กระบี่จงมา 496.2 พี่ชายคนดี

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 496.2 พี่ชายคนดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บัณฑิตจึงไปทยอยเปิดหีบทั้งสามใบ หีบใบหนึ่งเต็มไปด้วยเงินเกล็ดหิมะสีขาวพร่างตา มีมากถึงพันกว่าเหรียญ หีบอีกใบหนึ่งด้านในมีแค่ป้ายศิลาลักษณะโบราณแผ่นหนึ่ง ด้านบนสลักตัวอักษรไว้แน่นขนัด ส่วนหีบใบที่ก่อนหน้านี้วางไว้ด้านล่างสุดนั้นก็มีวัตถุเพียงอย่างเดียว นั่นคือครกหินขนาดเล็กใบหนึ่งที่สูงเท่าหัวเข่า ไม่ต่างจากครกที่ชาวบ้านเอามาใช้ตำข้าว

สายตาของบัณฑิตเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เขาส่ายหน้าเบาๆ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าการคาดเดาในใจนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คงไม่ใช่ครกหินใบที่ในตำนานบอกว่าภูตกระจ่ายใช้บดยาหรอกกระมัง?”

บัณฑิตหัวเราะร่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเรา…มาลองเดิมพันกันดู?”

เฉินผิงอันถาม “จะเดิมพันอย่างไร?”

บัณฑิตชี้ไปยังครกหินที่อยู่ในหีบ “ของสิ่งนี้ นับเป็นเจ็ดส่วน อย่างที่เหลือนับเป็นสามส่วน แต่ข้าจะให้เจ้าเลือกก่อน”

เฉินผิงอันเลือกสามส่วนอย่างไม่ลังเล

บัณฑิตรีบเปิดปากทันที “อย่าเพิ่งเลือก ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”

บัณฑิตยกฝ่ามือตบลงเบาๆ ครกหินใบนั้นก็แตกกระจายกลายเป็นผุยผง เผยให้เห็นเป็นหินหยกลักษณะเหมือนชามขาวก้อนหนึ่ง เขาเอ่ยอย่างเสียดายว่า “เป็นเช่นนี้จริงเสียด้วย ถ้วยหยกขาวใบนี้คือสถานที่ที่ปี้สู่เหนียงเนียงฝึกตนสำเร็จ เนื่องจากเป็นเผ่าพันธุ์ตำหนักจันทรา จึงสร้างครกหินมาห่อหุ้มมันไว้ภายใน คาดว่าคงจะเพื่อให้เป็นนิมิตหมายที่ดี”

บัณฑิตเก็บชามใบนั้นขึ้นมาวางคว่ำบนฝ่ามือ ก้นชามสลักตัวอักษรแบบบรรจงแปดตัวขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวัน ‘เซียนผู้สันโดษแห่งชิงเต๋อ ใช้สุราเชื้อเชิญจันทรา’

คือหนึ่งในภาชนะที่ใช้ในพิธีบวงสรวงของศาลบรรพจารย์สำนักชิงเต๋อ

เป็นแค่วัตถุวิเศษชิ้นหนึ่งเท่านั้น

แต่สำหรับปี้สู่เหนียงเนียงที่ฝึกตนจนกลายเป็นภูตได้สำเร็จแล้ว แน่นอนว่าความหมายย่อมยิ่งใหญ่อย่างมาก

เฉินผิงอันถาม “เจ้าจะเลือกป้ายศิลาประตูมังกรแผ่นนั้น หรือจะเลือกหีบเงินเกล็ดหิมะ?”

หนังตาของบัณฑิตกระตุกยิกๆ

ตัวอักษรของบนโลกใบนี้ก็มีแบ่งแยกความเก่าแก่ ตัวอักษรโบราณบางตัว เว้นเสียแต่ว่าเป็นตระกูลเซียนชนชั้นสูงที่มีการสืบทอดอย่างเป็นระบบระเบียบแล้ว ก็ไม่อาจจะเข้าใจเนื้อหาของมันได้เลย

คนต่างถิ่นอายุน้อยผู้นี้รู้จักตัวอักษรโบราณสองคำว่า ‘ประตูมังกร’ ที่เป็นประโยคแรกสุดบนป้ายศิลาได้อย่างไร?

บัณฑิตหัวเราะ

ถ้ำหินใต้ดินแห่งนี้เหมาะแก่การใช้เป็นสถานที่เข่นฆ่าช่วงชิงชีวิตจริงๆ

เพียงแต่ว่าเวลานี้เอง คนผู้นั้นกลับเอ่ยประโยคหนึ่งที่อยู่เหนือการคาดคิดของเขา “ไม่เพียงแต่ป้ายศิลาประตูมังกรนี้จะเป็นของเจ้า เงินเกล็ดหิมะหนึ่งหีบนั้นแบ่งเป็นเจ้าเจ็ดข้าสาม และข้าจะยังเอาโครงกระดูกขาวสองโครงนั้นด้วย”

บัณฑิตกล่าวอย่างกังขา “โครงกระดูกขาวทั้งสองนั่นไม่มีมูลค่าจริงๆ ตอนที่ผู้ฝึกตนหญิงสำนักชิงเต๋อผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่มีตบะแค่ขอบเขตประตูมังกร ชุดคลุมอาคมก็ยิ่งเป็นชุดธรรมดาทั่วไป มีค่าแค่เงินร้อนน้อยไม่กี่เหรียญ ชุดคลุมมังกรชุดนั้น เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าแค่ยื่นมือไปสัมผัสเบาๆ ก็แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีแล้ว”

รอยยิ้มของบัณฑิตมีเลศนัย “อีกอย่าง ดึงเอาชุดของคนตายมา อีกทั้งยังเป็นชุดของผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งคงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่กระมัง?”

เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

บัณฑิตพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”

เขาม้วนชายแขนเสื้อเก็บป้ายหินนั้นไปพร้อมกับหีบไม้ ส่วนเฉินผิงอันก็เก็บโครงกระดูกขาวทั้งสองไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อพร้อมกัน

เห็นได้ชัดว่าอย่างน้อยบัณฑิตก็ต้องมีวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งติดกาย

ส่วนเงินเกล็ดหิมะหีบนั้น เฉินผิงอันแบ่งเอามาประมาณหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญ

บัณฑิตได้เงินส่วนมากไปครอง แต่ก็ยังไม่ค่อยจะพอใจนัก “ปี้สู่เหนียงเนียงแห่งภูเขาโปลั่วจะต้องคอยแสดงความกตัญญูต่อที่พึ่งใหญ่ของนางเป็นประจำ ทรัพย์สมบัติจึงน้อยไปหน่อย ไม่อย่างนั้นปีศาจโอสถทองตนหนึ่งคงไม่ได้มีทรัพย์สินเพียงแค่นี้”

เฉินผิงอันกล่าว “อยู่ในหุบเขาผีร้าย ต้องคอยต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับผู้อื่น สามารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว จะไปเทียบกับเซียนดินโอสถทองข้างนอกได้อย่างไร”

บัณฑิตพยักหน้ารับ “เข้าใจได้”

เฉินผิงอันถามชวนคุยว่า “เจ้ามีวัตถุวิเศษไว้ใช้กักเก็บน้ำอย่างพวกขวดดื่มน้ำหรือไม่?”

แล้วทันใดนั้น

เฉินผิงอันก็พลันชักกระบี่ออกจากฝัก กระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีสืออู่ที่พุ่งออกมาจากใต้ดิน เล่มหนึ่งก็ยิ่งชี้ไปที่กลางกระหม่อมของบัณฑิต ส่วนอีกเล่มหนึ่งลอยอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ปลายกระบี่ชี้ไปที่หัวใจทางด้านหลัง

บัณฑิตกล่าวอย่างระอาใจ “นี่เจ้าคิดจะทำอะไร? จะต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์กันอย่างนั้นหรือ? จะไม่รอให้พวกเราทำลายถ้ำสถิตบนภูเขาที่เหลืออีกห้าลูกให้ราบพนาสูร ต่างคนต่างกินอิ่มจนท้องป่องแล้วค่อยลงมือปลิดชีวิตกันจริงๆ หรือไร?”

เฉินผิงอันสีหน้าหนักอึ้ง เมื่อครู่นี้เขาสัมผัสได้ถึงปราณสังหารของอีกฝ่าย

ปราณสังหารที่ผุดขึ้นมาในใจของบัณฑิตเข้มข้นยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในสถานที่ที่ก่อนหน้านี้ปี้สู่เหนียงเนียงตายอย่างเฉียบพลันเสียอีก

เฉินผิงอันเห็นว่าบัณฑิตในเวลานี้ นับตั้งแต่สภาพจิตใจไปจนถึงสีหน้าต่างก็ไม่มีความผิดปกติ

เขาจึงบอกให้ชูอีสืออู่พุ่งกลับเข้ามาในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แล้วเก็บเจี้ยนเซียนสอดกลับใส่ฝัก “เมื่อครู่ตาลาย เข้าใจผิดคิดว่ามีวัตถุหยินที่เฝ้าพิทักษ์ถ้ำจะลอบโจมตีเจ้า”

บัณฑิตหัวเราะร่า “คิดไม่ถึงว่าพี่ใหญ่ท่านนี้ก็มีจิตใจเมตตาอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าทั้งเมาเลือดทั้งตาลาย หากถึงเวลาที่ต้องเปิดฉากสังหารบนภูเขาลูกอื่น ก็อย่าได้เป็นตัวถ่วงของข้าเด็ดขาดเชียว”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ

คนทั้งสองออกมาจากถ้ำหินด้วยกัน เดินอยู่บนเส้นทางใต้ดินที่มีแสงขมุกขมัว ย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิม

เดินเคียงไหล่กันไป

บัณฑิตยิ้มกล่าว “พี่ชายชื่ออะไร?”

เฉินผิงอันกล่าว “แซ่เฉิน นามคนดี”

บัณฑิตคล้ายจะสะอึกอึ้ง ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไรดี

เคยเห็นคนน่าไม่อายมามาก แต่กลับไม่เคยเห็นใครหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้มาก่อน

เฉินผิงอันถาม “เจ้าล่ะ?”

บัณฑิตยังไม่คืนสติดี จึงกล่าวอย่างมีอารมณ์แต่ไร้กำลังว่า “แซ่คงไม่บอกแล้ว เรียกข้าว่ามู่เม่าก็ได้ มู่เม่าที่แปลว่าต้นไม้เขียวครึ้ม”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ชื่อไม่เลว”

บัณฑิตเอ่ย “ไม่ดีเท่าพี่ชายคนดีหรอก”

เฉินผิงอันตอบ “ใช่ที่ไหนกันๆ”

บัณฑิตพลันยิ้มถามว่า “เจ้ารู้รากฐานของพี่เฉินหยวนจวินหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าเองก็รู้ว่าข้าเป็นคนต่างถิ่น เข้ามาหุบเขาผีร้ายครั้งนี้ก็เพื่อชมทัศนียภาพ เดินผ่านภูเขาโปลั่วมาโดยไม่ตั้งใจเท่านั้น ไหนเลยจะรู้ประวัติความเป็นมาของปีศาจเหล่านี้ แต่ปีศาจพวกนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย กล้ารวมตัวกันแล้วเรียกตัวเองว่าหกอริยะ หากไม่ใช่เหนียงเนียงก็เป็นหยวนจวิน แม้แต่ภูตผีใต้บังคับบัญชาของตนก็ยังกล้าเรียกตัวเองว่าวิญญูชน”

บัณฑิตกล่าว “ก็ภูตผีปีศาจในพื้นที่เล็กๆ นี่นะ กลับกลายเป็นว่าพิถีพิถันในเรื่องที่ไม่สมกับฐานะตัวเอง พี่เฉินหยวนจวินผู้นั้น เดิมทีคือเตียวน้อย (สัตว์ชนิดหนึ่งของจีน ขนของมันมีค่ามาก หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าขนมิงค์) ที่ปราดเปรียวตัวหนึ่งในอารามเสวียนตูเล็ก กัดแทะเทียนหอมสองท่อนที่ใช้บูชาฟ้าดินไปแล้วก็ยังไม่ยอมเลิกรา ยังขโมยกินน้ำมันที่อยู่ในตะเกียงแก้วใบนั้น พอขโมยกินเสร็จยังทำให้ตะเกียงแก้วพลิกตกลงมาโดยไม่ทันระวัง ด้วยเหตุนี้สติปัญญาจึงเปิดโล่ง บรรลุมรรคากลายเป็นภูต ตอนนั้นถูกเซียนน้อยคนหนึ่งไปเจอเข้า ด้วยความโมโหจึงใช้แส้ปัดฝุ่นโบยมันจนเลือดอาบท่วมร่าง ลมหายใจรวยริน มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน คิดไม่ถึงว่าเทพเซียนผู้เฒ่าจะเสียดายโชควาสนาครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ปล่อยมันออกจากอารามและป่าท้อ ยังหยิบดินหมื่นปีกำหนึ่งที่อยู่ใต้ต้นท้อมาใส่บาดแผลให้มัน ดังนั้นเตียวตัวนี้จึงเกิดมาไม่เกรงกลัวน้ำและไฟหรืออาวุธมีคม หากเป็นอาวุธธรรมดาทั่วไปจะไม่สามารถทำอันตรายมันได้เลยแม้สักเสี้ยว”

บัณฑิตเล่าความลับเหล่านี้เจื้อยแจ้วราวกับว่าได้เห็นมากับตาของตัวเอง “เตียวน้อยตัวนี้ออกมาจากป่าท้อ นับแต่นั้นมาฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ มันจึงยึดภูเขาตั้งตนเป็นราชา แต่งตั้งตัวเองเป็นหยวนจวิน บุกเบิกถ้ำสถิต มีชีวิตอย่างอิสระเสรี เพียงแต่ว่ายังคงเห็นแก่ความสัมพันธ์ควันธูปของอารามเสวียนตูเล็กอันเป็นสถานที่ที่มันฝึกตนประสบความสำเร็จแห่งนั้น แล้วก็เคารพยำเกรงเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนั้นเป็นพิเศษ จึงตั้งป้ายบูชาเทพเซียนผู้เฒ่าแห่งอารามเสวียนตูเล็กไว้บนภูเขาที่เป็นบ้านของตัวเอง คอยจุดธูปกราบไหว้อยู่ทุกวัน ภูตผีปีศาจส่วนใหญ่บนโลกล้วนเป็นเช่นนี้ ต่างก็ให้ความเคารพเลื่อมใสต่อสถานที่ที่ตนฝึกตนประสบความสำเร็จและโชควาสนาที่ทำให้ได้กลายเป็นภูตอย่างยิ่ง ปี้สู่เหนียงเนียงเป็นเช่นนี้ เตียวน้อยตัวนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน จะว่าไปแล้วพี่เฉินหยวนจวินผู้นี้ก็ไม่ต่างจากปี้สู่เหนียงเนียงที่ต่างก็เป็นภูตที่มีที่พึ่งยิ่งใหญ่ เจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้เทพเซียนเจ้าอารามผู้นั้นเดือดดาลหรอกหรือ? เพราะถึงอย่างไรจะตีสุนัขก็ควรจะดูเจ้าของบ้าง”

เฉินผิงอันอ้อรับหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็อย่าไปหาเรื่องพี่เฉินหยวนจวินเลย ตรงไปหาเรื่องอริยะใหญ่ปานซานผู้นั้นดีกว่า”

บัณฑิตหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เทพเซียนผู้เฒ่าท่านนั้นก็แค่เคารพในเรื่องของโชควาสนาเท่านั้น สำหรับตัวของเตียวน้อยเอง เขาไม่ได้มีความผูกพันอะไรด้วยนัก พวกเราร่วมมือกันสังหารได้เลย”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าเดาความคิดของเทพเซียนผู้เฒ่าแห่งลัทธิเต๋าท่านนี้อย่างกระจ่างแจ้งได้อย่างไร? ข้าเคยได้ยินมาว่าก่อนที่โชควาสนาจะมาถึงมือ ผู้ฝึกตนคาดหวังในเหตุการณ์ที่เป็นหนึ่งในหมื่นที่สุด หลังจากบรรลุมรรคาแล้ว กลับหวาดกลัวหนึ่งในหมื่นนั้นมากที่สุด”

บัณฑิตเริ่มพูดอย่างเล่นแง่ “เชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า ถึงอย่างไรภูเขาตี้หย่งของพี่เฉินหยวนจวินก็เป็นสถานที่ที่ข้าจำเป็นต้องไปเยือนอยู่แล้ว ทางฝั่งของอริยะใหญ่ปานซาน ช่วงนี้ค่อนข้างจะครึกครื้น เซียนใหญ่จัวเหยาของถ้ำสถิตจางสุ่ย ขุนพลเทพชื่อเหลยแห่งภูเขาจีเซียวน่าจะกำลังร่วมดื่มในงานเลี้ยงอยู่กับเขาพร้อมกับวางแผนการอะไรไปด้วย ไม่แน่ว่าบุตรสาวของตะพาบผู้นั้นก็น่าจะกำลังขมีขมันอยู่กับอริยะใหญ่ปานซาน มีเพียงพี่เฉินหยวนจวินเท่านั้นที่ไม่ชอบความครึกครื้นนี้ เวลานี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่ได้รับเชิญ หากเจ้ารู้สึกว่าชื่อเสียงของอารามเสวียนตูเล็กน่าตกใจเกินไป พวกเราก็พบเจอและแยกย้ายกันด้วยดีดีกว่าไหม? เจ้าเดินไปบนเส้นทางกว้างขวาง ข้าเดินไปบนสะพานไม้เล็กแคบของข้า เป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็พบเจอและแยกจากกันด้วยดี ทางใครทางมัน”

บัณฑิตรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก

คิดเสียว่าตัวเองมาเจอกับคนประหลาดที่นิสัยประหลาดเท่านั้น

หลังจากคนทั้งสองย้อนกลับมาที่ห้องของปี้สู่เหนียงเนียงอีกครั้ง บัณฑิตก็ผายฝ่ามือออกบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันเดินนำออกไปจากภูเขาโปลั่วแห่งนี้ก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้เข้าใจผิดคิดว่าตนจะหนีออกจากตำหนักกว่างหานแล้วไปตีฆ้องร้องป่าวปลุกระดมเหล่าปีศาจของภูเขาโปลั่วให้มาเล่นงานเขา

เฉินผิงอันกระโดดขึ้นบนหัวกำแพง จากไปอย่างเงียบเชียบ

บัณฑิตยืนอยู่ที่เดิม การที่เขาทำตัวมีคุณธรรมเช่นนี้ นอกจากจะไม่ต้องการแตกหักกับอีกฝ่ายจนก่อให้เกิดปัญหาแทรกซอนตามมาแล้ว เขายังยินดีที่จะให้คนผู้นี้ไปปะทะกับอริยะใหญ่ปานซาน ดึงดูดความสนใจของอีกฝ่ายมา ตนจะได้จัดการกับพี่เฉินหยวนจวินผู้นั้นได้อย่างสบายอุรา ได้กินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญอีกมื้อ ปีศาจเหล่านี้ตบะไม่สูง ต่างคนต่างสร้างกองกำลังขึ้นมา แต่กลับให้การสนับสนุนช่วยเหลือกันเองอย่างลับๆ นี่ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานในการหยัดยืนอยู่ในหุบเขาผีร้ายของพวกมัน ไม่อย่างนั้นขอแค่มีก่อกำเนิดคนหนึ่งมาเยือน ทำการกวาดล้างสักรอบหนึ่ง ก็สามารถโจมตีให้พวกมันแต่ละฝ่ายแหลกลาญได้อย่างง่ายดาย ไหนเลยจะสามารถประคับประคองตัวมาได้ถึงทุกวันนี้ ในประวัติศาสตร์เคยมีวิญญาณหยินก่อกำเนิดคนหนึ่งที่อยู่ในนครทางเหนือพยายามจะใช้ขอบเขตของตนข่มกำราบกลุ่มปีศาจ แต่กลับต้องมาเสียเปรียบอย่างหนักจนเกือบจะต้องยกภูเขาจีเซียวไปให้อีกฝ่าย

บัณฑิตยกฝ่ามือขึ้น พ่นลมเบาๆ โอสถปีศาจสีชาดเม็ดหนึ่งก็ลอยอยู่กลางฝ่ามือพลางหมุนติ้วๆ แผ่ไอน้ำและไอเย็นออกมาเป็นระลอก

เขาไม่ใช่พวกภูตผีปีศาจเสียหน่อย หากกลืนกินวัตถุชิ้นนี้เข้าไป มีแต่จะทำลายมหามรรคาของตน

ในมือของบัณฑิตมีกล่องเล็กหยกขาวใสแวววาวใบหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เขาเก็บโอสถปีศาจเม็ดนี้ผนึกไว้ด้านใน สะบัดชายแขนเสื้อ แก่นเลือดเนื้อของปี้สู่เหนียงเนียงล้วนถูกชุดคลุมบนร่างชิ้นนี้ดูดซับเอาไปหมด ชุดคลุมอาคมที่ดึงมาจากร่างของผู้ฝึกตนอิสระเซียนดินในอดีตชิ้นนี้มีชื่อว่า ‘เทาเที่ยร้อยตา’ อันที่จริงแรกเริ่มขอบเขตของมันไม่สูง ไม่ถือว่าเป็นสมบัติอาคมด้วยซ้ำ เขาสวมใส่มันไว้ นอกจากจะสามารถอำพรางตัวตนแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือแท้จริงแล้วชุดคลุมอาคมชุดนี้ยังสามารถเติบโตได้อีก ตลอดหลายปีมานี้ทุกครั้งที่ออกจากบ้านไปผ่อนคลายอารมณ์ การกำจัดปีศาจปราบมารอย่างสาแก่ใจในแต่ละครั้งล้วนเป็นอาหารที่หล่อเลี้ยงบำรุงชุดคลุมอาคมตัวนี้ได้เสมอ

บัณฑิตพลันยื่นนิ้วออกมานวดคลึงหว่างคิ้ว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในถ้ำหิน เหตุใดถึงขัดขวางไม่ให้ข้าฆ่าคน? ต่อให้จะเป็นการทำลายคุณความชอบของเจ้าบางส่วน แต่จะถือเป็นอะไรได้เล่า? ปีหน้ายามที่เจ้าสังหารสามอสุภะ (แนวคิดของลัทธิเต๋า เริ่มต้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น มีหนังสือชื่อ 《河图纪命符เหอถูจี้มิ่งฝู่》กล่าวไว้ว่า “ในร่างกายมีสามอสุภะ สามอสุภะนี้เป็นเทพผีที่อยู่ส่วนของจิตและวิญญาณ ต้องการให้มนุษย์ตายโดยไว อสุภะนี้จึงไปเกิดเป็นผี) ย่อมสามารถทำให้สิ้นสุดลงได้ เจ้าเองก็น่าสนใจนัก นักพรตคนอื่นๆ ที่ได้เป็นเซียนทอง สามอสุภะเก้าพยาธิ ตัวแรกที่สังหารก็คือข้า เจ้ากลับดีนัก ดันจงใจเก็บไว้ท้ายที่สุด”

บัณฑิตเงียบงัน สีหน้าซับซ้อน

ชายแขนเสื้อของเขาโบกสะบัดอย่างรุนแรง

ก่อนจะกลายเป็นควันดำกลิ้งหลุนๆ กลุ่มหนึ่งที่มุดผลุบหายลงไปใต้ดิน พริบตาเดียวก็หายวับไป

เรือนแห่งหนึ่งของตำหนักกว่างหาน ภูตถือพัดที่แต่งตั้งตนเองเป็นวิญญูชนแห่งสำนักศึกษากับเหล่าลูกสมุนของภูเขาโปลั่วซึ่งรวมผู้เฒ่าเคราแพะเป็นหนึ่งในนั้นกำลังดื่มสุรากันอย่างครื้นเครง

‘วิญญูชน’ ท่านนี้ท่าทางไม่สบอารมณ์นัก กำลังดื่มเหล้าดับทุกข์ พวกโง่เง่าคนอื่นๆ ก็ตาไม่มีแวว พอดื่มจนเริ่มเมามายก็พากันร้องรำทำเพลง ฝอยจนน้ำลายแตกฟอง คำพูดไร้ความยำเกรง คนนี้บอกว่าก้นของปี้สู่เหนียงเนียงกลมดิก หากได้ลูบสักครั้งต่อให้ตายก็ยินดี คนนั้นพูดว่าลูกสาวของราชันย์เฮยเหอหน้าอกใหญ่ หากมีโอกาสจะต้องมุดเข้าไปให้จงได้ แล้วยังมีบางคนที่ไม่รู้จักกลัวตายยิ่งกว่า บอกว่าอริยะใหญ่ปานซานจะนับเป็นตัวอะไรได้ ขอแค่ปี้สู่เหนียงเนียงออกคำสั่งคำเดียว หนึ่งหมัดของข้าผู้อาวุโสก็ต่อยให้หัวของวานรย้ายภูเขาตัวนั้นเละได้แล้ว…

ภูตถือพัดกระดกเหล้าในจอกดื่มจนหมด รู้สึกเพียงว่าดื่มเหล้าร่วมกับคนกลุ่มนี้ช่างทำลายบรรยากาศเสียจริง ผิดต่อสุราเลิศรสจากนครถงโช่วที่น้ำเป็นสีทองเข้มงดงามจอกนี้ยิ่งนัก

มันทอดถอนใจหนึ่งที มือหนึ่งโบกพัด อีกมือหนึ่งถือแก้วเหล้าว่างเปล่า “สุราคือสหายแห่งความปิติ ได้ทั้งดับทุกข์และนำพาความสุข ในเมื่อเจตนารมณ์สวรรค์ทำให้ชีวิตข้าไม่ราบรื่น ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ดื่มเหล้าดับทุกข์เสียเถิด…”

ภูตผีปีศาจตนอื่นๆ เห็นมาจนชิน เพียงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง นายท่านวิญญูชนผู้นี้เริ่มพล่ามอีกแล้ว

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 496.2 พี่ชายคนดี

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 496.2 พี่ชายคนดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บัณฑิตจึงไปทยอยเปิดหีบทั้งสามใบ หีบใบหนึ่งเต็มไปด้วยเงินเกล็ดหิมะสีขาวพร่างตา มีมากถึงพันกว่าเหรียญ หีบอีกใบหนึ่งด้านในมีแค่ป้ายศิลาลักษณะโบราณแผ่นหนึ่ง ด้านบนสลักตัวอักษรไว้แน่นขนัด ส่วนหีบใบที่ก่อนหน้านี้วางไว้ด้านล่างสุดนั้นก็มีวัตถุเพียงอย่างเดียว นั่นคือครกหินขนาดเล็กใบหนึ่งที่สูงเท่าหัวเข่า ไม่ต่างจากครกที่ชาวบ้านเอามาใช้ตำข้าว

สายตาของบัณฑิตเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เขาส่ายหน้าเบาๆ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าการคาดเดาในใจนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คงไม่ใช่ครกหินใบที่ในตำนานบอกว่าภูตกระจ่ายใช้บดยาหรอกกระมัง?”

บัณฑิตหัวเราะร่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเรา…มาลองเดิมพันกันดู?”

เฉินผิงอันถาม “จะเดิมพันอย่างไร?”

บัณฑิตชี้ไปยังครกหินที่อยู่ในหีบ “ของสิ่งนี้ นับเป็นเจ็ดส่วน อย่างที่เหลือนับเป็นสามส่วน แต่ข้าจะให้เจ้าเลือกก่อน”

เฉินผิงอันเลือกสามส่วนอย่างไม่ลังเล

บัณฑิตรีบเปิดปากทันที “อย่าเพิ่งเลือก ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”

บัณฑิตยกฝ่ามือตบลงเบาๆ ครกหินใบนั้นก็แตกกระจายกลายเป็นผุยผง เผยให้เห็นเป็นหินหยกลักษณะเหมือนชามขาวก้อนหนึ่ง เขาเอ่ยอย่างเสียดายว่า “เป็นเช่นนี้จริงเสียด้วย ถ้วยหยกขาวใบนี้คือสถานที่ที่ปี้สู่เหนียงเนียงฝึกตนสำเร็จ เนื่องจากเป็นเผ่าพันธุ์ตำหนักจันทรา จึงสร้างครกหินมาห่อหุ้มมันไว้ภายใน คาดว่าคงจะเพื่อให้เป็นนิมิตหมายที่ดี”

บัณฑิตเก็บชามใบนั้นขึ้นมาวางคว่ำบนฝ่ามือ ก้นชามสลักตัวอักษรแบบบรรจงแปดตัวขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวัน ‘เซียนผู้สันโดษแห่งชิงเต๋อ ใช้สุราเชื้อเชิญจันทรา’

คือหนึ่งในภาชนะที่ใช้ในพิธีบวงสรวงของศาลบรรพจารย์สำนักชิงเต๋อ

เป็นแค่วัตถุวิเศษชิ้นหนึ่งเท่านั้น

แต่สำหรับปี้สู่เหนียงเนียงที่ฝึกตนจนกลายเป็นภูตได้สำเร็จแล้ว แน่นอนว่าความหมายย่อมยิ่งใหญ่อย่างมาก

เฉินผิงอันถาม “เจ้าจะเลือกป้ายศิลาประตูมังกรแผ่นนั้น หรือจะเลือกหีบเงินเกล็ดหิมะ?”

หนังตาของบัณฑิตกระตุกยิกๆ

ตัวอักษรของบนโลกใบนี้ก็มีแบ่งแยกความเก่าแก่ ตัวอักษรโบราณบางตัว เว้นเสียแต่ว่าเป็นตระกูลเซียนชนชั้นสูงที่มีการสืบทอดอย่างเป็นระบบระเบียบแล้ว ก็ไม่อาจจะเข้าใจเนื้อหาของมันได้เลย

คนต่างถิ่นอายุน้อยผู้นี้รู้จักตัวอักษรโบราณสองคำว่า ‘ประตูมังกร’ ที่เป็นประโยคแรกสุดบนป้ายศิลาได้อย่างไร?

บัณฑิตหัวเราะ

ถ้ำหินใต้ดินแห่งนี้เหมาะแก่การใช้เป็นสถานที่เข่นฆ่าช่วงชิงชีวิตจริงๆ

เพียงแต่ว่าเวลานี้เอง คนผู้นั้นกลับเอ่ยประโยคหนึ่งที่อยู่เหนือการคาดคิดของเขา “ไม่เพียงแต่ป้ายศิลาประตูมังกรนี้จะเป็นของเจ้า เงินเกล็ดหิมะหนึ่งหีบนั้นแบ่งเป็นเจ้าเจ็ดข้าสาม และข้าจะยังเอาโครงกระดูกขาวสองโครงนั้นด้วย”

บัณฑิตกล่าวอย่างกังขา “โครงกระดูกขาวทั้งสองนั่นไม่มีมูลค่าจริงๆ ตอนที่ผู้ฝึกตนหญิงสำนักชิงเต๋อผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่มีตบะแค่ขอบเขตประตูมังกร ชุดคลุมอาคมก็ยิ่งเป็นชุดธรรมดาทั่วไป มีค่าแค่เงินร้อนน้อยไม่กี่เหรียญ ชุดคลุมมังกรชุดนั้น เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าแค่ยื่นมือไปสัมผัสเบาๆ ก็แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีแล้ว”

รอยยิ้มของบัณฑิตมีเลศนัย “อีกอย่าง ดึงเอาชุดของคนตายมา อีกทั้งยังเป็นชุดของผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งคงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่กระมัง?”

เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

บัณฑิตพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”

เขาม้วนชายแขนเสื้อเก็บป้ายหินนั้นไปพร้อมกับหีบไม้ ส่วนเฉินผิงอันก็เก็บโครงกระดูกขาวทั้งสองไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อพร้อมกัน

เห็นได้ชัดว่าอย่างน้อยบัณฑิตก็ต้องมีวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งติดกาย

ส่วนเงินเกล็ดหิมะหีบนั้น เฉินผิงอันแบ่งเอามาประมาณหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญ

บัณฑิตได้เงินส่วนมากไปครอง แต่ก็ยังไม่ค่อยจะพอใจนัก “ปี้สู่เหนียงเนียงแห่งภูเขาโปลั่วจะต้องคอยแสดงความกตัญญูต่อที่พึ่งใหญ่ของนางเป็นประจำ ทรัพย์สมบัติจึงน้อยไปหน่อย ไม่อย่างนั้นปีศาจโอสถทองตนหนึ่งคงไม่ได้มีทรัพย์สินเพียงแค่นี้”

เฉินผิงอันกล่าว “อยู่ในหุบเขาผีร้าย ต้องคอยต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับผู้อื่น สามารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว จะไปเทียบกับเซียนดินโอสถทองข้างนอกได้อย่างไร”

บัณฑิตพยักหน้ารับ “เข้าใจได้”

เฉินผิงอันถามชวนคุยว่า “เจ้ามีวัตถุวิเศษไว้ใช้กักเก็บน้ำอย่างพวกขวดดื่มน้ำหรือไม่?”

แล้วทันใดนั้น

เฉินผิงอันก็พลันชักกระบี่ออกจากฝัก กระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีสืออู่ที่พุ่งออกมาจากใต้ดิน เล่มหนึ่งก็ยิ่งชี้ไปที่กลางกระหม่อมของบัณฑิต ส่วนอีกเล่มหนึ่งลอยอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ปลายกระบี่ชี้ไปที่หัวใจทางด้านหลัง

บัณฑิตกล่าวอย่างระอาใจ “นี่เจ้าคิดจะทำอะไร? จะต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์กันอย่างนั้นหรือ? จะไม่รอให้พวกเราทำลายถ้ำสถิตบนภูเขาที่เหลืออีกห้าลูกให้ราบพนาสูร ต่างคนต่างกินอิ่มจนท้องป่องแล้วค่อยลงมือปลิดชีวิตกันจริงๆ หรือไร?”

เฉินผิงอันสีหน้าหนักอึ้ง เมื่อครู่นี้เขาสัมผัสได้ถึงปราณสังหารของอีกฝ่าย

ปราณสังหารที่ผุดขึ้นมาในใจของบัณฑิตเข้มข้นยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในสถานที่ที่ก่อนหน้านี้ปี้สู่เหนียงเนียงตายอย่างเฉียบพลันเสียอีก

เฉินผิงอันเห็นว่าบัณฑิตในเวลานี้ นับตั้งแต่สภาพจิตใจไปจนถึงสีหน้าต่างก็ไม่มีความผิดปกติ

เขาจึงบอกให้ชูอีสืออู่พุ่งกลับเข้ามาในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แล้วเก็บเจี้ยนเซียนสอดกลับใส่ฝัก “เมื่อครู่ตาลาย เข้าใจผิดคิดว่ามีวัตถุหยินที่เฝ้าพิทักษ์ถ้ำจะลอบโจมตีเจ้า”

บัณฑิตหัวเราะร่า “คิดไม่ถึงว่าพี่ใหญ่ท่านนี้ก็มีจิตใจเมตตาอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าทั้งเมาเลือดทั้งตาลาย หากถึงเวลาที่ต้องเปิดฉากสังหารบนภูเขาลูกอื่น ก็อย่าได้เป็นตัวถ่วงของข้าเด็ดขาดเชียว”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ

คนทั้งสองออกมาจากถ้ำหินด้วยกัน เดินอยู่บนเส้นทางใต้ดินที่มีแสงขมุกขมัว ย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิม

เดินเคียงไหล่กันไป

บัณฑิตยิ้มกล่าว “พี่ชายชื่ออะไร?”

เฉินผิงอันกล่าว “แซ่เฉิน นามคนดี”

บัณฑิตคล้ายจะสะอึกอึ้ง ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไรดี

เคยเห็นคนน่าไม่อายมามาก แต่กลับไม่เคยเห็นใครหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้มาก่อน

เฉินผิงอันถาม “เจ้าล่ะ?”

บัณฑิตยังไม่คืนสติดี จึงกล่าวอย่างมีอารมณ์แต่ไร้กำลังว่า “แซ่คงไม่บอกแล้ว เรียกข้าว่ามู่เม่าก็ได้ มู่เม่าที่แปลว่าต้นไม้เขียวครึ้ม”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ชื่อไม่เลว”

บัณฑิตเอ่ย “ไม่ดีเท่าพี่ชายคนดีหรอก”

เฉินผิงอันตอบ “ใช่ที่ไหนกันๆ”

บัณฑิตพลันยิ้มถามว่า “เจ้ารู้รากฐานของพี่เฉินหยวนจวินหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าเองก็รู้ว่าข้าเป็นคนต่างถิ่น เข้ามาหุบเขาผีร้ายครั้งนี้ก็เพื่อชมทัศนียภาพ เดินผ่านภูเขาโปลั่วมาโดยไม่ตั้งใจเท่านั้น ไหนเลยจะรู้ประวัติความเป็นมาของปีศาจเหล่านี้ แต่ปีศาจพวกนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย กล้ารวมตัวกันแล้วเรียกตัวเองว่าหกอริยะ หากไม่ใช่เหนียงเนียงก็เป็นหยวนจวิน แม้แต่ภูตผีใต้บังคับบัญชาของตนก็ยังกล้าเรียกตัวเองว่าวิญญูชน”

บัณฑิตกล่าว “ก็ภูตผีปีศาจในพื้นที่เล็กๆ นี่นะ กลับกลายเป็นว่าพิถีพิถันในเรื่องที่ไม่สมกับฐานะตัวเอง พี่เฉินหยวนจวินผู้นั้น เดิมทีคือเตียวน้อย (สัตว์ชนิดหนึ่งของจีน ขนของมันมีค่ามาก หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าขนมิงค์) ที่ปราดเปรียวตัวหนึ่งในอารามเสวียนตูเล็ก กัดแทะเทียนหอมสองท่อนที่ใช้บูชาฟ้าดินไปแล้วก็ยังไม่ยอมเลิกรา ยังขโมยกินน้ำมันที่อยู่ในตะเกียงแก้วใบนั้น พอขโมยกินเสร็จยังทำให้ตะเกียงแก้วพลิกตกลงมาโดยไม่ทันระวัง ด้วยเหตุนี้สติปัญญาจึงเปิดโล่ง บรรลุมรรคากลายเป็นภูต ตอนนั้นถูกเซียนน้อยคนหนึ่งไปเจอเข้า ด้วยความโมโหจึงใช้แส้ปัดฝุ่นโบยมันจนเลือดอาบท่วมร่าง ลมหายใจรวยริน มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน คิดไม่ถึงว่าเทพเซียนผู้เฒ่าจะเสียดายโชควาสนาครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ปล่อยมันออกจากอารามและป่าท้อ ยังหยิบดินหมื่นปีกำหนึ่งที่อยู่ใต้ต้นท้อมาใส่บาดแผลให้มัน ดังนั้นเตียวตัวนี้จึงเกิดมาไม่เกรงกลัวน้ำและไฟหรืออาวุธมีคม หากเป็นอาวุธธรรมดาทั่วไปจะไม่สามารถทำอันตรายมันได้เลยแม้สักเสี้ยว”

บัณฑิตเล่าความลับเหล่านี้เจื้อยแจ้วราวกับว่าได้เห็นมากับตาของตัวเอง “เตียวน้อยตัวนี้ออกมาจากป่าท้อ นับแต่นั้นมาฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ มันจึงยึดภูเขาตั้งตนเป็นราชา แต่งตั้งตัวเองเป็นหยวนจวิน บุกเบิกถ้ำสถิต มีชีวิตอย่างอิสระเสรี เพียงแต่ว่ายังคงเห็นแก่ความสัมพันธ์ควันธูปของอารามเสวียนตูเล็กอันเป็นสถานที่ที่มันฝึกตนประสบความสำเร็จแห่งนั้น แล้วก็เคารพยำเกรงเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนั้นเป็นพิเศษ จึงตั้งป้ายบูชาเทพเซียนผู้เฒ่าแห่งอารามเสวียนตูเล็กไว้บนภูเขาที่เป็นบ้านของตัวเอง คอยจุดธูปกราบไหว้อยู่ทุกวัน ภูตผีปีศาจส่วนใหญ่บนโลกล้วนเป็นเช่นนี้ ต่างก็ให้ความเคารพเลื่อมใสต่อสถานที่ที่ตนฝึกตนประสบความสำเร็จและโชควาสนาที่ทำให้ได้กลายเป็นภูตอย่างยิ่ง ปี้สู่เหนียงเนียงเป็นเช่นนี้ เตียวน้อยตัวนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน จะว่าไปแล้วพี่เฉินหยวนจวินผู้นี้ก็ไม่ต่างจากปี้สู่เหนียงเนียงที่ต่างก็เป็นภูตที่มีที่พึ่งยิ่งใหญ่ เจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้เทพเซียนเจ้าอารามผู้นั้นเดือดดาลหรอกหรือ? เพราะถึงอย่างไรจะตีสุนัขก็ควรจะดูเจ้าของบ้าง”

เฉินผิงอันอ้อรับหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็อย่าไปหาเรื่องพี่เฉินหยวนจวินเลย ตรงไปหาเรื่องอริยะใหญ่ปานซานผู้นั้นดีกว่า”

บัณฑิตหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เทพเซียนผู้เฒ่าท่านนั้นก็แค่เคารพในเรื่องของโชควาสนาเท่านั้น สำหรับตัวของเตียวน้อยเอง เขาไม่ได้มีความผูกพันอะไรด้วยนัก พวกเราร่วมมือกันสังหารได้เลย”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าเดาความคิดของเทพเซียนผู้เฒ่าแห่งลัทธิเต๋าท่านนี้อย่างกระจ่างแจ้งได้อย่างไร? ข้าเคยได้ยินมาว่าก่อนที่โชควาสนาจะมาถึงมือ ผู้ฝึกตนคาดหวังในเหตุการณ์ที่เป็นหนึ่งในหมื่นที่สุด หลังจากบรรลุมรรคาแล้ว กลับหวาดกลัวหนึ่งในหมื่นนั้นมากที่สุด”

บัณฑิตเริ่มพูดอย่างเล่นแง่ “เชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า ถึงอย่างไรภูเขาตี้หย่งของพี่เฉินหยวนจวินก็เป็นสถานที่ที่ข้าจำเป็นต้องไปเยือนอยู่แล้ว ทางฝั่งของอริยะใหญ่ปานซาน ช่วงนี้ค่อนข้างจะครึกครื้น เซียนใหญ่จัวเหยาของถ้ำสถิตจางสุ่ย ขุนพลเทพชื่อเหลยแห่งภูเขาจีเซียวน่าจะกำลังร่วมดื่มในงานเลี้ยงอยู่กับเขาพร้อมกับวางแผนการอะไรไปด้วย ไม่แน่ว่าบุตรสาวของตะพาบผู้นั้นก็น่าจะกำลังขมีขมันอยู่กับอริยะใหญ่ปานซาน มีเพียงพี่เฉินหยวนจวินเท่านั้นที่ไม่ชอบความครึกครื้นนี้ เวลานี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่ได้รับเชิญ หากเจ้ารู้สึกว่าชื่อเสียงของอารามเสวียนตูเล็กน่าตกใจเกินไป พวกเราก็พบเจอและแยกย้ายกันด้วยดีดีกว่าไหม? เจ้าเดินไปบนเส้นทางกว้างขวาง ข้าเดินไปบนสะพานไม้เล็กแคบของข้า เป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็พบเจอและแยกจากกันด้วยดี ทางใครทางมัน”

บัณฑิตรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก

คิดเสียว่าตัวเองมาเจอกับคนประหลาดที่นิสัยประหลาดเท่านั้น

หลังจากคนทั้งสองย้อนกลับมาที่ห้องของปี้สู่เหนียงเนียงอีกครั้ง บัณฑิตก็ผายฝ่ามือออกบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันเดินนำออกไปจากภูเขาโปลั่วแห่งนี้ก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้เข้าใจผิดคิดว่าตนจะหนีออกจากตำหนักกว่างหานแล้วไปตีฆ้องร้องป่าวปลุกระดมเหล่าปีศาจของภูเขาโปลั่วให้มาเล่นงานเขา

เฉินผิงอันกระโดดขึ้นบนหัวกำแพง จากไปอย่างเงียบเชียบ

บัณฑิตยืนอยู่ที่เดิม การที่เขาทำตัวมีคุณธรรมเช่นนี้ นอกจากจะไม่ต้องการแตกหักกับอีกฝ่ายจนก่อให้เกิดปัญหาแทรกซอนตามมาแล้ว เขายังยินดีที่จะให้คนผู้นี้ไปปะทะกับอริยะใหญ่ปานซาน ดึงดูดความสนใจของอีกฝ่ายมา ตนจะได้จัดการกับพี่เฉินหยวนจวินผู้นั้นได้อย่างสบายอุรา ได้กินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญอีกมื้อ ปีศาจเหล่านี้ตบะไม่สูง ต่างคนต่างสร้างกองกำลังขึ้นมา แต่กลับให้การสนับสนุนช่วยเหลือกันเองอย่างลับๆ นี่ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานในการหยัดยืนอยู่ในหุบเขาผีร้ายของพวกมัน ไม่อย่างนั้นขอแค่มีก่อกำเนิดคนหนึ่งมาเยือน ทำการกวาดล้างสักรอบหนึ่ง ก็สามารถโจมตีให้พวกมันแต่ละฝ่ายแหลกลาญได้อย่างง่ายดาย ไหนเลยจะสามารถประคับประคองตัวมาได้ถึงทุกวันนี้ ในประวัติศาสตร์เคยมีวิญญาณหยินก่อกำเนิดคนหนึ่งที่อยู่ในนครทางเหนือพยายามจะใช้ขอบเขตของตนข่มกำราบกลุ่มปีศาจ แต่กลับต้องมาเสียเปรียบอย่างหนักจนเกือบจะต้องยกภูเขาจีเซียวไปให้อีกฝ่าย

บัณฑิตยกฝ่ามือขึ้น พ่นลมเบาๆ โอสถปีศาจสีชาดเม็ดหนึ่งก็ลอยอยู่กลางฝ่ามือพลางหมุนติ้วๆ แผ่ไอน้ำและไอเย็นออกมาเป็นระลอก

เขาไม่ใช่พวกภูตผีปีศาจเสียหน่อย หากกลืนกินวัตถุชิ้นนี้เข้าไป มีแต่จะทำลายมหามรรคาของตน

ในมือของบัณฑิตมีกล่องเล็กหยกขาวใสแวววาวใบหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เขาเก็บโอสถปีศาจเม็ดนี้ผนึกไว้ด้านใน สะบัดชายแขนเสื้อ แก่นเลือดเนื้อของปี้สู่เหนียงเนียงล้วนถูกชุดคลุมบนร่างชิ้นนี้ดูดซับเอาไปหมด ชุดคลุมอาคมที่ดึงมาจากร่างของผู้ฝึกตนอิสระเซียนดินในอดีตชิ้นนี้มีชื่อว่า ‘เทาเที่ยร้อยตา’ อันที่จริงแรกเริ่มขอบเขตของมันไม่สูง ไม่ถือว่าเป็นสมบัติอาคมด้วยซ้ำ เขาสวมใส่มันไว้ นอกจากจะสามารถอำพรางตัวตนแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือแท้จริงแล้วชุดคลุมอาคมชุดนี้ยังสามารถเติบโตได้อีก ตลอดหลายปีมานี้ทุกครั้งที่ออกจากบ้านไปผ่อนคลายอารมณ์ การกำจัดปีศาจปราบมารอย่างสาแก่ใจในแต่ละครั้งล้วนเป็นอาหารที่หล่อเลี้ยงบำรุงชุดคลุมอาคมตัวนี้ได้เสมอ

บัณฑิตพลันยื่นนิ้วออกมานวดคลึงหว่างคิ้ว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในถ้ำหิน เหตุใดถึงขัดขวางไม่ให้ข้าฆ่าคน? ต่อให้จะเป็นการทำลายคุณความชอบของเจ้าบางส่วน แต่จะถือเป็นอะไรได้เล่า? ปีหน้ายามที่เจ้าสังหารสามอสุภะ (แนวคิดของลัทธิเต๋า เริ่มต้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น มีหนังสือชื่อ 《河图纪命符เหอถูจี้มิ่งฝู่》กล่าวไว้ว่า “ในร่างกายมีสามอสุภะ สามอสุภะนี้เป็นเทพผีที่อยู่ส่วนของจิตและวิญญาณ ต้องการให้มนุษย์ตายโดยไว อสุภะนี้จึงไปเกิดเป็นผี) ย่อมสามารถทำให้สิ้นสุดลงได้ เจ้าเองก็น่าสนใจนัก นักพรตคนอื่นๆ ที่ได้เป็นเซียนทอง สามอสุภะเก้าพยาธิ ตัวแรกที่สังหารก็คือข้า เจ้ากลับดีนัก ดันจงใจเก็บไว้ท้ายที่สุด”

บัณฑิตเงียบงัน สีหน้าซับซ้อน

ชายแขนเสื้อของเขาโบกสะบัดอย่างรุนแรง

ก่อนจะกลายเป็นควันดำกลิ้งหลุนๆ กลุ่มหนึ่งที่มุดผลุบหายลงไปใต้ดิน พริบตาเดียวก็หายวับไป

เรือนแห่งหนึ่งของตำหนักกว่างหาน ภูตถือพัดที่แต่งตั้งตนเองเป็นวิญญูชนแห่งสำนักศึกษากับเหล่าลูกสมุนของภูเขาโปลั่วซึ่งรวมผู้เฒ่าเคราแพะเป็นหนึ่งในนั้นกำลังดื่มสุรากันอย่างครื้นเครง

‘วิญญูชน’ ท่านนี้ท่าทางไม่สบอารมณ์นัก กำลังดื่มเหล้าดับทุกข์ พวกโง่เง่าคนอื่นๆ ก็ตาไม่มีแวว พอดื่มจนเริ่มเมามายก็พากันร้องรำทำเพลง ฝอยจนน้ำลายแตกฟอง คำพูดไร้ความยำเกรง คนนี้บอกว่าก้นของปี้สู่เหนียงเนียงกลมดิก หากได้ลูบสักครั้งต่อให้ตายก็ยินดี คนนั้นพูดว่าลูกสาวของราชันย์เฮยเหอหน้าอกใหญ่ หากมีโอกาสจะต้องมุดเข้าไปให้จงได้ แล้วยังมีบางคนที่ไม่รู้จักกลัวตายยิ่งกว่า บอกว่าอริยะใหญ่ปานซานจะนับเป็นตัวอะไรได้ ขอแค่ปี้สู่เหนียงเนียงออกคำสั่งคำเดียว หนึ่งหมัดของข้าผู้อาวุโสก็ต่อยให้หัวของวานรย้ายภูเขาตัวนั้นเละได้แล้ว…

ภูตถือพัดกระดกเหล้าในจอกดื่มจนหมด รู้สึกเพียงว่าดื่มเหล้าร่วมกับคนกลุ่มนี้ช่างทำลายบรรยากาศเสียจริง ผิดต่อสุราเลิศรสจากนครถงโช่วที่น้ำเป็นสีทองเข้มงดงามจอกนี้ยิ่งนัก

มันทอดถอนใจหนึ่งที มือหนึ่งโบกพัด อีกมือหนึ่งถือแก้วเหล้าว่างเปล่า “สุราคือสหายแห่งความปิติ ได้ทั้งดับทุกข์และนำพาความสุข ในเมื่อเจตนารมณ์สวรรค์ทำให้ชีวิตข้าไม่ราบรื่น ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ดื่มเหล้าดับทุกข์เสียเถิด…”

ภูตผีปีศาจตนอื่นๆ เห็นมาจนชิน เพียงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง นายท่านวิญญูชนผู้นี้เริ่มพล่ามอีกแล้ว

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+