กระบี่จงมา 497.1 นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 497.1 นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

รอจนบัณฑิตฟื้นตื่นขึ้นมาก็รู้สึกปวดหัวราวกับหัวจะแตก เขาพบว่าตัวเองอยู่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง ห่างไปไม่ไกลก็คือสะพานเหล็กแขวนเส้นยาวที่ส่ายไหวเบาๆ ไปตามสายลมภูเขาเหมือนงูยาวตัวหนึ่งที่หัวกับหางแยกกันห้อยอยู่ระหว่างกิ่งไม้สองกิ่ง

ชุดคลุมบนร่างของตนที่มีชื่อว่าเทาเที่ยร้อยตาตัวนั้นไม่อยู่แล้ว ยันต์ที่ทำขึ้นด้วยวิชาลับของตระกูลซึ่งเดิมทีเก็บไว้ในชายแขนเสื้อแน่นอนว่าหายเข้าไปในกระเป๋าของคนอื่นเช่นกัน

อีกทั้งยังถูกเชือกพันธนาการปีศาจสีทองเส้นหนึ่งมัดเอาไว้ ก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าเป็นเชือกที่ระดับขั้นไม่ต่ำ ถึงขนาดทำมาจากหนวดยาวของเจียวสองเส้น อายุของเจียวเฒ่าตัวนั้นต้องไม่ใช่น้อยๆ แน่นอน หนวดเจียวหลงของปลาหลีสีเงินในทะเลสาบถงลวี่ เมื่อเทียบกับมันแล้วก็คาดว่าคงเหมือนเผ่าพันธุ์ตำหนักจันทราอย่างปี้สู่เหนียงเนียงที่มาเจอกับคางคกตัวจริงของตำหนักกว่างหานกระมัง? บางทีอาจไม่เกินจริงขนาดนั้น แต่ก็คงไม่หนีกันสักเท่าไหร่

บัณฑิตหลุดหัวเราะพรืดอย่างอดไม่อยู่

เขาไม่ได้ดิ้นรนแต่อย่างใด

เพราะทั้งหว่างคิ้วและด้านหลังหัวใจของตนต่างก็มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งลอยอยู่

ยังดี ขอแค่ไม่ได้ตื่นขึ้นมาท่ามกลางตะเกียงบงกชคืนวิญญาณในศาลบรรพจารย์ของตนดวงนั้นก็ถือว่าไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว

บัณฑิตถอนหายใจ “พี่ชายคนดี ของที่ยืมไป ไม่ช้าก็เร็วต้องคืนข้ามาด้วยนะ”

ห่างไปไม่ไกล จอมยุทธพเนจรหนุ่มสวมงอบคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ที่ริมหน้าผา

คนผู้นั้นไม่เอ่ยวาจา

บัณฑิตจึงเอ่ยต่อว่า “พี่ชายคนดี นิสัยที่ชอบปอกลอกเสื้อผ้าของคนอื่นนี้ของเจ้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนะ ชุดคลุมอาคมที่จักรพรรดิกระดูกขาวในคลังสมบัติของปี้สู่เหนียงเนียงสวมใส่ไว้ก็เป็นอย่างที่ข้าพูด แค่แตะก็สลายเป็นฝุ่นผงไม่ใช่หรือ? ชุดคลุมอาคมของผู้ฝึกตนหญิงสำนักชิงเต๋อคนนั้น ข้าก็ไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ ระดับขั้นของมันธรรมดาอย่างถึงที่สุด ก็เหมือนกับถ้วยเหล้าภาชนะที่ใช้บวงสรวงของศาลบรรพจารย์สำนักชิงเต๋อนั่นแหละ ต่างก็เป็นแค่สมบัติวิเศษเท่านั้น ขายก็ได้ราคาไม่ดี เว้นเสียแต่ว่าเจอกับผู้ฝึกตนที่ชอบเก็บสะสมชุดคลุมอาคมถึงจะพอได้กำไรอยู่บ้าง”

เฉินผิงอันยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ

บัณฑิตไม่มีความรู้สึกอับอายจนพานเป็นโกรธแม้แต่น้อย ก็แค่ไม่มีชุดคลุมอาคมที่เอาออกมาโอ้อวดใครไม่ได้ก็เท่านั้น ไม่ได้เนื้อตัวเปลือยเปล่าสักหน่อย แต่ยันต์กระดาษสีทองสามแผ่นนี่แหละที่ค่อนข้างจะเสียดาย แผ่นหนึ่งเป็นสายรองของยันต์ภูเขา มีชื่อว่ายันต์จวนปี้เซียว สามารถจำแลงเป็นจวนของอ๋องในนครเหลยเฉิงของจริงได้ เมื่อผู้ฝึกตนอยู่ในนั้นจะสามารถต้านทานการโจมตีจากสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตของก่อกำเนิดได้หลายครั้ง หากเปลี่ยนมาเป็นโอสถทอง คาดว่าเวลาครึ่งก้านธูปก็อย่าหวังว่าจะเปิดประตูจวนได้ อีกแผ่นหนึ่งคือยันต์แสงสว่างอวี้ชิง เมื่อถูกผู้ฝึกตนโยนออกไปจะสาดส่องความมืดมิด สยบขวัญผีและปีศาจ กินอาณาบริเวณกว้างขวางยิ่ง ปกคลุมฟ้าดินในรัศมีหลายลี้ ไม่ได้มีไว้ใช้รับมือกับผู้ฝึกตนใหญ่ แต่เอาไว้ใช้ฝ่าวงล้อมโดยเฉพาะ

แผ่นสุดท้ายมีค่ามากที่สุด ทำขึ้นจากวิชาลับของตระกูลที่สืบทอดต่อกันมา คือยันต์นภากาศพิฆาต แก่นของยันต์ซ่อนแสงเทพที่มีมูลค่าควรเมืองไว้สี่เส้น หากลงมือเมื่อไหร่ก็จะมีองค์เทพบรรพกาลสี่ท่านอย่างเทพสายฟ้า เจ้าแม่ฟ้าแลบ พ่อปู่วาโย เทพพิรุณปรากฏตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วรวมพลังกันโจมตีศัตรู

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเรือนหลังของตำหนักกว่างหานบนภูเขาโปลั่ว ยันต์ที่บัณฑิตคีบไว้ในชายแขนเสื้อก็คือยันต์ประเภทนี้

เพียงแต่ว่าตอนนั้นอีกฝ่ายก็เจ้าเล่ห์ ทำท่าทางราวกับว่าซุกซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในชายแขนเสื้อเหมือนกัน บัณฑิตไม่แน่ใจในความตื้นลึกของอีกฝ่าย อีกทั้งคนทั้งคู่ยังอยู่ใกล้กันมาก พลานุภาพของยันต์ยิ่งใหญ่เกินไป หากใช้งานขึ้นมาครึ่งหนึ่งของภูเขาโปลั่วก็ต้องถูกปาดทิ้ง เขาไม่อยากจะสังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเองเสียหายแปดร้อย และไม่แน่ว่าอาจจะยังเป็นการเปิดเผยร่องรอยของตัวเอง ถึงได้ข่มปราณสังหารเอาไว้

ส่วนยันต์ที่ภายหลังถูกคนผู้นี้ใช้กระบี่ฟันทิ้งก็มีพลังพิฆาตไม่น้อยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ยิ่งใหญ่ทรงพลังเท่ากับยันต์นภากาศพิฆาต อีกทั้งยังไม่ได้เขียนขึ้นจากวิชาลับของตระกูลด้วย แต่เป็นความสามารถติดตัวของสำนักยันต์แห่งหนึ่งในอุตรกุรุทวีป เอาไว้ใช้กำราบผู้ฝึกกระบี่บนโลกโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าแม้จะเป็นนาทีนั้น แต่บัณฑิตก็ยังไม่ถูกกลุ่มปีศาจบีบบังคับจนถึงขั้นที่ต้องใช้ความสามารถประจำตระกูล เพียงแค่มองดูแล้วสภาพกระเซอะกระเซิงไปหน่อยเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ความคิดที่แท้จริงของเขาก็คือจงใจจะสร้างความเคลื่อนไหวครึกโครมที่กลุ่มภูเขาทั้งหลายต่างก็มองเห็น เพราะบัณฑิตแน่ใจว่าคนผู้นั้นก็ต้องแอบกลับมาอย่างเงียบเชียบแล้วซ่อนตัวอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งอย่างแน่นอน จากนั้นไม่แน่ว่าเมื่อวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างแม่นยำแล้วก็จะลอบฆ่าตน

บัณฑิตหรือจะไม่มีความคิดที่หมายแสดงความอ่อนแอเพื่อฉวยโอกาสนี้สังหารอีกฝ่าย?

น่าเสียดายก็แต่สวรรค์ไม่ทำให้คนสมปรารถนา

สมกับคำว่าธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้งจริงๆ

กระบี่เล่มนั้นของอีกฝ่ายประหลาดอย่างมาก มหัศจรรย์เกินไป ยันต์พันธนาการกระบี่กระดาษสีทองของตำหนักตี้จู่แผ่นหนึ่งกลับไม่สามารถกักขังกระบี่ยาวของอีกฝ่ายได้สำเร็จ ดังนั้นวิชาการหลบหนีที่ตนเตรียมเอาไว้ และยันต์พิฆาตแผ่นที่สองที่ซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อของตนจึงเป็นดั่งวีรบุรุษที่ไร้ที่ให้แสดงฝีมือ ไม่อย่างนั้นหากใช้ยันต์แล้วเขาหลบหนีไปได้สำเร็จ อีกฝ่ายไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส เหลือไว้ให้กลุ่มปีศาจช่วยกันจัดการเก็บกวาด จะยังมีชีวิตรอดได้อีกหรือ?

ยังมีเจ้าหมอนั่นอีกคนที่ยิ่งอืดอาดยืดยาด ถึงเวลาคับขันกลับเลอะเลือน บังคับแย่งเอาอำนาจในการเป็นผู้นำของดวงวิญญาณไปเสียเกินครึ่ง ปลดการป้องกันทั้งหมดที่มีต่อคนผู้นี้ลง แล้วผลล่ะเป็นอย่างไร? ก็ยังถูกอีกฝ่ายปล่อยหมัดต่อยใส่อย่างไม่ลังเลเลยไม่ใช่หรือ? สุดท้ายตนก็ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดี เพราะอีกฝ่ายไม่ได้สังหารคนชิงทรัพย์ ทำลายศพกลบร่องรอยอย่างอำมหิต

ไยนี่จะไม่ใช่ความโชคดีเสี้ยวหนึ่งที่อีกฝ่ายสะสมไว้จากการใจอ่อนมีเมตตา

ไม่อย่างนั้นรอจนตนฟื้นตื่นขึ้นมาในตระกูล แม้ว่าจะพอรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่กลับต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเป็นหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ รากฐานมหามรรคาถูกทำลาย ต่อให้ตระกูลมีวิชาลับที่สามารถชดเชยได้ แต่อย่างน้อยก็ถ่วงเวลาการเลื่อนขอบเขตไปร้อยปี ถึงเวลานั้นมีหรือตระกูลจะยอมละเว้นคนผู้นี้ไปง่ายๆ อย่าว่าแต่ไล่ฆ่าหมื่นลี้เลย ต่อให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดสายตรงของสำนักที่มีคำว่าจงในชื่อของทวีปอื่นก็ยังจะถูกไล่ฆ่าข้ามทวีป สิบปีไม่สำเร็จก็ร้อยปีอยู่ดี

สกุลหยางตำหนักนภากาศที่อยู่ในหน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวนได้รับการยอมรับจากคนทั้งทวีปมาโดยตลอดว่าเห็นแก่บุญคุณความแค้นเป็นสำคัญ การตอบแทนบุญคุณเป็นเรื่องใหญ่ การจดจำความแค้นก็ยาวนาน การแก้แค้นก็ยิ่งอำมหิตมาดร้าย

ยันต์แห่งศาลบรรพจารย์กระดาษทองสามแผ่นที่เหลืออยู่ไม่ได้ถูกนำมาใช้งานก็ดี หรือชุดคลุมอาคมเทาเที่ยร้อยตาตัวนั้นก็ช่าง ต่อให้จะมีมูลค่ามากแค่ไหน แต่จะมีมูลค่าได้เท่าชีวิตและมหามรรคาของผู้ฝึกตนหรือ?

ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้บัณฑิตจึงปล่อยวางได้

บิดากำชับกับตนมาโดยตลอดว่า บนเส้นทางของการฝึกตนต้องเสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ ให้มากหน่อย

บัณฑิตยิ้มถาม “พี่ชายคนดี เจ้าพาข้าฝ่าจากวงล้อมของกลุ่มปีศาจมาได้อย่างไร? คงเปลืองแรงมากเลยกระมัง?”

โคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดเสร็จสิ้น เฉินผิงอันก็เก็บท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูแล้วเอ่ยว่า “ไม่ได้เปลืองแรงสักเท่าไหร่ กลุ่มปีศาจเข่นฆ่ากับเจ้ามานานเกิน เรี่ยวแรงจึงหดหายกันไปหมด อีกทั้งยังกลัวว่านอกจากข้าแล้วยังมีกองหนุนคนอื่นอีก แต่ละตนจึงหวาดกลัวไม่ยอมบุกรุดหน้า การล้อมสังหารก็เป็นแค่การวางท่าพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่ก็ยังโรมรันกันอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายข้าฉวยจังหวะหาช่องว่างได้ก็เลยหนีลงใต้มาถึงที่แห่งนี้ของหุบเขาผีร้าย เพียงแต่ว่าชุดคลุมบนร่างเจ้าถูกอีกฝ่ายดึงเอาไป ข้าขวางไม่ทัน ละอายใจอย่างมาก”

บัณฑิตยิ้มเฝื่อนเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนี้กับกระบี่บินทั้งสองเล่มล่ะ?”

เฉินผิงอันเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เพื่อปกป้องเจ้าอย่างไรล่ะ สถานที่แห่งนี้มีปีศาจใหญ่สองตนกำลังจ้องเขม็งมาที่เจ้าจากสะพานเหล็กนั่น ตัวหนึ่งคือภูตงูเหลือม อีกตัวหนึ่งคือภูตแมงมุม เจ้าเองก็น่าจะมองเห็นแล้ว ข้ากลัวว่าในขณะที่ข้าตั้งใจฝึกตน ชีวิตเจ้าจะมีอันตราย”

บัณฑิตชำเลืองตามองไปทางสะพานเหล็กแขวนเส้นนั้น มีภูตที่น่าสงสารอยู่สองตนก็จริง แต่นั่นเรียกว่า ‘ปีศาจใหญ่’ ได้ด้วยหรือ? แม้แต่ร่างมนุษย์ยังจำแลงออกมาไม่ได้ เห็นเชือกพันธนาการปีศาจที่กำราบพวกมันได้ตั้งแต่กำเนิดเส้นนี้บนร่างของตนแล้วไม่ได้ตกใจขวัญหาย เผ่นหนีไปไกลหลายสิบลี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็เพราะกลัวว่าเมื่อเจ้าฟื้นแล้วจะไม่ฟังคำอธิบายของข้าแม้แต่ครึ่งคำ ลืมตาได้ก็จะตีรันฟันแทงกับข้า ถึงเวลานั้นจะไม่ยิ่งเข้าใจผิดกันหรอกหรือ? ตอนนี้พวกเราทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าได้พูดคุยกันอย่างเปิดอกแล้วไม่ใช่หรือ?”

บัณฑิตพยักหน้ารับ “พี่ชายคนดีไม่เพียงแต่มีจิตใจของจอมยุทธ ที่ยิ่งมีค่าและหาได้ยากยังคงเป็นเรื่องของความรอบคอบละเอียดอ่อน ข้าหาข้อตำหนิไม่เจอเลยจริงๆ!”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “พี่มู่เม่า ตอนนี้สามารถบอกแซ่ของตัวเองได้แล้วกระมัง? เป็นพี่น้องที่ร่วมทุกข์ ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน หากยังปกปิดอยู่ก็คงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”

บัณฑิตยิ้มกว้างสดใส กล่าวอย่างจริงใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “ข้าแซ่หยาง นามมู่เม่า นับตั้งแต่เด็กก็มีชาติกำเนิดมาจากหน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวน เนื่องจากพรสวรรค์ไม่เลว อาศัยความสัมพันธ์จากการที่บรรพบุรุษเป็นขุนนางอยู่ในหน่วยฉงเสวียนมาทุกยุคทุกสมัย จึงโชคดีได้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายในที่เสนาบดีอวี่อีของตำหนักนภากาศตั้งชื่อให้ด้วยตัวเอง ออกเดินทางไกลมาครั้งนี้ก็ลงใต้มาตลอดทาง ก่อนจะมาถึงหุบเขาผีร้าย เงินเทพเซียนบนร่างก็เหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว จึงคิดจะเข้ามากำจัดปีศาจปราบมารเพื่อสะสมบุญในหุบเขาผีร้ายพลางหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ไปด้วย ปีหน้าพอถึงงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของชินอ๋องบางท่านในราชวงศ์ต้าหยวนที่สนิทสนมกับหน่วยฉงเสวียนจะได้หาของขวัญที่เข้าท่าเข้าทีไปมอบให้ได้”

ในเมื่อคนผู้นี้อ่านสองคำว่า ‘ประตูมังกร’ บนแผ่นศิลาออก ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะมองรากฐานของยันต์ทั้งสามแผ่นออกเช่นกัน

ดังนั้นบัณฑิตจึงไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นคนโง่อีก หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายอับอายจนพานเป็นความโกรธแล้วปล่อยหมัดใส่ตนอีกครั้ง

เฉินผิงอันกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “หน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวนนี้ ขนาดข้าที่เป็นคนต่างถิ่นจากทวีปอื่นก็ยังเคยได้ยินชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ดุจฟ้าผ่าข้างหูมาก่อน ไม่ทราบว่าพี่มู่เม่ารู้จักหยางหนิงซิ่งที่เกิดมาก็เป็นเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าผู้นั้นหรือไม่?”

บัณฑิตกลอกตามองบน “ในฐานะลูกศิษย์ฝ่ายในของตำหนักนภากาศ จะไม่รู้จักเทพเซียนน้อยที่มีชื่อเสียงผู้นี้ได้อย่างไร ไม่เพียงแต่รู้จักเขา ข้ายังรู้จักหยางหนิงเจินคุณชายใหญ่ที่ชอบท่องเที่ยวเตร็ดเตร่ไปทั่วทิศผู้นั้นด้วย อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับพวกเขา แน่นอนว่าทายาทผู้สืบทอดของสกุลหยางที่สูงส่งเหนือใครสองท่านนี้ ข้าก็แค่รู้จักพวกเขาสองพี่น้องอย่างผิวเผิน ไม่ถือว่าเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทอะไร”

บัณฑิตเห็นว่าเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็จนปัญญา ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คงไม่ถึงขั้นสอบปากคำตนอย่างเข้มงวดหรอกกระมัง? แต่หากอีกฝ่ายจะทำเช่นนั้นจริง เชือกพันธนาการปีศาจที่เป็นสมบัติอาคมหนึ่งเส้น กับกระบี่บินสองเล่มก็ยังไม่แน่สมอไปว่าจะกักขังตนเอาไว้ได้

เฉินผิงอันพลันเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้เจ้าจูงฝูงหมากลุ่มหนึ่งเที่ยวเล่น ก็เพราะต้องการให้ข้าเข้าใจผิดคิดว่ามีโอกาสตีหมาที่ตกน้ำ แล้วก็ฉวยโอกาสนี้สังหารข้า?”

บัณฑิตคิดจะหาข้ออ้างส่งเดช แต่จู่ๆ ก็พลันขมวดคิ้ว เพราะหว่างคิ้วของเขาปวดแปลบๆ ได้แต่ทอดถอนใจไม่หยุด นาทีถัดมา ร่างทั้งร่างของบัณฑิตก็เปลี่ยนมามีสภาพการณ์แบบใหม่ เหมือนเมื่อตอนแรกสุดที่เขาได้รู้จักเฉินผิงอันแล้วบอกว่าตัวเองมี ‘ปราณหยางบริสุทธิ์เต็มตัว’ ผู้ฝึกลมปราณก็ดี ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็ช่าง ลมปราณล้วนสามารถอำพรางเอาไว้ได้ พลังอำนาจก็เปลี่ยนแปลงได้ มีพียงภาพบรรยากาศที่คนผู้หนึ่งฟูมฟักออกมาเท่านั้นที่ยากจะเสแสร้งแกล้งทำได้

เฉินผิงอันขมวดคิ้วกล่าว “เจ้ามีโรคจิตวิญญาณแตกแยกงั้นหรือ? ทั้งสองฝ่ายต่างก็กำลังช่วงชิงจิตวิญญาณกัน?”

นี่ก็เหมือนกับการที่สองพี่น้องทะเลาะถกเถียง ต่อยตีกันอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง

สำหรับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปแล้ว นี่นับว่าเป็นข้อต้องห้ามใหญ่

และหากเป็นเช่นนี้ เส้นทางการฝ่าทะลุขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณก็จะเหมือนคนขาเป๋ที่เดินขึ้นเขา ยากยิ่งกว่ายาก เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองได้ก็ถือว่าเป็นความโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว คิดจะฝ่าทำลายจิตมารของก่อกำเนิดไปให้ได้ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันโดยสิ้นเชิง

บัณฑิตนั่งตัวตรง สายตากระจ่างใส ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เพื่อช่วยข้าออกมา เจ้าบาดเจ็บไม่น้อย แล้วก็เผาผลาญพลังไปเยอะมาก ยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองที่เจ้าเรียกออกมาช่วงสุดท้ายนั้น ไม่เพียงแต่ล้ำค่า ยังน่าจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับสายยันต์ของตระกูลข้า ดังนั้นชุดคลุมอาคม ‘เทาเที่ยร้อยตา’ และยันต์สามแผ่นที่อยู่ในชายแขนเสื้อก็ถือเสียว่าเป็นของขวัญขอบคุณจากข้าก็แล้วกัน ส่วนข้า แน่นอนว่าไม่ได้ชื่อหยางมู่เม่าอะไรทั้งนั้น แต่มีชาติกำเนิดมาจากหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวนจริง เพียงแต่ว่าคงไม่บอกชื่อแซ่ที่แท้จริงกับเจ้าแล้ว เจ้าเชิญเดาได้ตามสบาย”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “หลังจากที่ ‘เขา’ หมดสติอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกาย อันที่จริง ‘เจ้า’ ก็จะคืนสติมามองฟ้าดินใหญ่ภายนอกได้?”

บัณฑิตพยักหน้ารับ เพียงแต่ว่าไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม

เฉินผิงอันกล่าว “แต่เรื่องที่คิดจะฆ่าข้า คือเจตจำนงดั้งเดิมของเจ้า”

บัณฑิตยิ้มกล่าว “แล้วไยจะไม่ใช่เจตจำนงดั้งเดิมของเจ้าเช่นกันเล่า?”

เฉินผิงอันเงียบงันเป็นคำตอบ

บัณฑิตจึงเอ่ยต่อ “ในเมื่อสุดท้ายแล้วเจ้าเลือกจะช่วยข้า ไม่ใช่ฆ่าข้า ข้ารู้สึกว่าจำเป็นต้องออกมาพบเจ้าสักครั้ง การช่วงชิงบนมหามรรคาในความคิดของข้า ควรจะเปิดเผยตรงไปตรงมา หากเจ้าก็เห็นด้วยในคำกล่าวนี้ พวกเราสามารถเลือกวันเวลาหนึ่ง รอให้ต่างฝ่ายต่างฝึกประสบการณ์สิ้นสุดแล้ว ในอนาคตก็มาต่อสู้ตัดสินเป็นตายกันที่ภูเขาตี่ลี่ดีไหม? ใช่แล้ว จำเป็นต้องเตือนเจ้าสักครั้ง ข้ามักจะรู้สึกว่ามีใครบางคนในหุบเขาผีร้ายลอบมองเจ้าอยู่ไกลๆ ตลอดเวลา แต่แค่เป็นพักๆ ไม่ได้มองนานนัก ข้าแค่พอจะสัมผัสได้ว่าอยู่มุมใดมุมหนึ่งทางทิศเหนือ ตบะสูงส่งลึกล้ำ เจ้าต้องระวังให้มาก”

เฉินผิงอันไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ

บัณฑิตยิ้มกล่าว “หลังจากนี้ข้าจะต้องตั้งใจหลอมแผ่นหินประตูมังกรชิ้นนั้น ไม่อาจเสียสมาธิได้ เวลาที่เจ้าพูดคุยกับ ‘ข้า’ อีกคนหนึ่งนั้น รบกวนช่วยดูแลเขาหน่อย จะพูดอย่างไรดีล่ะ เขาเหมือนกับเป็นความเลวร้ายในใจของข้า แม้ว่าความคิดทั้งหมดจะถูกข้าย่อส่วนจนเล็กเหมือนเมล็ดงา มองดูเหมือนเล็กมาก แต่แท้จริงแล้วกลับใหญ่มาก อีกทั้งยังบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด ความเลวก็คือความเลวที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องปกปิด เพราะเกิดมาก็มีนิสัยที่ชอบกระทำการอย่างกำเริบเสิบสาน แต่ทุกครั้งที่ข้าแบ่งสมาธิออกมามอบหน้าที่ควบคุมเนื้อหนังร่างนี้ให้แก่เขาก็จะต้องตั้งกฎเกณฑ์สามข้อกับเขา ไม่ให้เขาละเมิดกฎมากเกินไป ใช่แล้ว ก่อนที่เขาจะทำอะไร ข้าจะมองดูอยู่ข้างๆ ล้วนเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา ถือเป็นการอาศัยโอกาสนี้มาพิศมรรคา ขัดเกลาจิตดั้งเดิม แต่เวลาที่ข้าพูด เขากลับทำได้เพียงหลับสนิท”

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 497.1 นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 497.1 นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

รอจนบัณฑิตฟื้นตื่นขึ้นมาก็รู้สึกปวดหัวราวกับหัวจะแตก เขาพบว่าตัวเองอยู่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง ห่างไปไม่ไกลก็คือสะพานเหล็กแขวนเส้นยาวที่ส่ายไหวเบาๆ ไปตามสายลมภูเขาเหมือนงูยาวตัวหนึ่งที่หัวกับหางแยกกันห้อยอยู่ระหว่างกิ่งไม้สองกิ่ง

ชุดคลุมบนร่างของตนที่มีชื่อว่าเทาเที่ยร้อยตาตัวนั้นไม่อยู่แล้ว ยันต์ที่ทำขึ้นด้วยวิชาลับของตระกูลซึ่งเดิมทีเก็บไว้ในชายแขนเสื้อแน่นอนว่าหายเข้าไปในกระเป๋าของคนอื่นเช่นกัน

อีกทั้งยังถูกเชือกพันธนาการปีศาจสีทองเส้นหนึ่งมัดเอาไว้ ก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าเป็นเชือกที่ระดับขั้นไม่ต่ำ ถึงขนาดทำมาจากหนวดยาวของเจียวสองเส้น อายุของเจียวเฒ่าตัวนั้นต้องไม่ใช่น้อยๆ แน่นอน หนวดเจียวหลงของปลาหลีสีเงินในทะเลสาบถงลวี่ เมื่อเทียบกับมันแล้วก็คาดว่าคงเหมือนเผ่าพันธุ์ตำหนักจันทราอย่างปี้สู่เหนียงเนียงที่มาเจอกับคางคกตัวจริงของตำหนักกว่างหานกระมัง? บางทีอาจไม่เกินจริงขนาดนั้น แต่ก็คงไม่หนีกันสักเท่าไหร่

บัณฑิตหลุดหัวเราะพรืดอย่างอดไม่อยู่

เขาไม่ได้ดิ้นรนแต่อย่างใด

เพราะทั้งหว่างคิ้วและด้านหลังหัวใจของตนต่างก็มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งลอยอยู่

ยังดี ขอแค่ไม่ได้ตื่นขึ้นมาท่ามกลางตะเกียงบงกชคืนวิญญาณในศาลบรรพจารย์ของตนดวงนั้นก็ถือว่าไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว

บัณฑิตถอนหายใจ “พี่ชายคนดี ของที่ยืมไป ไม่ช้าก็เร็วต้องคืนข้ามาด้วยนะ”

ห่างไปไม่ไกล จอมยุทธพเนจรหนุ่มสวมงอบคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ที่ริมหน้าผา

คนผู้นั้นไม่เอ่ยวาจา

บัณฑิตจึงเอ่ยต่อว่า “พี่ชายคนดี นิสัยที่ชอบปอกลอกเสื้อผ้าของคนอื่นนี้ของเจ้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนะ ชุดคลุมอาคมที่จักรพรรดิกระดูกขาวในคลังสมบัติของปี้สู่เหนียงเนียงสวมใส่ไว้ก็เป็นอย่างที่ข้าพูด แค่แตะก็สลายเป็นฝุ่นผงไม่ใช่หรือ? ชุดคลุมอาคมของผู้ฝึกตนหญิงสำนักชิงเต๋อคนนั้น ข้าก็ไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ ระดับขั้นของมันธรรมดาอย่างถึงที่สุด ก็เหมือนกับถ้วยเหล้าภาชนะที่ใช้บวงสรวงของศาลบรรพจารย์สำนักชิงเต๋อนั่นแหละ ต่างก็เป็นแค่สมบัติวิเศษเท่านั้น ขายก็ได้ราคาไม่ดี เว้นเสียแต่ว่าเจอกับผู้ฝึกตนที่ชอบเก็บสะสมชุดคลุมอาคมถึงจะพอได้กำไรอยู่บ้าง”

เฉินผิงอันยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ

บัณฑิตไม่มีความรู้สึกอับอายจนพานเป็นโกรธแม้แต่น้อย ก็แค่ไม่มีชุดคลุมอาคมที่เอาออกมาโอ้อวดใครไม่ได้ก็เท่านั้น ไม่ได้เนื้อตัวเปลือยเปล่าสักหน่อย แต่ยันต์กระดาษสีทองสามแผ่นนี่แหละที่ค่อนข้างจะเสียดาย แผ่นหนึ่งเป็นสายรองของยันต์ภูเขา มีชื่อว่ายันต์จวนปี้เซียว สามารถจำแลงเป็นจวนของอ๋องในนครเหลยเฉิงของจริงได้ เมื่อผู้ฝึกตนอยู่ในนั้นจะสามารถต้านทานการโจมตีจากสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตของก่อกำเนิดได้หลายครั้ง หากเปลี่ยนมาเป็นโอสถทอง คาดว่าเวลาครึ่งก้านธูปก็อย่าหวังว่าจะเปิดประตูจวนได้ อีกแผ่นหนึ่งคือยันต์แสงสว่างอวี้ชิง เมื่อถูกผู้ฝึกตนโยนออกไปจะสาดส่องความมืดมิด สยบขวัญผีและปีศาจ กินอาณาบริเวณกว้างขวางยิ่ง ปกคลุมฟ้าดินในรัศมีหลายลี้ ไม่ได้มีไว้ใช้รับมือกับผู้ฝึกตนใหญ่ แต่เอาไว้ใช้ฝ่าวงล้อมโดยเฉพาะ

แผ่นสุดท้ายมีค่ามากที่สุด ทำขึ้นจากวิชาลับของตระกูลที่สืบทอดต่อกันมา คือยันต์นภากาศพิฆาต แก่นของยันต์ซ่อนแสงเทพที่มีมูลค่าควรเมืองไว้สี่เส้น หากลงมือเมื่อไหร่ก็จะมีองค์เทพบรรพกาลสี่ท่านอย่างเทพสายฟ้า เจ้าแม่ฟ้าแลบ พ่อปู่วาโย เทพพิรุณปรากฏตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วรวมพลังกันโจมตีศัตรู

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเรือนหลังของตำหนักกว่างหานบนภูเขาโปลั่ว ยันต์ที่บัณฑิตคีบไว้ในชายแขนเสื้อก็คือยันต์ประเภทนี้

เพียงแต่ว่าตอนนั้นอีกฝ่ายก็เจ้าเล่ห์ ทำท่าทางราวกับว่าซุกซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในชายแขนเสื้อเหมือนกัน บัณฑิตไม่แน่ใจในความตื้นลึกของอีกฝ่าย อีกทั้งคนทั้งคู่ยังอยู่ใกล้กันมาก พลานุภาพของยันต์ยิ่งใหญ่เกินไป หากใช้งานขึ้นมาครึ่งหนึ่งของภูเขาโปลั่วก็ต้องถูกปาดทิ้ง เขาไม่อยากจะสังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเองเสียหายแปดร้อย และไม่แน่ว่าอาจจะยังเป็นการเปิดเผยร่องรอยของตัวเอง ถึงได้ข่มปราณสังหารเอาไว้

ส่วนยันต์ที่ภายหลังถูกคนผู้นี้ใช้กระบี่ฟันทิ้งก็มีพลังพิฆาตไม่น้อยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ยิ่งใหญ่ทรงพลังเท่ากับยันต์นภากาศพิฆาต อีกทั้งยังไม่ได้เขียนขึ้นจากวิชาลับของตระกูลด้วย แต่เป็นความสามารถติดตัวของสำนักยันต์แห่งหนึ่งในอุตรกุรุทวีป เอาไว้ใช้กำราบผู้ฝึกกระบี่บนโลกโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าแม้จะเป็นนาทีนั้น แต่บัณฑิตก็ยังไม่ถูกกลุ่มปีศาจบีบบังคับจนถึงขั้นที่ต้องใช้ความสามารถประจำตระกูล เพียงแค่มองดูแล้วสภาพกระเซอะกระเซิงไปหน่อยเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ความคิดที่แท้จริงของเขาก็คือจงใจจะสร้างความเคลื่อนไหวครึกโครมที่กลุ่มภูเขาทั้งหลายต่างก็มองเห็น เพราะบัณฑิตแน่ใจว่าคนผู้นั้นก็ต้องแอบกลับมาอย่างเงียบเชียบแล้วซ่อนตัวอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งอย่างแน่นอน จากนั้นไม่แน่ว่าเมื่อวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างแม่นยำแล้วก็จะลอบฆ่าตน

บัณฑิตหรือจะไม่มีความคิดที่หมายแสดงความอ่อนแอเพื่อฉวยโอกาสนี้สังหารอีกฝ่าย?

น่าเสียดายก็แต่สวรรค์ไม่ทำให้คนสมปรารถนา

สมกับคำว่าธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้งจริงๆ

กระบี่เล่มนั้นของอีกฝ่ายประหลาดอย่างมาก มหัศจรรย์เกินไป ยันต์พันธนาการกระบี่กระดาษสีทองของตำหนักตี้จู่แผ่นหนึ่งกลับไม่สามารถกักขังกระบี่ยาวของอีกฝ่ายได้สำเร็จ ดังนั้นวิชาการหลบหนีที่ตนเตรียมเอาไว้ และยันต์พิฆาตแผ่นที่สองที่ซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อของตนจึงเป็นดั่งวีรบุรุษที่ไร้ที่ให้แสดงฝีมือ ไม่อย่างนั้นหากใช้ยันต์แล้วเขาหลบหนีไปได้สำเร็จ อีกฝ่ายไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส เหลือไว้ให้กลุ่มปีศาจช่วยกันจัดการเก็บกวาด จะยังมีชีวิตรอดได้อีกหรือ?

ยังมีเจ้าหมอนั่นอีกคนที่ยิ่งอืดอาดยืดยาด ถึงเวลาคับขันกลับเลอะเลือน บังคับแย่งเอาอำนาจในการเป็นผู้นำของดวงวิญญาณไปเสียเกินครึ่ง ปลดการป้องกันทั้งหมดที่มีต่อคนผู้นี้ลง แล้วผลล่ะเป็นอย่างไร? ก็ยังถูกอีกฝ่ายปล่อยหมัดต่อยใส่อย่างไม่ลังเลเลยไม่ใช่หรือ? สุดท้ายตนก็ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดี เพราะอีกฝ่ายไม่ได้สังหารคนชิงทรัพย์ ทำลายศพกลบร่องรอยอย่างอำมหิต

ไยนี่จะไม่ใช่ความโชคดีเสี้ยวหนึ่งที่อีกฝ่ายสะสมไว้จากการใจอ่อนมีเมตตา

ไม่อย่างนั้นรอจนตนฟื้นตื่นขึ้นมาในตระกูล แม้ว่าจะพอรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่กลับต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเป็นหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ รากฐานมหามรรคาถูกทำลาย ต่อให้ตระกูลมีวิชาลับที่สามารถชดเชยได้ แต่อย่างน้อยก็ถ่วงเวลาการเลื่อนขอบเขตไปร้อยปี ถึงเวลานั้นมีหรือตระกูลจะยอมละเว้นคนผู้นี้ไปง่ายๆ อย่าว่าแต่ไล่ฆ่าหมื่นลี้เลย ต่อให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดสายตรงของสำนักที่มีคำว่าจงในชื่อของทวีปอื่นก็ยังจะถูกไล่ฆ่าข้ามทวีป สิบปีไม่สำเร็จก็ร้อยปีอยู่ดี

สกุลหยางตำหนักนภากาศที่อยู่ในหน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวนได้รับการยอมรับจากคนทั้งทวีปมาโดยตลอดว่าเห็นแก่บุญคุณความแค้นเป็นสำคัญ การตอบแทนบุญคุณเป็นเรื่องใหญ่ การจดจำความแค้นก็ยาวนาน การแก้แค้นก็ยิ่งอำมหิตมาดร้าย

ยันต์แห่งศาลบรรพจารย์กระดาษทองสามแผ่นที่เหลืออยู่ไม่ได้ถูกนำมาใช้งานก็ดี หรือชุดคลุมอาคมเทาเที่ยร้อยตาตัวนั้นก็ช่าง ต่อให้จะมีมูลค่ามากแค่ไหน แต่จะมีมูลค่าได้เท่าชีวิตและมหามรรคาของผู้ฝึกตนหรือ?

ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้บัณฑิตจึงปล่อยวางได้

บิดากำชับกับตนมาโดยตลอดว่า บนเส้นทางของการฝึกตนต้องเสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ ให้มากหน่อย

บัณฑิตยิ้มถาม “พี่ชายคนดี เจ้าพาข้าฝ่าจากวงล้อมของกลุ่มปีศาจมาได้อย่างไร? คงเปลืองแรงมากเลยกระมัง?”

โคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดเสร็จสิ้น เฉินผิงอันก็เก็บท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูแล้วเอ่ยว่า “ไม่ได้เปลืองแรงสักเท่าไหร่ กลุ่มปีศาจเข่นฆ่ากับเจ้ามานานเกิน เรี่ยวแรงจึงหดหายกันไปหมด อีกทั้งยังกลัวว่านอกจากข้าแล้วยังมีกองหนุนคนอื่นอีก แต่ละตนจึงหวาดกลัวไม่ยอมบุกรุดหน้า การล้อมสังหารก็เป็นแค่การวางท่าพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่ก็ยังโรมรันกันอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายข้าฉวยจังหวะหาช่องว่างได้ก็เลยหนีลงใต้มาถึงที่แห่งนี้ของหุบเขาผีร้าย เพียงแต่ว่าชุดคลุมบนร่างเจ้าถูกอีกฝ่ายดึงเอาไป ข้าขวางไม่ทัน ละอายใจอย่างมาก”

บัณฑิตยิ้มเฝื่อนเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนี้กับกระบี่บินทั้งสองเล่มล่ะ?”

เฉินผิงอันเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เพื่อปกป้องเจ้าอย่างไรล่ะ สถานที่แห่งนี้มีปีศาจใหญ่สองตนกำลังจ้องเขม็งมาที่เจ้าจากสะพานเหล็กนั่น ตัวหนึ่งคือภูตงูเหลือม อีกตัวหนึ่งคือภูตแมงมุม เจ้าเองก็น่าจะมองเห็นแล้ว ข้ากลัวว่าในขณะที่ข้าตั้งใจฝึกตน ชีวิตเจ้าจะมีอันตราย”

บัณฑิตชำเลืองตามองไปทางสะพานเหล็กแขวนเส้นนั้น มีภูตที่น่าสงสารอยู่สองตนก็จริง แต่นั่นเรียกว่า ‘ปีศาจใหญ่’ ได้ด้วยหรือ? แม้แต่ร่างมนุษย์ยังจำแลงออกมาไม่ได้ เห็นเชือกพันธนาการปีศาจที่กำราบพวกมันได้ตั้งแต่กำเนิดเส้นนี้บนร่างของตนแล้วไม่ได้ตกใจขวัญหาย เผ่นหนีไปไกลหลายสิบลี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็เพราะกลัวว่าเมื่อเจ้าฟื้นแล้วจะไม่ฟังคำอธิบายของข้าแม้แต่ครึ่งคำ ลืมตาได้ก็จะตีรันฟันแทงกับข้า ถึงเวลานั้นจะไม่ยิ่งเข้าใจผิดกันหรอกหรือ? ตอนนี้พวกเราทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าได้พูดคุยกันอย่างเปิดอกแล้วไม่ใช่หรือ?”

บัณฑิตพยักหน้ารับ “พี่ชายคนดีไม่เพียงแต่มีจิตใจของจอมยุทธ ที่ยิ่งมีค่าและหาได้ยากยังคงเป็นเรื่องของความรอบคอบละเอียดอ่อน ข้าหาข้อตำหนิไม่เจอเลยจริงๆ!”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “พี่มู่เม่า ตอนนี้สามารถบอกแซ่ของตัวเองได้แล้วกระมัง? เป็นพี่น้องที่ร่วมทุกข์ ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน หากยังปกปิดอยู่ก็คงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”

บัณฑิตยิ้มกว้างสดใส กล่าวอย่างจริงใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “ข้าแซ่หยาง นามมู่เม่า นับตั้งแต่เด็กก็มีชาติกำเนิดมาจากหน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวน เนื่องจากพรสวรรค์ไม่เลว อาศัยความสัมพันธ์จากการที่บรรพบุรุษเป็นขุนนางอยู่ในหน่วยฉงเสวียนมาทุกยุคทุกสมัย จึงโชคดีได้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายในที่เสนาบดีอวี่อีของตำหนักนภากาศตั้งชื่อให้ด้วยตัวเอง ออกเดินทางไกลมาครั้งนี้ก็ลงใต้มาตลอดทาง ก่อนจะมาถึงหุบเขาผีร้าย เงินเทพเซียนบนร่างก็เหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว จึงคิดจะเข้ามากำจัดปีศาจปราบมารเพื่อสะสมบุญในหุบเขาผีร้ายพลางหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ไปด้วย ปีหน้าพอถึงงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของชินอ๋องบางท่านในราชวงศ์ต้าหยวนที่สนิทสนมกับหน่วยฉงเสวียนจะได้หาของขวัญที่เข้าท่าเข้าทีไปมอบให้ได้”

ในเมื่อคนผู้นี้อ่านสองคำว่า ‘ประตูมังกร’ บนแผ่นศิลาออก ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะมองรากฐานของยันต์ทั้งสามแผ่นออกเช่นกัน

ดังนั้นบัณฑิตจึงไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นคนโง่อีก หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายอับอายจนพานเป็นความโกรธแล้วปล่อยหมัดใส่ตนอีกครั้ง

เฉินผิงอันกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “หน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวนนี้ ขนาดข้าที่เป็นคนต่างถิ่นจากทวีปอื่นก็ยังเคยได้ยินชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ดุจฟ้าผ่าข้างหูมาก่อน ไม่ทราบว่าพี่มู่เม่ารู้จักหยางหนิงซิ่งที่เกิดมาก็เป็นเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าผู้นั้นหรือไม่?”

บัณฑิตกลอกตามองบน “ในฐานะลูกศิษย์ฝ่ายในของตำหนักนภากาศ จะไม่รู้จักเทพเซียนน้อยที่มีชื่อเสียงผู้นี้ได้อย่างไร ไม่เพียงแต่รู้จักเขา ข้ายังรู้จักหยางหนิงเจินคุณชายใหญ่ที่ชอบท่องเที่ยวเตร็ดเตร่ไปทั่วทิศผู้นั้นด้วย อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับพวกเขา แน่นอนว่าทายาทผู้สืบทอดของสกุลหยางที่สูงส่งเหนือใครสองท่านนี้ ข้าก็แค่รู้จักพวกเขาสองพี่น้องอย่างผิวเผิน ไม่ถือว่าเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทอะไร”

บัณฑิตเห็นว่าเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็จนปัญญา ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คงไม่ถึงขั้นสอบปากคำตนอย่างเข้มงวดหรอกกระมัง? แต่หากอีกฝ่ายจะทำเช่นนั้นจริง เชือกพันธนาการปีศาจที่เป็นสมบัติอาคมหนึ่งเส้น กับกระบี่บินสองเล่มก็ยังไม่แน่สมอไปว่าจะกักขังตนเอาไว้ได้

เฉินผิงอันพลันเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้เจ้าจูงฝูงหมากลุ่มหนึ่งเที่ยวเล่น ก็เพราะต้องการให้ข้าเข้าใจผิดคิดว่ามีโอกาสตีหมาที่ตกน้ำ แล้วก็ฉวยโอกาสนี้สังหารข้า?”

บัณฑิตคิดจะหาข้ออ้างส่งเดช แต่จู่ๆ ก็พลันขมวดคิ้ว เพราะหว่างคิ้วของเขาปวดแปลบๆ ได้แต่ทอดถอนใจไม่หยุด นาทีถัดมา ร่างทั้งร่างของบัณฑิตก็เปลี่ยนมามีสภาพการณ์แบบใหม่ เหมือนเมื่อตอนแรกสุดที่เขาได้รู้จักเฉินผิงอันแล้วบอกว่าตัวเองมี ‘ปราณหยางบริสุทธิ์เต็มตัว’ ผู้ฝึกลมปราณก็ดี ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็ช่าง ลมปราณล้วนสามารถอำพรางเอาไว้ได้ พลังอำนาจก็เปลี่ยนแปลงได้ มีพียงภาพบรรยากาศที่คนผู้หนึ่งฟูมฟักออกมาเท่านั้นที่ยากจะเสแสร้งแกล้งทำได้

เฉินผิงอันขมวดคิ้วกล่าว “เจ้ามีโรคจิตวิญญาณแตกแยกงั้นหรือ? ทั้งสองฝ่ายต่างก็กำลังช่วงชิงจิตวิญญาณกัน?”

นี่ก็เหมือนกับการที่สองพี่น้องทะเลาะถกเถียง ต่อยตีกันอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง

สำหรับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปแล้ว นี่นับว่าเป็นข้อต้องห้ามใหญ่

และหากเป็นเช่นนี้ เส้นทางการฝ่าทะลุขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณก็จะเหมือนคนขาเป๋ที่เดินขึ้นเขา ยากยิ่งกว่ายาก เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองได้ก็ถือว่าเป็นความโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว คิดจะฝ่าทำลายจิตมารของก่อกำเนิดไปให้ได้ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันโดยสิ้นเชิง

บัณฑิตนั่งตัวตรง สายตากระจ่างใส ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เพื่อช่วยข้าออกมา เจ้าบาดเจ็บไม่น้อย แล้วก็เผาผลาญพลังไปเยอะมาก ยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองที่เจ้าเรียกออกมาช่วงสุดท้ายนั้น ไม่เพียงแต่ล้ำค่า ยังน่าจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับสายยันต์ของตระกูลข้า ดังนั้นชุดคลุมอาคม ‘เทาเที่ยร้อยตา’ และยันต์สามแผ่นที่อยู่ในชายแขนเสื้อก็ถือเสียว่าเป็นของขวัญขอบคุณจากข้าก็แล้วกัน ส่วนข้า แน่นอนว่าไม่ได้ชื่อหยางมู่เม่าอะไรทั้งนั้น แต่มีชาติกำเนิดมาจากหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวนจริง เพียงแต่ว่าคงไม่บอกชื่อแซ่ที่แท้จริงกับเจ้าแล้ว เจ้าเชิญเดาได้ตามสบาย”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “หลังจากที่ ‘เขา’ หมดสติอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกาย อันที่จริง ‘เจ้า’ ก็จะคืนสติมามองฟ้าดินใหญ่ภายนอกได้?”

บัณฑิตพยักหน้ารับ เพียงแต่ว่าไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม

เฉินผิงอันกล่าว “แต่เรื่องที่คิดจะฆ่าข้า คือเจตจำนงดั้งเดิมของเจ้า”

บัณฑิตยิ้มกล่าว “แล้วไยจะไม่ใช่เจตจำนงดั้งเดิมของเจ้าเช่นกันเล่า?”

เฉินผิงอันเงียบงันเป็นคำตอบ

บัณฑิตจึงเอ่ยต่อ “ในเมื่อสุดท้ายแล้วเจ้าเลือกจะช่วยข้า ไม่ใช่ฆ่าข้า ข้ารู้สึกว่าจำเป็นต้องออกมาพบเจ้าสักครั้ง การช่วงชิงบนมหามรรคาในความคิดของข้า ควรจะเปิดเผยตรงไปตรงมา หากเจ้าก็เห็นด้วยในคำกล่าวนี้ พวกเราสามารถเลือกวันเวลาหนึ่ง รอให้ต่างฝ่ายต่างฝึกประสบการณ์สิ้นสุดแล้ว ในอนาคตก็มาต่อสู้ตัดสินเป็นตายกันที่ภูเขาตี่ลี่ดีไหม? ใช่แล้ว จำเป็นต้องเตือนเจ้าสักครั้ง ข้ามักจะรู้สึกว่ามีใครบางคนในหุบเขาผีร้ายลอบมองเจ้าอยู่ไกลๆ ตลอดเวลา แต่แค่เป็นพักๆ ไม่ได้มองนานนัก ข้าแค่พอจะสัมผัสได้ว่าอยู่มุมใดมุมหนึ่งทางทิศเหนือ ตบะสูงส่งลึกล้ำ เจ้าต้องระวังให้มาก”

เฉินผิงอันไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ

บัณฑิตยิ้มกล่าว “หลังจากนี้ข้าจะต้องตั้งใจหลอมแผ่นหินประตูมังกรชิ้นนั้น ไม่อาจเสียสมาธิได้ เวลาที่เจ้าพูดคุยกับ ‘ข้า’ อีกคนหนึ่งนั้น รบกวนช่วยดูแลเขาหน่อย จะพูดอย่างไรดีล่ะ เขาเหมือนกับเป็นความเลวร้ายในใจของข้า แม้ว่าความคิดทั้งหมดจะถูกข้าย่อส่วนจนเล็กเหมือนเมล็ดงา มองดูเหมือนเล็กมาก แต่แท้จริงแล้วกลับใหญ่มาก อีกทั้งยังบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด ความเลวก็คือความเลวที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องปกปิด เพราะเกิดมาก็มีนิสัยที่ชอบกระทำการอย่างกำเริบเสิบสาน แต่ทุกครั้งที่ข้าแบ่งสมาธิออกมามอบหน้าที่ควบคุมเนื้อหนังร่างนี้ให้แก่เขาก็จะต้องตั้งกฎเกณฑ์สามข้อกับเขา ไม่ให้เขาละเมิดกฎมากเกินไป ใช่แล้ว ก่อนที่เขาจะทำอะไร ข้าจะมองดูอยู่ข้างๆ ล้วนเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา ถือเป็นการอาศัยโอกาสนี้มาพิศมรรคา ขัดเกลาจิตดั้งเดิม แต่เวลาที่ข้าพูด เขากลับทำได้เพียงหลับสนิท”

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+