้นระหว่างจิตดั้งเดิมกับมหามรรคา สุดท้ายข้าจึงเลือกที่จะมอบมันให้คนอื่น ตอนนี้จึงทั้งรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะสามารถรักษาจิตดั้งเดิมเอาไว้ได้ แล้วก็ทั้งหมดอาลัยตายอยากกับการสูญเสีย ดูเหมือนว่าโชควาสนาจะเดินสวนไหล่กับข้าไป”

หยางฉงเสวียนพูดเหน็บแนม “ความหมายในคำพูดนี้ก็คือเจ้าอารามคิดจะยืมมีดฆ่าคน? ตัวเองมือสะอาด แต่ให้ข้ามาอยู่แนวหน้า รับบทเป็นคนโง่ที่หลอกได้ง่าย? แม้แต่เจ้าอารามยังลังเลว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าเขาดี ต่อให้ข้าสามารถสังหารเขาได้ ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายก็คงมหาศาล ข้าที่แขนขาเล็กลีบเช่นนี้จะแบกรับได้ไหวหรือ?”

นักพรตเฒ่าส่ายหน้า “เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมล็ดพันธ์เต๋าแต่กำเนิดในสามสายของใต้หล้ามืดสลัวนั้นล้ำค่าแค่ไหน ข้าผู้เป็นนักพรตถึงได้ออกมาจากอารามเสวียนตูเล็กเพื่อพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า”

นักพรตเฒ่าลุกขึ้นยืน “ดูแลตัวเองก็แล้วกัน”

หยางฉงเสวียนพลันถามขึ้นว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ หวังว่าเจ้าอารามจะช่วยแถลงไข”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “เชิญถามมาได้”

หยางฉงเสวียนจึงเอ่ยว่า “คนที่จำเป็นต้องเข้าใจหลักการเหตุผลมากที่สุดกลับเป็นคนที่ฟังเหตุผลไม่เข้าหูมากที่สุด คนที่ยินดีรับฟังเหตุผลจากคนอื่น กลับกลายเป็นว่าไม่ได้ต้องการเหตุผลหลักการเหล่านั้นมากขนาดนั้น นี่จะทำอย่างไร?”

นักพรตเฒ่ายิ้มตอบ “นี่คือคำถามที่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสมควรขบคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนเจ้านั้น คิดมากหนึ่งเรื่องก็คือภาระที่เพิ่มมากขึ้น เหตุใดจะต้องหาเรื่องหงุดหงิดใส่ตัว บนโลกใบนี้มีคนมากมายที่ชอบหาเรื่องให้ตัวเอง แค่หาความสุขกับเรื่องต่างๆ ให้ได้ก็พอ เจ้าจะไปทำเสียงดังปลุกให้พวกเขาตื่นจากความฝันอันงดงามไปทำไม? ด่าว่าเจ้าปากมากก็ถือว่านิสัยดีมากแล้ว พวกคนที่ใจแคบหน่อยยังจะมองเจ้าเป็นศัตรูคู่อาฆาตด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ สรุปแล้วคือพวกเขาโง่ หรือพวกเราที่โง่กันแน่?”

หยางฉงเสวียนหลุดหัวเราะพรืด เขาลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้ออย่างจริงจัง แล้วจึงก้มลงกราบคำนับอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน “ขอบพระคุณท่านเจ้าอารามที่ช่วยไขข้อข้องใจ”

จากนั้นหยางฉงเสวียนก็หลุดปากพูดประโยคที่มาจากใจจริง “ฝึกตนอยู่บนมหามรรคา แสวงหาความจริงเท่านั้น”

นักพรตเฒ่าเผยสีหน้าชื่นชมออกมาเสี้ยวหนึ่ง เขาพยักหน้ารับเบาๆ แล้วร่างก็พุ่งวูบหายไป

เมื่อหยางฉงเสวียนคืนสติกลับมา เขาแบมือทั้งสองข้าง ก่อนจะกำเป็นหมัด “ผู้แข็งแกร่งบุกเบิกเส้นทาง ฝ่าฟันขวากหนาม ผู้อ่อนแอหลับหูหลับตาปฏิบัติตาม หวังความสงบสุขปลอดภัย”

เขาใช้ฝ่ามือลูบคลำปลายคาง ผ่านไปครู่ใหญ่ อดทนอยู่นาน รู้สึกว่าการพยายามกลั้นยิ้มค่อนข้างจะลำบากอยู่บ้าง

คำถามนั้น เขาใส่ใจเสียเมื่อไหร่ อันที่จริงมันคือปมในใจที่ตลอดหลายปีมานี้ทำให้หลิวจิ่งหลงลำบากใจมากที่สุด

แต่คำตอบของนักพรตเฒ่าแห่งอารามเสวียนตูเล็กกลับอยู่เหนือการคาดการณ์ คู่ควรรับการกราบไหว้ด้วยพิธีการใหญ่จากเขาอย่างแท้จริง

ย้อนกลับไปถึงป่าท้อ นักพรตเฒ่ากลับไม่ได้รีบร้อนตรงไปที่อาราม

เดินอยู่เบื้องใต้ต้นท้อ นักพรตเฒ่าเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าสาเหตุใดที่ทำให้จอมยุทธหนุ่มพเนจรคนนั้นปฏิเสธที่จะเข้าอารามมาดื่มชา อันที่จริงก็ยังไม่ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องราวอยู่ดี

ดังนั้นนักพรตเฒ่าถึงได้ถามภิกษุเฒ่าผู้เป็นสหายว่า จำเป็นต้องเก็บน้ำชาดอกท้อพันปีถ้วยนั้นเอาไว้หรือไม่

อันที่จริงเรื่องประเภทนี้ ไหนเลยที่อารามเสวียนตูเล็กจะต้องให้ภิกษุเฒ่าที่เป็นคนนอกคนหนึ่งมาตัดสินใจ?

และตอนนั้นภิกษุเฒ่าก็พูดเพียงประโยคเดียวว่า พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง

นี่ทำให้นักพรตเฒ่าตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง สัญญาณเตือนในใจจึงดังขึ้นทันที

สุดท้ายหลังจากตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว สภาพจิตใจที่ไร้มลทินของนักพรตเฒ่าก็กลับคืนมานิ่งสงบดุจสายน้ำอีกครั้ง เพียงแต่ยิ่งอนุมานก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ ด้วยตบะของเขาในทุกวันนี้ ต่อให้เป็นเจ้านครจิงกวานของหุบเขาผีร้ายที่คิดจะมาเปิดฉากสังหารกับเขา ก็ยังไม่สามารถทำให้จิตแห่งเต๋าของเขาวุ่นวายได้แม้แต่นิดเดียว นักพรตเฒ่าจึงร่ายใช้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่กล้าพูดว่ามีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า เผาผลาญพลังต้นกำเนิดไปมหาศาล เสียตบะไปถึงหกสิบปีเต็ม ถึงจะสามารถร่ายเวทหลุบตามองดินเงยหน้ามองฟ้าของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลออกมาได้ และในที่สุดเขาก็จับเบาะแสบางอย่างได้

สองปลายของเส้นเส้นหนึ่ง ปลายด้านหนึ่งอยู่บนตัวของเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ตอนนี้อยู่ในนครจิงกวาน ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งอยู่บนตัวของคนหนุ่มผู้นั้น

นี่แปลกประหลาดมากพอแล้ว ทว่าจุดที่ยิ่งทำให้คนตกตะลึงมากกว่าเดิมกลับอยู่บนอีกเส้นหนึ่งที่ตามมาด้านหลัง มีเฮ้อเสี่ยวเหลียงเป็นจุดเริ่มต้น เส้นนั้นออกห่างจากหุบเขาผีร้ายชายหาดโครงกระดูก ตรงไปยังม่านฟ้าของอุตรกุรุทวีป ราวกับว่าถูกใครบางคนของใต้หล้าแห่งอื่นจับดึงเอาไว้!

นี่ทำให้หลังจากเก็บวิชาอภินิหารนั้นลงไป นักพรตเฒ่าที่ได้ครอบครองเรือนกายไร้มลทินมานานแล้วถึงกับเหงื่อแตกท่วมร่าง

ในใจบังเกิดความเคียดแค้นรุนแรง

เฮ้อเสี่ยวเหลียงคือลูกศิษย์ของใคร? เหตุใดผู้ฝึกตนหญิงต่างถิ่นจากแจกันสมบัติทวีปคนหนึ่งถึงได้ลุกผงาดอยู่ในอุตรกุรุทวีปรวดเร็วขนาดนี้ อีกทั้งภายใต้การช่วยเหลือประคับประคองอย่างเต็มกำลังจากเทียนจวินเซี่ยสือยังสามารถก่อพรรคตั้งสำนักได้สำเร็จ?! อุตรกุรุทวีป ขอแค่เป็นผู้ที่ได้ยืนอยู่บนยอดเขาอย่างแท้จริง ใครบ้างที่ไม่รู้?

นักพรตเฒ่าแหงนหน้ามองฟ้าด้วยสายตาเดือดดาล ใจนึกอยากจะบุกไปเข่นฆ่ายังใต้หล้านั่นเสียเดี๋ยวนี้ บุกไปยังป๋ายอวี้จิง ไปทวงคำตอบและคำอธิบายจากเจ้าลัทธิผู้นั้น

หากสังหารคนตามผลทำนายที่ออกมา โชควาสนาอาจไม่ใช่เรื่องเท็จเสมอไป

แต่เจ้าลู่เฉินเห็นข้าเป็นหุ่นเชิดที่จะชักดึงอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ? เจ้าเห็นข้าเป็นหมาที่ส่ายหางขอความเมตตาอยู่หน้าประตูบ้านคนอื่นหรือไร?!

ใต้หล้ามืดสลัว

ป๋ายอวี้จิง

นักพรตหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนราวระเบียงหยกขาวอย่างเกียจคร้าน ใต้ฝ่าเท้าคือทะเลเมฆหลายชั้นที่ลอยสูงต่ำไม่เท่ากัน ล้วนเป็นปราณวิญญาณอันไพศาลที่รวมตัวกันเป็นทะเล เขายิ้มตาหยี “อารามเสวียนตูเล็กใหญ่ล้วนมีวิธีการที่ดีเยี่ยม”

ก่อนหน้านี้เขาเอียงศีรษะอยู่ตลอดเวลา สองนิ้วคีบเส้นมายาบางๆ เส้นหนึ่ง เงี่ยหูตั้งใจฟัง แต่ก็ได้ยินขาดๆ หายๆ ไม่ชัดเจนเลยแม้แต่น้อย

เส้นเส้นนี้ ต่อให้เป็นเขาเองก็ไม่อยากจะไปแตะต้องมากนัก

เวลานี้เขานั่งตัวตรง ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เส้นนั้นก็ปริแตกไปอย่างง่ายดาย

เดิมทีก็เป็นแค่ลูกไม้เล็กๆ ที่สืบสาวตามเบาะแสมา ไม่ใช่ว่าเขามีเจตนาชั่วร้ายจริงๆ เสียหน่อย ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นจะเป็นหรือตาย จะมีโชคหรือภัย เขาไม่คิดจะไปเหยียบน้ำขุ่นบ่อนั้น ส่วนเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่นางกล้ากระทำเองโดยพลการ แถมยังทำได้อืดอาดไม่ฉับไวแม้แต่น้อย ตัวนางเองยังไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ดังนั้นก็ได้เรียกว่าเจ้าจมูกโคหน้าเหม็นของอารามเสวียนตูเล็กผู้นั้นใส่ร้ายเขาลู่เฉินจริงๆ แล้ว บัญชีนี้จำใส่หัวของอารามเสวียนตูในใต้หล้าของตนก็แล้วกัน เดี๋ยวจะไปโวยวายที่นั่นดูสักที หากทวงความยุติธรรมมาไม่ได้วันหนึ่งก็จะยืนด่าอยู่ที่นั่นวันหนึ่ง

ลู่เฉินลูบคลำปลายคาง พึมพำกับตัวเองว่า “แต่ลูกศิษย์น้อยคนนี้ของข้าช่างมีโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ยังไม่ได้ออกกระบวนท่าอย่างแท้จริงก็เกือบจะปลิดชีพเจ้าเด็กนั่นไปโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว”

เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทั้งชุดลัทธิเต๋าและกวานเต๋าที่สวมใส่ล้วนไม่ได้อยู่ในสามสายเดิมของมรรคาจารย์เต๋ามาหยุดอยู่ข้างกายลู่เฉิน ถามว่า “ศิษย์พี่สาม มีเรื่องแปลกใหม่อะไรหรือ?”

ลู่เฉินหันตัวกลับมาลูบศีรษะเด็กหนุ่ม “ศิษย์น้องเล็ก ต้องพยายามหน่อยนะ อย่าทำให้ศิษย์พี่เล็กอย่างข้าต้องแพ้ให้กับเจ้าคนแซ่ฉีอีกครั้ง ศิษย์พี่เล็กเป็นคนจดจำความแค้นได้ดีนักล่ะ รู้หรือไม่?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหนุ่มแข็งทื่อ พอเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของลู่เฉินก็หมุนตัววิ่งหนีทันที

ทว่าในใต้หล้าแห่งนี้ อยู่ที่ป๋ายอวี้จิงแห่งนี้ เด็กหนุ่มจะหนีไปไหนได้

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+