กระบี่จงมา 496.6 พี่ชายคนดี

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 496.6 พี่ชายคนดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยางฉงเสวียนเอ่ยเหน็บแนม “ดีนักนะ นับว่าพอจะมีกลเม็ดเด็ดพรายอยู่บ้าง แต่เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าแซ่อะไร? เรื่องของการเขียนยันต์และค่ายกล ตลอดทั้งอุตรกุรุทวีปแห่งนี้ สกุลหยางของพวกเราคือต้นตำรับแท้อย่างสมชื่อ!”

มารดามันเถอะ พอคิดถึงเรื่องนี้ หยางฉงเสวียนก็อดนึกถึงหลิวจิ่งหลงผู้นั้นขึ้นมาอีกไม่ได้ แล้วจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าโทสะผุดพุ่งมาจากไหน เขาจึงไม่ใช้วิชาที่ถ่ายทอดจากตระกูลมาทำลายค่ายกลแห่งนี้ แต่หมุนตัวหนึ่งรอบพลางออกหมัดรัวเร็ว ปล่อยพายุหมัดให้ระเบิดไปสี่ด้านแปดทิศ หยางฉงเสวียนพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังลั่น “ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะประคับประคองดินแดนมายาอำพรางตาแห่งนี้ได้นานแค่ไหน!”

ท่าทางของหยางฉงเสวียนเหมือนปีศาจที่บ้าคลั่ง ประหนึ่งเทวบุตรมารที่เยื้องกรายมาเยือนโลกมนุษย์ ไหนเลยจะมีภาพบรรยากาศที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตโอสถทองทั่วไปสมควรมีอยู่อีก?

ริมตลิ่งของธารน้ำลึก เจี่ยงชวีเจียงเห็นเพียงว่าเทพหญิงสิงอวี่เดินลงน้ำทีละก้าวไปอย่างเชื่องช้า กระจกน้ำด้านหน้าส่ายไหวโงนเงน ปริแตกอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถูกนางใช้น้ำในลำธารลึกมาซ่อมแซมผิวกระจกอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

เทพหญิงสิงอวี่พยายามประคับประคองกระจกน้ำอย่างยากลำบาก ในใจร้องโอดครวญไม่หยุด นางไม่ได้เร่งให้คนทั้งสามที่อยู่เบื้องหลังออกไปจากภูเขากระจกวิเศษอีกแล้ว เพราะนางแน่ใจอย่างถึงที่สุดว่าพวกเขาต้องหนีไม่รอดอย่างแน่นอน

ต่อให้ออกไปจากภูเขากระจกวิเศษได้ ก็ยังต้องถูกเจ้าคนบ้าผู้นี้ไล่ตามไปอยู่ดี

จุดจบถูกกำหนดมาเรียบร้อยแล้ว

ต่อให้ดึงดูดเอาโชคชะตาน้ำของธารลึกกลางภูเขากระจกวิเศษมาอย่างกำเริบเสิบสาน อย่างมากสุดนางก็ประคับประคองตัวอยู่ได้แค่ครึ่งก้านธูปเท่านั้น หรืออาจจะสั้นยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ

เจี่ยงชวีเจียงสีหน้าซีดขาว พึมพำว่า “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ไม่ควรเป็นเช่นนี้นี่นา”

ในที่สุดจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกก็สังเกตเห็นสภาพอันน่าสังเวชของบุตรสาวตน เขานั่งยองอยู่ข้างกายนาง แต่กลับไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย จิ้งจอกเฒ่าร้อนใจราวกับถูกไฟเผา ในที่สุดก็เริ่มเสียใจภายหลังที่ไม่ยอมเชื่อคำของบุตรชายโง่ผู้นั้น

หยางฉงเสวียนยืนนิ่งอยู่ในเขตมายากระจกน้ำ “อุ่นเครื่องเสร็จแล้ว ไม่เล่นแล้ว”

สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วตั้งท่าหมัด ประหนึ่งขุนพลสวรรค์องค์เทพบรรพกาลที่เตรียมจะผ่าสายน้ำ นี่ก็คือกระบวนท่าหมัดของภาพองค์เทพประลองยุทธ์ที่สืบทอดมาจากตระกูลซึ่งเขาบรรลุมาได้ตอนเป็นเด็กหนุ่ม

กระจกน้ำแตกกระจาย เหมือนตะเกียงแก้วดวงหนึ่งที่หล่นพื้นแล้วกระจัดกระจายไปสี่ทิศ

เทพหญิงสิงอวี่จึงได้แต่เปลี่ยนวิชาอภินิหาร บังคับโชคชะตาน้ำของธารน้ำลึกให้กลายมาเป็นเสื้อเกราะตัวหนึ่งที่ห่มอยู่บนร่าง พยายามจะขัดขวางการบุกรุดหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างสุดกำลัง

เพียงแต่ว่าชั่วพริบตาเดียวคนผู้นั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยทะลุหน้าท้องของนางแล้วชักแขนออกช้าๆ จากนั้นมืออีกข้างหนึ่งก็อ้อมมาด้านหลัง จับกระชากศีรษะของนางแล้วโยนร่างนางทิ้งลงบนพื้น สุดท้ายยกเท้ากระทืบลงบนหน้าผากของนาง ก้มหน้ามองไปพลางจุ๊ปากยิ้ม “ไม่เสียแรงที่เป็นเทพหญิง พอๆ กับร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำพวกนั้นจริงๆ ขนาดเลือดสดก็ยังเป็นสีทอง อีกทั้งหากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป เมื่อเจอกับหมัดนี้ของข้า ร่างก็น่าจะแหลกเป็นจุลไปแล้ว ไม่เลวๆ รอให้ข้าเอากระจกวิเศษมาได้เมื่อไหร่ ข้าค่อยปล่อยให้เจ้าฟื้นคืนพลังต้นกำเนิด แล้วเจ้ากับข้ามาต่อสู้กันอีกครั้ง วางใจเถอะ หากทำเรื่องสำคัญเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ข้าจะออกหมัดให้ช้ากว่าเดิมสามส่วน พละกำลังก็น้อยกว่าเดิมสามส่วน จะไม่รีบรบรีบจบแบบนี้แน่นอน บุรุษหากเร็วเกินไปก็ไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่”

คำพูดที่ออกจากปากของหยางฉงเสวียนฟังดูแล้วเกรงอกเกรงใจ แต่จู่ๆ เขากลับเพิ่มพละกำลังฝีเท้า กดให้ศีรษะของเทพหญิงสิงอวี่จมหายไปในหินสีขาวหิมะ เป็นเหตุให้นางไม่สามารถดึงเอาโชคชะตาน้ำมาจากธารลึกกลางภูเขาได้อีก

หยางฉงเสวียนค้อมตัวลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากยังถ่วงเวลาการทำธุระสำคัญของข้าอยู่อีก ข้าจะกระทืบให้คอของเจ้าหัก”

เทพหญิงสิงอวี่พยายามดิ้นรนอย่างสุดแรง นิ้วของนางขยับน้อยๆ ยังคงพยายามจะดึงเอาโชคชะตาน้ำที่อยู่ในธารลึกนั้นออกมา

เทพหญิงทั้งเก้าท่านในนครปี้ฮว่า หลังเดินออกมาจากม้วนภาพวาดแล้ว ขอแค่เจอกับเส้นแบ่งความเป็นความตายก็ล้วนใจเด็ดเช่นนี้ ไม่เคยกล่าวโทษตำหนิใคร

และในขณะที่หยางฉงเสวียนคิดจะจัดการกับเทพหญิงอย่างเด็ดขาดนั้นเอง

น้ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาบนยอดเขาของภูเขากระจกวิเศษเบาๆ

“เป็นเศษสวะจริงๆ เสียด้วย”

หยางฉงเสวียนแหงนหน้ามองไป แล้วยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้มาที่ตัวเอง “คงไม่ได้หมายถึงข้าหรอกกระมัง?”

สตรีอ่อนโยนผู้หนึ่งที่หน้าตาไม่นับว่างดงามสักเท่าไหร่ ตรงเอวห้อยตราประทับสิงห์ชิ้นหนึ่งกระโดดลงมาจากยอดเขาเบาๆ

ความคิดของหยางฉงเสวียนแล่นเร็วจี๋ กำลังจะกระทืบเทพหญิงสิงอวี่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าให้ตายไป

หญิงสาวผู้นั้นกลับชิงยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าทำแบบนั้นดีกว่า”

ต่อให้เห็นความสามารถอันเลิศล้ำค้ำฟ้าในด้านการต่อสู้ประชิดตัวของหยางฉงเสวียนมากับตาตัวเอง แต่สตรีก็ยังคงเดินเข้าหาหยางฉงเสวียนช้าๆ

ไม่เพียงเท่านี้ นางยังดีดนิ้วสองครั้งทำให้เจี่ยงชวีเจียงและจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกกระเด็นออกไปต่อหน้าหยางฉงเสวียนด้วย

สตรีชำเลืองมองเทพหญิงสิงอวี่ที่มีสภาพอเนจอนาถแวบหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยแววเยาะหยัน “วสันต์ฤดูเก้าปี วันที่สิบเดือนสามตามปฏิทินราชวงศ์โจว ฝนตกฟ้าผ่าลงมาเนิ่นนานแล้ว ในชุนชิวบันทึกวันเริ่มต้น (ซูสื่อหมายถึงวันเริ่มต้นของการบันทึก) ตั้งชื่อนี้มาอย่างเสียเปล่าจริงๆ”

หยางฉงเสวียนยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม เก็บพละกำลังตรงเท้ากลับมา ถามว่า “เจ้าคือ?”

สตรีเอ่ย “หลี่หลิ่ว”

หยางฉงเสวียนยกฝ่ามือขึ้นลูบคลำปลายคาง “ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

สีหน้าของหลี่หลิ่วกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เอ่ยช้าๆ ว่า “เกี่ยวกับคำทำนายของกระจกบานนี้ เป็นข้าที่บอกแก่บรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาคนนั้นของตระกูลเจ้าเอง เวลานั้นเขายังสวมกางเกงเปิดก้นอยู่เลยนะ ตอนนั้นตระกูลหยางของพวกเจ้ายังยากจน กางเกงของเจ้าเด็กน้อยนั่นมีแต่รอยปะชุน ปิดไอ้จ้อนเอาไว้ไม่อยู่ แล้วก็ปิดก้นไม่ได้ด้วย”

หยางฉงเสวียนหัวเราะร่าเสียงดัง อีกนิดเดียวก็เกือบจะน้ำตาไหลอยู่แล้ว

มารดามันเถอะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขายังไม่เคยได้ยินเรื่องตลกที่ชวนหัวขนาดนี้มาก่อน

หลี่หลิ่วเองก็หัวเราะ ดวงตาทั้งคู่โค้งลงราวกับกิ่งหลิว ดูอ่อนโยนนุ่มนวล น่ามองอย่างถึงที่สุด

อยู่ดีๆ หยางฉงเสวียนก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา

เขาจึงหัวเราะไม่ค่อยออกสักเท่าไหร่

หยางฉงเสวียนถามหยั่งเชิง “ที่สี่? แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับทำให้แม้แต่หลิวจิ่งหลงก็ยังจนปัญญาผู้นั้น?”

สตรีผู้นั้นเอียงศีรษะน้อยๆ ยิ้มจนตาหยี ถามกลับไปหนึ่งประโยคว่า “หลิวจิ่งหลง? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

หยางฉงเสวียนเบิกตากว้าง

โอ้โหแหะ สตรีผู้นี้ใช้ได้เลยนี่นา เสแสร้งเก่งกว่าตนเสียอีก ของชอบเขาเลย!

เพียงแต่ว่าหยางฉงเสวียนก็อดรู้สึกสับสนนิดๆ ไม่ได้ ครั้งนั้นก่อนจะเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง มียอดฝีมือคนหนึ่งช่วยทำนายให้ตนบอกว่าช่วงสิบปีนี้ให้ระวังตัวสักหน่อย เพราะจะถูกสตรีทำร้าย

ตอนนั้นเขายังเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองจะเจอชะตาดอกท้อ ดังนั้นทุกครั้งที่เจอสาวงาม เขาก็จะต้องกลัดกลุ้มทุกที

ถึงอย่างไรก็ยังเป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัว หากตกอยู่ในกับดักทัณฑ์รักก็ค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่บ้าง

แต่คำทำนายนั้นคงไม่ได้หมายความว่าตนจะถูกสตรีตรงหน้าผู้นี้ทำร้ายจนบาดเจ็บหรอกกระมัง?

คนทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ห้าก้าว ในที่สุดนางก็หยุดยืนนิ่ง

นางเอ่ยว่า “คิดจะฆ่าเจ้าค่อนข้างยาก เพราะค่าตอบแทนค่อนข้างมาก”

ดูเหมือนว่านางจะกำลังกลุ้มใจ

ทว่าหยางฉงเสวียนกลับทำท่าเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ

ต่อให้เผชิญหน้ากับเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามเสวียนตูเล็ก เขาก็ยังไม่เคยระแวดระวังขนาดนี้มาก่อน

……

เฉินผิงอันแฝงตัวเข้ามาในอาณาเขตของภูเขาตี้หย่งได้ไม่นานเท่าไหร่

คนต่างถิ่นคนหนึ่งที่มาจากหลิวเสียทวีปและเทพหญิงกว้าเยี่ยนที่เป็นผู้ทำให้ภาพวาดสีสันบนฝาผนังของนครกลายเป็นเค้าโครงลายเส้นก่อนใคร หลังจากที่ออกมาจากนครปี้ฮว่าแล้วก็ขึ้นเขาไปด้วยกัน พวกเขาไปที่ศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมามาก่อนรอบหนึ่ง ดื่มน้ำชาอินเฉินไปหนึ่งถ้วย พูดคุยกับเซียนซือผู้เฒ่าหนึ่งในสามบรรพจารย์ของสำนักพีหมาอย่างถูกคอ จากนั้นก็อาศัยการช่วยเหลือจากวิชาลับของสำนักพีหมาตรงดิ่งมาที่เมืองชิงหลู หลังจากเดินเที่ยวอยู่หนึ่งรอบ จิตของเทพหญิงกว้าเยี่ยนขยับไหวน้อยๆ แล้วจึงขอร้องให้เจ้านายไปเยือนภูเขาจีเซียว

ตามคำอนุมานของเทพหญิงชุนกวานในปีนั้น หากจะพูดถึงโชควาสนาของภูเขากระจกวิเศษ ก็คือของขวัญพบหน้าชิ้นหนึ่งที่เทพหญิงสิงอวี่จัดเตรียมไว้ให้กับเจ้านาย ถ้าอย่างนั้นบ่อสายฟ้าขนาดเล็กบนภูเขาจีเซียวก็คือของในกระเป๋าของเทพหญิงกว้าเยี่ยน

แม้จะบอกว่าไม่ว่าจะเป็นขนาดหรือระดับขั้นก็ล้วนอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับบ่อสายฟ้าของภูเขาห้อยหัวได้ติด แต่ก็เทียบเท่ากับโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าประหนึ่งอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง

ขณะเดียวกันเทพหญิงชุนกวานยังอนุมานว่าโชควาสนาของสองสถานที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นกระจกของภูเขากระจกวิเศษหรือบ่อสายฟ้า หากคว้าเอาไว้ได้ หลังจากนี้ยังจะมีโชควาสนาบนมหามรรคาอย่างอื่นตามมาอีก นี่ต่างหากจึงจะเป็นความลี้ลับที่สำคัญอย่างแท้จริง

เพียงแต่ว่ารูปธรรมคืออะไร ก็เหมือนกับตัวตนที่แท้จริงของพวกนางที่ราวกับว่ายังมีสิ่งกีดขวางหนาชั้นวางอยู่เบื้องหน้า ไม่อาจฝ่าทะลุไปได้

ทั้งสองคนที่ถือว่าเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันแล้วทะยานลมเดินทางไกลไปด้วยกัน

เทพหญิงกว้าเยี่ยนมีนิสัยตรงไปตรงมา นางยิ้มกล่าวว่า “ข้าโชคดีกว่าพี่หญิงสิงอวี่เยอะเลย ไปเจอกับเจ้าคนที่สภาพจิตใจไม่ได้เรื่องเช่นนั้น แถมยังต้องติดตามเขาไปอีกหกสิบปี หากเปลี่ยนมาเป็นข้า คงกลุ้มใจตายเป็นแน่ คนหนุ่มผู้นั้นเมื่อเทียบกับนายท่านแล้วก็ห่างชั้นไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้จริงๆ”

บุรุษระอาใจเล็กน้อย แต่กลับเอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ฮว่อหลิง อย่าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น นับแต่โบราณมา คนที่เอาชนะตัวเองได้ ยอดเยี่ยมกว่าชนะผู้อื่น”

เทพหญิงกว้าเยี่ยนผงกศีรษะรับพลางยิ้มบางๆ “ทราบแล้ว นายท่าน”

พอขยับเข้าใกล้ภูเขาจีเซียว อารมณ์ของนางก็ลิงโลดอย่างถึงที่สุด โดยไม่มีเหตุผล นางแค่มองไปยังทะเลเมฆที่ล้อมวนอยู่ตรงกึ่งกลางภูเขาก็รู้สึกอารมณ์ดีแล้ว พอมองทะเลเมฆที่อยู่ตรงจุดสูงเหนือยอดเขาก็ยิ่งปิติยินดีเข้าไปใหญ่

นางดึงมือของบุรุษแล้วบินทะยานเหนือทะเลเมฆที่ลอยตัวอยู่ชั้นล่างไปอย่างรวดเร็ว สายฟ้าที่แลบแปลบปลาบเชื่องและว่าง่ายผิดปกติเมื่อพบเจอนาง ไม่ได้เปิดฉากการโจมตีใดๆ กลับกันยังกระโดดเด้งเบาๆ อยู่บนพื้นผิวของทะเลเมฆ แสดงความใกล้ชิดสนิทสนมกับนางอย่างถึงที่สุด

พอขยับเข้าใกล้ยอดเขาของภูเขาจีเซียว คนทั้งสองก็หยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศ เทพหญิงกว้าเยี่ยนชี้ไปยังแผ่นหินที่อยู่บนยอดเขาแล้วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “นายท่าน อ่านตัวอักษรพวกนั้นออกหรือไม่?”

บุรุษมองแวบหนึ่งแล้วก็พยักหน้ารับ “บ่อชำระกระบี่เรือนโต้วซู คือสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่ขุนพลเทพกรมสายฟ้าในยุคบรรพกาลใช้ชำระล้างอาวุธ เรือนโต้วซูถือเป็นหนึ่งในหนึ่งจวนสองเรือนสามกอง เคยมีค่ำคืนหนึ่งที่ข้าเหมือนถอดจิตหยินเดินทางไกลอยู่ในความฝัน แล้วก็ได้ผ่านซากปรักของสองเรือนหนึ่งกอง เพียงแต่ว่าพอตื่นจากฝันกลับจดจำภาพที่ได้เห็นไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันลี้ลับมหัศจรรย์อย่างมาก”

เทพหญิงกว้าเยี่ยนเบิกบานใจสุดขีด

นางหลุบตามองลงต่ำ แต่แล้วจู่ๆ ก็พลันขมวดคิ้ว

บุรุษถามอย่างสงสัย “เป็นอะไรไป?”

ไอสังหารผุดท่วมร่างของเทพหญิงกว้าเยี่ยน “นายท่าน แส้สายฟ้าหายไปหลายเส้นเลย! ไม่รู้ว่าเป็นโจรชั่วคนไหนที่ขโมยไป หรือว่ามีปีศาจของสถานที่แห่งนี้ยึดครองไปเป็นของส่วนตัวแล้ว!”

บุรุษส่ายหน้า “ในเมื่อเป็นโชควาสนา ไม่ว่าจะเป็นคนอื่นที่ขโมยไปหรือปีศาจของที่นี่ที่ยึดครองไปเป็นของตน ก็ล้วนถือเป็นชะตาฟ้าลิขิต ไม่จำเป็นต้องโมโหหรอก”

เทพหญิงกว้าเยี่ยนร้องอ้อหนึ่งที

จากนั้นก็คลี่ยิ้มกว้าง นางปลดจานฝนหมึกขนาดเล็กที่สลักคำว่า ‘ฟ้าแลบ’ ตรงเอวลงมาแล้วโยนไปเบื้องหน้า

บนยอดเขาของภูเขาจีเซียวก็พลันปรากฏภาพเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ตระการตาน่าตื่นตะลึง

เห็นเพียงว่าบ่อสายฟ้าทั้งบ่อทะยานขึ้นสูง ทั้งทะเลเมฆและสายฟ้าต่างก็พุ่งหายเข้าไปในจานฝนหมึก

ประมาณหนึ่งเค่อต่อมา เทพหญิงกว้าเยี่ยนก็ตวาดเบาๆ ว่า “กลับมา”

จานฝนหมึกพุ่งกลับเข้ามาในมือของนาง แล้วนางก็ยื่นส่งให้กับบุรุษ “นายท่านเชิญดู”

บุรุษก้มหน้าลงมอง ในจานฝนหมึกโบราณบรรจุบ่อสายฟ้าที่เหมือนกับน้ำหมึกสีทองหนึ่งอ่างไว้จนเต็ม

ไม่พูดว่าอัศจรรย์ใจไม่ได้

บุรุษบอกให้นางเก็บจานฝนหมึกโบราณเอาไว้ แล้วทอดสายตามองไปยังทิศไกล “ควรกลับบ้านเกิดได้แล้ว”

เทพหญิงกว้าเยี่ยนเอ่ยสัพยอกอย่างซุกซน “แบบนี้จะถือว่านายท่านสวมชุดผ้าแพรกลับคืนสู่บ้านเกิดได้หรือไม่? ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณข้านะ จะขอบคุณอย่างไร ง่ายมากเลย ได้ยินมาว่าม่านฟ้าของหลิวเสียทวีปสูงมาก เป็นเหตุให้มีอสนีทั้งห้าอยู่ครบถ้วน นายท่านจะต้องพาข้าไปกินให้อิ่ม!”

บุรุษหลุดหัวเราะพรืด นับว่าหาได้ยากที่นางก็มีช่วงเวลานิสัยซุกซนเป็นเด็กแบบนี้เหมือนกัน

……

ทางฝั่งของภูเขาตี้หย่ง

บัณฑิตถูกปีศาจโอสถทองกลุ่มใหญ่ไล่ฆ่าจนมีสภาพกระเซอะกระเซิง เขาเผ่นหนีไปรอบด้าน และยิ่งมีภูตผีโอสถทองที่ได้ครอบครองค่ายกลใหญ่ปกป้องขุนเขาตี้หย่ง มันถึงขนาดยอมให้รากภูเขาปริแตกและโชคชะตาน้ำถูกทำลาย ก็ต้องฝืนรักษาเขตอาคมที่อยู่ใต้ดินและอยู่บนจุดสูงให้มั่นคงให้จงได้ เพื่อป้องกันไม่ให้บัณฑิตใช้วิชาประหลาดหนีหายไป หากมีแค่อาคมเล็กน้อยนี่ อันที่จริงบัณฑิตก็คงเผ่นหนีไปได้นานแล้ว คิดไม่ถึงว่าผีโอสถทองที่แขวนชื่อไว้ในนครกรงขาวจะยังมีสมบัติประหลาดน่าเหลือเชื่ออีกชิ้นหนึ่งที่สามารถตามติดร่างของบัณฑิต ทั้งไม่ทำลายดวงวิญญาณของเขา แต่ก็สามารถตามติดเขาได้ดั่งเงา ไม่ว่าจะขับไล่อย่างไรก็ไล่ไปไม่พ้น

บัณฑิตกลิ้งตัวกลางอากาศหนึ่งตลบ หลบพ้นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่ถูกโยนเข้าใส่มาได้อย่างหวุดหวิด ฝุ่นผงตลบคลุ้งอยู่กลางอากาศ

เขาพลันยิ้มกว้าง พุ่งตัวไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “พี่ชายคนดี!”

เฉินผิงอันที่ปรากฏตัวด้วยรูปโฉมของผู้เฒ่ากระตุกมุมปาก เอ่ยเบาๆ ว่า “พี่มู่เม่า”

ภาพเหตุการณ์ต่อมาทำให้ปีศาจทุกตนมึนงงจนต้องหันมามองหน้ากันเอง แต่ละคนถึงกับหยุดการไล่ฆ่า

บัณฑิตผู้นั้นใช้สองนิ้วคีบยันต์สีทองแผ่นหนึ่งออกมา

แล้วขว้างเข้าใส่พันธมิตรที่ดูเหมือนว่าจะมาช่วยเหลืออย่างกะทันหัน

ส่วนคนผู้นั้นก็ชักกระบี่ออกจากฝัก เงื้อกระบี่ฟันฉับเข้าใส่ยันต์ที่ระเบิดแสงสีทองเหมือนดวงอาทิตย์ลอยขึ้นกลางมหาสมุทร

ริ้วคลื่นลมปราณระลอกยักษ์ซัดกระจายไปสี่ด้านแปดทิศ

ประหนึ่งมีภูเขาลูกหนึ่งถูกขว้างลงในทะเลสาบ

ในขณะที่แสงกระบี่สลายหายไปเหมือนกับยันต์

นาทีนั้นพลังอำนาจทั่วร่างของบัณฑิตก็เปลี่ยนแปลงไป ดวงตาของเขาฉายประกายเจิดจ้า ถึงขั้นจงใจเก็บปราณวิญญาณทั้งหมดไป นี่คือการกระทำที่ยอมให้คนอื่นปลิดชีพตนได้ตามใจปรารถนา บัณฑิตกระโจนเข้าใส่เฉินผิงอันพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “ฟันเงามืดที่ตามติดร่างข้าทิ้งไปก่อน จากนั้นก็หนีไปด้วยกัน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ ส่งหนึ่งกระบี่ออกไป ฟันเงามืดเสี้ยวนั้นทิ้งได้อย่างพอดิบพอดี

บัณฑิตที่เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก กำลังจะเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายจากใจจริง

หนึ่งหมัดก็พุ่งมาถึง

ดวงตาสองข้างมืดดำ

ท่านปู่เจ้าเถอะ

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 496.6 พี่ชายคนดี

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 496.6 พี่ชายคนดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยางฉงเสวียนเอ่ยเหน็บแนม “ดีนักนะ นับว่าพอจะมีกลเม็ดเด็ดพรายอยู่บ้าง แต่เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าแซ่อะไร? เรื่องของการเขียนยันต์และค่ายกล ตลอดทั้งอุตรกุรุทวีปแห่งนี้ สกุลหยางของพวกเราคือต้นตำรับแท้อย่างสมชื่อ!”

มารดามันเถอะ พอคิดถึงเรื่องนี้ หยางฉงเสวียนก็อดนึกถึงหลิวจิ่งหลงผู้นั้นขึ้นมาอีกไม่ได้ แล้วจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าโทสะผุดพุ่งมาจากไหน เขาจึงไม่ใช้วิชาที่ถ่ายทอดจากตระกูลมาทำลายค่ายกลแห่งนี้ แต่หมุนตัวหนึ่งรอบพลางออกหมัดรัวเร็ว ปล่อยพายุหมัดให้ระเบิดไปสี่ด้านแปดทิศ หยางฉงเสวียนพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังลั่น “ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะประคับประคองดินแดนมายาอำพรางตาแห่งนี้ได้นานแค่ไหน!”

ท่าทางของหยางฉงเสวียนเหมือนปีศาจที่บ้าคลั่ง ประหนึ่งเทวบุตรมารที่เยื้องกรายมาเยือนโลกมนุษย์ ไหนเลยจะมีภาพบรรยากาศที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตโอสถทองทั่วไปสมควรมีอยู่อีก?

ริมตลิ่งของธารน้ำลึก เจี่ยงชวีเจียงเห็นเพียงว่าเทพหญิงสิงอวี่เดินลงน้ำทีละก้าวไปอย่างเชื่องช้า กระจกน้ำด้านหน้าส่ายไหวโงนเงน ปริแตกอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถูกนางใช้น้ำในลำธารลึกมาซ่อมแซมผิวกระจกอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

เทพหญิงสิงอวี่พยายามประคับประคองกระจกน้ำอย่างยากลำบาก ในใจร้องโอดครวญไม่หยุด นางไม่ได้เร่งให้คนทั้งสามที่อยู่เบื้องหลังออกไปจากภูเขากระจกวิเศษอีกแล้ว เพราะนางแน่ใจอย่างถึงที่สุดว่าพวกเขาต้องหนีไม่รอดอย่างแน่นอน

ต่อให้ออกไปจากภูเขากระจกวิเศษได้ ก็ยังต้องถูกเจ้าคนบ้าผู้นี้ไล่ตามไปอยู่ดี

จุดจบถูกกำหนดมาเรียบร้อยแล้ว

ต่อให้ดึงดูดเอาโชคชะตาน้ำของธารลึกกลางภูเขากระจกวิเศษมาอย่างกำเริบเสิบสาน อย่างมากสุดนางก็ประคับประคองตัวอยู่ได้แค่ครึ่งก้านธูปเท่านั้น หรืออาจจะสั้นยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ

เจี่ยงชวีเจียงสีหน้าซีดขาว พึมพำว่า “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ไม่ควรเป็นเช่นนี้นี่นา”

ในที่สุดจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกก็สังเกตเห็นสภาพอันน่าสังเวชของบุตรสาวตน เขานั่งยองอยู่ข้างกายนาง แต่กลับไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย จิ้งจอกเฒ่าร้อนใจราวกับถูกไฟเผา ในที่สุดก็เริ่มเสียใจภายหลังที่ไม่ยอมเชื่อคำของบุตรชายโง่ผู้นั้น

หยางฉงเสวียนยืนนิ่งอยู่ในเขตมายากระจกน้ำ “อุ่นเครื่องเสร็จแล้ว ไม่เล่นแล้ว”

สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วตั้งท่าหมัด ประหนึ่งขุนพลสวรรค์องค์เทพบรรพกาลที่เตรียมจะผ่าสายน้ำ นี่ก็คือกระบวนท่าหมัดของภาพองค์เทพประลองยุทธ์ที่สืบทอดมาจากตระกูลซึ่งเขาบรรลุมาได้ตอนเป็นเด็กหนุ่ม

กระจกน้ำแตกกระจาย เหมือนตะเกียงแก้วดวงหนึ่งที่หล่นพื้นแล้วกระจัดกระจายไปสี่ทิศ

เทพหญิงสิงอวี่จึงได้แต่เปลี่ยนวิชาอภินิหาร บังคับโชคชะตาน้ำของธารน้ำลึกให้กลายมาเป็นเสื้อเกราะตัวหนึ่งที่ห่มอยู่บนร่าง พยายามจะขัดขวางการบุกรุดหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างสุดกำลัง

เพียงแต่ว่าชั่วพริบตาเดียวคนผู้นั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยทะลุหน้าท้องของนางแล้วชักแขนออกช้าๆ จากนั้นมืออีกข้างหนึ่งก็อ้อมมาด้านหลัง จับกระชากศีรษะของนางแล้วโยนร่างนางทิ้งลงบนพื้น สุดท้ายยกเท้ากระทืบลงบนหน้าผากของนาง ก้มหน้ามองไปพลางจุ๊ปากยิ้ม “ไม่เสียแรงที่เป็นเทพหญิง พอๆ กับร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำพวกนั้นจริงๆ ขนาดเลือดสดก็ยังเป็นสีทอง อีกทั้งหากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป เมื่อเจอกับหมัดนี้ของข้า ร่างก็น่าจะแหลกเป็นจุลไปแล้ว ไม่เลวๆ รอให้ข้าเอากระจกวิเศษมาได้เมื่อไหร่ ข้าค่อยปล่อยให้เจ้าฟื้นคืนพลังต้นกำเนิด แล้วเจ้ากับข้ามาต่อสู้กันอีกครั้ง วางใจเถอะ หากทำเรื่องสำคัญเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ข้าจะออกหมัดให้ช้ากว่าเดิมสามส่วน พละกำลังก็น้อยกว่าเดิมสามส่วน จะไม่รีบรบรีบจบแบบนี้แน่นอน บุรุษหากเร็วเกินไปก็ไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่”

คำพูดที่ออกจากปากของหยางฉงเสวียนฟังดูแล้วเกรงอกเกรงใจ แต่จู่ๆ เขากลับเพิ่มพละกำลังฝีเท้า กดให้ศีรษะของเทพหญิงสิงอวี่จมหายไปในหินสีขาวหิมะ เป็นเหตุให้นางไม่สามารถดึงเอาโชคชะตาน้ำมาจากธารลึกกลางภูเขาได้อีก

หยางฉงเสวียนค้อมตัวลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากยังถ่วงเวลาการทำธุระสำคัญของข้าอยู่อีก ข้าจะกระทืบให้คอของเจ้าหัก”

เทพหญิงสิงอวี่พยายามดิ้นรนอย่างสุดแรง นิ้วของนางขยับน้อยๆ ยังคงพยายามจะดึงเอาโชคชะตาน้ำที่อยู่ในธารลึกนั้นออกมา

เทพหญิงทั้งเก้าท่านในนครปี้ฮว่า หลังเดินออกมาจากม้วนภาพวาดแล้ว ขอแค่เจอกับเส้นแบ่งความเป็นความตายก็ล้วนใจเด็ดเช่นนี้ ไม่เคยกล่าวโทษตำหนิใคร

และในขณะที่หยางฉงเสวียนคิดจะจัดการกับเทพหญิงอย่างเด็ดขาดนั้นเอง

น้ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาบนยอดเขาของภูเขากระจกวิเศษเบาๆ

“เป็นเศษสวะจริงๆ เสียด้วย”

หยางฉงเสวียนแหงนหน้ามองไป แล้วยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้มาที่ตัวเอง “คงไม่ได้หมายถึงข้าหรอกกระมัง?”

สตรีอ่อนโยนผู้หนึ่งที่หน้าตาไม่นับว่างดงามสักเท่าไหร่ ตรงเอวห้อยตราประทับสิงห์ชิ้นหนึ่งกระโดดลงมาจากยอดเขาเบาๆ

ความคิดของหยางฉงเสวียนแล่นเร็วจี๋ กำลังจะกระทืบเทพหญิงสิงอวี่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าให้ตายไป

หญิงสาวผู้นั้นกลับชิงยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าทำแบบนั้นดีกว่า”

ต่อให้เห็นความสามารถอันเลิศล้ำค้ำฟ้าในด้านการต่อสู้ประชิดตัวของหยางฉงเสวียนมากับตาตัวเอง แต่สตรีก็ยังคงเดินเข้าหาหยางฉงเสวียนช้าๆ

ไม่เพียงเท่านี้ นางยังดีดนิ้วสองครั้งทำให้เจี่ยงชวีเจียงและจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกกระเด็นออกไปต่อหน้าหยางฉงเสวียนด้วย

สตรีชำเลืองมองเทพหญิงสิงอวี่ที่มีสภาพอเนจอนาถแวบหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยแววเยาะหยัน “วสันต์ฤดูเก้าปี วันที่สิบเดือนสามตามปฏิทินราชวงศ์โจว ฝนตกฟ้าผ่าลงมาเนิ่นนานแล้ว ในชุนชิวบันทึกวันเริ่มต้น (ซูสื่อหมายถึงวันเริ่มต้นของการบันทึก) ตั้งชื่อนี้มาอย่างเสียเปล่าจริงๆ”

หยางฉงเสวียนยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม เก็บพละกำลังตรงเท้ากลับมา ถามว่า “เจ้าคือ?”

สตรีเอ่ย “หลี่หลิ่ว”

หยางฉงเสวียนยกฝ่ามือขึ้นลูบคลำปลายคาง “ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

สีหน้าของหลี่หลิ่วกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เอ่ยช้าๆ ว่า “เกี่ยวกับคำทำนายของกระจกบานนี้ เป็นข้าที่บอกแก่บรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาคนนั้นของตระกูลเจ้าเอง เวลานั้นเขายังสวมกางเกงเปิดก้นอยู่เลยนะ ตอนนั้นตระกูลหยางของพวกเจ้ายังยากจน กางเกงของเจ้าเด็กน้อยนั่นมีแต่รอยปะชุน ปิดไอ้จ้อนเอาไว้ไม่อยู่ แล้วก็ปิดก้นไม่ได้ด้วย”

หยางฉงเสวียนหัวเราะร่าเสียงดัง อีกนิดเดียวก็เกือบจะน้ำตาไหลอยู่แล้ว

มารดามันเถอะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขายังไม่เคยได้ยินเรื่องตลกที่ชวนหัวขนาดนี้มาก่อน

หลี่หลิ่วเองก็หัวเราะ ดวงตาทั้งคู่โค้งลงราวกับกิ่งหลิว ดูอ่อนโยนนุ่มนวล น่ามองอย่างถึงที่สุด

อยู่ดีๆ หยางฉงเสวียนก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา

เขาจึงหัวเราะไม่ค่อยออกสักเท่าไหร่

หยางฉงเสวียนถามหยั่งเชิง “ที่สี่? แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับทำให้แม้แต่หลิวจิ่งหลงก็ยังจนปัญญาผู้นั้น?”

สตรีผู้นั้นเอียงศีรษะน้อยๆ ยิ้มจนตาหยี ถามกลับไปหนึ่งประโยคว่า “หลิวจิ่งหลง? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

หยางฉงเสวียนเบิกตากว้าง

โอ้โหแหะ สตรีผู้นี้ใช้ได้เลยนี่นา เสแสร้งเก่งกว่าตนเสียอีก ของชอบเขาเลย!

เพียงแต่ว่าหยางฉงเสวียนก็อดรู้สึกสับสนนิดๆ ไม่ได้ ครั้งนั้นก่อนจะเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง มียอดฝีมือคนหนึ่งช่วยทำนายให้ตนบอกว่าช่วงสิบปีนี้ให้ระวังตัวสักหน่อย เพราะจะถูกสตรีทำร้าย

ตอนนั้นเขายังเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองจะเจอชะตาดอกท้อ ดังนั้นทุกครั้งที่เจอสาวงาม เขาก็จะต้องกลัดกลุ้มทุกที

ถึงอย่างไรก็ยังเป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัว หากตกอยู่ในกับดักทัณฑ์รักก็ค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่บ้าง

แต่คำทำนายนั้นคงไม่ได้หมายความว่าตนจะถูกสตรีตรงหน้าผู้นี้ทำร้ายจนบาดเจ็บหรอกกระมัง?

คนทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ห้าก้าว ในที่สุดนางก็หยุดยืนนิ่ง

นางเอ่ยว่า “คิดจะฆ่าเจ้าค่อนข้างยาก เพราะค่าตอบแทนค่อนข้างมาก”

ดูเหมือนว่านางจะกำลังกลุ้มใจ

ทว่าหยางฉงเสวียนกลับทำท่าเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ

ต่อให้เผชิญหน้ากับเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามเสวียนตูเล็ก เขาก็ยังไม่เคยระแวดระวังขนาดนี้มาก่อน

……

เฉินผิงอันแฝงตัวเข้ามาในอาณาเขตของภูเขาตี้หย่งได้ไม่นานเท่าไหร่

คนต่างถิ่นคนหนึ่งที่มาจากหลิวเสียทวีปและเทพหญิงกว้าเยี่ยนที่เป็นผู้ทำให้ภาพวาดสีสันบนฝาผนังของนครกลายเป็นเค้าโครงลายเส้นก่อนใคร หลังจากที่ออกมาจากนครปี้ฮว่าแล้วก็ขึ้นเขาไปด้วยกัน พวกเขาไปที่ศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมามาก่อนรอบหนึ่ง ดื่มน้ำชาอินเฉินไปหนึ่งถ้วย พูดคุยกับเซียนซือผู้เฒ่าหนึ่งในสามบรรพจารย์ของสำนักพีหมาอย่างถูกคอ จากนั้นก็อาศัยการช่วยเหลือจากวิชาลับของสำนักพีหมาตรงดิ่งมาที่เมืองชิงหลู หลังจากเดินเที่ยวอยู่หนึ่งรอบ จิตของเทพหญิงกว้าเยี่ยนขยับไหวน้อยๆ แล้วจึงขอร้องให้เจ้านายไปเยือนภูเขาจีเซียว

ตามคำอนุมานของเทพหญิงชุนกวานในปีนั้น หากจะพูดถึงโชควาสนาของภูเขากระจกวิเศษ ก็คือของขวัญพบหน้าชิ้นหนึ่งที่เทพหญิงสิงอวี่จัดเตรียมไว้ให้กับเจ้านาย ถ้าอย่างนั้นบ่อสายฟ้าขนาดเล็กบนภูเขาจีเซียวก็คือของในกระเป๋าของเทพหญิงกว้าเยี่ยน

แม้จะบอกว่าไม่ว่าจะเป็นขนาดหรือระดับขั้นก็ล้วนอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับบ่อสายฟ้าของภูเขาห้อยหัวได้ติด แต่ก็เทียบเท่ากับโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าประหนึ่งอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง

ขณะเดียวกันเทพหญิงชุนกวานยังอนุมานว่าโชควาสนาของสองสถานที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นกระจกของภูเขากระจกวิเศษหรือบ่อสายฟ้า หากคว้าเอาไว้ได้ หลังจากนี้ยังจะมีโชควาสนาบนมหามรรคาอย่างอื่นตามมาอีก นี่ต่างหากจึงจะเป็นความลี้ลับที่สำคัญอย่างแท้จริง

เพียงแต่ว่ารูปธรรมคืออะไร ก็เหมือนกับตัวตนที่แท้จริงของพวกนางที่ราวกับว่ายังมีสิ่งกีดขวางหนาชั้นวางอยู่เบื้องหน้า ไม่อาจฝ่าทะลุไปได้

ทั้งสองคนที่ถือว่าเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันแล้วทะยานลมเดินทางไกลไปด้วยกัน

เทพหญิงกว้าเยี่ยนมีนิสัยตรงไปตรงมา นางยิ้มกล่าวว่า “ข้าโชคดีกว่าพี่หญิงสิงอวี่เยอะเลย ไปเจอกับเจ้าคนที่สภาพจิตใจไม่ได้เรื่องเช่นนั้น แถมยังต้องติดตามเขาไปอีกหกสิบปี หากเปลี่ยนมาเป็นข้า คงกลุ้มใจตายเป็นแน่ คนหนุ่มผู้นั้นเมื่อเทียบกับนายท่านแล้วก็ห่างชั้นไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้จริงๆ”

บุรุษระอาใจเล็กน้อย แต่กลับเอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ฮว่อหลิง อย่าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น นับแต่โบราณมา คนที่เอาชนะตัวเองได้ ยอดเยี่ยมกว่าชนะผู้อื่น”

เทพหญิงกว้าเยี่ยนผงกศีรษะรับพลางยิ้มบางๆ “ทราบแล้ว นายท่าน”

พอขยับเข้าใกล้ภูเขาจีเซียว อารมณ์ของนางก็ลิงโลดอย่างถึงที่สุด โดยไม่มีเหตุผล นางแค่มองไปยังทะเลเมฆที่ล้อมวนอยู่ตรงกึ่งกลางภูเขาก็รู้สึกอารมณ์ดีแล้ว พอมองทะเลเมฆที่อยู่ตรงจุดสูงเหนือยอดเขาก็ยิ่งปิติยินดีเข้าไปใหญ่

นางดึงมือของบุรุษแล้วบินทะยานเหนือทะเลเมฆที่ลอยตัวอยู่ชั้นล่างไปอย่างรวดเร็ว สายฟ้าที่แลบแปลบปลาบเชื่องและว่าง่ายผิดปกติเมื่อพบเจอนาง ไม่ได้เปิดฉากการโจมตีใดๆ กลับกันยังกระโดดเด้งเบาๆ อยู่บนพื้นผิวของทะเลเมฆ แสดงความใกล้ชิดสนิทสนมกับนางอย่างถึงที่สุด

พอขยับเข้าใกล้ยอดเขาของภูเขาจีเซียว คนทั้งสองก็หยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศ เทพหญิงกว้าเยี่ยนชี้ไปยังแผ่นหินที่อยู่บนยอดเขาแล้วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “นายท่าน อ่านตัวอักษรพวกนั้นออกหรือไม่?”

บุรุษมองแวบหนึ่งแล้วก็พยักหน้ารับ “บ่อชำระกระบี่เรือนโต้วซู คือสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่ขุนพลเทพกรมสายฟ้าในยุคบรรพกาลใช้ชำระล้างอาวุธ เรือนโต้วซูถือเป็นหนึ่งในหนึ่งจวนสองเรือนสามกอง เคยมีค่ำคืนหนึ่งที่ข้าเหมือนถอดจิตหยินเดินทางไกลอยู่ในความฝัน แล้วก็ได้ผ่านซากปรักของสองเรือนหนึ่งกอง เพียงแต่ว่าพอตื่นจากฝันกลับจดจำภาพที่ได้เห็นไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันลี้ลับมหัศจรรย์อย่างมาก”

เทพหญิงกว้าเยี่ยนเบิกบานใจสุดขีด

นางหลุบตามองลงต่ำ แต่แล้วจู่ๆ ก็พลันขมวดคิ้ว

บุรุษถามอย่างสงสัย “เป็นอะไรไป?”

ไอสังหารผุดท่วมร่างของเทพหญิงกว้าเยี่ยน “นายท่าน แส้สายฟ้าหายไปหลายเส้นเลย! ไม่รู้ว่าเป็นโจรชั่วคนไหนที่ขโมยไป หรือว่ามีปีศาจของสถานที่แห่งนี้ยึดครองไปเป็นของส่วนตัวแล้ว!”

บุรุษส่ายหน้า “ในเมื่อเป็นโชควาสนา ไม่ว่าจะเป็นคนอื่นที่ขโมยไปหรือปีศาจของที่นี่ที่ยึดครองไปเป็นของตน ก็ล้วนถือเป็นชะตาฟ้าลิขิต ไม่จำเป็นต้องโมโหหรอก”

เทพหญิงกว้าเยี่ยนร้องอ้อหนึ่งที

จากนั้นก็คลี่ยิ้มกว้าง นางปลดจานฝนหมึกขนาดเล็กที่สลักคำว่า ‘ฟ้าแลบ’ ตรงเอวลงมาแล้วโยนไปเบื้องหน้า

บนยอดเขาของภูเขาจีเซียวก็พลันปรากฏภาพเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ตระการตาน่าตื่นตะลึง

เห็นเพียงว่าบ่อสายฟ้าทั้งบ่อทะยานขึ้นสูง ทั้งทะเลเมฆและสายฟ้าต่างก็พุ่งหายเข้าไปในจานฝนหมึก

ประมาณหนึ่งเค่อต่อมา เทพหญิงกว้าเยี่ยนก็ตวาดเบาๆ ว่า “กลับมา”

จานฝนหมึกพุ่งกลับเข้ามาในมือของนาง แล้วนางก็ยื่นส่งให้กับบุรุษ “นายท่านเชิญดู”

บุรุษก้มหน้าลงมอง ในจานฝนหมึกโบราณบรรจุบ่อสายฟ้าที่เหมือนกับน้ำหมึกสีทองหนึ่งอ่างไว้จนเต็ม

ไม่พูดว่าอัศจรรย์ใจไม่ได้

บุรุษบอกให้นางเก็บจานฝนหมึกโบราณเอาไว้ แล้วทอดสายตามองไปยังทิศไกล “ควรกลับบ้านเกิดได้แล้ว”

เทพหญิงกว้าเยี่ยนเอ่ยสัพยอกอย่างซุกซน “แบบนี้จะถือว่านายท่านสวมชุดผ้าแพรกลับคืนสู่บ้านเกิดได้หรือไม่? ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณข้านะ จะขอบคุณอย่างไร ง่ายมากเลย ได้ยินมาว่าม่านฟ้าของหลิวเสียทวีปสูงมาก เป็นเหตุให้มีอสนีทั้งห้าอยู่ครบถ้วน นายท่านจะต้องพาข้าไปกินให้อิ่ม!”

บุรุษหลุดหัวเราะพรืด นับว่าหาได้ยากที่นางก็มีช่วงเวลานิสัยซุกซนเป็นเด็กแบบนี้เหมือนกัน

……

ทางฝั่งของภูเขาตี้หย่ง

บัณฑิตถูกปีศาจโอสถทองกลุ่มใหญ่ไล่ฆ่าจนมีสภาพกระเซอะกระเซิง เขาเผ่นหนีไปรอบด้าน และยิ่งมีภูตผีโอสถทองที่ได้ครอบครองค่ายกลใหญ่ปกป้องขุนเขาตี้หย่ง มันถึงขนาดยอมให้รากภูเขาปริแตกและโชคชะตาน้ำถูกทำลาย ก็ต้องฝืนรักษาเขตอาคมที่อยู่ใต้ดินและอยู่บนจุดสูงให้มั่นคงให้จงได้ เพื่อป้องกันไม่ให้บัณฑิตใช้วิชาประหลาดหนีหายไป หากมีแค่อาคมเล็กน้อยนี่ อันที่จริงบัณฑิตก็คงเผ่นหนีไปได้นานแล้ว คิดไม่ถึงว่าผีโอสถทองที่แขวนชื่อไว้ในนครกรงขาวจะยังมีสมบัติประหลาดน่าเหลือเชื่ออีกชิ้นหนึ่งที่สามารถตามติดร่างของบัณฑิต ทั้งไม่ทำลายดวงวิญญาณของเขา แต่ก็สามารถตามติดเขาได้ดั่งเงา ไม่ว่าจะขับไล่อย่างไรก็ไล่ไปไม่พ้น

บัณฑิตกลิ้งตัวกลางอากาศหนึ่งตลบ หลบพ้นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่ถูกโยนเข้าใส่มาได้อย่างหวุดหวิด ฝุ่นผงตลบคลุ้งอยู่กลางอากาศ

เขาพลันยิ้มกว้าง พุ่งตัวไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “พี่ชายคนดี!”

เฉินผิงอันที่ปรากฏตัวด้วยรูปโฉมของผู้เฒ่ากระตุกมุมปาก เอ่ยเบาๆ ว่า “พี่มู่เม่า”

ภาพเหตุการณ์ต่อมาทำให้ปีศาจทุกตนมึนงงจนต้องหันมามองหน้ากันเอง แต่ละคนถึงกับหยุดการไล่ฆ่า

บัณฑิตผู้นั้นใช้สองนิ้วคีบยันต์สีทองแผ่นหนึ่งออกมา

แล้วขว้างเข้าใส่พันธมิตรที่ดูเหมือนว่าจะมาช่วยเหลืออย่างกะทันหัน

ส่วนคนผู้นั้นก็ชักกระบี่ออกจากฝัก เงื้อกระบี่ฟันฉับเข้าใส่ยันต์ที่ระเบิดแสงสีทองเหมือนดวงอาทิตย์ลอยขึ้นกลางมหาสมุทร

ริ้วคลื่นลมปราณระลอกยักษ์ซัดกระจายไปสี่ด้านแปดทิศ

ประหนึ่งมีภูเขาลูกหนึ่งถูกขว้างลงในทะเลสาบ

ในขณะที่แสงกระบี่สลายหายไปเหมือนกับยันต์

นาทีนั้นพลังอำนาจทั่วร่างของบัณฑิตก็เปลี่ยนแปลงไป ดวงตาของเขาฉายประกายเจิดจ้า ถึงขั้นจงใจเก็บปราณวิญญาณทั้งหมดไป นี่คือการกระทำที่ยอมให้คนอื่นปลิดชีพตนได้ตามใจปรารถนา บัณฑิตกระโจนเข้าใส่เฉินผิงอันพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “ฟันเงามืดที่ตามติดร่างข้าทิ้งไปก่อน จากนั้นก็หนีไปด้วยกัน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ ส่งหนึ่งกระบี่ออกไป ฟันเงามืดเสี้ยวนั้นทิ้งได้อย่างพอดิบพอดี

บัณฑิตที่เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก กำลังจะเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายจากใจจริง

หนึ่งหมัดก็พุ่งมาถึง

ดวงตาสองข้างมืดดำ

ท่านปู่เจ้าเถอะ

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+